Leh Ladakh เลห์ ลาดักห์ “ทิเบตน้อยแห่งอินเดีย” สวยเกินบรรยาย
แคชเมียร์ เลห์ ลาดักห์  วันที่ 16 - 22 กันยายน 2566 จำนวน  8 วัน 6 คืน  “เที่ยวเลห์ ไม่ต้องลังเล ถ้าหลงรัก เขา ต้องไปให้ได้สักครั้ง”  ทิเบตน้อยแห่งอินเดีย แค่มองวิวข้างทางก็งามแล้ว  ครั้งนึงในชีวิต  
แลกมาด้วยการเดินทางที่คดเคี้ยว อากาศเบาบาง อาการแพ้ความสูง

เดือน กันยายน เป็นช่วง Summer  อากาศไม่หนาว ใช้บริการ Agency : Himalayan  Tour:  One fine day ราคา 49,900 บาท ไกด์ไทย :คุณมดเอ็ก  ไกด์ท้องถิ่น:  ยูส   อัตราแลกเปลี่ยน 1 รูปี ต่อ 0.42 บาท 
เลือกทัวร์นี้เพราะแจ้งว่ามีอาหารไทยเสริมทุกมื้อ และก็ไม่ผิดหวัง ไกด์มดเอ็กซ์ ทำอาหารไทยอร่อยมาก 3-4 อย่างเสริมทุกมื้อ รอดตาย ทริปนี้ ไกด์ดูแลดีมาก

วันแรก 16.9.66   สายการบิน Spicejet(SG) Low cost  เครื่องออก 3.45 น.  แต่เครื่อง delay  2 ชั่วโมง ออกจริง ประมาณตี 5.45น. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง อินเดีย ช้ากว่าไทย 1.30 ชั่วโมง ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธีร์ เมืองเดลี  ต่อเครื่องบินภายในประเทศ  ไป สนามบินศรีนาคา (Srinagar) แคชเมียร์ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง  เครื่อง delay จากเดิมถึง แคชเมียร์ 11.20 น. เป็น 4-5 โมงเย็น

 

 

Trip นี้ เดินทางไปศรีนาคา ความสูง 1585 เมตร เที่ยวแคชเมียร์ก่อน แล้วเดินทางไป โซนามาร์ค 2730 เมตร ดราส 3300 เมตร  คาร์กิล  2676 เมตร จุดหมายคือ àเลห์  3524 เมตร การเดินทางค่อย ๆ เพิ่มระดับความสูง  ร่างกายจะค่อย ๆ ปรับตัว ก็ไม่ต้องทานยาแพ้ความสูง

ไกด์พาไปร้านขายยา ภายในสนามบิน ซื้อยาแพ้ความสูง Diamox ราคายาที่อินเดียถูกมาก ทานวันละ 1 เม็ดตอนเช้า  เริ่มทานเลย  ทานเฉพาะคนที่คาดว่าจะแพ้ความสูง แก๊งเรา 4 คน ทานยา 2 คน หลังทานยา บางคนอาจมีผลข้างเคียง เรามีอาการชาที่หน้า  หลังจากทาน 4-5 ชั่วโมง 

เครื่อง Delay ก็นั่งรอกันไป  นั่ง Low cost ราคาไม่แพงก็ต้องทำใจ ได้ยินมาเยอะก็เลยไม่แปลกใจ  




ชมพระอาทิตย์ตกดิน  ทะเลสาบดาล(Lake Dal) ได้รับการขนานนามว่า “เพชรยอดมงกุฏของแคชเมียร์” หรือ “อัญมณีแห่งศรีนาคา” เนื่องจากเป็นทะเลสาบที่มีความสวยงาม เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของ ชาวแคชเมียร์ 





เรือชิคารา เรือพายโบราณ เป็นพาหนะของชาวแคชเมียร์ ที่มีบ้านเรืออยู่ริมน้ำ มีใบพายเป็นรูปหัวใจ





ล่องเรือชิคารา ชมวิถีชาวแคชเมียร์








ร้านค้าอยู่ริมฝั่ง ขายของ คล้าย ๆ ตลาดน้ำบ้านเรา






 

วันที่สอง 17.9.23  ศรีนาคา สวนโมกุล คาร์กิล
 

วิวยามเช้าที่บ้านเรือ อากาศประมาณ 25 องศา สบาย ๆ


 
House Boats วิมานบนดิน เกิดขึ้นในยุค ควีนส์วิคตอเรีย ซึ่งอังกฤษได้เข้ามา ครอบครองอินเดีย จึงพากันเข้ามาปักหลักโกยกอบทรัพยากรจากอาณานิคม โดยรุกจากพื้นที่ส่วนใต้ขึ้นไปจดเหนือ แต่มหาราชาโมกุล (กษัตริย์ผู้สร้างทัชมาฮาล)ได้ตั้งกฎเข้มว่าแม้อังกฤษจะมีอำนาจเหนืออย่างไรก็ไม่อาจให้ใช้สิทธิถือครองที่ดินผืนนี้ได้  นักล่าอาณานิคม จึงเลี่ยงโดยนำไม้สนซีดาร สร้างเป็นเรือ มี เอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมตามแบบของอังกฤษ แกะสลักลวดลายสวยงาม พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆกับการใช้ชีวิตให้เสมือนอยู่ในคฤหาสน์หรู รังสรรค์ เป็นบ้านลอยน้ำ หรือ House Boats  ตามริมทะเลสาบ นับพันๆลำ กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ หลังอินเดียถูกปลดปล่อยให้เป็นเอกราช House Boats เหล่านี้จึงตกเป็นของรัฐ ปัจจุบันคงเหลือประมาณ 800 ลำเท่านั้น ต่อมาได้เปลี่ยนถ่ายมาเป็นของเอกชน จึง ปรับเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยว
 


Meena Deluxe Houseboat  ด้านในบ้านเรือ ตกแต่งสวยงาม หรูหรา











อากาศยามเช้า ณ บ้านเรือ




สวนโมกุล(Mughal Gardens) สวนสวรรค์แห่งดอกไม้
สวนนี้สร้างโดย จักรพรรดิอักบาร์ ทรงครองแคชเมียร์ปี พ.ศ. 2128 ทรงครองเมืองและสร้างสวนนี้โดยช่างฝีมือดี ดอกไม้เมืองหนาวออกดอกชูช่ออย่างสวยงาม สวนโมกุล ได้แบ่งออกเป็นส่วนๆ 3 ส่วน ซึ่งภายในสวนมีการประดับตกแต่งในแบบสไตล์สวนเปอร์เซีย ซึ่งประกอบไปด้วย สระน้ำ ลำธารและแปลงไม้ดอก ในทุกๆ ปี สวนโมกุลจะเปิดให้ผู้คนเข้าชมในเดือนกุมภาพันธ์ 
 

ดอกไม้น้อย สวนดูเก่า ๆ





 

เดินทาง จากศรีนาคา  ไป “โซนามาร์ค” ทุ่งทองคำแห่งแคชเมียร์ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นประตูโบราณเส้นทางสายไหมเชื่อมต่อจัมมูและแคชเมียร์กับทิเบต เรียกว่า ประตูสู่ลาดักห์เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่มีทิวทัศน์สวยงามตลอดสองข้างทาง

ใช้เส้นทาง โซจิ ลา (Zojila Pass) ถนนที่เชื่อมต่อระหว่างแคชเมียร์กับลาดักห์ มีความยาวเพียงแค่ 9 กิโลเมตร แต่อยู่บนความสูงระดับ 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
 

อนุสรณ์สถานสงครามคาร์กิล (Kargil War Memorial) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอนุสรณ์สถานสงครามดราส สร้างโดยกองทัพอินเดียเพื่อรำลึกถึงสงครามในปี ค.ศ.1999 ตรงข้ามเขาไทเกอร์ (Tiger Hill) จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวของสงครามคาร์กิล อีกทั้งยังมีเปลวไฟชั่วนิรันดร์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารอินเดียที่เสียชีวิตในช่วงสงคราม
สงครามคาร์กิล เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2542 เมื่อปากีสถานละเมิด LOC ในอินเดียที่ Kargil และทิ้งระเบิด NH1 จากนั้นอินเดียได้ทำการรุกเพื่อเปิดการโจมตีสามง่ามต่อกองทหารเหล่านี้เพื่อยึดดินแดนกลับคืนมา การโจมตีทั้งหมดถูกเรียกว่า ปฏิบัติการวีเจย์ ซึ่งช่วยรักษาความปลอดภัย Tiger Hill และพื้นที่โดยรอบ ปฏิบัติการสิ้นสุดลงในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 เมื่อกองทหารปากีสถานทั้งหมดถูกนำออกไป  ตั้งแต่นั้นมา วันนี้จึงมีการเฉลิมฉลองเป็น“Kargil Vijay Diwas” (วันแห่งชัยชนะของคาร์กิล)

 









 

วันที่สาม 18.9.23  มูลเบกห์ -ลามายูรู -เลห์

เข้าเขตเมืองมูลเบกห์จะเริ่มเห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ผู้คนอยู่ในเมืองมีหน้าตาคล้ายกับคนในทิเบต นับถือศาสนาพุทธมหายาน ตามบ้านเรือน วัด และอาคารประดับด้วยธงมนต์ ชาวทิเบตเชื่อว่า ธงมนต์คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนธงจะมีบทสวดอยู่ ชาวทิเบตมักจะนำ ธงมนต์ไปผูกไว้ในที่สาคัญ
 
วัดมูลเบกห์ (Mulbekh Monastery) วัดเล็ก ๆ ห่างจากคาร์กิลไปเพียง 45 กิโลเมตร และเป็นหลักฐานในการดำรงอยู่ของพุทธศาสนาในลาดักห์รูปแกะสลัก พระศรีอริยเมตไตรย บนผาหินขนาดสูง 9 เมตร เก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 วัดมูลเบกห์เป็นวัดพุทธในนิกายเกลุกปะภายในวัดมีทั้งภาพพระบฏและจารึกอักษรโบราณที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง และเดินหมุนกงล้อมนตรา 3 รอบ เพื่อสักการะ






หมุนกงล้อมนตรา 3 รอบ เพื่อสักการะ










Namik la top  เส้นทาง ศรีนาคา ไป เลห์ สูง 3,700 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล







จุดสูงสุดบนเส้นทางศรีนาคา-เลห์ ฟอร์ทูล่า ท็อป (Fotula Top) ระดับความสูง 4,108 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล









วัดลามายูรู (Lamayuru Monastery) วัดทางพุทธศาสนาแบบทิเบต เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของลาดักห์ มีอายุประมาณ 1000 ปี สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดย Mahasiddhacharya Naropa  จุดเด่นของที่นี่คือสถาปัตยกรรมโบราณ มีมนต์ขลัง และทัศนียภาพที่ตระการตาเนื่องจากตั้งอยู่บน ภูเขาสูงที่ได้ชื่อว่าเป็น “The Moon land” เพราะว่ามีภูมิประเทศที่คล้ายดวงจันทร์
 








ภูเขาสูงที่ได้ชื่อว่าเป็น “The Moon land” เพราะว่ามีภูมิประเทศที่คล้ายดวงจันทร์ พื้นผิวขรุขระ







แม่น้ำสองสี (Sangam View Point) มองเห็นแม่น้ำซันสการ์ สีเขียวฟ้า ไหลมาจากภูเขาที่หิมะละลาย  และแม่น้ำสินธุ สีน้ำตาล ไหลมาบรรจบกัน เป็นวิวซึ่งสวยงามแปลกตา
 
















Magnetic Hill เรียกอีกชื่อว่า Gravity Hill ตั้งอยู่บนทางหลวง leh - Kargill เป็นฉากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อลังการมากๆ เหมือนเป็นถนนวิ่งเข้าไปในภูเขาใหญ่ ถ้าจอดรถเอาไว้ตรงจุดที่เค้ากำหนดไว้แล้วดับเครื่องยนต์ เราจะเห็นเหมือนกับว่า รถมันไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆมันเป็นภาพลวงตา ทางถนนจริงๆมันเป็นทางลงเขาต่างหาก แต่มุมมองที่มองมันเหมือนกับขึ้นภูเขา ที่นี่เลยได้ชื่อว่า magnetic hill เป็นอีกจุดหมายที่ทำให้เรารู้ว่าตัวเราเล็กแค่ไหน เมื่อเทียบกับธรรมชาติรอบตัว ธรรมชาติคือสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ
คนขับเค้าทดลองให้ดู ทั้งเรานั่งอยู่ในรถ และให้เราลงจากรถลงมาดูรถไหล  ประเทศไทย ก็มีเลยไม่ตื่นเต้น แต่คนอินเดีย เค้าตื่นเต้นมาก



วันที่สี่ 19.9.23 เลห์ -คาร์ดุง ลา -ฮุนเดอร์ -เดสกิต -นูบร้าวัลเลย์

พักที่ เลห์ อากาศประมาณ 12 องศา โรงแรมไม่มีแอร์ มีพัดลมเพดาน  อากาศเบาบาง เริ่มหายใจไม่สุด หายใจลึก ๆ ก็เจ็บหน้าอก  ลำไส้ปั่นป่วนเหมือนมีกรดในกระเพาะ นอนไม่ค่อยหลับ น่าจะเป็นอาการแพ้ความสูง  ตอนเช้าทานยาเมารถ เนื่องจากเส้นทางคดเคี้ยวมาก และพารา   การเคลื่อนไหวต้องช้า ๆ  เหนื่อยง่าย


เดินทางไป นูบร้า วัลเล่ห์ ใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง วิวระหว่างทางสวยมาก ๆ  ความสวยต้องแลกด้วยการเดินทางที่ลำบาก สู้โว้ย




ห้องส้วม Local  ขุดเป็นหลุม ไม่ต้องใช้น้ำ  ถ้าเทียบกับจีน ก็ดีกว่าหน่อย เปิดโล่ง กลิ่นเลยไม่เท่าไหร่


วิวระหว่างทาง






คาร์ดุง ลา พาส (Khardung La Pass) จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นเทือกเขาคาราโครัมในประเทศปากีสถานได้เลย สวยจนแทบหยุดหายใจ จนถึงจุดที่สูงที่สุดบนเส้นทางนี้ ความสูงอยู่ที่ 5,359 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
 

เจอหิมะตก ตอนแรกก็โปรย ๆ  อากาศหนาวมาก ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะเจอหิมะ  พอสักพัก หิมะเม็ดเริ่มใหญ่  อากาศเบาบางอยู่นานไม่ได้   ขึ้นรถก็ต้องรีบสูดอ๊อกซิเจน






มองไปทางไหนก็สวยมาก ๆ





ห้องส้วม Local เป็นแบบหลุม ที่ คาร์ดุง ลาพาส  ดูดี แต่พื้นเปียกและกลิ่นสุด ๆ
 

ระหว่างทาง ปิดถนน ไม่แน่ใจว่าเกิดอุบัติเหตุ หรือ ดินถล่ม หรือทำถนน เลยออกมาสูดอากาศข้างทาง วิวสวยงาม  รอไม่น่าเกิน 20 นาที จะเจอแบบนี้เป็นระยะ  เคลียร์พื้นที่เร็ว 
 

เดินทางถึง นูบร้าวัลเลห์ ความสูง 3,084  เมตร  อากาศเบาบาง หายใจลึก ๆ ก็เจ็บหน้าอก หายใจไม่สุด  เหนื่อยง่าย  ทานอาหารกลางวัน ที่ โรงแรม ไกด์ให้นอนพัก น่าจะ 2 ชั่วโมง เพื่อปรับร่างกาย

วัดเดสกิต (Deskit Monastery) อาณาเขตวัดดิสกิต แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนลานและพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตย์ เป็น บริเวณที่สร้างใหม่ขยายแยกส่วนมาจากตัววิหาร และส่วนของสังฆกรรมซื่งตั้งอยู่บนเขา คนละลูกแต่ใกล้ ๆ กัน
 












เห็นพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตย์  ด้านหลัง



วัดเดสกิต (Deskit Monastery) วัดพุทธทิเบต(ลามะหมวกเหลือง) ในหุบเขานูบร้า สร้างโดย Changzem Tserab Zangpo, สาวก ของท่าน Tsong Khapa (พระลามะ), ผู้ก่อตั้งนิกายลามะหมวกเหลือง
อาณาเขตวัดดิสกิต แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนลานและพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตย์ เป็น บริเวณที่สร้างใหม่ขยายแยกส่วนมาจากตัววิหารและส่วนของสังฆกรรมซื่งตั้งอยู่บนเขาอีกลูกใกล้ๆกัน
วัดที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหุบเขานูบร้า มีการสร้างพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรย ขนาดมหึมา ประดิษฐานอยู่บนยอดเนิน สามารถมองเห็นได้จากทุกทิศทางในหุบเขา พระศรีอริยเมตไตรย หรือที่นิยมเรียกว่าพระศรีอาริย์ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่5 และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้ ภายในวัดยังมีจิตรกรรมฝาผนังโบราณ “กงล้อแห่งชีวิต” หรือ Wheel of Life ที่สะท้อนถึงการเวียนว่ายตายเกิด

 








หมู่บ้านฮุนเดอร์ ชม ทะเลทรายสีเงินแห่งหุบเขานูบร้า หรือ Silver Sand Dune of Nubra เนื้อทรายสีขาวละเอียดมองไปได้สุดลูกหูลูกตา โอบล้อมด้วยภูเขาใหญ่หลายลูก
ขี่อูฐนูบร้าอูฐนูบร้าเป็นพันธุ์แบกเทรียน Bactrian มีสองหนอก ตัวไม่ใหญ่มากนัก มีขนหนาปกคลุมทั่วร่างกายเพื่อช่วยในการรักษาความอบอุ่นในฤดูหนาว เดิมใช้เป็นพาหนะหลักสำหรับขนส่งสินค้าตามเส้นทางแถบเอเชียกลาง





คาราวาน 


ลุย  ผูกเชือกเป็นกรุ๊ป วิ่งเบา ๆ ไปพร้อมกัน 



ดึกแล้ว  ก็ต้องมี spotlight ส่วนตัว  จนคนอินเดีย ขอให้ถ่ายรูปให้ แต่ทำไม เค้าไม่ส่องไฟจากมือถือกันเอง  มาต่อคิวพวกเราเฉยเลย แต่ก็ถ่ายให้นะ
คืนนี้พักที่ นูบร้า วัลเล่ห์  นอนไม่ค่อยหลับ หายใจไม่เต็มปอด โรงแรมไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมเพดาน  ไฟฟ้าเปิด 14.00-23.00 น.(ไม่แน่ใจว่า แต่ประมาณนี้) อากาศเย็น ๆ  แต่ผ้าห่มหนามาก ก็เลยร้อน ถ้าไม่ห่มผ้าก็หนาว

 


 

วันที่ห้า 20.9.66  พระราชวังเลห์ คาร์ดุงลาพาส

วัดซัมสทันลิ่ง (Samstanling Monastery) วัดทิเบตของนิกายหมวกเหลือง ภายในวัดประกอบไปด้วยวัดน้อยใหญ่รวมกันกว่า 7 วัด ที่มีความเก่าแก่มากกว่า 100 ปีเป็นวัดที่มีลามะจำนวนมาก มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อนุรักษ์ดูแลไว้เป็นอย่างดี

 









 



วิวระหว่างทาง ไฮไล  ต้องถ่ายรูปบนรถจ้า










คาร์ดุง ลา พาส (Khardung La Pass)  ทางผ่าน ไกด์แวะให้อีกรอบนึง  ความสูงอยู่ที่ 5,359 เมตร  วันนี้ หิมะไม่ตก สวยไปอีกแบบนึง














อยู่นานไปหน่อย เลือดกำเดาไหล หน้าซีด ปากเริ่มเขียว  ต้องรีบสูดอ๊อกซิเจน  ซื้อแบบถัง แชร์กัน 4 คน  เนื่องจากตอนไปซื้อ แบบกระป๋องพ่นจมูกไม่มี มีแต่พ่นใส่ปาก

มีอาการแพ้ความสูง ตั้งแต่อยู่ที่ leh  หายใจไม่สุด หายใจลึก ๆ แล้วเจ็บหน้าอก   มีกรดในกระเพาะ ลำไส้ปั่นป่วน  เสียงหายแต่ไม่มีอาการเจ็บคอ กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ  แต่คนอื่นน่าจะไม่เป็น โชคดีที่ทานยาแพ้ความสูง ไม่มีอาการคลื่นไส้ แต่ต้องกินยาแก้เมารถ เส้นทางคดเคี้ยวมาก
 



เจดีย์สันติภาพ(Shanti Stupa) เป็นเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่ โดยชาวญี่ปุ่นเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพแห่งโลก รอบๆเจดีย์สามารถมองเห็นหิวทัศน์ของเมืองเลห์ได้อย่างรอบด้าน
 








ด้านหลังจะเห็น พระราชวังเลห์

พระราชวังเลห์ (Leh Palace) ตั้งอยู่บนเนินเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากจัตุรัสกลางเมือง สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 มีทั้งหมด 9 ชั้น ในอดีตเป็นพระราชวังที่ประทับของราชวงศ์แห่งลาดักห์


พระราชวังเลห์  เดินขึ้นก็เหนื่อย และหอบ ปกติเป็นคนแข็งแรง รู้สึกไม่ชิน ต้องนั่งพักเป็นระยะ  หมดสภาพ




มุมมหาชน กว่าจะเดินถึง เหนื่อยมาก


เท่ห์







สนุกสนาน 


 

วันที่หก 20.9.23  ทะเลสาบพันกอง ลาชาง ลา พาส
 


อดีตถนนเส้นที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก ชาง ลา (Chang La pass) ระดับ ความสูง 5,360 เมตรจากระดับน้ำทะเล

 





กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทางวัดเจิมหน้าผากให้ การเจิมหน้าผากของผู้หญิงจะใช้สีแดง ส่วนการเจิมหน้าผากของผู้ชายจะใช้สีส้ม การเจิมเป็นเหมือนเครื่องหมายว่าผู้มาเยือนได้ดำเนินการสักการะองค์เทพและเทวีต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว และทำให้ผู้เดินทางไปสักการะได้รับพรจากทุกองค์แล้ว
 





มาร์มอต(Marmot) สัตว์ตระกูลเดียวกับกระรอกที่ขุดหลุมใต้ดินไว้เป็นอาณาจักรส่วนตัว เป็นดาวเด่นของภูเขาแถบนี้ก็ว่าได้ เพราะใคร ๆ ต้องจอดรถ ลงไปทักทาย และดูท่ามาร์มอตเองก็ชินคนไม่น้อย ดูจากการวิ่งเข้าใส่หรือไต่ขึ้นมาบนตัก ในช่วงฤดูหนาวพวกมันจะจำศีลและอยู่ได้ด้วยพลังงานที่กักเก็บไว้ในร่างกาย



มีคนนำ แอปเปิ้ล มาให้ นางก็ออกมาให้ยลโฉม ไม่หนี











อยู่นานไปหน่อย  เลือดกำเดาไหลอีกละ ฝุ่นเยอะ ต้องรีบขึ้นรถ ไปสูดออกซิเจน

 
ไปซิ่งกัน

ทะเลสาบพันกอง(Pangong Lake) ทะเลสาบผางกงโฉ (ในภาษาจีน) หนึ่งในทะเลสาบน้ำเค็มที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของแคว้นลาดักห์ พื้นที่พรมแดนทับซ้อนของอินเดียและจีน (พื้นที่เขตการปกครองตนเองทิเบต) พื้นที่ของทะเลสาบเองก็มีพื้นที่ครอบคลุมรอยต่อของทั้ง 2 ประเทศเช่นกัน โดย 40% ของความยาวทะเลสาบจะอยู่ในอินเดียและส่วนอีก 60% ที่เหลือจะอยู่ในดินแดนจีน ระดับความสูง 4,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
 













ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงมาจาก ภาพยนตร์เรื่อง 3 Idiots ภาพยนตร์เสียดสีระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยอินเดียแบบมันส์หยด  มีพร๊อบให้ถ่ายรูป คนละ 50 รูปี
 

วิวสวยมาก ๆ  น้ำทะเลสีฟ้าใส เหมือนกับ สีท้องฟ้า  ภูเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่  อากาศเบาบาง 





















 

วันที่เจ็ด 21.9.23 เดินทางกลับบ้าน
เดินทางจาก สนามบินเลห์ ไป เดลี  ที่แสนจะวุ่นวาย   อาหารกลางวันเป็นอาหารจีน สไตล์ อินเดีย ไม่ค่อยถูกปาก 
พอมาถึงเดลี  ไม่มีอาการแพ้ความสูงแล้ว   เสียงที่หายไป ก็เป็นปกติ  เย้ ๆ  


ถ่ายรูปวิว บนเครื่องบิน จากเลห์ มา เดลี สวยมากมาย







 




Create Date : 14 ตุลาคม 2566
Last Update : 14 ตุลาคม 2566 20:46:36 น.
Counter : 3126 Pageviews.

0 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณ**mp5**

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Meanangtatalim
Location :
สมุทรสาคร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



บันทึกการเดินทางจาก ตะลอนทัวร์ไปเรื่อย
ตุลาคม 2566

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog