|
บันทึกยินดีปรีดา .... เรียนจบปริญญาเอกแล้ววววววว
ปล บล็อคนี้เขียนด้วยการระลึกอารมณ์สดๆ ณ ตอนสอบผ่านใหม่ๆ จริงๆสอบเสร็จมาหลายวันแล้วกว่าจะปล่อยบล็อคนี้ออกมา
-----------------------------------------------------
บล็อคนี้หาสาระอะไรไม่ได้ แค่อยากจะตะโกนให้ก้องบล็อคร้างๆนี้ว่า จบปริญญาเอกแล้วค่าาาาาาาาาาา อยู่โตเกียวมาห้าปีตั้งแต่จบปริญญาโทเมื่อสามปีก่อน (ใน บล็อคนี้) มาวันนี้รู้ผลสุดท้ายหลังจากลุ้นใจตุ้มๆต่อมๆ ในที่สุดก็ได้ยินจากปากอาจารย์แล้วว่า เราเรียนจบ Ph.D. สามารถใช้คำนำหน้าเป็น Doctor ได้อย่างเต็มภาคภูมิไม่ต้องกลัวใครจะยกมือท้วงแล้วววววว
 Credit ภาพจาก //happymaker123.cocolog-nifty.com/.shared/image.html?/photos/uncategorized/2009/10/17/photo_3.jpeg
เรียนปริญญาเอก(แบบที่ต้องทำวิจัยและได้ปริญญาเป็น Ph.D.)จะว่ายากก็ยาก จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก(แต่ยังไงก็ยากกว่าตรีและโทแน่นอน) ด้วยความที่เราเองทำวิจัยในด้านที่มีความถนัด มีความสนใจ และมีพื้นฐานมาตั้งแต่ปริญญาตรี ประกอบกับนิสัยส่วนตัวที่ชื่นชมการตั้งใจและทุ่มเทจริงจังให้กับการทำงานเพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด ที่ผ่านมาเลยไม่ได้รู้สึกว่าการเรียนปริญญาเอก(ที่ญี่ปุ่น)มันจะลำบาก เครียดจนอยากตายหรืออะไรอย่างที่เคยเห็นบางคนเค้าบ่นกันในเน็ตเลย (คือคนไทยรอบตัว ไม่เคยเห็นใครบ่นเครียดขนาดอยากตายกันเลย แค่ช่วงไหนยุ่งๆก็ดูเหนื่อยๆโทรมๆกันไปหน่อย แต่งานจบแล้วก็เห็นเที่ยวชดเชยกันซะอิ่มเลย)

สำหรับเรามองว่ามันก็แค่เรื่องง่ายๆ งานมีก็ทำไปเท่านั้นเอง ทำไม่ดีผลงานก็ติดตัวเป็นชนักติดหลังเราไปตลอด ถ้าตั้งใจทำให้ดีที่สุดแล้ว อาจารย์คนญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ยักษ์ใช่มารที่จะมาเค้นให้นักเรียนทำงานจนถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อหรอก (หมายถึง กรณีอาจารย์ชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไปที่ไม่ใช่เลเวลฮาร์ดคอร์ โหดเว่อร์นะ ซึ่งเอาจริงๆ เราและนักเรียนไทยที่เรารู้จักที่นี่ก็ไม่เคยมีใครเคยได้ยินหรือเจอเคสอาจารย์โหดหรือไม่มีเหตุผลเว่อร์ๆแบบนั้นกับตัวเอง หรือกับคนใกล้ตัวเลย ที่ได้ยินมามีแต่ที่เค้ามาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกันในเน็ต ซึ่งก็เป็นประสบการณ์จากคนที่เราไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่สามารถยืนยันตัวจริงของเค้าหรือสิ่งที่เค้าเล่าได้ซะด้วย แต่ไม่ว่าประเทศไหนก็ต้องมีอาจารย์ฮาร์ดคอร์กันบ้างล่ะน่า ดีแล้วที่พวกเราไม่เคยเจอ)
สไตล์การทำงานที่ญี่ปุ่นถ้าเราตั้งใจจริง(ไม่ใช่คิดเข้าข้างตัวเองว่า..ทำแค่นี้ก็เรียกว่าตั้งใจเหลือแหล่แล้ว) ยังไงอาจารย์ก็เห็นและเข้าใจ คราวนี้อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะสู้งานและมีทัศนคติในการทำงานแบบไหนเท่านั้นล่ะ ใครไม่สู้งาน ไม่ชอบงานที่ทำ เห็นการตั้งใจทำงาน ขยันทำงานเป็นยาขม การเรียนเอกที่ญี่ปุ่นก็คงขมขื่นตามที่คิดนั่นล่ะ

ยังไงไม่รู้หลายๆคนพูดว่า บรรยากาศทำงานที่ญี่ปุ่นไม่ดี ส่วนสาเหตก็คือ เพราะคนญี่ปุ่นเค้าขยันทำงานกันมาก เอ่อ ... คือ ... แบบว่า
... คนเค้าขยันทำงานกันนี่มันเป็นเรื่องไม่ดีเหรอ?
... แข่งกันทำเรื่องที่ดีมันก็ดีแล้วนี่??
... ถ้าเราขยันหรือเก่งไม่เท่าเค้า จะต้องให้เค้า downgrade ลงมาให้เท่าเทียมกับเราถึงจะเรียกว่าเป็นบรรยากาศการทำงานที่ดีเหรอ???
... แทนที่จะสนับสนุนการถอยหลังลงคลอง ทำไมเราไม่ upgrade ตัวเองขึ้นไปให้ดีเท่าเทียมเค้าล่ะ????
... ความเก่งหรือพรสวรรค์บางอย่างมันอาจเท่ากันไม่ได้ แต่ความขยันน่ะใครๆก็ทำได้นี่ หรือว่าที่บอกว่าคนญี่ปุ่นเค้าขยันกว่าเราได้ เพราะเค้ามีสิบหัวยี่สิบมือ หรือ หนึ่งวันมีเวลาให้ใช้มากกว่า 24 ชั่วโมงเหรอ? (อย่าบอกนะว่าเพราะเค้าอยู่กับครอบครัวเลยสบายกว่าเรา คนญี่ปุ่นที่มาอยู่คนเดียวเพื่อเรียนมหาลัยน่ะมีเพียบเลย แถมคนไทยที่เรียนมหาลัยอยู่ญี่ปุ่นก็เด็กทุนกันเกือบทั้งนั้น เรียนก็ฟรี แล้วยังมีเงินเดือนให้ใช้ทุกเดือนไม่มีขาด จำนวนเงินก็เท่าเงินเดือนปริญญาตรีจบใหม่ที่ทำงานรัฐของญี่ปุ่น เพียงพอที่จะให้พวกเราใช้ชีวิตกลางกรุงโตเกียวที่ค่าครองชีพสูงลิ่วได้ แล้วยังเหลือพอให้ไปท่องเที่ยวเล่นกันได้อีก)

ความคิดคนนี่ยากแท้จะเข้าใจจริงๆ แต่สำหรับเราเป็นพวกชอบทำงานแล้วก็ไม่ชอบแพ้ใครในเรื่องงานด้วย(โดยเฉพาะแพ้โดยที่ยังไม่ทันได้ลองสู้ดู) มีงานให้ทำสิดี ปล่อยให้ว่างงานนานๆรู้สึกน่าเบื่อและตัวเองไร้ประโยชน์ยังไงชอบกล เราเชื่อว่าการทำงานไม่ใช่แค่เพื่อรายได้ แต่มันเป็นการสร้างคุณค่าและ self-esteem รวมถึงสร้างจุดยืนให้ตัวเองในสังคมด้วย อีกอย่างคือความรู้สึกหลังเสร็จงานแต่ละทีนี่ มันเป็นอะไรที่ปลอดโปร่งโล่งสบายมาก เที่ยวหลังงานเสร็จนี่ล่ะคือการเที่ยวที่สบายใจที่สุด ถ้าไม่มีวันที่ทำงานหนัก ตั้งใจทุ่มเทให้การทำงาน ก็ไม่มีวันที่จะได้สัมผัสความรู้สึกดีๆแบบนี้ แล้วก็ไม่มีทางรู้ว่าความรู้สึกภูมิใจ๊ภูมิใจพองโตในอกเวลาที่เห็นผลงานสำเร็จลงด้วยสองมือของตัวเองมันยอดเยี่ยมแค่ไหน

สังเกตว่าใครที่ว่างงานมากๆ ชีวิตสบายเกินไปวันๆไม่มีอะไรต้องทำไม่ว่าจะงานราษฏร์หรืองานหลวง(งานบ้านก็ถือเป็นงานเหมือนกันนะ) คนเหล่านี้มักมีอาการฟุ้งซ่านอย่างรุนแรง เรื่องเล็กเรื่องน้อยเรื่องไม่มีเหตุผลไม่มีอะไรเลยก็เก็บมาโวยวายบ้านแตกได้หมด เหตุก็เพราะในแต่ละวันมันไม่มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าไอ้เรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนั้นแล้วนั่นเอง เคยได้ยินมาบางเคสนี่ถึงกับต้องส่ายหัวเลยว่าไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว แล้วก็ทำให้เราเห็นด้วยว่าการว่างเกินไปนี่น่ากลัวไม่เบา ทำให้คนๆนึงที่แต่ก่อนก็ปกติดีๆสามารถมาคิดอะไรฟุ้งซ่านได้ปานนั้น ความคิดแบบนั้นนึกว่าจะมีแต่นางร้ายหนังไทยซะอีก

การเรียนปริญญาเอก(สายวิศวะนะ สายอื่นไม่รู้) สิ่งที่ต้องมีไม่ใช่แค่การทำวิจัยเป็น ระบุ/วิเคราะห์/แก้ปัญหาด้วยตัวเอง และสามารถประมวลและแยกแยะความคิดได้ แต่อย่างน้อยๆควรจะต้องมีความสามารถในการวาดรูป การตัดต่อวีดีโอ และ การนำเสนองานในระดับนึงเลยทีเดียว ไม่งั้นก็วาดรูปประกอบงานเพื่ออธิบายงานไม่ได้(ในขณะที่คนอื่นวาดกันซะเริ่ด) ทำวีดีโอโชว์ผลการทดลองงามๆสู้คนอื่นเค้าไม่ได้(บางงานวีดีโอโอเว่อร์หยั่งกะจ้างบริษัททำโฆษณาทำให้แน่ะ) หรือ ต่อให้งานดีเลิศแต่นำเสนอห่วยคนฟังไม่เข้าใจหรือไม่สนใจ ไม่สามารถอธิบายงานเราให้คนอื่น(โดยเฉพาะอาจารย์และคณะกรรมการ)เข้าใจได้ก็จบกัน

ส่วนความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษถือเป็นของแถมสำหรับเรา หลังจากเคยโดน reviewers ของงาน conference นึงทางยุโรปด่าเรื่องภาษาเขียนของเราซะสาดเสียเทเสีย(เล่นเอาซึมไปเป็นอาทิตย์เลย ทั้งๆที่ให้คนอื่นช่วยดูแล้วก็ว่าโอเค) มาวันนี้รู้สึกเลยว่าเราพัฒนาขึ้น(แต่ไม่ได้แปลว่าเก่งแล้วนะ) กลับไปอ่านงานเก่าตัวเองตอนปริญญาโท ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ว่าตั้งใจเขียนอย่างดีที่สุดแล้ว แก้แล้วแก้อีก แต่มาอ่านอีกทีวันนี้เจอที่ให้แก้เพียบเลย เขียนเองแท้ๆบางจุดตัวเองยัง(กลับมา)อ่านไม่เข้าใจเลยว่า ตกลงจะให้แปลว่าอะไรดีเนี่ยประโยคนี้ 
เรียนปริญญาเอกสามปี ช่วงที่รู้สึกว่าเหนื่อยมากที่สุดก็คือหกเดือนก่อนเรียนจบนี่ล่ะ เมื่อหกเดือนที่แล้วก่อนสอบรอบแรก ก็ด้วยความที่วางใจเกินไป ดูจากผลงานตัวเองแล้วก็ผ่านเกณฑ์ทุกอย่าง คิดไปว่าคงฉลุยไม่น่ามีปัญหาอะไร ซึ่งเมื่อไหร่ประมาทเมื่อนั้นคือจุดเริ่มต้นแห่งความซวย...ประโยคนี้ชีวิตนี้ไม่มีทางลืมเลย โดยที่ไม่คาดคิดเมื่อหกเดือนก่อนผลการสอบออกมาเป็น waiting คือ ไม่ใช่ทั้งผ่าน และ ไม่ผ่าน แต่จะให้เวลาอีกสองเดือนเพื่อแก้ไขและทำงานเพิ่มเติม แล้วอาจารย์คณะกรรมการจะค่อยพิจารณาอีกทีว่าจะให้เราผ่านการสอบรอบแรกนี้มั๊ย
ณ ตอนนั้นเรียกว่าช็อคมากที่สุดแล้วในชีวิตการเรียนที่ญี่ปุ่นนี้ (ตอนโดน reviewers ด่าซะไม่เหลือซากเรื่องภาษาอังกฤษยังไม่ช็อคเท่านี้เลย) อย่างว่าล่ะนะ คนไม่ได้เผื่อใจผิดหวังไว้เลย พอเจอผลนี้เข้าไปก็เหมือนหล่นลงมาเสียงดังแอ้กนอนตายอยู่กับพื้นคอนกรีตเลย อาจารย์คณะกรรมการเค้ามีมุมมองแบบ outsider perspective ซึ่งต่างจากอาจารย์ของเราที่เป็น insider perspective ทำวิจัยมากับอาจารย์ตัวเองไม่เคยมีปัญหาอะไร ก็มามีปัญหาตอนต้องสอบกับคณะกรรมการนี่เอง (และในการสอบ เราต้องช่วยตัวเองหมด อาจารย์เราจะไม่สามารถมาช่วยตอบคำถามหรือ defense อะไรแทนเราได้แม้ว่าเค้าจะนั่งอยู่ในห้องสอบด้วยก็ตาม)

ตั้งแต่โดน waiting เมื่อหกเดือนที่แล้วจนถึงวันนี้ที่รู้ผลว่าจบเอกแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ทำงานติดต่อกันยาวนานที่สุด แต่ก่อนงานยุ่งอย่างมากก็กินเวลายุ่งๆไปไม่เกินสองเดือน จบงานเป็นอันๆไป ก็มีเวลาได้รีแล็กซ์หลังงานเสร็จแล้วค่อยเริ่มทำงานชิ้นต่อไป แต่หกเดือนที่ผ่านมานี้ไม่ใช่อย่างนั้น งานทุกอย่างเรียงแถวหน้ากระดานดาหน้าเข้ามาพร้อมๆกัน จนอยากจะมีตัวเองเพิ่มอีกสักสองคนจะได้แบ่งๆกันทำงานทุกอย่างได้ (แต่สุดท้ายก็คนเดียวร่างเดียวนี่ล่ะ ทำเสร็จมาจนได้)
ที่เรียงหน้ากระดานมามีตั้งแต่รายงานที่ต้องปั่นผลการทดลองและเค้นไอเดียออกจากสมองเพื่อส่งเพิ่มให้คณะกรรมการ(แถมเจอแผ่นดินไหว 11 มีนาเข้าไป ทำให้เสียเวลาทำการทดลองไปอีก) ... ส่งไปแล้วก็ลุ้นใจตุ้มๆต่อมๆว่าผลจะเป็นไง (ระหว่างลุ้นไม่ลุ้นเปล่า ต้องเริ่มเขียน thesis ไปด้วย กว่ารอรู้ผลแล้วค่อยเริ่มเขียนมันจะเขียนไม่ทัน) พอรู้ผลว่าผ่านรอบแรกแล้วคราวนี้ก็เต็มสปีด ใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตไปกับการเขียนทีสิส ... ไม่แค่นั้น ด้วยว่าเราเกิดปิ๊งไอเดียใหม่ขึ้นมากะทันหัน ก็ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ออกแบบการทดลอง และ เขียนโปรแกรมเพื่อ implement ไอเดียนั้นออกมาเป็นรูปธรรมให้ได้ และผลรูปธรรมที่ว่าต้องทำเสร็จให้ทันเพื่อเขียนรวมเล่มลงไปในทีสิสส่งให้อาจารย์เช็คล่วงหน้า

ช่วงเวลาหลายเดือนนี้เรียกว่าทำงานกันแทบจะทุกวันเลย แต่ก่อนวันหยุดก็ผ่อนคลายด้วยการไปช้อปปิ้ง เขียนบล็อค รีทัชภาพถ่าย แต่ช่วงหกเดือนนี้นอกจากการเข้ามีตติ้งแล็บ เข้าคลาสต่างๆแล้ว เวลาทำงานคือ การเขียนทีสิส เขียนโปรแกรม และ ต่ออุปกรณ์ทำการทดลอง ส่วนในเวลาผ่อนคลาย คือ การนั่งอ่านทีสิสที่ตัวเองเขียนเพื่อเช็คคำผิดและเรียบเรียงรูปประโยค รวมถึงวาดภาพประกอบเล่ม เรียกว่าทำงาน full time กันเลยทีเดียว อาหารทุกมื้อซื้อกินจาก Lawson มาตลอดเป็นเวลาติดต่อกันหลายๆเดือน ซื้อมาแล้วก็นั่งกินมันหน้าคอมนั่นล่ะ อ่านเช็คทีสิสไปกินไป

ถามว่าลำบากมั๊ย ก็ไม่ได้รู้สึกว่าลำบากอะไร(อย่างว่า เรามันคนชอบทำงานนี่นะ) แต่ถามว่าเหนื่อยมั๊ยก็เหนื่อยจริงๆนั่นล่ะ งานเต็มมือจนแทบจะแยกร่างไปทำไม่ทัน ทีสิสก็ต้องเขียนแถมต้องอ่านเช็คอีก(อยากเขียนเยอะก็ต้องเช็คเยอะ) ... ในขณะเดียวกันการทดลองก็ต้องทำไปพร้อมๆกัน นั่งแก้ bug โปรแกรม นั่งวิเคราะห์ข้อมูลผลการทดลอง ... กลับไปบ้านมองซ้ายขวา ผ้าเป็นกองยังไม่ได้ซัก พื้นยังไม่ได้ทำความสะอาด บลาๆๆ .....
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังแข็งแรงดีมาตลอดทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต(ยกเว้นช่วงจิตตกเพราะกลัวแผ่นดินไหวเมื่อตอน มีค กับตอนรู้ผล waiting ใหม่ๆ) ยังแอบเจียดเวลามา internet shopping ซื้อเสื้อผ้า summer sale และสั่งเค้ก summer limited (Hinyari-banana-mango ひんやりバナナマングー เค้กเย็นบินมาไกลจาก Otaru, Hokkaido) มานั่งหม่ำหน้าคอมได้อยู่ 
 Credit ภาพนี้แค็ปจากหน้าเว็บของ //www.letao.jp/ ร้านเค้กชื่อดัง
หกเดือนที่ผ่านมานี่เวลาแต่ละนาทีมีค่ายิ่งกว่าทองซะอีก มีทองมากองตอนนั้นก็ไม่ช่วยให้งานเราเสร็จได้(แต่ใครมากองให้ก็เอานะ ) นอกจากงานบ้านแล้วงานอื่นไม่ว่าใครก็ทำแทนให้เราไม่ได้จริงๆ แต่สิ่งนึงที่รู้จากหกเดือนนี้คือ รู้ว่าถ้าเราเลิกอ่านบอร์ด เลิกอ่านกระทู้หรือ FB สัพเพเหระในแต่ละวันไปซะบ้าง เวลาตรงนั้นเนี่ยเราเอามาทำงาน(+นอนพักผ่อน)ได้เพียบเลยล่ะ

ตอนสอบรอบแรกถึงจะวางใจไปหน่อย แต่ก็เตรียมตัวไปอย่างดีที่สุดเท่าที่เราคนนี้จะทำได้แล้ว ยังไงก็ตามพรีเซนต์รอบสุดท้ายนี้ ไม่มีประมาทหรือวางใจเหมือนรอบที่แล้วแล้ว หลังจากพรีเซนต์และตอบคำถามเสร็จ โดนอาจารย์ไล่ให้กลับไปรอที่แล็บ (ทั้งที่จริงๆอยากจะยืนรอฟังผลอยู่หน้าห้องพรีเซนต์เลยมากกว่า) ถึงจะคิดว่าหนนี้ไม่น่ามีปัญหา แต่ก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ เดินงุ่นง่านหมุนไปหมุนมา ลุ้นอยากรู้ผลว่าผ่านหรือไม่ให้ชัดๆไปเลย

ถ้าผ่านสอบรอบแรกที่โตไดไปได้ ก็ว่ากันว่าโอกาสได้จบเอกมีกว่า 80% แล้ว แต่ก็นั่นล่ะ คนเคยโดน waiting มาแล้วอย่างเราใครจะสบายใจได้ว่า 20% นั่นจะไม่โป๊ะแตกที่ตัวเองอีกรอบ แถมตั้งแต่ปีนี้หรือปีที่แล้วมั้งที่โตไดเข้มงวดกับปริญญาเอกมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก กฏใหม่ระเบียบใหม่เพิ่มมายุบยิบหลายอย่าง จะมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้ 80% ที่พูดๆกันมาในรุ่นก่อนๆจะยังใช้ได้ในรุ่นนี้ (มีคนรู้จักที่โตได เห็นว่าผลงานผ่านเกณฑ์ปริญญาเอกแล้ว แต่ก็ยังโดนพิจารณาให้ตกตอนสอบรอบแรก) ... กว่าจะได้ยินผลจากปากอาจารย์เราว่า Omedeto おめでとう (= Congratulation) Dr. __(ชื่อเรา)__ ถ้าไม่เกรงใจอาจารย์นะอยากจะร้องกรี๊ดเป็นการฉลองตรงนั้นเลย
 Credit ภาพจาก google image search
แล้วสิ่งที่เรากังวลนี้ก็ประจักษ์แจ้งแล้วว่าไม่ได้เป็นการกังวลเกินเหตุแต่อย่างใดนะ คนรู้จักที่โตไดอีกคน(คณะเดียวกัน)โดนกับตัวเป็น case study มาสดๆร้อนๆ จริงๆเค้าน่าจะจบเอกพร้อมกันกับเรา สอบรอบแรกเค้าก็ผ่านฉลุยไร้ปัญหา(ไม่เหมือนเราที่โดน waiting) เขียนทีสิสอะไรเสร็จหมด เตรียมจบหอบปริญญาเอกกลับประเทศเต็มที่ (อนึ่ง ก่อนสอบรอบสุดท้ายที่โตได คือ ทีสิสต้องเขียนเสร็จสมบูรณ์แบบ ส่งเอกสารเตรียมจบทุกสิ่งอย่างกับทางออฟฟิศคณะหมดแล้ว)
... แต่ลงท้ายโดยไม่มีใครคาดคิด เค้ากลับมีปัญหาตอนสอบรอบสุดท้าย จากที่น่าจะรับปริญญาพร้อมเรา เลยต้องดีเลย์ไปอีกเป็นจบเทอมหน้าแทน .... เคสนี้ถือว่าใหม่เอี่ยมแกะกล่องเลยทีเดียว ปกติแม้จะพูดกันว่าโอกาสผ่านรอบสุดท้ายคือ 80% แต่ไอ้เคสไม่ผ่าน 20% นั้นกลับไม่มีใครรอบตัวเราเคยเจอหรือได้ยินกรณีศึกษาของจริงเลย (แม้แต่อาจารย์เราเองก็เพิ่งเคยเจอหนแรก ทั้งกรณี waiting ที่เราโดนตอนสอบรอบแรก และ กรณีไม่ผ่านตอนสอบรอบสุดท้าย) ตัวเราเองถ้าประมาทไป ไม่ทำเต็มที่ก็อาจเจอชะตากรรมแบบเดียวๆกันนี้ก็เป็นได้
ในบรรดาสามปริญญาตรี โท เอก ก็เอกใบสุดท้ายนี้แหล่ะที่ภูมิใจมากที่สุด เพราะอันนี้คือทำมาเต็มที่จริงๆ ทั้งความขยัน เวลา ความสามารถ ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น แรงฮึดทุกๆอย่างที่เรามีนี่ทุ่มให้หมดแล้วเพื่อจะเรียนจบให้ได้ปริญญาใบนี้มา แม้ว่าเราจะไม่เคยคิดล้มเลิกระหว่างทาง(เพราะเป็นคนไม่ชอบเลิกอะไรกลางคัน) แต่หนทางในการเรียนก็มีอุปสรรคเหมือนคนเรียนเอกคนอื่นๆนั่นล่ะ เพียงแต่เรื่องเฟลๆแย่ๆพวกนั้นไม่เอามาเขียนบรรยายในบล็อค แต่เอาไว้ปรึกษากับคนที่เราไว้ใจ คนที่รู้สถานการณ์ทุกอย่างของเราดีเท่านั้น
 Credit ภาพจาก//blogs.yahoo.co.jp/syaininon/62282391.html
จริงๆตอนปริญญาตรีก็ภูมิใจนะ จากคนโรงเรียนหญิงล้วนที่เอ๋อๆงงๆตามใครเค้าไม่ทันเลยในช่วงแรก (เพราะดันฟลุคเอนท์ติดไปอยู่ในกลุ่มคนที่กว่าครึ่งหนึ่งมาจากห้องวิทย์ระดับหัวกะทิที่สุดของเตรียมอุดมสมัยนั้น ที่เหลืออีกครึ่งก็เด็กโอลิมปิคจากสาขาต่างๆ ) แต่สามารถพลิกกลับมาจบด้วยเกรดขนาดนี้ได้ เป็นอะไรที่ตอนเข้าไปใหม่ๆคาดไม่ถึงจริงๆว่าเราจะสามารถ(ก็อาศัยลูกฮึด ขยันสู้เอานี่ล่ะ) เข้าไปใหม่ๆคิดในใจอย่างเดียวว่าเราจะเรียนรอดไหมล่ะเนี่ย ที่โหล่แหงมๆ
 Credit ภาพจาก //www.dek-d.com/board/view.php?id=1292401
ส่วนตอนจบโทที่ญี่ปุ่นนี่แบบว่า..ค่อนข้างเฉยๆ เพราะยังไงก็ต่อเอกอยู่แล้ว แล้วการเรียนโทมันไม่ห่างจากตรีมากนัก ระบบการทำงานที่ญี่ปุ่นก็ค่อนไปทางที่เรารับได้และค่อนข้างถูกจริต การสอบและการประเมินปริญญาโทก็ไม่ซีเรียสเท่าไหร่ (เท่าที่ได้ยินมาไม่ว่าประเทศไหน ปริญญาตรีและโทจะไม่ห่างกันมาก มีแต่เอกนี่ล่ะที่ระดับความยากจะกระโดดห่างจากโทไปอีกเยอะ ใครจะต่อเอกนี่ต้องคิดให้รอบคอบหน่อย)


หลายๆครั้งที่คุยกับคุณแฟน(เค้าจบโทเอกที่ญี่ปุ่นเช่นกัน)และคนไทยคนอื่นๆที่มหาลัยว่า ถ้าพวกเราเรียนอยู่ที่ไทยนี่จะต้องใช้เวลากี่ปีกันกว่าจะทำงานได้เท่ากับที่ทำที่ญี่ปุ่นนี่ ว่ากันแล้วเรียนที่ไทยกับเรียนที่ต่างประเทศมันไม่ควรจะมีผลในเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ตัวคนเป็นหลัก แต่เอาจริงๆแล้วมันมีผลนะ อย่างน้อยก็สำหรับเราและคนไทยรอบๆตัวเรา ... นึกภาพถ้าเรียนโทเอกที่ไทยนั่งทำงานไปยังไม่ทันเท่าไหร่ เดี๋ยวมีเพื่อนมีครอบครัวชวนไปกินมื้อเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน กินฉลองวันเกิด วันปีใหม่ วันคริสมาสต์ วันโน่นนี่ เดี๋ยวๆคนนั้นชวนไปนู่น เดี๋ยวๆคนนี้ชวนไปนี่ คิดยังไงก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำงานได้เท่านี้ถ้าอยู่กับครอบครัวที่ไทย การมาเรียนต่างประเทศอยู่คนเดียวห่างครอบครัว ไม่ได้มีเพื่อนอยู่กันเต็มเมือง ว่าไปแล้วก็มีผลมากในการสร้างสภาวะบังคับที่ทำให้เรามีเวลาให้กับการทำงานอย่างเต็มที่จริงๆ

พูดโน่นนี่มาซะยาว สรุปสั้นๆว่าสิ่งที่อยากพูดคือ เรียนจบแล้วค่าาาาาาาาา เรื่องน่ายินดีตบท้ายบล็อคก็คือ ปีนี้ทางคณะมีพิธีรับปริญญาให้คนที่จบเดือน กย ด้วยเห็นว่าเพิ่งเริ่มมีให้ตั้งแต่ปีก่อน ก่อนหน้านั้นใครจบคณะนี้ตอนเดือน กย เหมือนเป็นลูกเมียน้อย ไม่มีทะเบียนสมรส..เอ้ย..ไม่มีพิธีในหอประชุมให้ เชิญเดินไปเอาใบปริญญาจากเจ้าหน้าที่ที่ออฟฟิศกันเอง (ตอนเราจบโทก็แบบนี้ล่ะ ไม่มีพิธีอะไรให้เลย ที่ญี่ปุ่นคนส่วนใหญ่จบการศึกษาในเดือน มีค)
 Credit: ภาพจาก //www.oizumi-tabunka.jp/images/2010/03/GUM10_CL04216.jpg และ //oiwaigoto.seesaa.net/category/2721111-1.html
แต่จริงๆก็หาได้แคร์สื่อไม่ ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าปีนี้ที่คณะมีพิธีให้ก็ไปเช่าฮากามะเตรียมใส่ถ่ายรูปที่ระลึกกับปริญญาไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนเค้ามาเปิดบู๊ตที่มหาลัยก็เดินดุ่มๆไปลองไปเลือกมา ลองแล้วเค้าเสนอช่วยถ่ายรูปให้ด้วยนะ บอกว่าเราจะได้เอาไว้ดูเทียบตัดสินใจทีหลังได้ว่าจะเอาคอมบิเนชั่นอันไหนดี (ในภาพ 振り袖 Furisode ท่อนบนใส่จริงๆ แต่ฮากามะท่อนล่างใช้มัดติดด้านหน้าไว้เฉยๆไม่ได้สวมจริง ถ้าหันหลังจะเห็นเป็นเหมือนคนกิโมโนฟ้าด้านหลังในภาพเลย)
 Credit: ภาพหน้าน้องหมาใส่หมวกปริญญาที่ใช้ sensor จาก //www.clipartof.com/portfolio/mkoudis/illustration/cute-graduate-puppy-1064243.html
ส่วนราคาเช่านี่แบบว่า...แพงจนเหงื่อตก เฉพาะแค่สองชิ้นที่ขาดไม่ได้ กิโมโนท่อนบนกับฮากามะท่อนล่าง เอาแบบไม่รวมออปชั่นอื่นๆเลยนะค่าเช่าสองชิ้นนี้หนึ่งวันปาไปเกือบ 50,000 เยนแล้ว ถึงจะมีส่วนลดนิดๆหน่อยๆแต่ยังไงก็แพงอยู่ดี หลังจากนั้นตอนเอาบิลไปจ่ายเงินที่สหกรณ์นี่ถึงกับต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเลย (ตอนที่จองไว้ยังไม่ทันจะได้จ่ายเงินสักเยน เค้าก็มีให้ยูกาตะกลับบ้านมาใส่ดูดอกไม้ไฟเล่นตัวนึงแล้ว เกิดเปลี่ยนใจไม่เช่าแล้ว ไม่ไปจ่ายเงินภายในกำหนดเวลา ก็เท่ากับเราได้ยูกาตะมาฟรีๆเลยนะเนี่ย)

... ที่น่าสนใจคือทั้งสองร้านเช่าฮากามะที่มาเปิดบู๊ตที่มหาลัย ไม่ว่าร้านไหนแพ็คเกจไหนก็ไม่เห็นมีออปชั่นแต่งหน้าให้เลย มีแต่ออปชั่นทำผมให้กับใส่ชุดให้ อย่างนี้ถ้าใครแต่งหน้าเองไม่เป็นคงต้องเหนื่อยวิ่งวุ่นหาคนแต่งหน้าให้อีกสินะ สงสัยเค้าถือว่าสาวญี่ปุ่นแต่งหน้าเองเป็นกันหมดมั้ง
อีกอย่างที่ตอนนี้ยังคิดๆอยู่คือจะเอายังไงกับชุดครุยดีหนอ(เพราะวันพิธีจะใส่ฮากามะ) ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่ทุกมหาลัยที่จะมีชุดครุย เท่าที่ได้ยินมาเหมือนว่าส่วนใหญ่จะไม่มีด้วยซ้ำ บางที่คนไทยก็รวมกลุ่มกันทำชุดครุยของมหาลัยขึ้นมาใส่กันเอง แต่สำหรับที่โตไดนั้นมีชุดครุยของมหาลัยหน้าตาประมาณในภาพ (เรียงจากซ้ายไปขวา คือ ชุดของปริญญาเอก โท และ ตรี) เพิ่งรู้จากรุ่นพี่รุ่นเดอะ(เดอะระดับจบก่อนเราเป็นสิบปี)ว่าที่โตไดเองก็เพิ่งจะมีครุยได้สักประมาณสิบปีนี้เอง
 Credit: ภาพจาก //www.u-tokyo.ac.jp/stu01/h15_05_j.html
สำหรับเด็กปริญญาตรีและโทจะเช่าได้เท่านั้น ถ้าอยากซื้อเลยจะได้เฉพาะเด็กจบปริญญาเอก ... พอรู้งี้ก็เลยยิ่งลังเลว่าจะซื้อเผื่อไว้ดีไหมเนี่ย ทีหลังเกิดเราเปลี่ยนใจอยากได้ขึ้นมาก็ฝากรุ่นน้องซื้อให้ไม่ได้ด้วย(เพราะตอนไปจ่ายเงิน ต้องมีใบรับรองออกโดยมหาลัยไปโชว์ว่า เรากำลังจะเรียนจบปริญญานี้ๆจริงๆนะ ไม่ใช่ว่าใครๆก็จองแล้วซื้อได้) แต่สนนราคาซื้อชุดครุยก็ไม่ถูกเหมือนกัน 45,000 เยนแน่ะ ยังไม่ทันจะหายจากอาการกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อตอนเช่าฮากามะเลย มีเรื่องจ่ายเงินมาให้คิดอีกแล้ว (ว่าแต่ทำไมเอกค่าเช่าครุยแพงกว่าโทตั้งเท่านึงล่ะเนี่ย??? หมื่นเยนแน่ะ)
 Credit: ภาพแค็ปมาจาก //www.u-tokyo.ac.jp/stu01/h15_05_j.html
สอบจบแล้วผ่านอะไรแล้ว จากนี้ก็เป็นเวลาของการเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับไทยถาวร (ระหว่างนี้ก็แวะแล็บไปทำงานเพิ่มเติมให้อาจารย์ซะหน่อย ยังไงนี่มันก็คืองานของเราก็อยากทำให้ดีที่สุดจนถึงตอนสุดท้ายท้ายสุดจริงๆ) ห้องนี้อยู่มากว่าห้าปี มองไปตอนนี้นึกไม่ออกเลยว่าควรเริ่มเก็บจากตรงไหนดี รกระเบิดเหมือนกันหมดทุกซอกทุกมุม 
-----------------------------------------------------
ภาพที่ถ่ายเองในบล็อค(ที่มีโลโก้ดารุมะ)มาจาก Sony Alpha NEX-5 + Alpha E 18-55mm OSS ถ่ายมาเรื่อยๆในช่วงหลายเดือนนี้ จับมาปรับแสงและ contrast บางภาพก็ใส่ color filter หรือ lighting effect ให้หน่อย สุดท้ายย่อ USM แล้วใส่ลายน้ำเป็นอันเสร็จพร้อมโพส
 Credit: ภาพโลโก้ดารุมะตรงลายน้ำจาก //go-do.jp/user-cgi/diarypro/archives/72.html
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด
Create Date : 28 กรกฎาคม 2554 |
Last Update : 1 ตุลาคม 2555 1:25:33 น. |
|
19 comments
|
Counter : 16161 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: หนุ่มน้อยหัดเที่ยว IP: 183.89.45.178 วันที่: 31 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:22:36 น. |
|
|
|
โดย: pikzy วันที่: 31 กรกฎาคม 2554 เวลา:15:29:31 น. |
|
|
|
โดย: kizuna_Ai วันที่: 2 สิงหาคม 2554 เวลา:11:03:43 น. |
|
|
|
โดย: แพทค่ะ (aLwaYs moodY ) วันที่: 2 สิงหาคม 2554 เวลา:20:00:26 น. |
|
|
|
โดย: น้านก (Aunti-นก ) วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:7:33:07 น. |
|
|
|
โดย: piGipo วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:16:02:30 น. |
|
|
|
โดย: bubblebii IP: 115.87.204.18 วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:19:20:02 น. |
|
|
|
โดย: COCOSWEET วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:12:11:06 น. |
|
|
|
โดย: jay IP: 115.87.75.17 วันที่: 22 สิงหาคม 2554 เวลา:10:28:36 น. |
|
|
|
โดย: pat IP: 110.77.138.50 วันที่: 4 มกราคม 2555 เวลา:13:12:02 น. |
|
|
|
โดย: คนนอก IP: 124.122.158.86 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:19:52:36 น. |
|
|
|
โดย: วาเซดะ IP: 223.206.210.78 วันที่: 23 กันยายน 2555 เวลา:10:55:21 น. |
|
|
|
โดย: beachsai IP: 202.94.76.110 วันที่: 2 ตุลาคม 2555 เวลา:10:48:56 น. |
|
|
|
โดย: can IP: 118.174.144.93 วันที่: 16 สิงหาคม 2556 เวลา:10:40:50 น. |
|
|
|
โดย: Liu IP: 202.99.84.45 วันที่: 15 กันยายน 2556 เวลา:23:31:04 น. |
|
|
|
โดย: mstu IP: 101.109.230.220 วันที่: 1 ธันวาคม 2556 เวลา:16:35:11 น. |
|
|
|
โดย: prim IP: 134.196.137.250 วันที่: 14 เมษายน 2559 เวลา:22:42:33 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]

|
บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ
เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ
|
|
|
|
|
|
|
|