บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2549
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
15 มิถุนายน 2549
 
All Blogs
 

หลากหลายเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง

หลากหลายเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง


จากเมล์ที่ได้รับ



"ครองใจคน" หลากเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง


".... ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใดที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้

...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ๆ ทรงครองแผ่นดิน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรง "ครองใจคน.."

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช




เรื่อง "เดิมพันของเรา"


ครั้งหนึ่งเมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า"เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่"

ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า

"ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ"

ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ฉบับ 5 ธ.ค.32




เรื่อง "ราษฎรยังอยู่ได้"


ปีพุทธศักราช 2513 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดําเนินไปเยี่ยมราษฎรในตําบลหนึ่งของอําเภอเมืองพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น

ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน แต่คําตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ

"ราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้ แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ"

ข้อมูลจากคําอภิปรายเรื่อง "พระบิดาประชาชน"




และมีอีกหนึ่งพระกระแสพระราชดํารัสที่เป็นคําตอบว่าเหตุใดจึงไม่อาจหยุดทรงงานได้

"...คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกําลังและความสามารถเท่าที่จะทําได้"



"ดอกไม้จากหัวใจ"


ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บ่ายวันที่ 13 พ.ย. 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วน

ช่างภาพประจําพระองค์ ได้บันทึกภาพในวินาทีสําคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ ภาพที่พูดได้มากกว่าคําพูดหนึ่งล้านคํา

วันนั้นหลังจากทรงบําเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น

ดังเช่น ครอบครัวจันท์นิตย์ ที่ลูกหลานช่วยกันนํา แม่ตุ้ม จันท์นิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจํานวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอย่างอ่อนโยน เป็นคําบรรยายเหมือนไม่จําเป็น สําหรับภาพที่ไม่จําเป็นต้องบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคําใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม

เช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสําคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า

"หลังจากเสด็จพระราชดําเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสํานักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแผ่นมาทางอําเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก"

พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปีเต็ม ๆ แม่เฒ่าตุ้ม จันท์นิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี

ข้อมูลจาก "แม่เฒ่าตุ้ม จันท์นิตย์" ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย



"เขาเดินมาเป็นวัน ๆ"


"...มีอยู่ครั้งนึง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี ได้ตามเสด็จ...ตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอําเภอใหญ่ ๆ ก็เสด็จฯ ประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรมาเรื่อย ๆ ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าแหม นานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้านี้รู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่าพอหรือยัง ก็โดนกริ้วนี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวัน ๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว.."

พระราชดํารัสสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันที่ 11 ส.ค. 2534



"ต่อไปจะมีน้ำ"


บทความ "น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา" เขียนโดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.2528 ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษถึงเรื่องอัศจรรย์ของ "ในหลวง" กับ "น้ำ" ที่เกิดขึ้นในคําวันหนึ่งของเดือน ก.พ.2528

ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก หญิงชราคนนึ่งที่มาเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม ขอพระราชทานน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดํารัสตอบว่า

"ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้"


แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดําเนินกลับไปยังรถพระที่นั่งซึ่งจอดห่างออกไปราว 5 เมตร ปรากฏว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ ๆ ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบปี ทําให้ผู้ตามเสด็จและราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงง ไปตาม ๆ กัน



"เก็บร่ม"


การเสด็จพระราชดําเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง ราษฎรก็ไม่เคยย่อท้อที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน

ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ เล่าไว้ในบทความ "พระบารมีปกเกล้าฯ ที่อําเภอท่ายาง" ตีพิมพ์ในหนังสือ "72 พรรษาราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์" ว่าครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ นายตํารวจราชองค์รักษที่ตามเสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎรที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่างก็เปียกฝนโดยทั่วกัน"จึงมีรับสั่งให้นายตํารวจราชองครักษเก็บร่ม แล้วทรงพระดําเนินเยี่ยมข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จ โดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น"



"สิ่งที่ทรงหวัง"


ครั้งหนึ่งขณะเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งได้ขอพระราชทานสัมภาษณ และได้กราบบังคมทูลถามว่าการที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรและมีโครงการตามพระราชดําริเกิดขึ้นมากมายนั้นทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสตน้อยลงใช่หรือไม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งตอบว่า"มิได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสตจะน้อยลงหรือไม่ แต่ทรงสนพระทัยว่าประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลงหรือไม่"



"รักถึงเพียงนี้" และ "จุดเทียนส่งเสด็จ"


บทความชื่อ "แผนดินร่มเย็นที่นราธิวาส" ตีพิมพ์ในนิตยสาร "สูอนาคต" ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ ได้เล่ายอนให้เราได้เห็นภาพความยากลําบากในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทางภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตําหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลาย ๆ หมู่บ้านนั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้านที่ทั้งทุกข์เพราะยากจนและทุกข์เพราะภัย คุกคาม จึงได้เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกําลังใจให้ราษฎรของพระองค์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกําลังอารักขา และบางหมู่บ้านตํารวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปนแล้วยิงตายก่อนเสด็จไปถึงเพียงไม่กี่ชั่วโมง

ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอําเภอรือเสาะจะ ..เข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า"ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้"..

บทความเดียวกันได้เปดเผยต่อไปอีกว่าที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอําเภอเดียวกันนั้น "โตะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า..รายอกลับไปเถอะ ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา..." และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว โตะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอด เสนทางอันตราย ด้วยความห่วงใยใน "รายอ" และ "ประไหมสุหรี" หรือ พระราชาพระราชินีของพวกเขา อย่างสุดซึ้ง



"รถติดหล่มกับถนนสายนั้น"


หากยอนกลับไปคนหาจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจในด้านการพัฒนาแล้ว ชื่อของ "ลุงรวย" และ "บ้านห้วยมงคล" คือสองชื่อที่ลืมไม่ได้

เรื่องราวของ "ลุงรวย" เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2495 หรือมากกว่าห้าสิบปีล่วงมาแล้ว ที่บ้านห้วยมงคล ตําบลหินเหล็กใน จังหวัดประจวบคีรีขันธ บ้านห้วยมงคลนี้อยู่ทั้ง "ใกล้และไกล" ตลาดหัวหิน ใกล้เพราะระยะทางที่ห่างกันนั้นไม่กี่กิโลเมตร แต่ไกลเพราะไม่มี ถนน หากชาวบ้านจะขนพืชผักไปขายที่ตลาดต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ ห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้ แต่วันหนึ่งกลับมีรถยนตคันหนึ่งมาตกหล่มอยู่ที่หน้าบ้านลุงรวย เมื่อเห็นทหารตํารวจกว่าสิบนายระดมกําลังกันช่วยรถคันนั้นขึ้นจากหล่ม ลุงรวยผู้รวยน้ำใจสมชื่อก็กุลีกุจอออกไปช่วยทั้งงัด ทั้งดัน ทั้งฉุด จนที่สุดล้อรถก็หลุดจากหล่ม

เมื่อรถขึ้นจากหล่มแล้ว ลุงรวยจึงได้รู้ว่ารถคันที่ตัวทั้งฉุดทั้งดึงนั้นเป็นรถยนตพระที่นั่งและคนในรถนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินีนาถ แม้จะตื่นเต้นตกใจที่ได้เฝ้าฯ ในหลวงอย่างไม่คาดฝน แต่ลุงรวยก็ยังจําได้ว่าวันนั้น "ในหลวง" มีรับสั่งถามลุงว่า

"หมู่บ้านนี้มีปัญหาอะไรบ้าง.."


ลุงได้กราบบังคมทูลว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือไม่มีถนน จึงนอกจากจะโชคดีได้รับพระราชทาน "เงินก้นถุง" จํานวน 36 บาท ซึ่งลุงนําไปเก็บใส่หีบบูชาไว้เป็นสิริมงคลจนถึงทุกวันนี้แล้ว

อีกไม่นานหลังจากนั้น ลุงรวยก็ได้เห็นตํารวจพลร่มกลุมหนึ่งเข้ามาช่วยกันไถดินที่บ้านห้วยมงคล และเพียง หนึ่งเดือนเท่านั้น ชาวบ้านก็ได้ถนนพระราชทาน ถนนห้วยมงคลที่ทําให้ชาวไร่ห้วยมงคลสามารถขนพืชผักออกมาขายที่ตลาดหัวหินได้ภายในเวลาเพียง 20 นาที



"สามร้อยตุม"


มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงต่าง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผู้ส่องถวายอย่างไม่สะดุงสะเทือนอย่างมากที่ทรงทําคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณขันว่า

"..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่ เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุมแดง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.."



"น้ำท่วมครั้งนั้น"


วันที่ 7 พ.ย. 26 ขณะที่ชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งกําลังทนทุกข์หนักกับสภาพน้ำท่วมขัง น้อยคนที่จะรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกําลังทรงพยายามหาหนทางบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ

วันนั้นรถพระที่นั่งแวนแวคคอนเนียร์ แล่นออกจากพระตําหนักจิตรลดารโหฐาน ราวบายสองโมงเศษ สูถนนศรีอยุธยา เลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี มุงสูถนนบางนาตราด ไม่มีหมายกําหนดการ ไม่มีการปดถนน แม้แต่ตํารวจท้องที่ก็ไม่ทราบล่วงหน้า รถยนตพระที่นั่งชะลอเป็นระยะ ๆ เพื่อทรงตรวจดูระดับน้ำ จนเมื่อถึงคอสะพานสร้างใหม่ที่คลองลาดกระบัง จึงเสด็จลง จากรถยนตพระที่นั่งเพื่อทรงหารือกับเจ้าหน้าที่ที่ตามเสด็จ ทรงฉายภาพด้วยพระองค์เอง ทรงกางแผนที่ทอดพระเนตรจุดต่าง ๆ จนถึงเวลาบายคล้อย รถยนตพระที่นั่งจึงแล่นกลับ

เมื่อถึงสะพานคลองหนองบอน รถพระที่นั่งหยุดเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉายภาพบริเวณน้ำท่วมและทรงศึกษาแผนที่ร่องน้ำอีกครั้ง ปรากฏว่าชาวบ้านทราบข่าวว่า "ในหลวงมาดูน้ำท่วม" ต่างก็พากันมาชมพระบารมีนับร้อย ๆ คน จนทําให้การจราจรบนสะพานเกิดการติดขัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงโบกพระหัตถ์ให้รถขบวนเสด็จผานไปจนเป็นที่เรียบร้อยด้วยพระองค์เอง



"เชื่อมั่น"


เย็นย่ำแล้วแต่ขบวนรถยนตพระที่นั่งยังไม่หมดภารกิจ เมื่อรถวิ่งกลับมาทางถนนพัฒนาการ ทรงแวะฉายภาพบริเวณ คลองตัน ทอดพระเนตรระดับน้ำแล้วทรงวกกลับมาที่คลองจิก เวลานั้นฟ้ามืดแล้วเพราะเป็นเวลาจวนค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงนําไฟฉายส่วนพระองค์ออกมาส่องแผนที่ ป้องกันน้ำท่วมและแนวพนังกั้นน้ำอยู่เป็นเวลานาน กลายเป็นอีกภาพหนึ่งที่สร้างความตื้นตันใจแกประชาชนชาวกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง ประชาชนคนหนึ่งในละแวกเคหะนคร 1 แขวงบางบอน เขตประเวศ บอกว่า

"รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพนที่ทรงห่วงใยทุกข์ของราษฎร เสด็จฯ มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง พวกเราถึงจะทนทุกข์เพราะน้ำท่วมขังเน่ามาเป็นเวลานานก็เชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน"



เคยอ่านบทสัมภาษณที่ในหลวงให้สัมภาษณผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อครั้งเดินทางไปที่อเมริกา ว่าเพราะเหตุใดพระองค์ถึงไม่ทรงยิ้มหรือพระสรวลบ้างเลย เวลาให้สัมภาษณกับนักข่าว พระองค์ทรงชี้ไปที่พระราชินีที่นั่งอยู่ข้างๆ พระองค์ พร้อมกับตอบคําถามที่นักข่าวคนนั้นถามว่า

"She's my smile"


เมื่อนักข่าวมองไปที่พระราชินี ท่านก็ทรงยิ้มให้กับนักข่าวต่างประเทศเหล่านั้น ผมชอบประโยคนี้จังครับ



"ฉันทนได้"


ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนตองค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหักเฉียดโพรงประสาทฟัน พระทนตองค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กําลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า

"จะใช้เวลานานเท่าใด"

ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่าอาจต้องใช้เวลา 1-2 ชม. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า

"ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฎรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน"



"คําสอนประโยคเดียว"


เมื่อนิตยสาร "สไตล์" ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคําถามกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ถึง "คําสอน" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ ดร.สุเมธ ซึ่งขณะนั้นดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเลขานุการ กปร. ตอบว่า"คําสอนประโยคเดียวก็เกินพอ" นั้นคือพระราชดํารัสที่ว่า

"มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทําประโยชน์ให้แกผู้อื่น"



"ดีใจที่สุด"


สําหรับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์มืดมน พระบรมฉายาลักษณไม่เพียงเป็นรูปเคารพบูชา แต่ยังเป็นเสมือนสัญลักษณของความศรัทธาที่ช่วยให้มีแรงต่อสูกับความทุกข์ต่อไปได้ ดัง คุณยายละเมียด แสงเนียมวัย 72 ปี ชาวจังหวัดชุมพร ผู้ที่เผชิญกับอุทกภัยภาคใต้ในปี 2540 น้ำท่วมบ้านสูงมากจนอยู่อาศัยไม่ได้

"อยู่ ๆ น้ำก็ท่วมมาเร็วมาก ยายต้องไปขออาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่ ต่อมาก็ขึ้นไปอยู่ชั้นบน ออกไปไหนไม่ได้เลย...พอดีที่บ้านนี้เขาปลูกมะละกอ ต้นมันสูงมาถึงหน้าต่างเราก็เอื้อมถึงพอดี เลยได้กินข้าวกับมะละกอ ก็กินมาสามวันมาเมื่อวานผู้ใหญ่บ้านมาบอก มูลนิธิในหลวงจะเอาของมาแจกยายคิดเลยว่าไม่อดตายแล้ว ทุกครั้งที่คนไทยเดือดร้อนในหลวงจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้งของที่ยายได้มา ที่ดีใจที่สุดคือมีรูปของท่านมาด้วย ที่บ้านเสียหายหมดแล้ว ยายจะเอารูปท่านไว้บูชา"

ยายพูดแล้วก็ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักสุดหัวใจ



"ทุกข์บรรเทา"


การ "ประทับอยู่ในบ้านเมือง" ดังพระราชดํารัสนั้น ในเวลาต่อมาก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้หมายถึงการประทับอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์จนแทบจะทั่วทุกตารางนิ้วที่พระบาทจะย่างไปถึงได้

ทรงวิทย์ แก้วศรี ผู้เรียบเรียงบทความ "บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ" บันทึกไว้ว่าวันที่ 13 ก.ย 2497 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 26 พรรษา และทรงครองราชย์เป็นปีที่ 8 ปรากฏว่าเกิดเหตุการณอัคคีภัยครั้งร้ายแรงขึ้นที่อําเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดําเนินไปเยี่ยมเยือนราษฎรขาวบ้านโป่งผู้ประสบภัยในพื้นที่ ทรงทอดพระเนตรบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้และพระราชทานสิ่งของบรรเทาทุกข์ ทุกข์ในยามยากเพราะสิ้นเนื้อประดาตัวจากภัยเพลิงนั้นมากล้น แต่ เมื่อได้รู้ว่ายังมีใครสักคนคอยเป็นกําลังใจ ทุกข์สาหัสแค่ไหนก็ยังพอมีแรงกายลุกขึ้นสูต่อได้ การเสด็จพระราชดําเนินเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบภัยในครั้งนั้น นับได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดําเนินเยี่ยมราษฎร ต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในรัชกาล



"141 ตัน"


เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณแห่ง ความสําเร็จของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา

จน 29 ปีต่อมามีผู้คํานวณให้ฉุกใจคิดกันว่าพระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้นเป็นพระราชภารกิจที่หนัก หน่วงไม่น้อย หนังสือพิมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3 ชม. เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่ พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน ไม่เพียงเท่านั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ยังเล่าเสริมให้เห็น "ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ" ที่ไม่มีใครคาดถึงว่า

"..ไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา โบว์หลุดอะไรหลุดพระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก"



"สุขเป็นปี ๆ"


ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับปริญญาตรี คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่าพระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย ที่สําคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสําหรับผู้สําเร็จปริญญาตรี นั้นสําคัญ เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาส ศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น

"จะพระราชทานปริญญาบัตรแกบัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง.."



"พระมหากษัตริย์"


เมื่อมีผู้สื่อข่าว BBC ขอพระราชทานสัมภาษณเพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Soul of Nation ในปี 2522 โดยได้กราบบังคมทูลถามถึงพระราชทัศนะเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทย พระองค์ได้พระราชทานคําตอบว่า

"การที่จะอธิบายว่าพระมหากษัตริย์ คืออะไรนั้น ดูเป็นปัญหาที่ยากพอสมควร โดยเฉพาะในกรณีของข้าพเจ้า ซึ่งถูกเรียกโดยคนทั่วไปว่าพระมหากษัตริย์ แต่โดยหน้าที่ที่แท้จริงแล้ว ดูจะห่างไกลจากหน้าที่ที่พระมหากษัตริย์ที่เคยรู้จักหรือเข้าใจกันมาแต่ก่อนหน้าที่ของข้าพเจ้าในปัจจุบันนั้น ก็คือทําอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ ถ้าถามว่าข้าพเจ้ามีแผนการอะไรบ้างในอนาคต คําตอบก็คือไม่มี เราไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะเลือกทําแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสําหรับเรา"




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2549
14 comments
Last Update : 31 ตุลาคม 2551 18:03:59 น.
Counter : 1619 Pageviews.

 

อยากจะท้อแต่ก็ท้อไม่ได้..นี่คือความรักของพ่อที่รักลูก เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ค่ะ

 

โดย: Lauderdale By The Sea 15 มิถุนายน 2549 11:50:14 น.  

 

ทรงพระเจริญ

ซาบซึ้งจังค่ะ

 

โดย: prncess 15 มิถุนายน 2549 12:31:13 น.  

 





ขอพระองค์ท่าน มีพระพลานามัยแข๊งแรงคะ


 

โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) 15 มิถุนายน 2549 15:02:31 น.  

 

เมื่ออ่านจบ รู้สึกว่า.... พระองศ์ทรงเหนื่อยเหลือเกิน

...ท่านยังทนได้..... เพื่อประชาชนของท่าน

...แล้วพวกเราล่ะ เคยเหนื่อยเพื่อท่านบ้างหรือยัง...ทำความดีถวายในหลวง....เพื่อให้พระองศ์ทรงเหนื่อยน้อยลง....ขอพระองศ์ทรงพระเจริญ

 

โดย: เฉาก๊วย IP: 61.47.123.205 15 มิถุนายน 2549 15:56:31 น.  

 

บางเรื่องเคยอ่านมาบ้างแล้ว
แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ได้รู้

ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ


รักในหลวง

 

โดย: run to me 15 มิถุนายน 2549 16:22:38 น.  

 

รักนะ

รู้ว่าท่านเหนื่อย<

 

โดย: เกม IP: 61.19.46.110 15 มิถุนายน 2549 16:39:03 น.  

 

ขอบคุณมากนะคะ ที่เอาสิ่งดีๆๆมาให้อ่าน

รักในหลวง

ท่านทรงเหนื่อยเพื่อคนไทยจริงๆๆเลยค่ะ

 

โดย: yadegari 19 มิถุนายน 2549 3:09:07 น.  

 

พ่อของเราท่านเหนื่อยมาก
แต่เรายังคงทำให้ท่านเหนื่อย
มาเป็นคนดี อย่าเห็นแกตัว
เพื่อนให้ท่านชื่นใจเถอะค่ะ

 

โดย: Little Detective 2 กรกฎาคม 2549 10:45:59 น.  

 

ได้ใส่เสื้อเหลืองร่วมรักในหลวงเรียบร้อยแล้วค่ะ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานค่ะ

 

โดย: กิ่งไม้ไทย 15 สิงหาคม 2549 10:00:06 น.  

 

คะ อ่านแล้วก้อคิดถึงพ่อ จะยังงัยพ่อก้ออยู่นัยจัยลูกตลอดปัย สัญญาจะทำดีเพื่อพ่อคะ

 

โดย: ณัฐภัสสร ศรีเพ็ง IP: 58.147.46.153 5 กันยายน 2549 16:59:11 น.  

 


เหนือคำบรรยาย

 

โดย: B IP: 124.121.122.10 11 กุมภาพันธ์ 2550 1:51:06 น.  

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

 

โดย: ธนภร IP: 124.120.73.34 27 มิถุนายน 2550 3:33:27 น.  

 

อ่านแล้วน้ำตาซึมดีใจที่เกิดมาเป็นคนไทย
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ





วาสนา พุทธาอามาตย์

 

โดย: วาสนา พุทธาอามาตย์ IP: 61.19.65.95 25 สิงหาคม 2550 14:56:21 น.  

 

ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ
ยิ่งอ่านเรื่อง ไปหลายๆเรื่องแล้ว
ยิ่งทำให้ประทับใจ ยิ่งรักพระองค์มากยิ่งขึ้น

 

โดย: นศท.เอกภพ รุจิระประภาส IP: 125.27.194.242 26 มกราคม 2553 10:06:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.