สามชั่วโมงจากเมืองริชชิเกช กับระยะทาง 70 กิโลเมตร นิด ๆ ที่คดเคี้ยวเลี้ยวตามทางภูเขาขนาบข้างไปกับ แม่น้ำคงคา ตลอดเส้นทาง
เดวปรายัค หนึ่งในที่หมายของการเดินทางหนนี้ อาจจะสำคัญเพียงแค่
ภาพของการรวมตัวกันระหว่างสองแม่น้ำที่ชื่อว่า 'อลัคนันดา' และ 'ภกีรติ'
ซึ่งฉันก็เกือบจบการเดินทางเอาเสียดื้อ ๆ หลังจากที่ได้ลงจากรถและข้ามสะพาน
ไปยังสังคัม พอได้เหลียวหน้ามองหลังรอบทิศทางก็กลับไม่พบอะไรที่เอี่ยวโยง
กับการท่องเที่ยวไปมากกว่านี้เลย
Devprayag เป็นการรวมคำจาก Dev หรือจะออกเสียงง่าย ๆ ว่า เทวะ
บวกกับ Prayag ก็คือ confluence ซึ่งหมายถึงที่บรรจบกันของสายน้ำ
(อื้อหือ ถือว่าเป็นที่นัดพบรวมตัวของ 'เทพ' เชียวรึเนี่ย?)
แต่เมื่อมองจากแผนที่แล้ว มันคือเป็นจุดสุดท้าย
ก่อนที่จะกลายมาเป็นแม่น้ำที่ชาวฮินดูเคารพบูชา
โดยเมืองที่มีชื่อลงท้ายว่า ปรายัค จะมีทั้งหมด 5 แห่ง
ที่อยู่ในเขตการ์ฮวาล รัฐอุตตราขัณฑ์ จะถูกเรียกรวมกันว่า Punch Prayag
และทั้งหมดนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับพื้นที่สำคัญ ของจุด Char Dam Yatra เช่นกัน
1. Vishnu prayag เกิดจากการรวมสายของแม่น้ำ Alaknanda + Dhauli
Ganga
2. Nand prayag " Alaknanda + Nandakini
3. Karn prayag " Alaknanda + Pindar
4. Rudra prayag " Alaknanda + Mandakini
5. Dev prayag " Alaknanda + Bhagirathi
** Punch ก็คือ ปัญจะ ที่แปลว่า ห้า **
** เด็กอินเดียที่เรียนภูมิศาสตร์ ท่าทางจะสนุก **
ลักษณะเมืองของเดวปรายัค ดูเหมือนตั้งไว้บนหิน ซึ่งมีแผ่นดินที่อยู่ใจกลางเมือง
กั้นฟากระหว่างสองแม่น้ำ หากได้มองลงมาจากระดับสายตาคร่าว ๆ มันก็ดูเหมือน
กับว่าพื้นที่นี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน
จากท่ารถ เมื่อเดินข้ามมายังสะพานมาก็จะพบจุดลงอาบน้ำ
ที่เรียกว่า สังคัม (Sangam) ซึ่งจะมีผู้คนทั้งหลายมาลงจุ่มอาบกัน
มันอาจจะพิเศษกว่าเมืองอื่นที่มีแม่น้ำคงคาไหลผ่าน เพราะตามเทคนิคแล้ว
เดวปรายัค คือจุดเริ่มต้นของสายน้ำที่มีชื่อว่า 'คงคา'
(มองจากภาพทางมุมนี้) ทางขวามือคือแม่น้ำภกีรติ ทางซ้ายคือแม่น้ำอลัคนันดา
และจุดกลางที่รวมสายก็คือ แม่น้ำคงคา ที่มุ่งไหลผ่านต่อไปยังเมืองริชชิเกช
พวกผู้ชายต่างผลัดผ้านุ่งน้อยห่มน้อยลงจุ่มอาบตามสะดวก
ส่วนผู้หญิงก็ลงกันทั้งชุด พื้นที่นี้ไม่ได้มีจุดแยกระหว่างชาย-หญิง
ฉันเดินวนไปมาอยู่ไม่นานก็พบว่ามันแทบจะหมดรอบเดินทั่วเมืองเสียแล้ว
พวกบ้านเรือนทรงเก่าแก่บางหลัง ดูเหมือนมีเอกลักษณ์พิเศษ คงเพราะสร้าง
ด้วยไม้และมีการฉลุลาย มองดูแล้วก็คล้ายกับที่เคยเห็นจากเนปาลมาก่อน
มีอีกเรื่องที่น่าสังเกตก็คือ ขนาดของสิ่งก่อสร้างในเมืองนี้ดูมีขนาดเล็กกระจิ๋วหลิว
ไม่ค่อยมีอะไรที่โอ่อ่าใหญ่โตสักเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วก็น่ารักดีและผู้คนที่นี่ก็
ยังดำรงวิถีชีวิตตามปกติเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นเดวปรายัค ก็เลยไม่ได้มีร้านนั่งกินดื่ม
หรือจุดรองรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นอย่างที่เคยเจอมา
ก่อนที่ฉันคิดจะกลับเอาของไปเก็บยังที่พัก ก็ต้องมาเจอกับก๊วนเด็กนักเรียนกลุ่ม
หนึ่งเข้า ทีแรกพวกเขาก็เดินมากันแค่สองคน จึงได้ยกกล้องบอกว่าจะขอถ่ายรูป
หน่อยนะ เจ้าน้องพวกนี้ก็รีบเต๊ะท่าเป็นแบบให้เสียแต่โดยดี แต่หลังจากนั้นนี่สิ
พวกเด็ก ๆ อีกกลุ่มที่ผ่านมาทางเดียวกันก็เริ่มวิ่งกรูเข้ามาสมทบด้วย กระทั่งได้
เดินข้ามสะพานตามเด็กนักเรียนไปยังอีกฟากด้วยกัน
ฉันเดินตามพวกเด็กมาจวนจะถึงทางเข้าโรงเรียนขนาดเล็ก ใกล้กับทางไปสังคัม
และได้ยินคนทักถามว่าจะไปไหน? เจ้าของเสียงที่ว่าแต่งตัวดูธรรมดา เหมือน
เพิ่งเดินออกมาจากบ้านมากกว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวแบบฉัน แอบคุ้นว่าเราจะเคย
เดินสวนกันมาก่อนหน้านี้แล้วแถวท่ารถ
"ไม่รู้สิ เหมือนว่าฉันจะเดินรอบเมืองจนครบแล้ว"
ก็ตอบไปตามจริงว่า ที่เดวปรายัคไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจแล้ว
"เห็นเธอเดินวนมาหนนึงแล้ว ไปที่วัดข้างบนสิ
มีที่สำคัญอีกแห่ง เดี๋ยวจะเสียเที่ยว "
เขาชวนเดินไปยังเนินด้านบนที่อยู่ไม่ไกลถัดจากสังคัม
บนนั้นจะมีวัดที่ชื่อว่า Rughunath ตั้งอยู่
หรืออาจเรียกกันอีกชื่อที่ไม่เป็นทางการว่า วัดพระราม
กุลดีพ คือคนที่พาฉันเดินขึ้นมายังวัด แถมยังมีเพื่อนอีกคนที่นั่งเล่นอยู่
แถวนั้นอีกด้วย พวกเขาเล่าให้ฟังว่าวัดแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ
ในตำนานเรื่อง รามายณะ
หลังจากที่อสูรราวัณ (ทศกัณฑ์) ได้ถูกสังหารลงแล้ว พระรามก็เดินทางกลับ
จากเมืองลังกา และแวะมาที่นี่ก่อนคืนสู่อโยธยา เพื่อขึ้นครองราชย์ฯ
แต่ฉันก็ดันไปขัดคอขึ้นมา เพราะกำลังสับสนกับชื่อของสถานที่บางแห่งเข้าให้
"เดี๋ยวนะ" ฉันว่า เรื่องที่ฟังมามันแปลกพิลึก "แล้วพระลักษมณ์ล่ะ?"
พวกเขาค้านว่า พระลักษมณ์ได้แยกตัวเดินทางไปที่เมืองริชชิเกชและข้ามแม่น้ำ
ตรงจุดเดียวกับ 'สะพานลักษมัณจุฬา' ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นที่รำลึกภายหลัง
"ก็เห็นว่าที่นั่นมีสะพานชื่อรามจุฬา ด้วยนิ" อาศรมฉันก็อยู่ฝั่งรามจุฬานะ
แล้วพระรามไม่ได้ไปเดินข้ามฟากที่ฝั่งโน้นด้วยกันรึไง?
"เค้าตั้งชื่อสะพานให้พ้องกันเฉย ๆ"
สองเจ้าถิ่นยืนกรานว่า พระรามตรงมายังเดวปรายัคเพื่อทำพิธีสรงน้ำโดยเฉพาะ
พร้อมกับชี้ให้เห็นป้ายปูนที่สลักรายละเอียดที่มาของเรื่องไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนแท่นหินกลางศาลานี่ ก็เชื่อกันว่าเคยถูกใช้เป็นที่ประทับของพระรามมาก่อน
"เดวปรายัค จะตั้งอยู่บนพื้นที่สองจังหวัด จุดที่ยืนอยู่นี้คือ Pauri Garhwal
และพอข้ามสะพานไปอีกฝั่ง ก็จะกลายเป็น Terhi Garhwal "
กุลดีพ พยายามบอกข้อมูลบางส่วนให้ ถึงซีกด้านการแบ่งเขตเมือง
ที่ตั้งคาบเกี่ยวระหว่างสองจังหวัด แม้ภายหลังฉันอาจจำไม่ได้แล้วว่า
จุดไหนคือ Pauri จุดไหนคือ Terhi กันแน่
แต่มีสิ่งเดียวที่จำได้ขึ้นใจ ก็คือคำทักทายของคนที่นี่
ในภาษาถิ่นที่เรียกว่า การ์ฮวาลี ฟังดูแล้วรู้สึกทะแม่งยังไงก็ไม่รู้
"เดี๋ยวลองพูดตามที่สอนนะ"
เขาพาเดินผ่านไปยังบ้านญาติที่อยู่ละแวกนั้นพร้อมยุให้ฉันตะโกนทัก
"น้าของเธอเค้าเป็นผู้ใหญ่กว่าฉันมาก จะให้ใช้ ตุม เหรอ?"
ฉันพอจำคำเรียกในภาษาฮินดีได้บ้าง สรรพนามบุรุษที่สองจะมีสองคำ
นั่นก็คือ อัพ และ ตุม ทั้งนี้มันก็ขึ้นกับอายุไม่ก็สถานะของผู้เรียกด้วย
"ภาษาการ์ฮวาลี เขาใช้แค่คำนี้ไม่มีลำดับขั้นหรอก"
เขายืนยันตามนั้น "เอ๊า พูดสิ"
"ตุม กัน ชา "
ฉันรอลุ้นปลายการตอบรับจากปลายทางอย่างหวั่น ๆ
ดูเหมือนว่าน้าของแกจะขำฉันมากกว่านะ นายกุลดีพ!
"แม ทิ้ก ชา" หมายถึง สบายดี
ฉันได้ยินน้าสาวของเขาตอบกลับ
เออ...ค่อยโล่งใจหน่อย กลัวโดนหลอกให้พูดคำแปลกประหลาด น่ะสิ
แต่หลังจากนั้น เขาก็พาเดินไปทักคนที่รู้จักเกือบรอบเมือง
ด้วยประโยคเดียวกันนี้เกินสิบหนได้มั้ง
ตุมกันช๊า ...ตุมกันชา
ภาพแม่น้ำยามเช้าที่ซีกฝั่งอลัคนันดา ดูเหมือนจะนิ่งสงบ
ต่างไปจากฟากของภกีรติ ที่ดูไหลแรงและกราดเกรี้ยว
"ทำไมไม่เหมือนกับรูปถ่ายเลยล่ะ?
ฉันเคยเห็นสีของแม่น้ำสองสายดูต่างกันมากกว่านี้นะ"
ถ้าหากได้ลองค้นหาภาพจากอินเตอร์เน็ตมาดูที่บรรจบของแม่น้ำในเมืองนี้
ก็จะเห็นสายน้ำซีกหนึ่งเป็นสีเขียวสด กับอีกสายที่เป็นสีขุ่นคล้ายน้ำนมไหลรวม
กันตรงที่จุดกึ่งกลาง หรือบางครั้งแม่น้ำก็แอบเปลี่ยนเป็นสีหม่นเหลือบน้ำตาล
ในช่วงหน้ามรสุม
ซึ่งในขณะที่ฉันได้เห็นตอนนี้ มันแทบจะดูไม่ค่อยต่างกันเสียเท่าไหร่
ไม่แน่ว่า นั่นอาจเป็นภาพที่ถูกปรับแต่งสีมาอีกทีเพื่อหลอกตาให้ดูน่าสนใจ
แต่กุลดีพ ค้านว่าไม่จริง...เพราะสีของลำน้ำจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
หากฉันเดินทางมาถูกจังหวะ ก็จะได้เห็นสีสันที่ตัดกันของแม่น้ำอย่างแน่นอน
เช้านี้พวกเรานัดมาเจอกันที่สังคัม ก่อนที่ฉันจะต้องเดินทางกลับ
"ไหน ๆ ก็มาแล้วไม่ลงน้ำบ้างรึไง
ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำคงคาเลยนะ"
ฉันโดนคะยั้นคะยอให้ลงไปจุ่มแช่ในน้ำหลายหนมาก
แม้จะบอกว่าเคยลงไปเล่นที่ริชชิเกช มาแล้วก็เหอะ
นายกุลดีพยังคงอธิบายถึงความแตกต่างที่เหนือระดับกว่าที่อื่น ๆ
"เอ่อ...ไม่มีชุดมาเปลี่ยน ไม่เห็นรึไงว่าฉันใส่เสื้อตัวเดิม"
ฉันพูดเลี่ยงไป เพราะน้ำดูเย็นเฉียบและไหลเชี่ยวขนาดนี้
เกิดพลาดร่วงลงไปนี่ คงได้ลอยกลับไปเกยตื้นที่ริชชิเกช
แบบไม่ต้องเสียตังค์ค่ารถเลยนะ
"มีร้านขายเสื้อเยอะแยะ ชุดการ์ฮวาลีสูทก็มี"
กุลดีพ ยุไม่เลิก และรอบนี้มีการเสนอโปรโมชั่นพิเศษ
ว่าถ้ายอมลงน้ำจริง ๆ ล่ะก็จะซื้อชุดสูทฯ แถมให้ด้วย
ไม่ต้องเดาต่อเลยนะว่าบ่ายวันนั้นฉันจะกลับริชชิเกช
ด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ตัวเดิม หรือการ์ฮวาลีสูท 55
อื่นๆ
- ค่ารถจาก ริชชิเกช - เดวปรายัค 100 รูปี (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง)
- รถโดยสารเที่ยวแรกมีตั้งแต่รอบเช้าตรู่ ไปจนถึง บ่ายสามโมง
- ค่าที่พัก 200 รูปี
- หากเดินทางมาจาก กังโกตรี หรือ อุตตระกาสี (แล้วไม่อยากนั่งรถย้อนกลับมาจากริชชิเกช
แบบเอนทรี่นี้) ก็สามารถไปต่อรถที่กลางทางคือ Terhi และตรงมายัง Devprayag ได้ค่ะ
อ.เต๊ะ มาอ่านดุแล้ว สงสารนักเรียนที่นี่จับใจ เพราะวิชาภูมิสาสตร์ ก้ยุ่งเหยิง ประวัติศาสตร์ก้ อีรุงตุงนัง ตังนิงๆ ชะเอิงเอย 555
แต่นักเรียนที่นี่ หน้าตาน่ารัก ปนน่ากลัว ยิ่งคนเด็กผู้ชาย นี่ ยังกะลูกเทพ ไม่มีผิด อิอิ
แล้วก้บ้านนี้เมืองนี้ มีแก๊งมาเฟียงัว ปิดถนน ขวางสะพานนอนกระดิกหาง ซะด้วยซี้ เป็นเล่นไป555
แล้วก้ ช่วงทักทายกันวันละ 3คำนี่ เสียดาย ถ้า อ.เต๊ะ เป้นแขกนะ รับรองมีเฮ สนุกกว่านี้แยะ
ไอ้ที่จะพุดตรงไปตรงมานี่ ไม่มีเสียละ จ้า 555
แต่ที่ อ.เต๊ะ กังวล ที่สุดในทริปนี้นี่ก้คือ
ก่อนที่ น้องฟ้าจะตัดสินใจ ลงแช่น้ำนี่ น้องฟ้าได้ถามกุ้ง หอย ปู ปลา แถวนั้นหรือยังว่า
มันรับสภาพน้ำจะกร่อย ปัจจุบันทันด่วนได้หรือเปล่า
เกิดมันช็อคน้ำตายไป ใครจะรับผิดชอบ อิอิ
น้องฟ้าบอก หนอยๆ ที่ข้าลงน้ำ นี่มันเป็นวิธี จับปลาของข้าต่างหาก ข้าลงปุ๊บ ปลาก็จะโดดหนีตาย ขึ้นมาบนฝั่งทันที เอ็งนี่ไม่รู้อะไรเล้ยยยย เดี๊ยะๆๆ
เอาซักตุ๊บดีมั้ยเนี่ย 555
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog