It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๒๔

บทที่  ๒๔

“อะไรนะน้ำท่วม”ทุติตกใจกับข่าวที่เขาได้ยินมา

“ครับน้ำท่วมแถวนั้น เราคงเดินเท้าเขาไปที่นั่นไม่ได้ คงต้องรอให้น้ำลงลงอีกสักหน่อย” คนงานรายงานสภาพที่เขาเห็นกับทุติอีกรอบ

“ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยค่ะนาว่าเราคงต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อน แล้วค่อยเข้าไปไม่อย่างนั้นจะอันตรายกับคนของเรานะคะจารย์”

“นั่นสิคะมุจว่าพวกเราอย่างเพิ่งเข้าไปที่นั่นจะดีกว่า สภาพอากาศอย่างนี้ทะแม่งๆอยู่นะคะจารย์”

“ตรีเห็นด้วยกับคุณนาคุณมุจนะคะพวกเรารอไปอีกสักหน่อย น่าจะดีกว่า ฝนตกๆ อย่างนี้ทางในป่าก็ลื่นพวกสัตว์น่าจะหนีน้ำไปอยู่บนที่สูง บนนั้นคงอันตรายหากเราขืนบุ่มบ่ามเข้าไป”

“เฮ้อ..อะไรกันนักหนา อุปสรรค์เยอะจริง” ทุติบ่น

“เราต้องบวงสรวงหรือเปล่า”ตรีทิพย์คิดอย่างนั้น

“นั่นสิเจ้าป่าเจ้าเขาคงไม่พอใจที่เราไปขุดแถวนั้น เราลืมข้อนี้ไปเลยนะคะจารย์”นาลันทาเห็นด้วย”

“อย่าบอกว่าต้องบูชายัญอีกนะผมไม่เอาด้วยหรอก” ทุติทำท่าขยาด เหตุการณ์เมื่อวานเขาลุ้นระทึกแทบลืมหายใจหากต้องนำสัตว์มาผูกเสาเอาไว้อีกรอบ เขาว่าอย่าทำเลยดีกว่า เมื่อวานก็แปลกไม่มีสัตว์ตัวใดอยู่ใต้เงาของหลักเลยสักตัวเขาถามคนงานว่าเคยมีเรื่องแบบนี้บ้างไหม คนงานตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านานๆจะมีสักครั้ง ถ้าไม่ใช่ไก่ก็เป็นเป็ด ห่าน หรืออะไรสักอย่างที่เข้าไปอยู่ในเงานั้นบางทีสัตว์ทั้งสิบสามตัวไปกองรวมอยู่ใต้เงาทั้งหมดก็ยังเคยเกิดขึ้นมาแล้ว

“จารย์ไม่ได้ยินที่มารีบอกกับเราหรือคะที่นี่มีเทพรัตติกาล แถมยังมีนกยมทูตอีก ตรีว่าถ้าพวกเราลองติดต่อกับเทพเราอาจจะได้รับการเปิดทางให้เข้าไปง่ายๆ ก็ได้เนอะ พวกคุณว่ายังไง”

ตรีทิพย์พยักพเยิดให้กับนาลันทาและมุจลินทร์

“แล้วใครจะเป็นตัวกลางติดต่อเทพให้พวกเราล่ะ”ทุติพยักหน้ารับรู้ เขาเริ่มคิดโน้มเอียงไปทางสามสาวแล้วเหมือนกัน

“มารี”ทั้งสามสาวพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“ต้องลอง”ทุติบอก เขาคงต้องติดต่อกับมารี ให้ทำเรื่องที่พวกเขาตกลงกันในครั้งนี้

“ทำให้พวกเราด้วยเถอะนะมารีพวกเราขอร้อง”

ตรีทิพย์เป็นฝ่ายเปิดประเด็นกับมารีก่อน

“แต่...”มารีอึกอัก เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นการติดต่อกับเทพรัตติกาลซึ่งกำลังหลับใหลเท่ากับเป็นการปลุกเทพให้ตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันควร ที่สำคัญไปกว่านั้นไม่เคยมีใครในเผ่าติดต่อกับเทพรัตติกาลได้ ยกเว้นติดต่อกับกอร่า นกยมทูตตัวนั้น

“น่านะถือว่าพวกเราขอร้องก็ได้” นาลันทาช่วยอ้อนวอนอีกคน

“ฉันทำไม่ได้จริงๆค่ะ ไม่ได้เล่นตัวอะไร พวกเราในที่นี้คงไม่มีใครกล้าปลุกเทพรัตติกาลขึ้นมาแน่นอน”มารียังยืนยันคำเดิม

“ไม่มีจริงๆหรือคะ” นาลันทายังไม่เชื่อในคำพูดของมารีมากนัก คนที่ทาคานาลาหรือทาคานาคาน่าจะมีใครสักคนที่กล้ามากพอ

“ค่ะไม่มี ต่อให้คุณจะเอาเงินมากองไว้ตรงหน้า พวกเราคงไม่มีใครยอมทำนอกจากพวกที่เห็นแก่เงิน ไม่คิดถึงความปลอดภัยของคน ในเผ่าแต่ถ้าพวกเรารู้ว่าใครยอมทำงานนี้ให้กับพวกคุณ คนนั้นคงไม่มีชีวิตรอดอีกต่อไป”

“ร้ายแรงถึงขั้นนั้นเลยหรือคะ”ตรีทิพย์ชักหวั่นใจ เมื่อมารียืนยันหนักแน่นเช่นนี้ พวกเธอคงไม่สามารถขัดขืนได้

“ค่ะถือเป็นโทษสูงสุดสำหรับเผ่าของเรา”

“ทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนั้น”

มุจลินทร์ข้องใจเพียงแค่ปลุกเทพสักองค์ขึ้นมา ทำไมถึงต้องฆ่าแกงกันให้ตายด้วยหรือคนเผ่าทาคาเป็นพวกป่าเถื่อนโหดร้าย

“เราไม่ได้โหดร้ายหรอกค่ะตำนานกล่าวเอาไว้ว่า หากวันใดเทพรัตติกาลตื่นจากหลับใหลวันนั้นคือวันสูญสิ้นของทาคา ผู้ที่สามารถปราบเทพรัตติกาลได้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือเทพสุริยาซึ่งพวกเราไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ใดเรารู้เพียงแค่เทพรัตติกาลโดยจองจำให้หลับใหลอยู่ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่เทพสุริยาเป็นผู้สร้างขึ้น”

“ทำไมพวกคุณถึงได้กลัวเทพรัตติกาลกันนักในเมื่อท่านเป็นเทพ”

นาลันทาแปลกใจคำว่าเทพหมาถึงสิ่งที่ผู้คนนับถือเทพต้องเป็นผู้ให้ไม่ใช่สิ่งโหดร้ายในสายตามนุษย์

“อดีตท่านเคยเป็นค่ะแต่เพราะอำนาจมืดครอบงำจิตใจ เทพรัตติกาลจึงกลายเป็นปีศาจร้าย ล่าหัวมนุษย์เพื่อทำให้ตนมีชีวิตอมตะ”

“โหโหดมาก” อัปสรถึงกับตาโตอ้าปากค้าง เธอให้พวกผู้ใหญ่พูดคุยกันมาสักพักใหญ่โดยไม่สอดแทรกเพราะโดนนาลันทาห้ามเอาไว้ แต่พอมารีพูดว่าล่าหัวมนุษย์ทำให้เธอคิดถึงปีศาจพรีเดเตอร์ หน้าตา น่าเกลียดน่ากลัว จับมนุษย์มาถลกหนังศีรษะเพื่อเอาหัวกะโหลกไปเก็บสะสม คิดแล้วถึงกับขนลุก

“เทพผู้ล่าไม่ใช่เทพผู้ให้ จึงกลายเป็นปีศาจร้ายในสายตามนุษย์”

มุจลินทร์สรุปความ

“ค่ะพวกเราจึงไม่มีใครกล้าปลุกขึ้นมาก่อนเวลาที่ทำนายเอาไว้”

“คำทำนายมีว่าอะไรคะ”

“วันแห่งการตื่นฟื้นจากหลับใหล ผู้มาใหม่ มาจากแดนไกลโพ้น มาพร้อมกับ งูยักษ์ร่างเป็นคน ให้สับสนอลหม่านกันมากมาย ผู้ที่หลับ จะตื่น มิต้องปลุก นำความทุกข์ แสนสาหัส กลับมาให้ไม่มีใครลบล้าง เรื่อง อันใด นอกจากใจ ปลดแอกจากตนเอง”

“คุณบอกว่าจะตื่นเพราะงูยักษ์ร่างเป็นคนอย่างนั้นหรือคะ”

“ค่ะ”มารียืนยัน

“ตายโหง”มุจลินทร์สบถออกมาเอาเบาๆ เธอสะกิดนาลันทา

ทั้งสองสบตากันหากสิ่งที่มารีพูดคือความจริง หนึ่งในคำทำนายคือพวกเธอ งูยักษ์ร่างเป็นคนหมายถึงพญานาคกลับชาติมาเกิด เช่น พวกเธอหรือเปล่าหนอ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆอย่างที่พวกเธอคิดเอาไว้

“ยังมีอีกตำนานค่ะเล่ากันต่อๆ มาว่า วันใดที่งูใหญ่พาดผ่านจากยอดทาคาลงมายังเบื้องล่าง เมื่อนั้นทาคาจะล่มสลายพวกเราจึง ลงความเห็นกันว่ากระเช้าไฟฟ้าของคุณหมอศรรักคืองูใหญ่พวกนั้น ส่วนเรื่องงูร่างเป็นคนเรายังไม่เข้าใจว่าคืออะไร” มารีเล่าต่อ

“ที่ผ่านมามีเพียงแค่คำบอกเล่าต่อๆกันแค่นั้นหรือคะ หรือว่า มีอะไรเขียนบอกเอาไว้บ้างหรือเปล่า”มุจลินทร์ไม่คิดว่าการบอกกันต่อๆ ไปเรื่อยๆจะทำให้มีข้อความสื่อสารต่อกันมาจนครบถ้วน

“ไม่มีค่ะเราบอกกันต่อมารุ่นสู่รุ่น แต่รับรองว่าไม่มีเพี้ยนแน่นอน”

“น่าแปลกนะคะอินคาเจริญมากมาย แต่กลับไม่มีตัวหนังสืออะไรบอกกับคนรุ่นหลังเอาไว้เลย”นาลันทาตั้งข้อสังเกต ไม่ใช่แต่เธอเท่านั้นแม้แต่ชาวสเปนที่เข้ามาในดินแดนนี้ยังตั้งข้อสงสัยเหมือนกับที่เธอเป็น

“เป็นความเชื่อของเราค่ะหากเราเขียนบันทึกเอาไว้ ถ้าศัตรู ของเรามาพบ ความลับของเผ่าจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปแต่ถ้าเราบอกกับคนที่ไว้ใจได้ ความลับนั้นยังคงอยู่ และบอกกล่าวกันจากรุ่นสู่รุ่น”

“จะรู้ได้ยังไงคะว่าเล่าเรื่องความลับทั้งหมดได้ครบ ถ้ามันมีเป็นพันๆ เรื่อง ล่ะคะไม่เพี้ยนไปกันใหญ่เหรอ” มุจลินทร์ไม่มั่นใจนัก คนที่ ผูกปมอาจจะผูกคลาดเคลื่อนไปก็ได้หากเป็นอย่างที่มารีบอกจริงๆ แค่หนึ่งมิล เคลื่อนไปสิบคนก็หนึ่งเซ็น ความหมายจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า

“เรามีเชือกปมบอกเอาไว้ค่ะเราจะบอกกันตามลำดับความสำคัญของแต่ละเรื่อง เช่นเรื่องการทำการเกษตรการเลี้ยงสัตว์ พิธีกรรมตามเดือนต่างๆ ที่สำคัญๆ ของเรา สำหรับเรื่องเทพเจ้างูฉันคิดว่าอาจจะเกี่ยวโยงกับดาวหางที่กำลังจะเข้าใกล้โลกของเรามากกว่าค่ะคนในสมัยนั้นอาจจะรู้ว่าจะมีดาวหางมาเยือนอีกครั้งจึงพูดให้คนเข้าใจไปในเรื่องของเทพเจ้าเพื่อให้คนไม่ต้องตกใจกลัวในปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่อาจ คาดเดาได้พวกคุณอย่าคิดมาเลยค่ะ” มารีพยายามพูดให้แขกผู้มาเยือนของเธอเบาใจ ส่วนตัวเธอหนักใจเสียยิ่งกว่าใคร

เธอพยายามไม่คิดถึงเรื่องงูสองตัวที่พุ่งเข้าหาเธอกับมารีเมื่อหลายวันก่อน จากนั้นมันหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนนั่นเท่ากับว่าเธอหาผู้หญิงอีกคนในตำนานพบแล้วส่วนเทพเจ้างูกลายร่างเป็นคนเธอยังไม่รู้ว่าคือใคร

“เคยได้ยินชื่ออนันนาคีไหมคะ”นาลันทาเอ่ยถาม

“ไม่เคยค่ะ”มารีส่ายหน้า

“อนันนาคีคือชื่อของเทพเจ้าในสมัยสุเมเรียนบางคนบอกว่าท่านเป็นมนุษย์ต่างดาวมาที่โลกเพื่อขุดทองเอาไปสร้างชั้นบรรยากาศในดาวของท่านบางคนก็บอกว่าท่านมาจากสวรรค์ เราเป็นคนที่รับฟังมาจาก คนรุ่นโบราณเราไม่มีทางรู้หรอกค่ะว่าท่านคือใคร ที่รู้แน่ๆ คือ ตำนาน น้ำท่วมโลกและผู้ที่มาจากฟากฟ้านั้นมีทุกชนชาติ แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกตำนานเหล่านั้นยังมีความเหมือนกันได้ที่สำคัญคือพวกสุเมเรียนมีอักษรที่ทำจากแผ่นดินเผาเล่าเรื่องราวต่างๆเอาไว้ในนั้นเราจึงมีหลักฐานพอเชื่อถือได้ แต่สำหรับอินคาหรือทาคาแห่งนี้ไม่มีของพวกนั้นอยู่เลย”

“จริงๆแล้วพวกเรามีค่ะ เรามีหุ่นทองคำบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่ชาวสเปนเอาหุ่นพวกนั้นไปหลอมเป็นทองแท่งจนหมดเรื่องเล่าจากอดีตของพวกเราจึงหายไปจากโลกใบนี้”

“น่าเสียดายมาก”นาลันทาครางออกมา

“ทาคายังมีเหลือบ้างไหมคะสักชิ้นหรือสองชิ้นก็ยังดี”

มุจลินทร์เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ ต้องมีหลงเหลือหลุดรอดมาบ้างสิน่าคงไม่มีใครยอมเอาสมบัติของตัวเองไปให้กับต่างชาติจนหมดตัวหรอกนะ

“มีค่ะเป็นเครื่องประดับของผู้นำเผ่า สร้อยคอเส้นนั้นตกทอดมานานมากฉันไม่แน่ใจว่าจะสักกี่ร้อยหรือกี่พันปี”

“ถ้าจะขอดูได้ไหมคะผู้นำจะให้พวกเราถ่ายรูปได้หรือเปล่า”

“ต้องลองสอบถามดูค่ะท่านอาจจะใจดีให้คุณดูก็ได้”

“แล้วลองขอให้ผู้นำเผ่าทำพิธีให้พวกเราไปด้วยเลยนะคะนะๆ คุณมารี พวกเราขอร้อง” ต่อให้อย่างไร นาลันทาไม่ยอมหลงประเด็นแม้จะรู้ว่ามีสร้อยทองของผู้นำเผ่ามาล่อตาล้อใจแต่เรื่องการทำพิธีก่อนจะเปิดพีระมิดนั้น เธอต้องหาคนมาทำให้ได้

“ไม่รับปากนะคะแต่จะลองดู” มารีเริ่มรู้สึกอ่อนใจ นาลันทาและมุจลินทร์ช่างตื้อเหลือเกินให้ตายเถอะ...

ธีรัชนั่งคิดถึงทาฬิดาเขารู้สึกเหงาที่ไม่มีทาฬิดามาบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้เขาฟังใจเขาคิดอยู่ว่านาฬิกาเรือนนั้นคงสำคัญมากสำหรับอดีตนายพล เขาจึงลองวาดรูปคร่าวๆลงบนแผ่นกระดาษ

เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยช่วยก๋งรื้อนาฬิกาเรือนนั้นเขาสังเกตเห็นว่าที่เข็มสั้นของนาฬิกามีลวดลายบางอย่างซึ่งเขาไม่สามารถรู้ว่าคืออะไรเขาค่อยๆ วาดลวดลายนั้นลงบนแผ่นกระดาษตรงหน้า

หัวลูกศรตรงหน้าเขานี้มีขนาดใหญ่กว่าเข็มนาฬิกาเรียกได้ว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าเขาวาดเสร็จจึงวางมันลงบนโต๊ะข้างๆ ตัวเขาจากนั้นจึงนั่งเล่นเกมบนมือถือของเขาไปเรื่อยๆ ลมพัดมาจากที่ไหนสักแห่งทำให้กระดาษที่ธีรัชวางเอาไว้ปลิวว่อนไปไกล ด้วยนิสัยของเขาหากไม่มีรายงานที่เขาเพิ่งจะเขียนเสร็จปนอยู่ในนั้นด้วยเขาคงไม่ต้องลุกขึ้นวิ่งไปเก็บกระดาษพวกนี้แน่

ชายคนหนึ่งเดินผ่านมาบริเวณนั้นพอดีเขาก้มลงเก็บกระดาษให้กับธีรัช สิ่งที่เขาเห็นคือรูปวาดปลายลูกศรลวดลายประหลาดของธีรัชเขาถึงกับอึ้ง

“ขอบคุณครับๆ”ธีรัชบอกกับชายคนนั้น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจึงรู้ว่าคนที่ช่วยเขาเก็บประดาษแผ่นนั้นไม่ใช่คนไทย

“อ้าว”เขาอึงไปพักหนึ่ง

“ไม่เป็นไรครับรูปนี้ของคุณหรือครับ”

ชายคนนั้นถามเป็นภาษาไทยน้ำเสียงแปล่งๆ

“ครับ”ธีรัชพยักหน้ารับ

“เคยเห็นของจริงไหม”

“ครับเป็นเข็มนาฬิกาของเพื่อนผม”

“โอ้วมายก็อด...ขอบคุณพระเจ้า ผมเจอแล้ว”

ชายคนนั้นตะโกนลั่นธีรัชคิดว่าเขาคงเพี้ยน

“คุณพาผมไปหาเจ้าของได้ไหมครับ”

เขาเข้ามาจับต้นแขนทั้งสองข้างของธีรัชเอาไว้แน่น

“เพื่อนผมไม่อยู่ครับไปเปรู”

“โอ้วสวรรค์” ใบหน้าของเขาสลดลงจนเหลือสองนิ้ว

“แต่ผมพาไปหาพ่อของเพื่อนได้ครับ”

“ไปเวลานี้เลยได้ไหมครับผมใจร้อน”

เขาเร่งธีรัชทันทีด้วยแววตาลิงโลด

“ครับๆผมขอไปเก็บกระเป๋าก่อน แล้วจะพาไป”

ธีรัชชักงงอยู่ๆ ชายต่างชาติเข้ามาหาเขา อยากจะตามหาเจ้าของนาฬิกา โลกช่างกลับกันเสียจริงทาฬิดาพกนาฬิกาไปเปรู ส่วนชายคนนี้มาจากไหนเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำมาตามหานาฬิกาเรือนนั้น

บังเอิญมากไปหรือเปล่าที่เขาอยากเขียนรูปของมันขึ้นมาในวันนี้แถมยังบังเอิญซ้ำซ้อนที่ลมพัดรูปของเขาไปตกอยู่ต่อหน้าชายแปลกหน้า

“ผมลืมไปขอโทษครับ ผมชื่อเซปัสเตียน คัลเซอร์ มาจากสเปนครับ” เขายื่นมือมารอรับมือของธีรัช

“ครับเรียกผมง่ายๆ ว่าธีรัชครับ” ธีรัชจับมือของเขาเบาๆ

“ป๋าผมมีเพื่อนมาหาป๋า”

ธีรัชพาเซปัสเตียนเดินเข้าไปในร้านขายนาฬิกาของเขา

“อะไรตี๋”ผู้สูงวัยกว่าเงยหน้าจากการซ่อมนาฬิกาขึ้นมามองหน้าลูกชายของเขา

“เพื่อนผมป๋าบอกว่าเป็นคนทำนาฬิกาของไอ้ทามมันปู่ของเขาเป็นคนประกอบเรือนที่ผู้หญิงคนหนึ่งเอามาให้แล้วบอกว่าให้ทำเป็นนาฬิกาให้ด้วย ผมดีใจแทบตายที่เจอเขา โคตรบังเอิญเลยป๋า”

“รอเดี๋ยวนะจะไปเรียกก๋งแกให้” เขาดีใจจนทำอะไรไม่ถูกทางเดียวที่เขาทำได้คือเดินเข้าไปพาบิดาของเขามาพบกับแขก ไม่ใช่สิฝรั่ง ผู้มาเยือนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาสมควรดีใจใช่ไหม

เฮงเดินออกมาพร้อมกับลูกชายของเขาเขานั่งบนเก้าอี้ด้านหลังเคาเตอร์วางขายนาฬิกาจากนั้นธีรัชจึงแนะนำให้เขารู้จักกับเซปัสเตียน

“นี่ก๋งผมครับท่านเป็นคนรับซื้อนาฬิกาจากผู้หญิงที่เอามาขายให้ท่าน ก๋งครับนี้เซปัสเตียนครับเขาบอกว่าปู่ของเขาเป็นคนทำนาฬิกาเรือนนั้น แต่ต้องมาทำสงครามแล้วหนีทหารญี่ปุ่นไม่รู้จะเอาเงินที่ไหน ก็เลยเอานาฬิกามาขายให้คนไทยพอกลับไปปู่เขารู้สึกผิด พยายามกลับมาหาผู้หญิงที่เขาขายนาฬิกาให้แต่ปรากฏว่าบ้านของผู้หญิงคนนั้นถูกระเบิดพังราบ สืบมารู้ว่าเธอย้ายครอบครัวหนีสงครามไปอยู่ที่อื่นไม่สามารถจะตามตัวพบ เขามาเมืองไทยทุกปี เพื่อตามหานาฬิกาแทนปู่ของเขา”

“ไปเจอกันได้ยังไง”ผู้สูงวัยเอ่ยถาม

“เขาคิดว่าที่มอผมมีพิพิธภัณฑ์นาฬิกาอาจจะมีนาฬิกาเรือนของปู่เขาอยู่ด้วย แล้วบังเอิญผมวาดรูปนาฬิกาเรือนนั้นพอดีเขายังมีรูปตอนที่ปู่เขานั่งทำนาฬิกาด้วยครับก๋ง เขาถ่ายมันตอนทำเสร็จเรียบร้อย เพื่อเป็นแบบให้กับลูกค้าคนอื่นๆนี่ไงครับปู่”

ธีรัชยื่นภาพถ่ายเก่าๆหลายใบให้กับก๋งของเขา

เฮงหยิบรูปพวกนั้นขึ้นมาดูเขารู้ได้ทันทีว่าชายในรูปที่เขาเห็นเป็นคนทำนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมาจริงๆ

“น่าเสียดายนาฬิกาเรือนนั้น คุณหนูทามใส่ไปเปรู”

“นั่นสิครับผมเสียดายมาก ผมมีบางอย่างจะเอามาให้กับเจ้าของนาฬิกาด้วย”

“อะไรครับ”ธีรัชรีบถามทันที

“ผมคงบอกอะไรพวกคุณไม่ได้ถ้าไม่ได้พบกับเจ้าของนาฬิกา”

เซปัสเตียนอึกอักเล็กน้อย

“ได้ๆผมจะพาคุณไปหาเจ้าของที่แท้จริง เดี๋ยวนี้เลย”

เฮงรีบเดินออกมาจากหลังเคาเตอร์

“ไปเอารถมาพาก๋งไปหาท่านนายพลที่โรงพยาบาล ท่านจะได้สบายใจเสียที” เฮงสั่งหลานชายของเขา

“ครับปู่”ธีรัชรีบทำตามคำสั่งนั้น เขารู้ดีพอๆ กับก๋งของเขาอดีตนายพลใหญ่รอคอยที่จะได้พบกับคนทำนาฬิกาเรือนนี้มาทั้งชีวิตในเมื่อทายาทมายืนอยู่ตรงหน้า ทำไมพวกเขาจะไม่รีบพาไปพบก่อนที่คนป่วยจะไม่มีแรงหายใจ

ทรงธรรมยังนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้มีปราชญ์ยุทธ์ลุกชายของเขานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง

เฮงเข้าไปพร้อมกับธีรัชและเซปัสเตียนผู้อ่อนวัยกว่าแม้จะมียศเป็นถึงนายพล ยกมือไหว้เฮงทันทีที่เห็นหน้าเขา

“หลับหรือครับ”เฮงเอ่ยถาม

“ครับคุณอามีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมพาหลานของคนทำนาฬิกาเรือนนั้นมาพบท่านครับ”เฮงบอกด้วยความเกรงใจ เขารู้ว่าทรงธรรมอาการไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“เหรอครับ”ปราชญ์ยุทธ์ดีใจจนหาอะไรเปรียบไม่ได้พ่อของเขาพยายามตามหาคนทำนาฬิกาเรือนนั้นมานานบทจะพบแทบไม่น่าเชื่อว่าจะง่ายดายอย่างนี้

“ผมเซปัสเตียนครับ”

ชายหน้าตาฝรั่งจ๋าทักทายนายพลใหญ่แห่งกองทัพไทย

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณพ่อผมท่านคงดีใจมากที่รู้ว่าคุณมาพบท่าน น่าเสียดายท่านหลับอยู่ว่าแต่คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้มาพบกับท่าน”

“ผมมีของบางอย่างที่จะให้ท่านครับ”เซปัสเตียนล้วงกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกของเขา หยิบถุงกำมะหยี่เล็กๆสีน้ำเงินใบหนึ่งออกมา

“อะไรครับ”

“มันเป็นสายเก่าครับก่อนที่จะเปลี่ยนสายเป็นสายปัจจุบัน”

เขายื่นถุงเล็กๆให้กับปราชญ์ยุทธ์

ในนั้นมีสายหนังเก่าๆเส้นหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าทำจากหนังสัตว์อะไร บริเวณตรงปลายสายด้านหัวเข็มขัดนั้นมีวัตถุสีทองสลับแดงหรืออาจจะเป็นสีเลื่อม มองต่างมุมทำให้เกิดการเปลี่ยนสีระหว่างกลางสายทั้งสองเส้นมีแป้นคล้ายกับเป็นเครื่องกันกระแทกหรือกันไม่ให้เหงื่อของผู้ใส่สัมผัสกับตัวเรือนตรงปลายนั้นมีที่สำหรับสอดสายให้ลอดออกไป

เขาหยิบมันออกมาพลิกดูด้านหลังของแป้นนั้นมีข้อความและรูปภาพที่เขาไม่สามารถเข้าใจมันเลยสักนิด

“ขอบคุณครับ”

“น่าเสียดายนะครับที่มันไม่ได้กลับไปอยู่กับนาฬิกา”

“ครับผมต้องขอโทษด้วยจริงๆลูกสาวผมใส่มันไปเปรู”

“ผมทราบแล้วครับธีรัชบอกกับผม ผมต้องรีบนำมาให้คุณก่อนที่มันจะสายเกินไป”




Create Date : 09 กันยายน 2557
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:46:01 น. 0 comments
Counter : 531 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.