เมื่อข้าพเจ้าไปเป็นเด็กวัดที่ Bön Monastery(3)
** (พ.ย. 2022) ทำการแก้ไขการอ่าน Bön เป็น เพิน แทนคำเรียกเดิมที่ระบุว่า "บอน"
ฉันพยายามทำมือไม้แปลก ๆ ให้พระยุงดรุงดู ในช่วงระหว่างนั่งรอ Guest Master มาเปิดร้านขายของชำ “ไขว้นิ้วยังไงกัน ฉันเคยเห็นในหนังทิเบตตอนพระทำพิธีบูชา?.”
อันที่จริง มันก็มีการทำมือหลายแบบอยู่แต่ฉันจำได้แค่ลักษณะเดียวนี่แหละ
ยุงดรุงหงายมือขึ้นมาวางติดกัน ไขว้นิ้วก้อย ซ้ายทับขวา และเอานิ้วโป้งล็อค... เว้นนิ้วนางสองข้างไว้ จากนั้นก็ไขว้นิ้วกลาง ซ้ายทับขวา โน้มนิ้วชี้มากดทับไว้- อีกทีและบอกให้รู้ถึงชื่อเรียกที่ว่า 'Mudra' “แล้วทำไปเพื่อเป็นสัญลักษณ์อะไรรึเปล่า?”
หลังจากหัดทำได้สำเร็จแล้วฉันก็ถามต่อ
“อืม..ไปถามพระรินเชนเพื่อนเธอดีกว่านะ” พระยุงดรุงตอบ “เขาเป็นครูสอนเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนฉันไม่ถนัดเรื่องการอธิบายเท่าไหร่”
โห...ถ้างั้นฉันคงต้องไปเรียนภาษาทิเบต ไม่ก็ต้องหาล่ามไปแปลก่อนล่ะมั้ง ถึงจะเข้าใจที่รินเชนพูดได้เข้าใจ แล้วเรื่องตามหาความหมายของ Mudra ก็ต้องเป็นอันพับเก็บลง!
อาคารห้องสมุด
เรื่องการมาอยู่วัดบางทีก็ไม่ได้เงียบเหงาวังเวงเท่าไหร่นัก เพราะรินเชนมัก จะหาคนมาช่วยเป็นล่ามให้เสมอ ดังนั้นก็จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่ฉันจะได้เจอ กับใครหลายคนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
อย่าง พระทินเล่ ผู้ดูมีหน้าตาดูแปลกแยกไปจากชาวทิเบต ก็ทำให้อดสงสัย ไม่ได้ว่าเป็นใครมาจากไหนกันแน่? และคำตอบนั้นก็คือทินเล่เป็นชาวคินนัวร์ เขาบอกว่ามาอยู่ที่วัดตั้งแต่หกขวบ และแม้ว่าที่บ้านจะนับถือพุทธผสมกับฮินดู ตามสไตล์วัฒนธรรมลูกผสมของคนที่นั่น แต่ตัวเขาก็เลือกที่จะมาเป็นพระใน ศาสนาเพิน พระคุนชก เป็นคนที่ถือกุญแจตึกห้องสมุดและมีหน้าที่ดูแลการคัดลอกตำราโดย จะทำการสแกนเล่มคัมภีร์ทั้งหมดลงบนสื่อดิจิตัล เพื่อรักษาข้อมูลและใช้เป็นสื่อ การเรียนการสอน
อีกทั้งในเวลาที่ห้องสมุดจะใกล้ปิดทำการตอนพักเที่ยง ฉันก็มักจะถูกคุนชกตามมาไล่ ...ไม่ใช่สิ มาเรียกเตือนเป็นประจำ
แล้วก็ยังมี ชีมมี เพื่อนชาวทิเบต(ที่ไม่ได้เป็นพระ) มาทำงานดูแลห้องสมุดและ เป็นลูกมือของคุนชก ซึ่งฉันมักจะมาขอยืมที่ชาร์จมือถืออยู่บ่อยครั้งแม้ว่าบางที เขาอาจจะต้องหัวเสียกับคำออกเสียงที่เรียกเพี้ยนเป็น 'ชิมิ' ที่แปลว่า "แมว" อยู่ตลอดก็ตาม
ช่วงสายของวันนี้ คุนชก มีเวลาพอที่จะพาฉันมาดูห้องทำงานที่เก็บวางตำราที่ ถูกพิมพ์เก็บลงแผ่นกระดาษแบบธรรมเนียมเก่าแก่สุมกองบนชั้นวางเต็มไปหมด ซึ่งมันจะถูกนำมาดัดแปลงสภาพเป็นไฟล์เพื่อบรรจุลงในแผ่น CD ภายหลัง และ ในทุก ๆ ปี ฐานข้อมูลเหล่านี้ก็จะถูกนำมาลงบันทึกใหม่เพื่อป้องกันการสูญหาย
ถึงแม้ว่าเพินจะดูเป็นศาสนาโบราณและยังถือจารีตโบราณอยู่ก็ตาม แต่การปรับ- ตัวให้เข้ากับโลกปัจจุบันได้นั้น บางครั้งก็จำเป็นจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเช่นกัน
ชีมมี ได้แอบบอกความลับบางอย่างเกี่ยวกับคุนชกให้ฟัง ว่าฉันควรเรียกเขาอย่างให้ความเคารพว่า "เกเช่" เพราะพระคุนชกเพิ่งจบหลักสูตรขั้นสูงนี้เมื่อปีก่อน
“ไม่” พระคุนชก บอกปฏิเสธอย่างไว
“เรียกฉันว่า คุนชก เฉย ๆ ก็พอ... ฉันอยากเป็นแค่ พระ ธรรมดา ๆ เท่านั้น”
นอกเหนือไปจากนี้ ที่ชั้นบนของห้องสมุดจะมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กตั้งอยู่ ซึ่งในเช้าวันหนึ่ง ฉันได้แวะมาที่อาคารฯ นี้ และบังเอิญมาเจอกับ 'แม็กกี้' สาวใหญ่ชาวอังกฤษเข้าพอดี เธอจึงได้ชวนฉันขึ้นมาดูห้องด้านบนพร้อมกับ พระบรรณารักษ์ที่มาไขกุญแจให้ ห้องนั้นมีการเก็บวัตถุเก่าแก่ อย่างข้าวของเครื่องใช้ ขวดโหลเก็บเมล็ดพันธุ์ฯ และรูปภาพที่ติดแสดงบนผนัง ซึ่งของบางอย่างก็ได้นำติดมาจากทิเบตในช่วง อพยพลี้ภัย แต่บางส่วนก็อาจต้องจำลองขึ้นมาใหม่
“ช่วยหยิบ สิ่งนั้นมาให้ฉันดูหน่อยเถอะ” แม็คกี้ วานให้พระบรรณารักษ์ช่วย เปิดกุญแจที่ล็อคปิดตู้โชว์ เพื่อนำงานสลักโลหะที่มีอายุเก่าแก่ มาจับลูบและมอง ด้วยความคิดถึง เธอเล่าให้ฉันฟังว่ามันเคยเป็นของ ๆ เธอ หลังจากที่ไปตามหา ตามซื้อจากแหล่งขายวัตถุโบราณมาอยู่หลายชิ้น และของบางส่วนที่ได้มาก็จะนำ เอามาบริจาคให้กับทางวัดเพื่อเก็บในพิพิธภัณฑ์
จากนั้นเราก็มายืนมองภาพที่ติดบนผนังเป็นสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ทิเบต และศาสนาเพิน แม็คกี้เล่าย้อนความหลังถึงเรื่องโน้นนี้ตามภาพไปเรื่อยว่ามี ที่ไหนบ้างที่เคยไปเยือนมาแล้ว อย่างเช่นการได้ไปเดินโกร่าวนรอบเขาไกรลาส ในทิเบตก็ด้วย
.....
(** หมายเหตุ : ในภาพนี้ไม่ได้เป็นเวลามืดอย่างที่เห็นนะ เนื่องจากช่วงนั้นไม่ค่อยมีแสงแล้ว และดูสลัว ๆ เราจึงเปิดแฟลชเอาไว้เพื่อไม่ให้ภาพเบลอ...ดังนั้นรูปนี้จึงดูเพี้ยนไปเยอะเลย)
ด้านความเป็นอยู่ หากไม่นับเรื่องอาหารการกินจากโรงครัวแล้วก็ยังจะมีมีร้าน- ขายของชำและร้านน้ำชาเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ด้านนอกสองสามแห่งให้บริการ
ส่วนในช่วงเย็นของทุกวันตั้งแต่ 4 โมงเย็นเป็นต้นไป ก็จะมีรถกระบะที่ขนนำเอา ผักและผลไม้สด มาชั่งกิโลขายกันตรงลานจอดรถแท็กซี่หน้าวัด ซึ่งฉันก็มักจะ ดอดมาอุดหนุนผลไม้อยู่บ่อยครั้ง และก็เห็นพระบางรูปออกมาหาซื้อผักเพื่อเอา กลับไปทำอาหารกินนอกเวลา (นอกเหนือไปจากที่โรงครัวของวัดเตรียมไว้) เนื่องจากพวกพระบางส่วนต้องท่องตำรากันจนดึกดื่น
แต่ในสิ่งที่ฉันได้เห็น... นี่คือฟากฝั่งของวัดหลักพื้นที่อารามสงฆ์นี้ จะมีแต่นักบวชชายประจำอยู่และดูเหมือนจะไม่ได้ลำบากอะไรนัก แล้ว 'อารามของพระผู้หญิง'ที่ตั้งกลางเขาไกล ๆ นั่น จะมีความเป็นอยู่ยังไงกัน? จากได้มองเห็นตัวอาคารที่ตั้งอยู่ไกลโพ้นในป่า ดูแล้วก็ช่างวังเวงซะจริง
ฉันจึงคิดว่าน่าจะไปดูให้เห็นกับตาสักหนจะดีกว่า เลยต้องไปถามเอาจากพระยุงดรุงตามเคย...
“ลงไปทางเดียวกับที่ไปโรงเรียนข้างล่างถ้าหาทางลัดเจอ ก็แค่ 15 นาที แต่ถ้าตามเดินทางรถวิ่งก็ไกลราวครึ่งชั่วโมง”
เขาช่วยอธิบายเส้นทางให้ฟังคร่าว ๆ ว่าจะเจอกับ 'ฟาร์มเห็ด' ที่เก่าแก่ของอินเดียตั้งอยู่ระหว่างทางก่อนถึงสะพานข้ามลำธารสายเล็กอีกด้วย
โรงเรียนท้องถิ่น ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางเดินผ่าน มีทั้งเด็กนักเรียนชาวทิเบต,เนปาลี และคนพื้นที่แถบนั้นเรียนร่วมกัน
เส้นทางถนน ที่ทำไว้พอให้รถขนาดเล็กวิ่งผ่าน
เส้นทางเดินเท้าไปวัดของพระผู้หญิง ไม่น่าจะต่างไปจากการขึ้นเขาลงห้วยนัก ฉันไม่คิดว่าจะหาทางลัดโดยการทะลุป่าเจอแน่ ก็เลยต้องไปเรื่อย ๆ ตามถนน ที่ทำไว้สำหรับให้รถวิ่ง ซึ่งดูแล้วก็น่าจะปลอดภัยกว่าเยอะ
แต่ผ่านไปนานสิบนาที ...ดูเหมือนจะเดินได้ไม่ถึงครึ่งทางเสียที ฉันได้ยินเสียงรถยนต์กำลังวิ่งมาจากทางด้านหลังแว่ว ๆ
“ไปวัดพระผู้หญิงใช่ไหม?”
หลวงลุงรูปหนึ่ง ได้ขับรถสวนมาได้จังหวะพอดีและได้แวะจอดถาม เขากำลังพาคนงานสามคน ที่นั่งอยู่ด้านหลังไปทำงานก่อสร้างที่ฟากโน้น อีกทั้งที่เบาะนั่งด้านหน้าก็ยังว่างอยู่...
ถ้าอย่างงั้นก็คงต้องขอติดรถไปด้วยโดยไม่เกรงใจล่ะนะ
มันเป็นเส้นทางที่วิบากมาก! หลังจากได้ขึ้นมานั่งรถแล้วก็ถึงกับรู้ซึ้งในความ กันดาร ที่รถต้องขับซิกแซกไปมา บางทีก็ต้องขึ้นเนินและพื้นส่วนใหญ่มักเป็นหลุม เป็นบ่อกระทั่งมีแอ่งน้ำขัง แต่ถึงอย่างนั้นพระท่านก็ยังซิ่งได้ไม่มีปัญหา
มีหนหนึ่งที่ฉันพยายามยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพของมุมหนึ่งที่ได้เห็นวัดหลักอยู่ บนเขาไกล ๆ ขณะที่รถยังแล่นโคลงเคลงอยู่ หลวงลุงก็ใจดีช่วยเบรกรถให้หยุด กระทันหันเพื่อให้ฉันยกกล้องได้สะดวก แต่นั่นก็ทำให้เกือบหน้าทิ่มเลยแน่ะ
เมื่อมาถึงยังจุดหมายแล้ว หลวงลุงและคนงานต่างก็ขนนำอุปกรณ์ก่อสร้างลงจาก รถเพื่อเตรียมเทพื้นปูนกันต่อ ขณะนั้นมีพระผู้หญิงที่ทำหน้าที่ดูแลสถานที่อยู่แค่ 6 รูป ตัวอาคารฝั่งนี้ยังดูใหม่เอี่ยมอ่อง อาจเพราะเพิ่งสร้างได้ไม่นานนัก
ที่อาคารใหญ่ตรงกลางจะเป็นพื้นที่ของหอสวด และมีหอพักเก่าและใหม่ตั้งขนาบข้าง
“ปกติจะมีกันอยู่ราวๆ 78 รูป แต่ตอนนี้เขาไปเรียนกันหมด”
หลวงลุง บอกให้ฟังถึงจำนวนผู้อยู่อาศัยในเขตอารามนี้ ซึ่งพระผู้หญิงจะมีชั้นเรียน แยกออกไปจากพระนักศึกษาชาย โดยสถาบันที่ว่าจะอยู่ไกลจากตรงนี้เล็กน้อย ส่วนตัวหลักสูตรจะมีการเรียนการสอนจนไปถึงระดับ เกเช่ เช่นเดียวกัน แต่สำหรับฝ่ายผู้หญิงจะเรียกในอีกชื่อว่า เกเช่มา (Geshema)
ภาพของวัด หรือ เมนรี่ จากระยะไกลกับตำแหน่งที่ตั้งอยู่บนภูเขา ซึ่งคำว่า MENRI นั้นก็ได้ถูกใช้เรียกแทนวัดในศาสนาเพิน โดยมีความหมายตรงตัวว่า Men = Medicine และ Ri = Mountain
พวกเขาให้ความสำคัญต่อศาสตร์การรักษาโรคแบบแผนโบราณ ซึ่งยึดความเชื่อ เรื่องตัวยาที่มาจากพืชพรรณสมุนไพรต่าง ๆ บนภูเขา และจากความหมายของ คำว่า"เมนรี่" นี้เอง ก็ทำให้ฉันหายแปลกใจว่า ทำไมที่ตั้งวัดจะต้องมาสร้างบนเนิน เขาสูง และให้ความสำคัญกับการจัดตั้งวิทยาลัยทางการแพทย์แผนโบราณควบคู่ กันด้วยแบบนี้
พระหญิงได้ชวนให้ฉันมานั่งผิงไฟที่ห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านนอกของอาคารใหญ่ มันถูกก่ออิฐสร้างแบบง่าย ๆ มีการก่อไฟตั้งหม้อต้มน้ำร้อนทิ้งไว้ และมีกองไม้ สำหรับทำเชื้อเพลิงและภาชนะอื่นที่วางกองไว้บนพื้น เธอเอาน้ำร้อนและชามา ให้ดื่ม หลังจากนั้นก็ตักข้าวกับแกงมาให้กิน ...อาหารมื้อนี้เป็นแกงถั่วที่เคี่ยวจน เป็นน้ำข้นแล้วก็ต้มฟักเขียวที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยผ่านการปรุงรสมากเท่าไหร่
หอสวดและพื้นที่ประกอบพิธีทางศาสนา (แต่วันที่ไปถูกปิดไว้เลยไม่ได้เข้าไปดู)
หอพักที่อยู่ข้างสองหอสวดมนต์
โรงครัวที่อยู่ชั้นล่างหอพักหลังเก่า เห็นพระผู้หญิงมานั่งกินข้าวกันที่นี่ในช่วงเที่ยง
มุมภาพจากเนินสูง และบรรยากาศโดยรอบของพื้นที่
ทางเดินขากลับที่ต้องเดินข้ามสะพาน
ในวันนี้จะมีพิธีสวดอวยพรที่วัดหลัก บรรดาเหล่าพระหญิงที่เหลือก็ต้องเดิน
ทางไปยังฝั่งโน้นเช่นกัน ฉันเดินกลับด้วยทางเท้าแต่ไปคนละทางกับกลุ่มพระฯ
ที่หายวับไปอย่างรวดเร็วในทางลัดที่ต้องเข้าป่า
ส่วนหลวงลุงท่านคงไม่ต้องรีบร้อนนักเพราะยังต้องคุมงานเทปูนต่อ อีกทั้งยังมีรถ
ให้ขับกลับเองได้ทันเวลาอยู่แล้ว และเรายังได้ทันเจอกันที่วัดอีกครั้งอยู่ดี
ซึ่งหลวงลุงจำฉันได้ และยังเดินเข้ามาทักทายอีกด้วย
“คนไทยกับคนทิเบต นี่หน้าตาคล้ายกันมากจริง!”
ลานหน้า Protector temple ที่เปิดประตูด้านหน้าในวันที่มีการประกอบพิธีสำคัญ
มีข้อความสั้น ๆ ที่ส่งมาทักทายจากอีเมล์โดยพระนาวังที่ได้บังเอิญมารู้จัก
ตอนที่ฉันเดินหลงทิศทางมาโผล่ผิดที่ผิดทางและอาสาเป็นไกด์พาเดินรอบวัด
เมื่อหนก่อน
พวกเราจะมีพิธีใหญ่กัน ที่ Protector Temple ในวันที่ 4
ถ้ามาได้ก็มา รู้จักวัดชื่อที่ว่าใช่ไหม?
นานทีปีหนจะได้ดูการพิธีฯ ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้จะพลาดได้ไงเล่า
วัดที่ว่าอยู่ตรงไหน.... รู้ วันที่เท่าไหร่....รู้ แต่เวลาไหน.... ไม่รู้ แล้ว วันที่ 4 นี่ก็คือพรุ่งนี้ไง นั่นคือปัญหา พอฉันไปถามใครต่อใครถึงเรื่องนี้ก็ไม่เห็นมีใครเข้าใจ... หรือจะว่าคนส่งสารแกล้งเขียนอำเล่นก็ดูไม่น่าใช่
"Ceremony อะไร ไม่เข้าใจ?"
แม้แต่ Guest Master ก็ยังตอบแบบม่ายรู้ ม่ายชี้
ชาวต่างชาติที่อยู่เกสท์เฮาส์ก็พูดกลาย ๆ ว่าจะมีพิธีอะไรที่วัดสักอย่าง
แต่พวกเขาก็ไม่รู้รายละเอียดดีนักเพราะดันไปถาม Guest Master เช่นกัน
คืนนั้นประมาณสองทุ่มครึ่ง ก็มีสายเรียกเข้าจากคุนชก
สำหรับที่นี่มันก็ถือว่าดึกแล้วเพราะไม่มีแสงไฟรบกวน,ไม่มีสิ่งบันเทิง เงียบกริบ
ยิ่งพอหลังพระอาทิตย์ตกก็แทบจะไม่มีใครที่ไหนกล้าออกไปเพ่นพ่านนอกอาคาร
นาฬิกาชีวภาพของร่างกายก็เลยทำงานตามตารางเดียวกับบรรพบุรุษสมัยยุคหิน
ฉันลุกขึ้นมารับไม่ทันเพราะแขวนกระเป๋าใส่มือถือไว้ตรงลูกบิดประตู
วางสายไปแล้ว ไม่มีการโทรซ้ำอีก
คงไม่มีอะไรสำคัญ ไม่ก็อาจกดผิดเบอร์...
หลับต่อ
Create Date : 16 สิงหาคม 2559 |
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2565 10:15:20 น. |
|
33 comments
|
Counter : 2631 Pageviews. |
|
|