Group Blog All Blog
|
พาน้องเข้าถ้ำเชียงดาว(เชียงใหม่)กันจ้า
มาจากมีน้องที่รู้จักกัน มาจากลพบุรี มาเที่ยวเชียงใหม่ค่ะ พอวันหยุดข้าน้อยก็เลยกะพาไปเที่ยวไกลๆ หน่อย ส่วนที่ใกล้ๆ นั้น น้องเคย์ไปเองได้ ก็เลยปิ๊งว่าน่าจะพาไปที่เที่ยวไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป พอโบกรถเช้าไปเย็นกลับได้ ก็จะพาไปถ้ำเชียงดาวนั่นเองจ้า
ถ้ำเชียงดาว อยู่ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ก่อนจะไปถึงอ่างข่างสักชั่วโมง นั่งรถข้ามสองอำเภอ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ข้าน้อยพาเพื่อนอีกคนไปด้วย รวมกันเป็นสามชีวิต นั่งรถท่าตอน-ไชยปราการ จากอาเขตข้างเผือก คิวรถในตัวเมืองเชียงใหม่ ตกคนละ 40 บาท ออกจากท่ารถราว 10 โมง 15 ถึงที่ปากทางเข้าถ้ำเชียงดาวราวเที่ยง แวะกินข้าวและจ้างรถสองแถวให้เข้าไปส่งในระยะทางถ้ำหากไป 5 กิโลเมตร โดยจ้างเหมาแบบรอรับส่ง 300 บาท ช่วงนี้เป็นช่วงฮีทซีซั่นของเชียงใหม่ ก็เลยมีทัวร์มาลงเยอะพอสมควร อีกทั้งนักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยวอ่างข่าง ก็จะแวะเที่ยวถ้ำเชียงดาวไปด้วยค่ะ ข้าน้อยเคยมาที่นี่เมื่อราว 6-7 ปีมาแล้ว ดูอะไรก็จะพัฒนาขึ้นหน่อยๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเยอะมาก ถ้ำเชียงดาวนี่เปิดตั้งแต่เวลา 7.00-17.00 น. นะค่ะ เท่าที่ถามไกด์มา ถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบมากว่า 300 ปีมาแล้ว มีตำนานเรื่องเล่าถึงเจ้าหลวงคำแดง เจ้าหลวงแห่งเมืองน่าน ได้เดินทางมาล่าสัตว์ และพบกวางเผือกสวยตัวหนึ่ง จึงไล่จับเข้ามาถึงในถ้ำเชียงดาว ปรากฎว่านางกวางนั้น เป็นนางอัปสรของพระอินทร์ จำแลงมาเพื่อให้มาเป็นคู่ของเจ้าหลวง ทั้งคู่อาศัยอยู่ในเมืองใต้พิภพของถ้ำ และไม่ได้กลับออกมาอีกเลย...ทุกวันนี้ก็ยังมีศาลของเจ้าหลวงคำแดงตั้งไว้ที่ด่านตรวจคน ที่รอยต่อระหว่างอำเภอเชียงดาวและแม่แตงค่ะ อาคารก่อนขึ้นไปยังถ้ำ บริเวณใกล้ทางขึ้นก็จะมีสระน้ำ ที่เป็นลำธารจากต้นน้ำในป่าเชียงดาวค่ะ น้ำที่นี่ใสมากจนเห็นพื้นข้างล่างเลย ในสระก็มีเลี้ยงปลามากมาย ขนาดไซส์ L ขึ้นไป แต่ดูท่าทางปลาไม่ค่อยแย่งกินเท่าไหร่นะงับ อาหารปลาเลยลอยฟ่อนเลย (เมื่อก่อนที่ข้าน้อยมาให้ แย่งกันจะเป็นจะตาย ตรงฝั่งขวามือก็จะมีสระน้ำเหมือนกันค่ะ แต่ที่นี่จะมีประติมากรรม เรือสุพรรณหงษ์ประดับด้วย ค่าเข้าชมถ้ำคนละ 10 บาทค่ะ จะเป็นค่าบำรุงไฟฟ้าที่ใช้ส่องสว่างในถ้ำ เมื่อเราซื้อแล้วก็ต้องหย่อนตั๋วลงในตู้รับตั๋วด้วย เมื่อเข้ามาภายในถ้ำแล้ว รู้สึกถึงอากาศหนาวเย็นเลยค่ะ เพดานถ้ำจะต่ำในช่วงบันไดเดินขึ้น-ลง แต่ถ้าเดินมาถึงห้องโถงแล้วจะเปิดโล่งเลยค่ะ มาถึงที่แรก เราก็เจอกับกลุ่มพระหมู่บูชาให้กราบไหว้กันก่อน ประติมากรรมข้างบันไดทางขึ้นไปกราบพระ ประติมากรรม ถ้าไม่ใช่สิงห์ มอม ก็คงเป็นสุนัขน่ะ เหนือเพดานถ้ำขึ้นไป ก็มีกลุ่มพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ตามซอกหลีบถ้ำค่ะ กลุ่มพระประธานใหญ่ ระฆังเก่า ทำจากทองเหลือง เมื่อเดินเข้ามาอีกนิดเดียว ก็จะมีกลุ่มพระประธานให้ได้กราบไหว้อีกค่ะ ตรงจุดนี่เองจะเป็นจุดรวมไกด์นำเที่ยว มีประมาณ 50 กว่าคน โดยไกด์หนึ่งคนจะดูแลนักท่องเที่ยว 5 คน กลุ่มไกด์นี่ก็จะเป็นชาวบ้านในเชียงดาวนี่แหละค่ะ จะสลับกลุ่มกันทำคนละวัน ช่วงไฮซีซั่นนั้นก็อาจจะนำกันคนละ 2 รอบเลยทีเดียว ในถ้ำที่เราจะไปนั้น ต้องจ้างไกด์ 100 บาท ไม่สามารถที่จะถือตะเกียงเดินไปเองได้ และไม่สามารถเลือกไกด์ได้ค่ะ จะมีเป็นคิวๆ ไป ถ้ำแรกที่เราจะไป คือถ้ำม้า ถ้ำนี่ต้องมีไกด์ไปด้วยค่ะ ห้ามนักท่องเที่ยวเดินไปเอง เพราะมีความอันตรายอยู่พอสมควร ไกด์ที่นำเที่ยวกลุ่มข้าน้อย เป็นคุณป้าใจดีอารมณ์ขัน ถามอะไรก็ตอบได้ ไม่มีกั๊ก นี่ก็เป็นสายแร่ที่เป็นประกายตามหินงอกหินย้อยของถ้ำ ทางเข้าถ้ำแต่ละที่ก็จะมีระดับที่สูงต่ำแตกต่างกันไป อย่างทางเข้าถ้ำนี่ ต้องเจาะผนังถ้ำออกบางส่วน แล้วก็ต้องย่อตัวลงลอดเข้าไปค่ะ หินงอกหินย้อยแต่ละอันก็จะมีรูปร่างที่ทำให้เกิดจินตนาการได้เหมือนกัน อันนี้เป็นหินรูปม้าค่ะ หินรูปดอกบัวตูม หินรูปสิงห์ ยิ่งถ้าเห็นมีผ้าแพรมาผูก แสดงว่าผ่านการถูกขอบนบานขอหวยมาก่อนแล้ว หินรูปพญาครุฑ (โปรดใช้เวลาในการพิจารณารูปร่างกันดีๆ) หินรูปช้างนอน หินรูปช้างเอราวัณ ลักษณะโพรงถ้ำ นอกจากต้องระวังหัวแล้ว ยังต้องระวังพื้นด้วยนะค่ะ เพราะหลุมบ่อตอผุดเยอะมากมาย มีสิทธิ์เดินสะดุดขาพลิกได้ แถมลื่นอีกต่างหาก เพราะข้างในยังมีน้ำหยดจากถ้ำลงมาตลอด นอกจากนั้นก็จะมีลักษณะหินงอกหินย้อยตามผนังถ้ำที่มีความสวยแปลกอีกเยอะแยะ (บางอันจำชื่อไม่ได้ ขออภัยด้วย แล้วเราก็มาเจอปากถ้ำลอดอีกทางค่ะ นี่เรียกว่าประตูไถ่บาป ถ้าหากใครผ่านประตูนี้ไปได้ ก็จะได้รับการไถ่บาป ปากถ้ำนี่ต้องคลานเข้า ซึ่งจะลำบากสักหน่อยกับคนที่อ้วนมากหรือตัวสูงมากค่ะ แต่ข้าน้อยก็ผ่านมาจนได้ แล้วเราก็มาเจอหินรูปสิงห์ อันนี้เหมือนกว่าอันแรกมาก ตา หู จมูก ปาก มีพร้อม หินรูปพญานาค ผนังหินนี่มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปหมูกันตรึมค่ะ (แต่กลุ่มข้าน้อยขี้อายกัน เลยไม่ได้ถ่ายรูปหมูกันไว้) แล้วก็ต้องมาลอดปากถ้ำประตูสุดท้ายแล้วค่ะ อันนี้ไม่ยากเท่าประตูที่สองเท่าไหร่ แต่เป็นถ้ำระดับเนิน แถมหลุมบ่อเพียบ ลื่นอีกต่างหาก ซอกหลีบถ้ำนี่ เป็นที่บำเพ็ญศีลของฤาษีตนหนึ่ง ที่เคยเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ค่ะ ไม่ไกลนัก ก็จะมีศาลของฤาษีตั้งอยู่ เห็นได้จากของบูชาแล้ว ไกด์บอกว่ามีคนมาบูชาฤาษีเพื่อแก้บนมากมาย แสดงให้เห็นว่าท่านให้แม่นนะแล หินรูปผลมะละกอ หินรูปพญานาค หินงอกตรงพื้น เป็นรูปไข่ดาวค่ะ ไกด์บอกว่า ถ้าเอามือถูด้วย จะเป็นไข่แดง (คือถูจนเลือดออกนิ้วนะ) ทางเดินระหว่างถ้ำนี่ ต้องเอียงซ้ายเวลาเข้า และเอียงขวาเวลาออกค่ะ ส่วนตรงนี้เป็นสุดทางของถ้ำม้าค่ะ ตรงนี้ต้องเข้าไปทีละคน เดินระวังอย่างมากด้วย เพราะข้างหน้านั้นเป็นเหวลึก 25-35 เมตรค่ะ หากเผลอตกลงไป 3 วันกว่าจะขึ้นมาได้ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปกันเอง เพราะอาจเผลอเดินตกลงไปก็ได้ เห็นมืดๆ ก็อาจจะนึกว่าตื้น จากนั้นเราก็จะเดินกลับกันค่ะ แต่จะมีทางออกอีกทาง ไม่ใช่ทางที่เราเดินเข้ามา ผนังถ้ำตรงขวามือ ดูๆ ไปก็คล้ายหน้าคนเลยนะ แล้วนี่ก็เป็นบันไดทางลงไปยังทางออกค่ะ ลงได้ทีละคน ไกด์บอกว่า ถ้าลงช้าๆ เรียกว่าบันได ลงไวๆ เรียกว่าสไลด์เดอร์ เมื่อลงไปชั้นล่าง บนเพดานถ้ำก็จะมีฝูงค้างคาวเกาะกันตรึม ที่เป็นจุดดำๆ บนผนังถ้ำนะค่ะ เมื่อออกมาได้ ก็จะเป็นทางไปยังถ้ำแก้วค่ะ ถ้ำนี่จะเส้นทางปลอดภัย มีทางเดินราบเรียบ พร้อมไฟส่องสว่างตามผนังติดเอาไว้แล้ว นักท่องเที่ยวสามารถไปเองได้ แต่กลุ่มข้าน้อยขอให้พี่ไกด์นำทางไปด้วยดีกว่าค่ะ ข้างในก็จะมีรูปหล่อหลวงปู่ทวดให้สักการะบูชา ตามทางเดิน หินรูปฮิปโป หินรูปหน้าคนนอนค่ะ แบบภาพนอนเต็ม เพราะเส้นทางนี่ไม่ต้องมีไกด์นำทัวร์ ก็เลยมีคนมือบอน เขียนฝากข้อความตามผนังถ้ำกันมากมาย หินรูปพระพุทธรูป เมื่อเรามาถึงสุดทางถ้ำแก้ว ก็มีพระนอนประดิษฐานไว้อยู่ค่ะ แต่สุดทางนั้นก็ยังมีถ้ำน้ำค่ะ ไกด์บอกว่าเป็นถ้ำที่มีน้ำไหลออกมา ในช่วงหน้าฝนนั้นจะไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าถ้ำแก้วเลย เพราะน้ำท่วมมาจากถ้ำน้ำหมด แต่ถ้าช่วงหน้าแล้งก็สามารถเข้าไปได้ค่ะ แต่ดูเหมือนไกด์แทบทุกคน จะไซโคนักท่องเที่ยวว่า ถ้ำน้ำนั่นมืดมาก อันตราย ออกซิเจนต่ำ แถมมีเหวลึกๆ อีกต่างหาก แม้เราจะถามย้ำกับไกด์ว่า ถ้าให้พาไปไปไหม? ไกด์ก็บอกว่าไปค่ะ เพื่อนข้าน้อยนั้นอยากรู้อยากเห็นและอยากไป แต่ข้าน้อยห่วงชีวิตน้องมากกว่า ก็เลยบอกไม่ไปดีกว่า ต้องไปที่อื่นอีก ก็เลยไม่ได้ไปกันค่ะ ผนังถ้ำที่ไกด์บอกว่า เพิ่งมีคนมาแก้บนจากไปขอหวยมาก่อน เห็นเป็นเลขอะไรก็ไปตีกันเอาเองเน้อ ระดับน้ำที่ขึ้นสูงในช่วงหน้าฝนค่ะ จะเห็นเป็นรอยดินติดผนังถ้ำเลย หินรูปหน้าคน พอย้อนกลับไปทางเก่า ก็เป็นอันว่าเราเที่ยวครบ 2 ถ้ำแล้วค่ะ ให้ทิปพี่ไกด์อีก 50 บาท เพราะไกด์พาทัวร์ได้สนุกและใจดีมาก ออกมาจากถ้ำ เราก็มาไหว้พระที่หลวงพ่อทันใจกัน หลวงพ่อทันใจ ได้ยินคำร่ำลือกันว่า บนบานศาลกล่าวสิ่งใด ท่านจะให้เร็วอย่างทันใจเลยทีเดียว จากนั้นเราก็นั่งรถท่าตอนกลับเข้าเมือง ด้วยราคา 32 บาท...ที่ราคาไม่เท่ากัน เพราะเราจะไปที่อื่นต่อค่ะ? ข้าน้อยพาเพื่อนไปเที่ยว พระตำหนักดาราภิรมย์ พระตำหนักของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เห็นว่าเพื่อนไม่เคยมา และเป็นทางผ่านพอดี ก็เลยพาเที่ยวเลยค่ะ อยู่ในค่ายดารารัศมี ตัวเมืองของอำเภอแม่ริม พระตำหนักหลังนี้ถือเป็นหลังที่สี่ ในจำนวนสี่พระตำหนักของเจ้าดารา ที่มีอยู่ในปัจจุบันนอกจากหลังนี้แล้ว ก็มีอีกหลังอยู่ที่เป็นกงศุลสหรัฐฯประจำเชียงใหม่ ส่วนหลังนี้เป็นหลังที่เจ้าดาราทรงประดับบ่อยที่สุดค่ะ ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท แต่ต้องถอดรองเท้า และไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปข้างในค่ะ บันไดทางขึ้น รูปหล่อเท่าองค์จริงของเจ้าดาราค่ะ สวนเจ้าสบายนั้น เป็นอาคารหลังเก่าที่สร้างขึ้นตอนที่ทางทหารมาใช้ที่ในการทำสำนักงานค่ะ จากน้้นเราก็ขึ้นรถกลับไปบ้านข้าน้อยกัน เพราะเพื่อนจอดรถทิ้งไว้บ้านข้าน้อย ส่วนน้อง ข้าน้อยให้เธอนั่งรถกลับไปที่คิวรถเหมือนเดิม แต่แรกเราว่าจะไปถนนคนเดินต่อ แต่น้องบอกเหนื่อยมากแล้ว ก็เลยเป็นอันแคนเซิ่ลค่ะ จบการท่องเที่ยวถ้ำเชียงดาวแล้วจ้า ร้านอาหารกรีกซูลาฟสกี้ กินเนื้อย่างอย่างเทพเจ้ากรีก!?
ชื่อร้าน : ซูลาฟสกี้
รายการอาหาร : อาหารกรีก หมูไก่เนื้อแกะกิโร(ย่าง), สลัดกรีก, ขนมหวานบัคคาว่า เวลาเปิดบริการ : 11.00-02.00 น. ที่ตั้งร้าน : สีลม ซอย 4 ตรงข้ามร้าน spanish, กรุงเทพมหานคร บางรัก Thailand พิกัด GPS : 13° 43' 41.72" N 100° 31' 57.96" E ซุปมักกะโรนีหมูสับสาหร่ายญี่ปุ่น
อาหารสูตรนี้ เป็นสูตรที่ปรับปรุงมาจากคุณน้าสาวเคยทำให้กินตอนเด็กๆ แล้วติดใจ ก็เลยลองหัดทำเอง ทำกินเองมาเกือบ 20 ปีแล้วค่ะ ก็เลยมาแบ่งปันสูตรให้เพื่อนๆ ชาวก้นครัวเสียหน่อย อาหารแนวนี้เหมาะทำให้เด็กๆ แทนก็ได้นะค่ะ
งวดแล้วไม่ได้ถ่ายรูปขั้นตอนวิธีการทำมา งวดนี้(ว่างมาก)เลยมาถ่ายรูปวิธีการทำซุปมักกะโรนีหมูสับสาหร่ายญี่ปุ่น อาหารสูตรโปรดของข้าน้อยมา (ส่วนภาพจะสวยหรือไม่ ถ่ายได้ที่สุดก็เท่านี้ล่ะ) คราวนี้สูตรของจริง วัดตวงปริมาณอะไรเรียบร้อยล่ะ เวลาในการทำ 15 นาที สำหรับ 4 ที่ วัตถุดิบ - มักกะโรนีแบบงอ 1 ถ้วยตวง - หมูสับ 100 กรัม - ไข่ไก่ 1 ฟอง - ซุปสาหร่ายญี่ปุ่นสำเร็จรูป ตราโวโน (ถ้าไม่มีใช้ซุปก้อน กับสาหร่ายวากาเมะแทนได้) 1 ซอง - ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ - น้ำ 4 ถ้วยตวง - พริกไทยนิดหน่อย (จะขาวหรือดำก็ไม่เกี่ยง) สูตรเดิมของข้าน้อย จะใช้ซุปก้อนสำเร็จ เพราะอันนี้เป็นหัวใจสำคัญของรสชาติเลย แต่พอมีซุปสาหร่ายญี่ปุ่น ตราโวโน ออกมาวางจำหน่าย ก็เลยใช้อันนี้มาประยุกต์เสีย มีทั้งแบบหมูและไก่ เลือกแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ ปล. แต่ทำไมช่วงนี้ออกไปซื้อแล้วมันไม่มีขายอีกแล้วอ่ะ ไม่ใช่ไม่ทำออกมาอีกแล้วนะ (ถ้าไม่ทำออกมาขายแล้วจริงก็เสียดายอ่ะ อะไรอร่อยๆ (สำหรับเรา)ดันไม่ทำขายหลายยี่ห้อแล้วน่ะ ตั้งแต่บะหมี่ตรา ยูมี อ่ะ) 1. ต้มน้ำในหม้อ รอจนกว่าจะเดือด ขึ้นอยู่กับความแรงของแก๊สแต่ละบ้าน จากนั้นก็ใส่มักกะโรนีลงไปเลย ตรงนี้จะหรี่ไฟลงระดับกลางก็ได้ถ้ากลัวไหม้ แต่สูตรข้าน้อยจะไม่หรี่นะ และไม่รอต้มให้สุกแบบ 8 นาทีที่เขียนไว้ตามซองของมักกะโรนีด้วย (เพราะเคยต้มนานแล้วกลายเป็นว่ามักกะโรนีอืดและแป้งเละ) 2.ระหว่างต้มมักโรนีอยู่ ให้ใส่หมูสับ ขนาดเท่าหยิบมือ(ในรูป) จะเปลี่ยนเป็นเนื้ออย่างอื่นก็ได้ตามใจชอบค่ะ (หรือจะใส่แครอทกับมันฝรั่งเพิ่มก็ได้ แต่สูตรนี้ ข้าน้อยไม่มีทั้งสองอย่าง เพราะไม่สะดวกเรื่องการเดินทางไปซื้อวัตถุดิบ เลยเอาสูตรพื้นฐานไว้ก่อน) 3. ใส่ในหม้อในขณะที่กำลังต้มมักโรนีลงไปเลย จะก้อนเล็กคำใหญ่ก็แล้วแต่ผู้ปรุง 4. เมื่อใส่หมูลงไปหมดแล้ว ก็คนไม่ให้มักกะโรนีติดก้นหม้อ จะเห็นได้ว่าหมูสุกเร็วทันใจดีนักแล (สังเกตตัวมักกะโรนีให้ได้แบบนี้ แสดงว่าต้มสุกพอประมาณ ไม่แข็งไม่เละจนเกินไป) 5. ตอกไข่ใส่ลงไป แล้วตีไข่ในหม้อไปเลย 6. ฉีกซองเทซุปผงลงไป ขั้นตอนนี้ให้หรี่ไฟลงหน่อย เพราะซุปจะฟูล้นหม้อได้ จากนั้นก็คนให้เข้ากัน 7. ใส่ซีอิ๊วขาวลงไป (ปริมาณที่บอกไว้ข้างต้นนี่บอกสำหรับคนที่เพิ่งทำครั้งแรก แต่ของข้าน้อยทำจนชำนาญแล้ว เลยกะด้วยสายตาเอา) ความเค็มจืดแล้วแต่ความชอบของผู้ปรุง (แต่ข้าน้อยชอบเค็มหน่อยๆ) ต้มต่อไปถึง 1 นาที ก็ปิดไฟได้ ยกขึ้นเสิร์ฟ เหยาะพริกไทยลงไป คราวนี้ให้น้ำท่วมจานสมเป็นซุปหน่อย (ที่จริงข้าน้อยชอบกินน้ำคลุกคลิกนะ) ดูกันชัดๆ ว่ามีอะไรในมักโรนีมาก (เกือบ)ครบห้าหมู่ (ส่วนเห็ดอบแห้งในภาพ มาจากในซองซุปสาหร่ายนะค่ะ) จบแล้วค่ะ เมื่อสาวเหนือไปติดบนดอยอ่างข่างในหน้าฝน!?
คนอื่นเขาติดน้ำท่วม แต่เราติดดอย(ในหน้าฝนซะงั้น)
มูลเหตุจากการท่องเที่ยวเชิงแอดเวนเจอร์นี่ เกิดจากการที่ป๋าข้าน้อยพาเพื่อนป๋า และข้าน้อยไปอ่างข่างด้วย เพื่อที่จะนำน้ำผึ้งของป๋าไปส่งขายที่โครงการ ส่วนข้าน้อย ป๋าให้ติดตามมาด้วยเพื่อไปเขียนแบบสวนภูมิทัศน์ให้สำนักสงฆ์สัมมะนะ ที่เชียงดาว แล้วก็เลยติดตามพวกเขาขึ้นเชียงดาวไปด้วย วันก่อนถึงได้ทวิตถามเพื่อนๆ ในบอร์ดอาคว่าอยากได้อะไรบนอ่างข่างไหม จะซื้อไปให้ เมื่อขึ้นดอยมาได้ราวบ่ายสองโมง ข้าน้อยก็ตื่นจากการนอนในรถ พบว่าข้างนอกหมอกลงจัดมากๆ การขับรถต้องใช้ความระมัดระวังตลอด เพราะไม่เห็นทางอะไรเลย...สำหรับข้าน้อยแล้วไม่ค่อยห่วงรถป๋า เพราะวันก่อนป๋าก็ขับขึ้นดอยอินทนนท์ ดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยมาแล้ว สำหรับอ่างข่างก็คงไม่เท่าไหร่ ...แต่ชะรอยว่า สงสัยจะหนักจากอินทนนท์มากเกินไป ควันก็เลยโชยออกมาจากกระโปรงรถ ข้าน้อยตกใจมากจนบอกให้ป๋ารีบดับรถเถอะ แต่ป๋ากลับบอกว่าถ้าดับรถอาจจะสตาร์ไม่ติดอีกรอบ แต่ป๋าก็ยอมจอดรถ(แต่ไม่ดับเครื่อง) ข้าน้อยก็หวังว่าเครื่องจะเย็นลง เลยเดินลงไปถ่ายรูป ที่ไหนได้ ลงไปไม่ถึงนาที ได้ยินเสียงระเบิดตูมดังข้างหลังแล้ว ...เปล่าค่ะ รถไม่ได้ระเบิด แต่คาดว่าหม้อน้ำคงระเบิดไปแล้ว ป๋าถึงกับหน้าเสียเลย เพราะถ้าหม้อน้ำระเบิด ก็ขับไปไหนไม่ได้แล้ว เพื่อนป๋าก็เลยต้องช่วยโบกของความช่วยเหลือจากคนที่ขับผ่านไปมา (ที่น่าเสียใจหน่อยคือ คนขับผ่านไม่สนใจพวกเราหลายคน เหมือนกับว่าธุระไม่ใช่) จนกระทั่งได้คนขับรถบรรทุกของโครงการหลวงผ่านมา เขาจะลงไปข้างล่างพอดี ก็เลยรับปากว่าติดต่ออู่ซ่อมรถขึ้นมาให้ เพราะข้างบนไม่มีช่างซ่อม แล้วก็พี่ชาวเขาคนหนึ่งที่ป๋าวานไปซื้อเสื้อกันหนาวจากข้างบนให้หน่อย เพราะอากาศเริ่มหนาว ฝนก็เริ่มตกแล้ว ในระหว่างที่รอ ข้าน้อยก็ถ่ายรูปไปเลย เพราะโอกาสจะมาเจออะไรอย่างนี้คงไม่ใช่มีบ่อยๆ แน่ ที่จริงหน้าฝน มันไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวด้วยซิ เพราะฝนนี่แหละทำให้ถนนลื่น อันตรายมาก แม้แต่จุดที่เราจอดรถอยู่ก็ถือเป็นทางลาด ต้องใช้ก้อนหินมายันล้อไว้ด้วยซ้ำ รถป๋าข้าน้อยเอง ฝนเริ่มตกลงมาอีก (เอาเข้าไป T^T) หนาวด้วยวุ๊ย ดีที่พกเสื้อกันหนาวมา (พ่อข้าน้อยขี้ร้อนมากเปิดแอร์ในรถกระหน่ำ แต่พอเจออากาศหนาวข้างนอกแล้วขี้หนาวขึ้นมาเชียว) เสียตรงจุดพิกัดดีเสียด้วย ตรงหลักกิโลเมตรที่ 18 อีก 7 กิโลจะถึงโครงการแล้วเชียว จนอยากร้องเพลงป๋าเบิร์ด "กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง" เปลี่ยนมาถ่ายรูปต้นไม้ยามหน้าฝนแบบใกล้ๆ เห็นเม็ดน้ำบ้าง ดอกไม้ป่า หลักกิโลเมตร กลับไปที่ภาพหมอกอีกครั้ง (ก็รถยังไม่มาอ่ะ T^T) ระหว่างที่รอรถลากขึ้นมา ป๋าก็หักกิ่งไม้ข้างทาง มาทำเป็นไลน์กลางถนน ให้รถเขาเห็นค่ะ จะได้ไม่ขับผ่านเลยไป ระหว่างรอรถ ก็ยังคงถ่ายรูปต่อ(ไป) รถมาแย้ว เข้าใจการคอย 10 นาที เหมือน 10 วันเลยง่ะ ช่างดูสภาพรถก็บอกว่่า ต้องลากลงข้างล่างลูกเดียว แต่ต้องนำรถลากขึ้นไปจอดบนค่ายทหารที่เป็นเนินราบก่อน เพราะจุดที่เราจอดอยู่ตรงนี้อันตรายมาก รถป๋าใหญ่มาก เป็นระดับทูมเบอร์เลย จึงไม่มีรถที่ขับผ่านไปมาที่ไหนกล้าลากไปได้ เพราะรถเล็กกว่า ต้องใช้รถลากอย่างเดียวโดยเฉพาะ แล้วเราก็ขึ้นมาพักรออยู่ที่ค่ายทหารก่อนค่ะ เพราะรถลากต้องรีบไปลากรถคันอื่นก่อนที่ติดด้วย แล้วเดี๋ยวเขาจะกลับมาลากเราลงไปใหม่ (ตอนนั้นพ่อกับเพื่อนขึ้นรถจนเต็ม ข้าน้อยเลยสละสิทธิ์ เดินขึ้นไปเอง แต่คล้อยหลังสักพัก ก็มีรถกระบะไททันดำมาจอดรับให้ข้าน้อยนั่งไปด้วย คนขับเป็นคู่รักมาท่องเที่ยวอ่างข่างค่ะ เขาก็ขับพามาส่งข้าน้อยถึงที่ค่ายทหารเลย เสียดายไม่ได้ถามชื่อเอาไว้ แต่ถ้าพี่ทั้งสองได้มาอ่านมาเจอ ก็ขอขอบพระคุณในน้ำใจนะค่ะ) ค่ายทหารที่เราไปพักรอ ข้างซ้ายนั้นเป็นแผงตลาด จำได้ไหม? เอารถมาจอดรอหน้าตลาดเอาไว้ ค่ายทหาร พี่ทหารเขาเชิญเข้าไปหลบฝนและทานข้าวเย็นด้วยกัน ขอบคุณมากค่ะ พี่ทหารเหล่านี้เพิ่งผลัดเปลี่ยนกับชุดเดิมเมื่อสองเดือนที่แล้วค่ะ มาจากสระบุรี กับข้าวกับปลาเลยมีกลิ่นอีสานหน่อยๆ อาหารก็กินพอให้อิ่ม ไม่ได้ทำอะไรมากนักค่ะ ห้องหับหลับนอนของพี่ทหาร เห็นเขาว่ามาอยู่นี่สองเดือนแล้ว ยังไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเลย ขนาดวิ่งออกกำลังกายเหงื่อยังไม่ไหลเลย อาบน้ำก็อาทิตย์-สองอาทิตย์ครั้ง เต็นท์นอน (ใช้โหมดกล้อง AUTO เลยได้ภาพควันหมอกมัวในกล้องไปด้วย ต้องเปลี่ยนกลับไปใช้โหมดถ่ายรูปวิวแบบเมื่อกี้แทน) สมบุกสมบันจริงๆ ออกไปถ่ายข้างนอกต่อ ชั้นวางกับข้าวและทีวี (แต่ทีวีโดนน้ำหยดเสียไปซะล่ะ บรรยากาศภายในค่าย บริเวณล้างจาน (น้ำเย็นมากจนไม่กล้าแตะ) (เล่นมันสวยดีเลยถ่ายอ่ะ น้องหมาภายในค่าย โดยเฉพาะเจ้าตัวนี้เป็นจ่าฝูง ชื่อ เก๋า งับ (เก๋าสมชื่อมาก เป็นพ่อของลูกหมาตั้ง 12 ตัวที่เกิดจากหมาร่วมค่ายด้วยกัน) พี่ทหารบอกว่า นักท่องเที่ยวที่มาค่ายนี้ ก็มักจะถ่ายรูปเจ้าเก๋าทั้งนั้น ใครมาเที่ยวอ่างข่างก็แวะทักทายเจ้าเก๋าได้นะค่ะ ถึงหน้าโหดแต่ไม่ดุเลยสักตัว พี่ทหารยังพูดเล่นๆ เลยว่า แบ่งเอาลูกหมาไปหน่อยไหม (แต่ก็บอกอีกว่า เวลาทหารเปลี่ยนผลัดกัน ก็เอาหมาแต่ละตัวไปด้วยนะ) นี่เป็นรถที่ลากรถลงไปค่ะ ใครจะไปเที่ยวอ่างข่างก็จดเบอร์โทรไว้ด้วยนะค่ะ เผื่อรถเสียกลางทางแบบข้าน้อย จะได้โทรมาเรียกเขามาลากไปได้ (อ้าว นี่เตือนหรือแช่งฟ่ะ? คนที่ขับรถลากเขาบอกว่า มีให้มาลากลงทุกวัน เดือนที่แล้วบางคันที่ขั้นพุ่งข้ามเขาไปเลยก็มี เตรียมตัวจะกลับกันล่ะ เวลานั้นประมาณ 5 โมงเย็นค่ะ (5 โมงก็ดูมืดแล้วนะนั้น) ค่าลากรถลงมาประมาณ 3,500 บาทค่ะ (เฉพาะในกรณีทัศนวิสัยไม่ดีด้วย ตามระยะทางอีก) แสงที่เห็นไม่ใช่พระอาทิตย์นะงับ นั่นมันไฟสปอต์ไลต์ ส่งท้ายด้วยรูปป่าสนเมืองหมอกก่อนกลับค่ะ มีความรู้สึกสวยแบบลึกลับเอามากๆ ร้านเฮือนห้วยแก้ว ชมน้ำตก กินอาหารเหนือ แต่ไม่มีข้าวเหนียว!?
ชื่อร้าน : เฮือนห้วยแก้ว
รายการอาหาร : อาหารไทย-พื้นเมืองเหนือ เวลาเปิดบริการ : ทุกวัน 11.00-23.00 น. ที่ตั้งร้าน : ไปทางขึ้นดอยสุเทพ เลี้ยวซ้ายหน้าร้านขายดอกไม้ครูบาศรีวิชัย เจอป้ายร้านแล้วเลี้ยวซ้ายเลย, เชียงใหม่ Thailand พิกัด GPS : 18° 48' 40.01" N 98° 56' 49.17" E |
สาวเหนือเซาะกิ๋น
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] สวย ถึก และบึกบึน Link |