space
space
space
<<
กันยายน 2563
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
space
space
1 กันยายน 2563
space
space
space

ขุนช้าง ขุนแผน ตอนที่ 8/2 พลายแก้วถูกเกณฑ์ทัพ จบตอน


 

ขุนช้าง ขุนแผน
เรียบเรียงจากเสภา เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน โดย ทักษภณ
ตอนที่   8/2 พลายแก้วถูกเกณฑ์ทัพ  จบตอน

    
สมเด็จพระพันวษา ทรงนึกถึงเหตุราชการเกี่ยวกับบ้านเมือง พอแสงเงินแสงทองส่องฟ้า เสด็จออกท้องพระโรง
จางวางหกเหล่า รีบเข้าไปเฝ้าในทันที แล้วรีบกราบทูล

“ได้บุตรขุนไกรผู้ตายมาแล้ว ชื่อว่านายพลายแก้ว ได้สอบถามดูแล้วจะอาสา เป็นคนดีมีวิชา พูดจาห้าวหาญ ไม่พรั่นพรึงต่อผู้ใด”
ครั้นทรงฟังแล้วรับสั่งว่า
“ไปหาตัวมันมาไวๆ”

ตำรวจในเรียกคลานมาถวายบังคมในทันที ทอดพระเนตรอยู่เป็นครู่ ดำริว่า
“ รูปร่างมันดูงามเหมาะสม น่าเอ็นดู ตากลมเป็นมัน วิทยาอาคมคงจักเชี่ยวชาญ”

จากนั้นจึงตรัสว่า
“ฮ้า เฮ้ย อ้ายพลายแก้ว มึงเกิดแล้วในเลือดเนื้อเชื้อทหาร อย่าให้เสียศักดิ์ วงศ์ตระกูล จงทำราชการสืบต่อจากพ่อมึงไป หากแม้นตีเชียงทองชนะกลับมา เงินทองเสื้อผ้ากูจะให้ มึงจงคิดตรึกตรอง ให้แน่ใจ จะได้ฤามิได้ให้ว่ามา”

พลายแก้ว กราบบังคมทูลว่า
“ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ชีวิตข้าพระองค์อยู่ใต้ฝ่าพระบาท ขออาสาพระองค์ผู้ทรงชัย ตีทัพเชียงอินทร์และเชียงทอง ให้สมพระทัยให้จงได้ ถ้าข้าพระองค์ไม่ตาย ก็จะไม่ย่อท้อต่อการศึกสงคราม”
พระองค์ทรงตบเพลาผาง ตรัสว่า

“เออมึงทำให้มันพินาศ แหลกลงเป็นผุยผงไปเลย อย่าให้ได้คิดมาสู้กับอยุธยาอีก”
จากนั้นสั่งเกณฑ์ไพร่ผลทันที  ทั้งทหาร พลเรือน กรมน้อย ใหญ่ เร่งรัดจัดการในทันที ให้ครบถ้วนตามกำหนดการ แล้วประทานเงินตรา และเสื้อผ้า ส่งผลให้ทหารฮึกเหิมยิ่งนัก
พลายหลังจากได้รับพระราชทานสิ่งของเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลขอพระบรมราชานุญาตว่า

“กระหม่อมจะออกไปบ้านก่อน จะได้ปลุกเครื่องราง ที่จะนำไปใช้ จะรีบกลับมา มิชักช้า  จะกลับมาในสามวัน”
“เออเอ็งไปบ้าน อย่าอยู่นาน กูจะจัดการพลไพร่ไว้คอยท่า”
พลายแก้วกราบถวายบังคมลา บ่าวถือห่อเงินตราตามออกไป เจ้าคุณผู้ใหญ่ที่ได้รับสั่ง ออกมานั่งที่ศาลาลูกขุนใหญ่ สั่งงาน

“พันพุฒหวา มาไวๆ รีบไปเกณฑ์ ไพร่ ทหาร และพลเรือน  ตามหมายเกณฑ์”
ไพร่หลวง รี้พลถูกเรียกมามากมาย  กะเกณฑ์บอกไปทั้งใน และนอกเดือน ตักเตือน ตีเกราะ เรียกเอาตัวมา บางคนหลบหลีกหนีหาย ก็เรียกมูลนาย พ่อ แม่ มาต่อว่า


ส่วนเจ็บไข้ ก็นับจ่ายให้เป็นเงินตรา ได้ช้าง ม้ามากมาย แล้วเบิกปืน เครื่องอาวุธ และสิ่งจำเป็นสำหรับการรบ มีเสบียงเป็นต้น กำหนดอีกสามวันจะให้ไปเชียงทอง
พลายแก้วกลับมาบ้านเห็นหน้าพิม ไม่ยิ้ม ทักทาย แต่ตรงเข้าไปในห้อง บ่าวถือห่อเงิน และผ้ามาวางกองไว้ พิมเห็นผัว สีหน้าหมองเศร้าไม่นำพา รีบตามผัวเข้ามาในห้อง พลายแก้วเห็นหน้าพิมลุกขึ้นผวากอด น้ำตาปริ่ม

“สมเด็จพระพันวษา ตรัสใช้พี่ไปทัพ ด้วยเชียงทองเป็นกบถ คิดคดร่วมกับเชียงใหม่ จะขัดขืนรับสั่งก็มิได้ มีหวังหลังยับ พี่จึงแข็งใจรับอาสา เพราะมีผู้ทูลว่าอาคม แกล้วกล้า คงกระพัน แต่ถึงจะต้องไปพี่ก็ไม่คิดท้อถอย การศึกพี่ไม่เคยกลัว แค่พริบตาจะตีให้แหลกเป็นธุลี
แต่ห่วงอย่างหลังหนักใจพี่นัก ด้วยคิดจะเว้นว่างจากรักทุกคืนค่ำ เป็นแรมปีกว่าจะได้กลับมา คืนนี้พี่ยังกอดประคองเจ้า อีกสองวันคงจะเศร้าอาลัยหา หมอนข้างคงจะแทนพี่ ให้เจ้าโอบกอดทุกเวลา ยามที่ระลึกถึงคงจะคว้ามาแอบอิง ยามพูด จะพูดคุยกับผู้ใครได้ คงจะแค่ได้คลายใจด้วยสายทองที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน การซุบซิบพูดคุยคงเพียงแค่ได้คลายความเหงา เท่านั้น

ถึงยามนอนก็จะยิ่งว้าแหว่ เที่ยงคืนตื่นขึ้นมา คงจะวิตกกังวลสักร้อยส่วน ตัวเจ้าคงซูบผอมลงทุกวันคืน มิควรไซ้ให้เจ้าเป็นไข้ใจ ยามกินหันมองไม่เห็นพี่ จะกล้ำกลืนน้ำลงคอคงมิได้ ที่เคยสบายก็จะเลือนหายไป  ริ้วรอยจะผุดขึ้นทุกราตรี เส้นผมไหนจะได้พบกับแหนบน้อย เป็นร้อยวันคงไม่เจอ กระจก หวี แป้งกระแจะคงจะแห้งคาโถ เป็นแรมปี ถึงมีขมิ้นก็จะไม่หมั่นทา   

 ฟูกหมอนอ่อนนุ่มคงมิมีความอบอุ่น อกจะปวดร้าวด้วยใจคะนึงหา สองแก้มแย้มยิ้มที่เคยดูงามตา จะซูบซีดโรยราไม่เด่นนวล สารพัดความลำบากกาย และใจ ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ใจใหญ่นักหนา แสนอาลัยเป็นห่วงพิมพิลาไลย”
พิมซบอยู่กับอกพลายแก้วสะอื้นน้ำตาหลั่งไหลไม่ขาดสาย ด้วยความเป็นห่วงหาอาลัย

“จะเดินไปได้ฤาถึงเชียงทอง สองเท้าพ่อบางนุ่มนิ่ม คงจะระบม แตกพองทั้่งฝ่าเท้า ใจของพิมนี้ทุกข์ระทมเจียนแตกสลาย ผู้ใดจะช่วยบ่งเสี้ยนหนามที่เหน็บเนื้อเล่า
เมียนี้จนใจนัก หากไปด้วยจะช่วยพ่อแบ่งเบาความทุกข์ยาก อนาถนักพ่อต้องไปนอนอยู่กลางป่าเขา

พ่อเคยนอนบนฟูกอ่อนนุ่ม จะไปนอนบนดินดอนแข็งที่ไหนได้ คงคายคันด้วยต้องฝุ่นละอองในป่า จะมีผู้ใดจะช่วยดูแล

อกเอ๋ยเมียเคยทำกับข้าว ให้กินทั้ง เช้าเย็น พ่อกินได้เหมือนผู้ใดเมื่อไหร่หนา ผัก ปลา กินสิ่งละเล็ก ละน้อย อาหารมีเหลือเฟือวันละ สามเวลา ยังมิใคร่มีเนื้อ มีหนังเลย จะไปกิน ดิบๆ สุกๆ อีกทั้ง บุ กลอย ที่รสชาติจืดจาง ไม่อร่อย เยี่ยงนี้จะอิ่มได้ฤา คิดไปสงสารพ่อนี้เป็นที่สุด จะหิวโหย ด้วยตัวบอบบาง

ยามดึกคงจะเศร้าสร้อย เดียวดาย คิดถึงพิม ด้วยพลัดพราก จากสิ่งที่เคยเชยชม จะแลไปทางใดก็เจอแต่ชาย ยามรุ่งเช้าหนาวเหน็บ ฟังเสียงชะนีร้องจะระแวงว่าเป็นเสียงของน้อง

พอเวลาสายต้อง ตากแดด ตากลม ระบมไปทั้งกาย ต้องนอนทั้งเหงื่อไคลเพราะความเหน็ดเหนื่อย น้ำที่อาบเล่าก็เป็นน้ำในลำธาร หนาวเย็น สะท้าน เคยทาแป้งกระแจะจรุงใจ  ใครจะทาแป้งให้

โอ้พ่อพลาย สุดสวาทของน้อง มิเคยเลยจะห่างเสน่หา มานอนหอด้วยน้องสองเวลา พ่อเคยชวนพิมพูดคุย นั่นนี่ กระซี้ กระซิก หยอกเย้า  ยั่วหยอกมิใคร่ให้ไปไกลหมอน  แขนข้างซ้ายเคยให้เมียได้หนุนนอน 

เห็นเมียร้อนพ่อก็พัดให้ พูดพลอดกอดจูบมิใคร่นอน ช้อนคางเมียเชยชมแล้วเสยผมจนรุ่งสาง เวลาสายไม่วายชม ไม่ห่างไกลจากน้อง ไม่พลิกหันหน้าไม่ทางอื่น  มิเคยบ่นว่าเหนื่อยหน่าย แนบน้องเคียงข้างอย่างเต็มใจ

พ่อไปแล้วผู้ใดเล่าจะก่ายกอด  เวลาจะกินข้าว ก็นั่งรอคอยพิม ให้มานั่งพร้อมหน้าก่อน หากเมียไม่กินพร้อมกัน พ่อก็อ้อนวอน ปลอบป้อนให้ปลื้มใจ เห็นคู่ผัวเมียมามาก จะรักเหมือนพ่อรักพิมก็หามีไม่ พ่อต้องมาพรัดพรากจากรักไป ยากจะได้ของรักไปเชยชม

เมียจนใจกลัวผิดไปไม่ได้ คงเอาไปได้แค่ผ้าห่ม ในกลางไพรพ่อจะได้เพียงเท่านี้่ สุดตรมอยู่เดียวดาย เมียคงต้องจะนอนคนเดียว มิมีผู้ใดแอบแนบแนบข้าง เฝ้าคอยกอดพิมให้คลายหนาว เมียจะขาดใจตายแล้วพ่อทูลกระหม่อมของเมีย
พลายแก้วปลอบประโลม

“อย่าโศกเศร้าไปเลย ตัวเจ้าจะซูบผอมไป เสียใจ เสียน้ำตา จะเสียกำลังแรงกาย แรงใจ เอาแต่งัวเงียอยู่ไม่เงยหน้ายิ่งทำให้เศร้าหมองใจ ยิ่งคิด ยิ่งจิตเจ็บ ด้วยจำจาก คงเป็นเพราะวิบากกรรมที่เคยทำไว้ ผู้ใดจะฝืนได้


ถ้าไปได้ผัวจะพาเมียไป ให้ได้สุขสำราญทุกวันคืน เลือกชม เด็ด ดอกไม้ให้เพลินใจ ดอกที่อยู่สูงก็สอยมาปลิดแซมผมให้เจ้า อาบน้ำให้สนุกสำราญในลำธารไหลเย็น ขี่ม้าชี้ชมแมกไม้ร่มรื่นในป่าเขียวขจี

ถึงจะเหน็ดเหนื่อยปานใด เห็นหน้าเจ้าอยู่ใกล้ๆ ชื่นใจหายเหนื่อยจนถึงเชียงทอง ถ้าทัพข้าศึกออกไล่ตี  จะแต่งตัวพิมพี่ ให้เป็นชาย ใส่เสื้อแนบเนื้อให้แนบเนียน หมวกฝรั่งปีกบังปกผม ถือกระบี่ เหน็บกริช ขี่ม้า แล้วพี่จะเสกผสมว่าน ให้ทนทานอาวุธเป็นอย่างดี ฟันข้าศึกเล่นให้แหลกเป็นผุยผง

ถ้าไปได้พี่จะพาไป แต่คงจะเป็นได้เพียงความคิด จะนิ่งนอนอยู่กอดน้องคงมิได้ อกเปล่าหว้าแหว่เศร้าใจนัก”
เสียงไก่ขันดังแว่วมา มองผ่านบานหน้าต่างเห็นแสงทองเรืองรอง ส่องสว่างในท้องฟ้า

“โอ้จะสว่างแล้วพิมของพี่”
พลายแก้วแนบหน้ากับพิม ประคองละมุนละม่อมถนอมไว้แนบกับอก ประโลมลูบไล้

“พิมจูบพี่บ้างเถิด”
ครั้นฟ้าสว่าง ทั้งสองยังหาได้ลดความโศกเศร้าไปไม่ พลายแก้วยังคงต้องปลอบพิมพิลาไลย
“มาเถิด พี่จะไปบอกเล่าเรื่อง กับแม่เจ้า”
กอดคอประคองออกจากมุ้ง พยุงอิงแอบแนบหน้า ออกจากห้องสองแก้มนองด้วยน้ำตา พอถึงไปถึงนางศรีประจัน ก็ยังสะอึกสะอื้นมิได้หยุด นางศรีประจัน เห็นลูกทั้งสองร้องไห้ถามว่า


“แก้วตาเจ้าเป็นไร จึงคร่ำครวญร้องไห้ตาแดง ไปเฝ้ากลับมาแต่เย็นเมื่อวาน ใยมิบอกเล่าให้แม่ได้รู้บ้าง อ้ายขุนช้างกราบทูลเบียดเบียน เสียดแทง จะต้องรบราฆ่าแกงกันเยี่ยงไร จะได้ไปฤามิได้ไปเป็นเยี่ยงไรบอกกันมั่ง ออกจากวังก็พากันร้องไห้ คิดดูแล้วน่าเบื่อเหลือใจ ดูซิพวกเจ้าน้ำตาไหลนองหน้ากันสองคน”
พลายแก้วบอกเล่าเรื่อง กับนางศรีประจันสารพัดเงื่อนไขความเป็นมา

“มีรับสั่งให้ไปทัพ สู้รบที่เมืองเชียงทอง เพลานี้ในกรุงได้มีการเกณฑ์พล เกลื่อนกล่นจำนวนเป็นพัน ที่มานี้เพราะทูลลามาเป็นเวลาสามวันก่อนที่จะไปทัพ ลูกนี้เป็นห่วงด้วยพิมพิลาไลย มิรู้เมื่อใดจะเสร็จสงครามกลับมา
เนื้อแท้แล้ววาสนาลูกอาภัพนัก นับเวลาอยู่เรือนได้เพียงสามวัน

พรุ่งนี้เช้าตรู่คงต้องจากไป ตกระกำลำบากในป่าทุรกันดาร นับวัน นับเดือนผู้ใดจะเป็นเพื่อนพิมพิลาไลย
คิดแล้วแค้นขุนช้างนัก มันรักพิมมานานนัก มันหมายจะเชยชมเสียให้ได้ เมื่อมีโอกาสจึงได้ทูลพระเจ้าแผ่นดิน ด้วยคิดแยบคายว่า ไปแล้วคงตายเป็นแน่แท้ จะได้คอยช่วงชิงเอาพิมพิลาไลยมา ความคิดนี้ไม่ผิดเป็นแน่
ตัวไปใจลูกยังอยู่กับพิม หามีใครช่วยปกป้องดูแลพิมไม่ เห็นมีแต่แม่เท่านั้น ช่วยดูแลจนกว่าลูกจะกลับมา

ถ้าผู้ใดมาบอกเล่าว่าลูกตายแล้ว แม่อย่าเพ่อคิดว่าเขาซื่อตรง เชื่อคำพูดมัน ให้สืบสาวให้แน่ใจเสียก่อน
อันตัวพิมพิลาไลย เป็นดังดวงใจของลูกแท้จริงหนา ขอให้แม่ช่วยรักษาปกป้องไว้อย่างมั่นคง ไว้จนกว่าลูกจะได้กลับมาอยุธยา อันมนุษย์หาจริงใจต่อผู้ใดอย่างแท้จริงไม่ มันกลับกลอก นอกใน เป็นหนักหนา ถึงจะอมทองมาพูด ขอแม่จงอย่าไปหลงคำของคนพวกนั้นหนา”

นางศรีประจันครั้นเห็นลูกพูดไป ร้องไห้ไป น้ำตาแกก็พลอยไหลไปด้วย ขยี้หน้าตา พูดจาเหมือนคนละเมอ
“อย่าเป็นทุกข์ถึงออพิมเลยออแก้ว เจ้าไปแล้วจะมิให้พิมเป็นอะไรดอก ลูกเต้าแม่รักษามาแต่ไร  แมลงมิให้ไต่ ไรมิให้ตอม มาแต่ไหนแต่ไร จงตั้งใจไป จะทุกข์ถึงคนอยู่บ้านไปใย พ่ออย่าประมาทในราชการ มิควรกล้าในสิ่งที่มิควรกล้า 

อันค่ายคูควรดูให้มั่นคงแข็งแรง อย่าทะนงตัวติดประมาท ลางทีจะหลงกลผู้อื่นได้ ในราตรีอย่าเห็นแก่หลับนอน จงนั่งยามตามไฟ ลั่นฆ้องอย่าให้ขาด ขอให้เจ้าโชคดี ได้ชัยชนะกลับมา ต้อนวัว ต้อนควายไปไถนา พรุ่งนี้แล้วหนาที่ออแก้วจะต้องไป”

นางศรีประจันหลังจากปลอบ และให้ข้อคิดแก่พลายแก้ว แล้วก็หันไปเรียกคนในบ้านทั้งที่หน้ายังนองด้วยน้ำตา

“เจ้าพวกเด็กๆ เอ้ย มานี่ไวๆ ชวนกันออกไปสีข้าว หาปลา ซ้อมข้าวให้ขาวอย่าให้มีแกลบ รำเจือปน แล้วใส่กระสอบผูกมัด เร่งจัดแจงหวา”

แกตะโกนเสียงโหวกเวก
“พริก เกลือจัดหามา เอามาตำ  ข้าวต้ม ขนมทำไปให้ครบ สายทองไปข้างไหนไม่เห็นตัว กระไรชั่วชาติเหลือ อีเสือขบ การร้อนเป็นไฟ หาตัวไม่เจอ ไปหลบหัวเสียอยู่ที่ใด หมากพลู ปูนยา ไม่จัดแจง พลูนาบหมากแห้งยังกองเกลื่อน”

นางศรีประจันสั่งการงานบ่าวไพร่มิได้หยุด พิมกับพลายแก้วอยู่ในอาการเศร้า เข้าในเรือน อีมี อีรัก ควักปลาร้า บ่น
“อี้….เหม็นหวา มีขี้ขมวน (ตัวหนอนสีครีมหรือน้ำตาล)”
นางศรีประจัน ด่า
“อีขีั้คร้าน ปลากูใส่ได้สัดส่วน”

อีดำตำพริกขยิกขยี้  เสียงถี่โกกๆ ข่า ขิง พริก เกลือ ใส่ลงไป ตำจนละเอียดดี อ้ายมี อีกวย เอากระบุงไปโกยข้าวในยุ้งออกมาสี ตาก ตำ ทำซ้ำทันที ได้ที่ไว้ใส่ในกระสอบ กองเต็มไป บางคนเตรียม ปลาแห้ง ปลาย่าง ปลาชะโด ตัวโตๆ  บางคน เตรียม หอม กระเทียม ใส่ไปด้วย

บ้างก็เตรียม น้ำอ้อย น้ำตาลงบ  บ้างก็วิ่งขวักไขว่ อยู่ไปมา บ้างกวนขนม กาละแม บางคนไปปอกมะพร้าวไว้ และต่อยแตกฉ่า จากนั้นใช้กระต่ายขูดมะพร้าว คั้นน้ำกระทิแล้ว เทลงกระทะไป เอาแป้งมาขยำแล้ว กรองซ้ำ ใส่ไปในกระทะใหญ่ ตามด้วยน้ำตาล มันทำให้เหลวกวนง่ายยิ่งขึ้น เร่งไฟเพิ่มขึ้น ให้คนเคี่ยวไปเหนียวขึ้นเรื่อยๆ

“ผลัดกันบ้างเป็นไร ปวดหัวไหล่ เมื่อยแขนจะเป็นจะตายแล้ว อ้ายผี มึงทำติดกระทะ เลอะเทอะ อยู่เยี่ยงนี้ เอาพายป้ายไปที่ใบตองรองสิหวา”

จากนั้นมึงชิม กูชิม ช่วยกันชิม อยู่ข้างกระทะ จนเป็นมันย่องรสชาติหวานพอดี ชิมริมแล้วไปชิมกลางกระทะ พร่องไปครึ่งกระทะ
“หวานอร่อยแล้ว”

นางศรีประจันตะโกนไปว่า
“แม่พิมนี้เป็นกระไรเข้าไปนิ่งเงียบในเรือน ผัวมีที่จะไปไม่ไหวติง ช่วยกันวิ่ง ช่วยกันทำบ้างเป็นไร หมากพลู หยูกยา ก็ไม่จัดแจง จะร้องไห้อิดออดไปถึงไหน ผ้าผ่อน ท่อนสไบ ก็ไม่นำพา มัวแต่ร้องไห้  อย่างนี้ฤา ที่บอกว่ารักผัว แม้นไม่มีกูดูแลอยู่หนา ปลาสักชิ้นจะกินก็คงจะมิมี จะกัดก้อนเกลือกอดเข่า เยี่่ยงนั้นฤา”

พิมพิลาไลย ยังคงกอดผัวร้องไห้อยู่ จะหยิบ จะจับสิ่ีงใดก็ทำมิได้ ยิ่งพยายามกลั้นน้ำตา มันก็ยิ่งไหลมาก กว่าเดิม เสียงแม่บ่นทำให้ต้องลุกขึ้นมา ทั้งที่ยังสะอื้นร้องไห้อยู่ นั่งปอกหมาก พันพลู ใส่ขัน สลับหันไปมองผัวด้วยอาการเหมือนจะขาดใจตาย ก้มหน้าร้องไห้ ทำท่าจะจีบพลูต่อไม่ได้ สะอื้นไม่หยุด สำลีที่ถืออยู่ ก็ยังคาอยู่เยี่ยงนั้น
พลายแก้วเห็นอาการของเมียรู้สึกสงสาร จึงลุกไปนั่งแอบแนบข้าง ปลอบประโลม เช็ดน้ำตาให้

“อย่าครวญครางนักเลยเจ้า จีบพลูเถิดพี่อยู่กับพิมแล้ว ออแก้วจะได้กินที่กลางป่า อย่าโศกศัลย์ไป จงกลั้นน้ำตาเสียเถิด มาผัวจะช่วยเจ้าป้ายปูน”

จากนั้นสัพยอก เย้ายวน ชวนคุย แกล้งเย้า ให้คลายทุกข์ ได้นั่งใกล้ผัว ถูกสัพยอก แกล้งว่าฟกหัว อกบวม พิมยิ้มทั้งน้ำตา กล่าวว่า
“อย่าว่าฟกเลย มันคงจะน่วมแล้วละ”

จากนั้น รีบหยิบรวบรวมหมากพลู ใส่ล่วม ที่เหลือยัด ย่ามตะเครียว (ถุงตาข่ายที่ถักด้วยด้าย หรือไหมเป็นตาโปร่ง มีหูรูด) กล่าวว่า

“ขอให้พ่อทูนหัว จงกลับคืนมา หาเมีย ขออย่าให้ หมากพลูของพิมทันแห้งเหี่ยว ใบตองขอให้ยังคงเขียว บุหรี่ ยังคงฉุนจัดเถิด”

สีหน้าของพิมดีขึ้น  ด้วยผัวชวนพูดคุย อาการสะอื้่นลดลงไปมาก จึงเข้าไปพับผ้า บรรจงจีบกลีบสวยงาม นางจัดแจงหีบผ้า กระจก หวี ตามที่เคยทำ หยิบหมอนที่เคยหนุนนอนขึ้นมารู้สึกละห้อยใจ

“โอ้จะไกลจากน้องไปนอน คนเดียว หมอนของน้องหน้ากรองด้วยทองชุด เป็นเครือครุฑ กระชากนาคเกี่ยว”
 คิดไปรู้สึกใจเสียจึงนอนลงที่นอนอีกครา  
ฝ่ายนางทองประศรีผู้มารดาพลายแก้ว หลังจากจัดงานแต่งพลายแก้วแล้ว ยังคงยับยั้งที่สุพรรณ ลูกไปทัพจึงคิดจะไปตามส่ง เสบียงสิ่งของกองอยู่เต็มเรือน เรียกหาคนให้มาขนของ

“มึงอย่าเผอเรอเหนออีจัน”
ช่วยกันขนสิ่งของลงเรือกัญญา บ่าวชาย บ่าวหญิง วิ่งกันลนลาน เชิงกราน หม้อข้าวส่งกันไป นางทองประศรี งกงันขึ้นบันได พูดคุยกันไปมากับนางศรีประจัน

“จะไปด้วยกันฤาออจันเอ๋ย  หาไปส่งลูกเขยฤาไหมหวา จัดของเสร็จแล้ว ไปดูหน้าพลายแก้วหน่อยเป็นไร”
ศรีประจันตอบทองประศรีไปว่า
“บ้านเรือนหามีใครดูแลไม่ ข้าวของยังกองอยู่เต็มไปหมด ออเจ้ากับพิมไปส่งก็แล้วกัน”

ทองประศรีได้ฟังคำตอบดังนั้น ก็สั่งคนขนของลงเรือ พลายแก้วลุกออกมาข้างนอกทันที ไหว้ท่านศรีประจันผู้แม่ยาย แล้วนัดแนะกับแม่ทองประศรี

“ขอให้แม่ไปคอยในที่นัดหมายไว้อย่าลืม ลูกชายจะไปกรุงทางบก แล้วทูลลาพระเจ้าแผ่นดิน คงจะได้พบกันในวันพรุ่งนี้ ขอให้แม่ออกเรือไปก่อนมืด พรุ่งนี้ลูกจะตามไป”
ทองประศรีได้ฟังคำลูกชาย จึงกล่าวว่า
“ที่นัดกันนั้นแม่จำได้จ๊ะ”

จากนั้นลงเรือกัญญาพร้อมกับข้าไท โดยมีพิมพิลาไทยไปด้วย นั่งด้านในเรือกลางแคร่ กับแม่ผัว ฝีพายนำเรือบ่ายหัวออกจากท่า ไม่นานมีเสียงร้องขึ้น
“ยาวๆ ช้าๆ ไว้เป็นไร อ้ายดำชักหัวเรือ ทำเยี่ยงนั้น กูไล่ไม่ทัน ออพ่อ ข้าไหว้ละ ถือท้ายก็ไม่ถนัด คัดครูดไป ทางหัวเรือ วาดไว้บ้างเหวย เฮ้ย วาดไม่ทัน มันจะเลี้ยวเข้ารก มีคนตกน้ำ หรือไม่ก็ชนตอ หัวเรือพัง”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เรือหันเข้ารกมีคนตกน้ำ โขนหัวเสือชนเข้าที่ตอ เกิดการชุลมุนทั้งลำเรือ นางทองประศรีคว้าเสื่อได้เอามาคลุมหัว  พิมพิลาไลยได้กระสอบมุดเข้าไป     
         ฝ่ายพวกฝีพายตกใจ เก้ๆ กังๆ ส่วนเรือเพลานี้ปรากฏว่าเริ่มรั่วต้องช่วยกัน ลากเรือออกให้พ้นจากตอ เสียงร้องด่ากันอื้ออึงไป พอจวนรุ่งก็ใกล้ถึงจุดหมาย

ตอนที่ 8 จบ


 


Create Date : 01 กันยายน 2563
Last Update : 1 กันยายน 2563 6:49:57 น. 2 comments
Counter : 1680 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณnewyorknurse


 
0000 Book Blog ดู Blog
ถ้อยคำที่ใช้ไม่สละสลวยเท่าร้อยกรองจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 1 กันยายน 2563 เวลา:16:06:12 น.  

 
มีโอกาส จะขัดเกลาสำนวนใหม่ครับ


โดย: 0000 วันที่: 2 กันยายน 2563 เวลา:6:35:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

0000
Location :
สุรินทร์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
space
space
[Add 0000's blog to your web]
space
space
space
space
space