แนวการเขียน Resume อย่างง่ายๆ
ก่อนที่เราจะเริ่มเขียน Resume เห็นจะต้องเข้าใจทำความเข้าใจเสียก่อนว่า Resume คือ ประวัติโดยย่อของเรา แต่ไม่ได้รวมความถึง อัตชีวประวัติของเรา ดังนั้น Resume ที่ดี ควรมีความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ นอกเสียจากว่า คุณมีประสบการณ์ที่เป็นลักษณะของ Technical Skill หรือ ความสามารถที่เป็น Professional จริงๆ ถ้าเป็นประการนี้ เราอาจต้องเขียนยาวเกิน 2 หน้า แต่โดยทั่วไปให้ถือหลักว่า Resume ควรกระชับได้ใจความ และ ความยาวมากสุดที่ 2 หน้า
สำหรับขั้นตอนง่ายๆที่เราสามารถใช้เป็นแนวการเขียน Resume แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน
ขั้นตอน 1 คุณต้องรู้ว่าจะต้องเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้าง โดยยึดหลักดังต่อไปนี้
เป้าหมายของการเขียน Resume ให้คำนึงถึง
Resume จะเป็นตัวบ่งบอกถึงประสบการณ์การทำงานของคุณ
Resume จะบ่งบอกถึงความสามารถ หรือ ทักษะ ต่างๆของคุณ
Resume จะโชว์ถึงวุฒิการศึกษาของคุณที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณสนใจ
ขั้นตอนการเขียน Resume ควรจะคำนึงถึง 8 หัวข้อดังนี้
1. Name & Address
2. Education
3. Work Experience
4. Interests
5. Activities
6. Awards
7. Miscellaneous
8. References
จากหัวข้อข้างบน เป็นแนวทางให้เราเก็บรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเราออกมาเป็นข้อๆ เพื่อการเลือกข้อมูลที่ดีที่สุดมาทำการเขียน
Name & Address:
โปรดเขียน ระบุ ชื่อ นามสกุล พร้อมด้วยคำนำหน้าชื่อของคุณให้ครบถ้วนในส่วนนี้ รวมทั้งที่อยู่และเบอร์โทรที่สามารถติดต่อคุณได้ อย่าใส่เบอร์โทรที่บ้านที่คุณไม่ได้อยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นให้ใส่เป็นเบอร์ มือถือจะดีกว่า
Education
ความเป็นจริง ผู้สัมภาษณ์ คงไม่ต้องการรู้ประวัติการศึกษาของคุณจนถึงระดับมัธยมอย่างแน่นอน ดังนั้นจงใส่วุฒิการศึกษาที่คุณคิดว่า เกี่ยวข้องกับการสมัครงาน และ วุฒิการศึกษาที่คุณได้รับแล้วเท่านั้น ในส่วนของ ข้อมูลการศึกษา อาจจะประกอบไปด้วย
Professional or occupational Qualifications
หรือ ประวัติการได้รับการอบรมในด้านสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง
Training Courses
ประวัติการฝึกอบรมต่างๆ
Military Service
ประวัติการรับราชการทางทหาร สำหรับท่านที่มีประสบการณ์และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในตำแหน่งงานได้
WORK EXPERIENCE OR CAREER HISTORY
จงเขียนประสบการณ์ทำงานที่คุณคิดว่าเป็นประโยชน์กับการทำงานของคุณ ไม่จำเป็นต้องใส่ทุกที่ ถ้าคุณเป็นคุณหนึ่งที่เปลี่ยนงานบ่อยมาก แต่จงเลือก ประสบการณ์ทำงานล่าสุดก่อน และ เลือก ประสบการณ์ทำงานที่คุณทำได้นานและ ได้รับประสบการณ์จริง โดยคำนึงถึง
Date
Employed Employers’ details
Job Title
Your key Tasks and Responsibilities
Interest
เป็นส่วนเสริม ที่คุณสามารถเพิ่มลงไป ในกรณีที่คุณเป็นเด็กจบใหม่ เพราะ จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เข้าใจคุณได้มากขึ้น อีกทั้งคุณเองก็ยังไม่มีประสบการณ์การทำงาน ดังนี้ ข้อมูลส่วนนี้จะเป็นข้อมูลที่ดีของคุณ
Activities
อันนี้เช่นเดียวกัน ที่เป็นส่วนเสริม สำหรับท่านที่ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก หรือ นักศึกษาจบใหม่ ที่จะใช้มาเขียนให้ผู้สัมภาษณ์ได้ทราบถึงลักษณะความสนใจและประวัติด้านการเข้าสังคมของท่านได้ดีเช่นกัน
Award
เป็นส่วนเสริม สำหรับท่านที่ได้รับรางวัล แต่ต้องให้มั่นใจว่า รางวัลที่ได้รับพิสูจน์ได้ในกรณีที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการเห็นเอกสาร และ ควรเป็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่ท่านสนใจสมัครด้วยโปรดอย่าลงอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสมัครงานของท่านลงไปเลย เพราะมีแต่จะทำให้ดูเลอะเทอะ
Miscellaneous
สิ่งที่เป็นคุณสมบัติ หรือ ทักษะของคุณ ที่คิดว่าเป็นความสามารถเฉพาะของคุณ เขียนออกมาก่อน
References
ในส่วนนี้คุณไม่จำเป็นต้องเขียนลงไปใน Resume แต่ให้ใส่คำว่า “Available upon Request.” แทนได้
ขั้นตอนที่ 2
ในขั้นตอนนี้ให้คุณอ่านข้อมูลทั้งหมดของคุณที่ทำการรวบรวมได้ในขั้นตอนแรก และ เลือกข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อเตรียมการเขียน Resume ของคุณ คุณอาจจะทำ Mark หรือ วงกลม ในข้อที่เป็นข้อมูลที่ดีของคุณ โดยขั้นตอนนี้คุณอาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของคำศัพท์ที่ใช้ด้วยเช่นกัน ให้สื่อออกมาเป็นตัวคุณ และ ต้องเกี่ยวข้อง คล้องจองกันทั้หมด ให้กลายเป็นประวัติของคุณใน Resume
ขั้นตอนที่ 3
หลังจากผ่านขั้นตอนที่ 1 ในการเตรียมข้อมูล ขั้นตอนที่ 2 เลือกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานที่คุณต้องการสมัครออกมารวมทั้ง ค้นหาศัพท์ คำที่ต้องใช้เขียน เพื่อให้สอดคล้องและเป็นภาษาธุรกิจ ขั้นตอนต่อไปที่คุณต้องคำนึงถึง คือ การจัดวางข้อมูลทั้งหมดของคุณให้ได้เพียง 1 หน้า หรือ อย่างมากที่สุด 2 หน้า ไม่ควรเกินกว่านี้
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนที่สาม จะเป็นในเรื่องของรูปแบบ Resume ที่คุณจะนำมาใช้ ซึ่งมี ทั้งหมด 3 รูปแบบที่เป็นลักษณะของ Traditional Resume คือ
1. Chronological Resume
คือ การเขียนเน้นที่ประสบการณ์ทำงานของคุณ และ ความรับผิดชอบในงานที่ทำ มากกว่าสิ่งอื่นๆ โดยสิ่งสำคัญที่จะเน้น คือ ชื่อบริษัท ที่คุณทำ วันเดือนปีที่ทำงาน จำนวนปีที่ทำ ผู้สัมภาษณ์จะสามารถเห็นได้ชัดในรายละเอียดว่า คุณทำงานแต่ละทีนานเท่าไหร่ และ มีช่องว่างยังไงในการทำงานแต่ละที
คุณสามารถเลือกใช้ Resume รูปแบบนี้ได้ ถ้าคุณมีลักษณะดังนี้
- มีประสบการณ์ทำงานที่ดี
- มีงานทำอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยว่างงาน หรือ หยุดพักงานระยะยาว
- ประสบการณ์ทำงานไม่เปลี่ยนบ่อย มีประสบการณ์ทำงานที่ใช้เวลาทำงานแต่ละทีดี
- ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาอยู่ในสายงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณสนใจ ณ ขณะนั้น
ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ
- เป็นรูปแบบที่คุ้นเคย และ ผู้สัมภาษณ์อ่านง่าย สะดวกที่อ่าน
- ทำให้คุณมีความโดดเด่นอย่างชัดเจนในประสบการณ์ทำงานที่เหมาะสม
- ทำให้เห็นเด่นชัดถึงความก้าวหน้าในการทำงานของคุณ
- ทำให้เข้าใจได้โดยง่ายถึงขอบข่ายความรับผิดชอบที่ผ่านมาของคุณ
ผลเสีย
- ไม่เหมาะกับคนที่ชอบเปลี่ยนงาน
- ทำให้ดูออกได้ง่ายในเรื่องของอายุและความเหมาะสมของประสบการณ์
- ทำให้ดูออกโดยง่ายในกรณีคุณขาดการทำงานอย่างต่อเนื่อง หรือ ว่างงาน
B. Functional Resume
รูปแบบนี้จะเน้นที่ทักษะหรือความสามารถที่โดดเด่นของคุณที่คุณได้รับจากประสบการณ์ที่ผ่านมาต่อตำแหน่งงานนั้นๆ เป็นรูปแบบ Resume ที่ใช้ได้ผลดีสำหรับ
- ถ้าคุณต้องการเน้นถึงทักษะความสามารถมากกว่าประสบการณ์ที่ผ่านมา
- ในกรณีที่คุณเคยว่างงาน หรือ ไม่ได้ทำงานมาสักระยะ แล้วต้องการกลับเข้าไปทำงานใหม่
- ในกรณีที่คุณทำงานไม่ต่อเนื่องในแต่ละที่ที่ผ่านมา
- ในกรณีที่คุณมองหางานที่ต่างจากสิ่งที่คุณเคยทำ
- ในกรณีที่คุณคิดว่า อายุของคุณมีผลต่อตำแหน่งงานนั้นๆเช่น อายุน้อยเกินไป หรือ อายุมากเกินไป
- ในกรณีที่คุณเคยผ่านการทำงานที่หลากหลายประสบการณ์
- ในกรณีคุณเป็นเด็กจบใหม่
- ในกรณีที่คุณต้องการทำงานในด้านที่คุณไม่เคยทำมาก่อน
- ในกรณีที่คุณมีประสบการณ์ในด้านการทำงานดังกล่าว โดยส่วนตัวหรือ ไม่ผ่านการรับรอง
- ในกรณีที่คุณเคยทำธุรกิจของตนเองมาก่อน
ประโยชน์
- จะทำให้การประสบความสำเร็จที่ผ่านมาของคุณได้รับการเขียน และ ถูกใช้เป็นเสมือนจุดขายของคุณใน Resume
- คุณสามารถที่จะเขียนในลักษณะที่คิดว่า เหตุใดทักษะหรือความสามารถดังกล่าวจะส่งผลที่ดีต่อตำแหน่งงานที่คุณมุ่งหวังให้แก่ผู้อ่านได้ดี
- ลดความซ้ำซ้อนในการเข้าใจการทำงานหรือ ลักษณะความรับผิดชอบในเนื้องานที่ผ่านมาของคุณมาเป็นการจับประเด็นให้ถูกจุด
- คุณสามารถเลือกในการดึงทักษะ ประสบการณ์ที่อาจไม่ได้มาจากการทำงาน แต่มาจากการฝึกอบรม การสมัครเป็นอาสาสมัคร หรือ อื่นๆ มาเขียนให้เด่นชัดได้มาก
ผลเสีย
- ทำให้ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาของคุณไม่โดดเด่น หรือ ได้รับความสำคัญน้อย
- สามารถใช้ Resume ฉบับนี้ได้กับตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
- คุณต้องมีทักษะในการเขียนสูง เพื่อแสดงให้เห็นเด่นชัดถึงความสามารถหรือทักษะของคุณมีประโยชน์อย่างไรต่องานที่มุ่งหวัง
C. Combination Resume
เป็นรูปแบบผสมระหว่าง A กับ B เพื่อให้เกิดความสมดุล โดยผู้เลือกใช้ควรคำนึงถึง
- ถ้าคุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคุณสมบัติที่ต้องการของตำแหน่งงานที่คุณสนใจ
- คุณมีทักษะและความสามารถแต่อาจไม่มีประสบการณ์โดยตรง
- ในกรณีที่คุณสมัครงานในบริษัทเดิม ในตำแหน่งใหม่ หรือ แผนกใหม่
ประโยชน์
- จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างชัดเจนว่าคุณเป็นใคร มีลักษณะเด่นอย่างไร
- ในการเขียนลักษณะนี้ จะมี “Achievements” ซึ่งจะเป็นตัวที่ได้เลือกแล้วว่าเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณสนใจ และ ถูกนำมาเขียนให้เด่นชัด
- แก้ไขได้ง่าย สำหรับการสมัครงานที่อื่นๆ
ผลเสีย
- คุณจำเป็นต้องแก้ไขทุกครั้งที่สมัครงาน
- ทำให้ความสามารถบางอย่างของคุณไม่ได้ถูกเขียนลงไปด้วย
สรุป การเขียน Resume ในรูปแบบข้างบน คุณจะต้องตัดสินใจว่า คุณจะเขียนในรูปแบบใดก่อน หลังจากนั้นจะทำให้คุณตั้งเป้าหมายในการเขียนได้อย่างถูกต้อง Chronological ถูกใช้โดยทั่วๆไป สำหรับคุณที่มีประสบการณ์โดยตรงกับงานที่สนใจ Functional ถูกใช้สำหรับคนที่ประสบการณ์น้อย หรือ ไม่ต้องการเน้นประสบการณ์มากนัก แต่ต้องการเน้นถึงทักษะหรือ ความสามารถเฉพาะ Combination เป็นการรวมทั้งสองแบบให้มีความเหมาะสมมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 4
หลังจากที่คุณตัดสินใจได้ว่า จะเขียน Resume ของคุณในรูปแบบใด คุณก็ควรร่างออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดก่อน โดยคำนึงขั้นตอนดังนี้
- ศึกษาตำแหน่งงานที่สนใจว่า เขาต้องการความสามารถอะไรที่ต้องมี หรือ ไม่ต้องมีก็ได้ อ่านให้เข้าใจอย่างแท้จริงเสียก่อน
- หลังจากนั้น พิจารณาความสามารถหรือทักษะของคุณที่ได้เขียนออกมาว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร
- เลือกข้อมูลนำมาเขียนโดยใช้คำศัพท์เฉพาะหรือ ภาษาทางธุรกิจมาช่วยเขียน
- เขียนให้อ่านง่าย ตรงประเด็น และตอบคำถามตนเองเบื้องต้นว่า เหตุใดคุณจึงเหมาะสมกับตำแหน่งงานดังกล่าวให้ได้เสียก่อน
- ตรวจสอบความถูกต้อง ห้ามใช้คำสะกดผิด คำศัพท์ผิดใน Resume คุณโดยเด็ดขาด
- อย่าระบุเงินเดือนลงไปใน Resume ของคุณ จนกว่าในประกาศจะบอกว่า ให้ระบุ คุณจึงค่อยระบุ
- ควรใช้รูปแบบที่ง่าย และ สบายตาในการอ่าน
- อย่าเขียนติดกันเป็นพรืด ไม่เว้นวรรคโดยเด็ดขาด
- ในกรณีที่คุณส่งทางอีเมลล์ จงเลือกใช้ Front ที่เป็นมาตราฐานเช่น Time New Roman อย่าเลือกใช้ Front อื่นๆ เพราะอาจมีปัญหาในการเปิดอ่านได้
- สุดท้ายก่อนที่คุณจะส่งออกไป ให้เพื่อนหรือ คนที่มีทักษะด้านภาษาช่วยทำการตรวจสอบให้คุณอีกรอบ
แค่นี้คุณก็สามารถมี Resume ในการสมัครงานได้ตามต้องการ
^^