ระยะทางจาก Bhojbasa ไปยัง โกมุข จะไกลกันประมาณห้ากิโลเมตร
สำหรับคนที่เช่าลามาขี่ ก็จำเป็นที่จะต้องด้วยเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น
นักท่องเที่ยวบางกลุ่มต่างเริ่มออกตัวเดินนำกันไปบ้างแล้ว ทั้งนี้เส้นทาง
จะไม่ได้เดินย้อนจากทางเลียบขนาบกับแม่น้ำโดยตรง แต่ต้องขึ้นไปบนทาง
เนินที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งแทน
ช่วงแรกๆก็ดูเหมือนกับว่าเดินง่ายดีเพราะมีการทำช่องทางเดินไว้
แต่ถัดไปหลังจากนั้นก็เริ่มเจอ หิน มากขึ้น
เมื่อต้องออกแรงปีน อ้อมโขดหินเหล่านั้น บางครั้งก็ต้องย่อตัว
สาวเท้ากระดึ้บ ๆ อย่างเชื่องช้า พร้อมใช้มือจับยันช่วงที่ต้องไต่ลงมา
ยังพื้นล่าง ที่มันอาจมีการพลัดลื่นเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
บางทีก็ต้องเผลอนึกคิดบ่นในใจว่า
ใครมันเอาหินกองโตมาวางถมไว้เนี่ย!
แต่ในบางครั้งฉันก็นึกขอบคุณปราการทางธรรมชาติเหล่านี้ ที่มากั้นขวางจนเกิด
อุปสรรคการเดินทางนะ เพราะตราบใดที่ความสะดวกสบายยังไม่มีเข้ามา และมี
การจำกัดจำนวนวันด้วยแล้ว
นักท่องเที่ยวทั้งหลายก็จะได้ไม่ต้องคิดแห่โถมเข้ามาปักหลักกัน
จนเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่จะตามมาภายหลัง
ครึ่งทางก่อนถึงโกมุข จะเจอเพิงหินที่ก่อตั้งอยู่แบบนี้ซึ่งดูแล้วก็คล้ายกับศาล
ภาพช่องทางระหว่างหุบเขาที่เดินอยู่ในตอนนี้ มันจึงดูเหมือนไม่มีอะไร
เปลี่ยนแปลงไปมากเสียเท่าไหร่ คิดว่าเหล่าบรรดาผู้มาแสวงบุญที่ต้นแม่น้ำ
เมื่อหลายพันปีก่อน คงได้เห็นภาพทิวทัศน์เช่นเดียวกันกับฉันในตอนนี้
ระหว่างเดินบางช่วงก็ต้องมีหยุดนั่ง กินขนม ดื่มน้ำ โบกครีมกันแดด
และพักหายใจบ้าง เพราะยิ่งเข้าใกล้ถึงโกมุขมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสูง มีลมแรง
และหนาวมากขึ้นด้วย บ่อยครั้งเหมือนกันที่เผลอหยุดพักอยู่ตั้งนาน
แต่หากได้เจอคนที่เดินไล่หลังแซงผ่านไปเมื่อไหร่ ก็ต้องรีบเร่งให้ไวทันเขา
เพราะนั่นก็เป็นสัญญาณเตือนให้รู้กลาย ๆ ว่าจะมัวชักช้าไม่ได้เสียแล้ว
ภาพปากถ้ำน้ำแข็งที่เห็นอยู่ไกลลิบตรงนั้นทำให้ได้ฮึดเดินต่อได้ เพราะจุดหมาย
ของฉันมันอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าเวลาที่ใช้ไป จะมีมากกว่าเวลาที่ได้มาอยู่ตรงเบื้อง
หน้าธารน้ำแข็งแห่งนี้ก็เถอะ ว่าแล้วก็นึกไปถึงภาพคนกำลังปีนป่ายภูเขาที่คลุม-
ไปด้วยหิมะหนาเตอะ บนหน้าปกหนังสือเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า ความฝันโง่ ๆ
ของนักเขียนที่ชื่อ วินทร์ เลียววาริณ ขึ้นมาทันที
ฉุกคิดไปถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ล่ะมันเป็นสิ่งที่ ดูตลกหรือโง่เง่า
ในสายตาของคนอื่นบ้างไหม? กับการดั้นด้นออกจากที่สบาย เพื่อออกไป
เห็นในสิ่งที่คาดหวังเพียงช่วงเวลาอันแสนสั้น เพื่ออะไรกัน? แต่ ณ ตรงนี้
บนจุดที่ยืนมองเห็นปลายทางอยู่ไกล ๆ ฉันเองก็ยังหาคำตอบไม่เจอหรอก
รู้แค่เพียงว่า ต้องไป และต้องทำให้ได้ ก็เท่านั้น
มีคนกลุ่มหนึ่งราวสี่คน กำลังตรงมายังทางไปโกมุข พวกเขาเดินข้าม
หินก้อนโน้นก้อนนี้อย่างคล่องแคล่วไม่กลัวลื่นหล่นกันเลย แถมยังพูดเร่ง
ให้ฉันเลิกโอ้เอ้เสียที เพราะกำลังจะแซงหน้าไปไกลแล้ว
"ตามพวกเรามาให้ไว ๆ" และจากนั้นก็ทิ้งห่างไปไกลแบบไม่น่าเชื่อ
เราได้เจอกันอีกครั้งตรงธารน้ำแข็ง
เลยรู้ว่าพวกเขามาจาก เมืองหริดวาร์
และพักที่อาศรม ลาล บาบา เช่นกัน
แคร้ก...
มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น จากพื้นดินทรายที่ฉันย่ำเท้าลงไป
มีน้ำไหลซึมออกมา จากแผ่นน้ำแข็งที่แตกร้าวเพราะการเหยียบเมื่อครู่
ฉันเองก็ไม่รู้ว่า มันหนาวขนาดไหนกันแล้วในตอนนั้น?
พอลองเอามือกดเล่นดู ก็พบว่ามันยังจับตัวไม่หนาเท่าไหร่
หลังเดินกระโดดข้ามทางเดินที่มีน้ำไหลบางช่วงฉันได้เจอกับ สาวสูงวัย-
ชาวตะวันตก กำลังนั่งพักเหนื่อยและคุยกับผู้ชายชาวอินเดียคนหนึ่งอยู่
ดูเหมือนว่าเธอจะเดินไปต่อไม่ไหวแล้วเพราะเส้นทางด่านสุดท้าย
ก่อนที่จะไปถึงธารน้ำแข็ง มันต้องใช้แรงไต่ มากกว่าออกแรงเดินเท้า
และอาจประคองตัวค่อนข้างลำบากพอควร
ชายชาวอินเดียคนนั้นลุกขึ้นยืน และมุ่งออกตัวเดินต่อ หลังจากโบกมือลา
หญิงชาวตะวันตกคนนั้น ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินปีนป่ายด่านหินตามอยู่ติด ๆ
พี่อินเดีย ยื่นมือมาช่วยให้ฉันเดินทรงตัวได้ง่ายขึ้น
เขาบอกว่าเดินทางมาที่นี่ทุกปีเพื่อที่จะมากรอกน้ำจากที่นี่กลับไปทำพิธีฯ
"ถ้าไป ริชชิเกช ก็แวะมาเยี่ยมได้ ฉันมีศูนย์อายุรเวทและสอนโยคะอยู่ที่นั่น"
หลังจากเดินคุยไปสักพักเขาก็ได้ยื่นนามบัตรส่งมาให้ ก่อนที่การเดินทาง
จะหยุดลงตรงธารน้ำไหลใกล้ ๆ กับโกมุข ฉันเห็นเขาย่อตัวนั่งลงประนมมือไหว้
ก่อนวักน้ำขึ้นมาพรมวนรอบศีรษะและวักดื่ม ก่อนสวดพึมพำอะไรบางอย่าง
จากนั้นก็เอาขวดน้ำที่เตรียมไว้กรอกใส่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดไปต่อแล้ว
ฉันยืนมองอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะต้องไปเองตามลำพัง จากนั้นก็เริ่มปีนก้าว
กองอุปสรรคก้อนโตหนสุดท้ายที่กำลังจะไปถึงอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
ตามตำนานเก่าแก่ได้กล่าวไว้ว่า มีเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งเดินพลัดหลงเข้ามา
แถวนี้เพื่อตามหาสัตว์ที่หายไป จนมาเจอกับปากถ้ำน้ำแข็งมหึมานี้เข้าโดยบังเอิญ
และด้วยรูปพรรณสัญฐานที่ดูคล้ายกับปากของวัว
ปากถ้ำนี้จึงได้ชื่อเรียก โกมุข ที่แปลว่า ปากวัว นั่นเอง
หลังจากการค้นพบครั้งนี้ ถูกกระจายข่าวจนแพร่หลายออกไป
ก็ทำให้บรรดาผู้แสวงบุญต่างมุ่งหน้าตรงเข้ามาเยือนกันอย่างไม่ขาดสาย
ที่นี่เป็นต้นกำเนิดของ แม่น้ำที่ชื่อ ภกีรติ
ก่อนจะกลายมาเป็น แม่น้ำคงคา ในภายหลังเมื่อได้ไหลไปรวมสาย
กับแม่น้ำอลัคนันดา ใน เมืองเดวปรายัค
และถ้าหากได้มาเยือนในช่วงฤดูร้อน ฉันก็คงได้กับเจอผู้คน
ที่ตั้งใจมาจุ่มตัวลงอาบกันที่หน้าปากถ้ำแน่ ๆ
เห็นกลุ่มคนทั้งสี่จากหริดวาร์ที่แซงฉันไปก่อนหน้านี้ กำลังยืนถ่ายรูป ที่หน้า
กลาเซียร์ กันอย่างสนุกสนานเชียว เดี๋ยวนะ ฉันได้ยินคำเตือนมาก่อนว่า
ห้ามเข้าไปใกล้ธารน้ำแข็งนี่ ... แต่ก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายยังไง?
คนพวกนั้นเข้าไปใกล้มากพอสมควร และกวักมือเรียกให้ฉันไปยืนถ่ายรูปเล่นด้วย
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ล้ำเส้น ที่จะมือบอนไปแตะต้องผนังถ้ำน้ำแข็งนั่น
ฉันก็เลยขอร่วมวงถ่ายรูปเล่นไปด้วย ในตอนนั้นนอกเหนือจากพวกเราแล้วก็ไม่มีใคร
เพราะบรรดาพวกนักท่องเที่ยวที่มาถึงก่อนหน้านี้ อาจพากันเคลื่อนทัพย้าย
ที่หมายไปยัง 'ทาโปวัน' ซึ่งอยู่ไกลจากจุดนี้ไป อีก 4 กิโลเมตร กันหมดแล้วล่ะ
เราใช้เวลาอยู่ที่นั่นครู่หนึ่งแม้ว่าฉันอยากจะอยู่ให้นานมากกว่านี้ก็เถอะ
แต่ถ้ากลับไปถึงอาศรมช้าเกินเที่ยงวัน ก็คงออกไปจากที่นี่ยากเสียแล้ว
จากนั้นเราก็ย้ายตัวไปตักน้ำตรงจุดที่มีน้ำผุดไหลออกมาเป็นที่ระลึกก่อนกลับ
เมื่อต้องกลับ ฉันก็รั้งท้ายแถวจนหลุดโผเกาะกลุ่มไปไม่ทัน
เลยได้แต่บอกให้พวกเขาไม่ต้องรอ
ช่วงนั้นก็ได้เจอกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่สวนทางมา
พวกเขาคงค้างแรมกันอีกคืน ถึงได้ออกตัวสายขนาดนี้
แต่นั่นมันก็ทำให้ไม่ต้องรีบเร่งเหมือนกับฉัน เว้นอยู่สิ่งเดียวที่เห็นแล้ว
มันช่างขัดตาเสียจริง นั่นก็คือ ไม้เท้า
แม้มันจะทำให้ย่างก้าวเดินของเราดูสง่ากว่าการเอามือปีนป่ายอย่างเห้งเจีย
แบบที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ฉันยื่นมือไปพยุงนักท่องเที่ยวรายหนึ่งที่กำลังจะ
พยายามก้าวยันตัวขึ้นมา และพูดหยอกเธอไปนิดหน่อย
"ใช้มือเกาะหิน น่าจะง่ายว่าไม้เท้านะ"
"ฉันก็ว่างั้น" เธอตอบกลับพร้อมหัวเราะ
เกือบเที่ยงวัน เมื่อฉันเดินกลับมาถึงอาศรม เก็บกระเป๋า และกินมื้อเที่ยง
ก่อนออกเดินทางกลับ แม้จะยังหวั่นอยู่ว่าจะมีคนออกจากที่นี่ในเวลานี้เหมือน
กับฉันหรือปล่าวนะ?
ข้าว กับ ถั่วเขียวต้มเกลือ ยังคงเป็นอาหารหลักเช่นเคย
แต่แปลกหน่อยก็ตรงที่วันนี้มันกลับอร่อยเป็นพิเศษ
อาจเพราะฉันคงเหนื่อยจากการเดินที่เริ่มออกตัวเดินตั้งแต่เช้า
โดยที่ยังไม่ได้กินอะไรไปมากกว่าที่พกติดตัวไปมากกว่า
......
"อีกตั้ง 14 กิโลเมตร ที่ต้องเดินต่อ"
ระหว่างที่นั่งโอดครวญบ่นเรื่องแรงขาที่กำลัง เกิดอาการ ปวด ตึง กล้ามเนื้อ
กับระยะทางที่กำลังจะต้องย้อนกลับและทำเวลาให้ทันก่อน ห้าโมงเย็น
ถึงกระนั้นบาบา ผู้ดูแลอาศรม ก็พูดหนุนใจมาแบบลอย ๆ
"ถ้ายัง young อยู่... ก็ยังไหวนะ"
ได้ยินแบบนี้แล้ว จะยอมได้ไง!
อันที่จริงแล้วถ้า บาบา บอกแค่ว่าจะได้กินแกงถั่วไปอีกสองมื้อ
ฉันก็รีบแจ้นโดยไวแล้วล่ะ
ก็ยังดี ที่ในเวลานั้น มีคนที่จะออกไปพร้อมกับฉันอีกสองคน
คือ พี่ปราไมเดอร์ ชาวซิกข์ นักวิทยาศาสตร์จากเมืองลัคเนาว์
กับ อาชิช ผู้ช่วยของเขา
ทั้งสองเดินทางมาเพื่อทำการเก็บข้อมูลอะไรบางอย่างสำหรับเอากลับไปวิจัย
แม้หลายครั้งพวกเขาจะหยุดเดินเพื่อเก็บเอา มอส ตะไคร่ ที่ขึ้นเกาะตามหิน
หรือต้นไม้ มาเก็บใส่ในถุงซิปล็อคพลาสติก และใช้เครื่องวัดค่าอะไรบางอย่าง
ออกมาเป็นตัวเลข พร้อมจดบันทึกลงไปบนถุง หรือบางทีก็อาจมีพักหยุดถ่ายรูปกันเป็นระยะ ๆ
แต่ยังไงฉันก็โดนเดินแซงไปได้ไกลอยู่ดี!
จนกระทั่งมาถึง Chirbasa ที่ ๆ มีเพิงสำหรับพักกินอาหารและดื่มชา
ฉันบอกลาพวกเขา เพื่อขอตัวไปก่อน หลังก้าวตามทัน
และคิดว่าอีกไม่นานนักก็คงไม่แคล้วต้องเดินไล่หลังแน่นอน...
ถัดไปจากนี้มีเจ้าตูบตัวหนึ่งกำลังเดินต๊อก ๆ ตามพวกคนที่นำลามาจูงเดิน
ฉันเห็นมันเดินเข้ามาในอุทยานตั้งแต่เมื่อวาน โดยตามนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งมา
ขณะที่ฉันไม่รู้ทางเลี้ยวขึ้นและลังเลอยู่นั้น ก็มีมันนี่แหละ ที่เดินนำร่องขึ้นไปก่อน
สุดท้ายก็เลยต้องเดินตามหมา มันคอยเป็นไกด์นำอยู่พักนึงก่อนที่จะวิ่งจู๊ดหายไป
หลังมั่นใจว่าทิ้งช่วงระยะห่างไปไกลแล้ว พอฉันหยุดพักได้ไม่นาน นักเดินไวทั้งสอง
ก็พากันแซงหน้าไปอีกจนได้ นี่ฉันคงจะเป็นพวกเดินช้าจริง ๆ สินะ...
ความรู้สึกมันฟ้องไว้แบบนั้น
พอหันกลับไม่มองย้อนยังเส้นทางที่เดินมา ก็พบว่ามันไม่มีผู้คนเดินไล่หลังมา
จากทิศทางเดียวกันแล้ว ก็ยิ่งกดดันให้ต้องรีบไปให้ไวขึ้น เพราะมันจะไม่มีใคร
หลงเหลืออยู่บนเส้นทางนี้ก่อนใกล้ถึงพลบค่ำแน่
เกือบห้าโมงเย็น ดวงอาทิตย์กำลังจะหายลับไปที่หลบด้านหลังเขา
ฉันเริ่มเห็นเค้าลางของหลังคาที่จุด Check point ที่อยู่ไม่ไกล
จากตรงนี้เท่าไหร่นัก อารมณ์ต้วมเตี้ยมชะลอความไวของฝีเท้าก็เริ่มตามมา
หลังจากทนจ้ำเดินจนเจ็บเท้ามาพักใหญ่ เสียงเดินก้าวเท้าที่ดังมาจากด้านหน้า
จากทิศตรงกันข้าม ฉันยังแอบคิดเล่นๆ เลย ว่า ยังจะมีคนบ้าที่ไหนจะมาเริ่ม
ออกตัวเดินเข้าอุทยานในเวลานี้นะ?
ชายร่างเล็กที่ตัวสูงกว่าฉันนิดหน่อยสวมหมวกแบบชาวหิมาจัล เดินสวนทางผ่าน
ฉันไป ไม่รู้ว่าเขากำลังจะไปไหน อาจเป็นเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาตรวจพื้นที่ก็เป็นไปได้
เพราะไม่เห็นมีสัมภาระสำหรับการเดินทางสักอย่าง
ยกเว้นแว่นกันแดดที่ถืออยู่ในมือ
......
สิ้นสุดเส้นทางเสียที ฉันมาถึงจุดหมายสุดท้ายตอนห้าโมงเศษ ก็ได้เห็น
เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าเวรอยู่ในตอนนั้น กำลังเดินกวาดใบไม้ที่ลาน เขาหันมาบอกให้รอครู่หนึ่ง
"เดินมาคนเดียวเลยเหรอ?"
หลังเก็บไม้กวาด เขาก็หยิบเอาสมุดบันทึกคนเข้า-ออก
มาตรวจเทียบหาชื่อจากใบอนุญาตของฉัน
"ใช่ค่ะ มาคนเดียว นึกว่าจะกลับออกมาไม่ทันเสียแล้ว"
ฉันคิดว่าตัวเองคงเป็นคนสุดท้ายของวันนี้ที่ได้ออกมาจากอุทยานฯ แน่นอน
เจ้าหน้าที่เซ็นวันที่กำกับพร้อมส่งใบอนุญาตคืน และแถมแอปเปิ้ลมาให้อีกสองลูก
ก็ดูจากหน้าตาตอนนั้น ท่าทางฉันคงเหมือนคนหมดแรงเต็มทีแล้วล่ะ
ยังเหลืออีกหนึ่งกิโลเมตรที่ต้องเดินต่อ ฉันเห็นตาคนที่เดินสวนเข้าไปในป่า
เมื่อกี้นี้ มายืนอยู่ที่ลาน เหมือนกับว่าจะรอเดินออกไปพร้อมฉัน เอาน่าก็ดีกว่า
ออกไปคนเดียวละกัน และอีกอย่างเจ้านี่ตัวเล็กจะตายไม่น่ามีปัญหา
ดังนั้นในระยะทางอีกหนึ่งกิโลเมตรถัดไปจากนี้ ฉันจึงมีเพื่อนเดินกลับมาด้วย
เขาชื่อ วิเนย์ ถึงภาพลักษณ์ภายนอกจะแอบไว้หนวดเคราตามความนิยมของ
ผู้ชายที่นี่เพื่อให้ดูเป็นผู้ใหญ่ก็เถอะ แต่ดูแล้วก็น่าจะมีอายุน้อยกว่าฉันเสียด้วยซ้ำ
ก่อนที่จะแยกตัวกันที่สะพานข้ามแม่น้ำ เขาชี้ให้เห็นอาศรมที่ทำงานอยู่
ในฝั่งตรงข้ามกับตลาด และถ้าฉันว่างในวันพรุ่งนี้ก็แวะไปเยี่ยมได้
เขาอยู่กับครอบครัวของพี่สาวและทำหน้าที่เป็นคนหุงหาอาหาร
"ฉันทำอาหารเก่งนะ"
วิเนย์ เริ่มโม้ให้ฟังว่าเดี๋ยวจะทำอาหารเที่ยงเลี้ยง
"ถ้าไม่ใช่แกงถั่วก็จะดีมาก"
ยังไงก็ขอพูดดักไว้ก่อน หากเขาคิดจะทำมื้อกลางวันด้วยเมนูที่ว่า
"โธ่ แกงถั่วเนี่ย ฉันปรุงถนัดที่สุดแล้ว"
ในสถานะของเมืองศักดิ์สิทธิ์ สำหรับที่นี่ "เนื้อสัตว์" คือสิ่งต้องห้าม
สุดท้ายแล้ว ฉันคงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกเหนือไปจากแกงถั่วใช่ไหม?
หนก่อนว่าเดินยากแล้ว หนนี้แม้แต่ลาก็ไปไม่ได้ ต้องก้มหน้าก้มตาเดินด้วยเท้าเพียวๆอย่างเดียวเลยนะครับ
ชันก็ชัน กองหินก็เกะกะ มั่นใจได้ว่าวิวนี้ไม่ค่อยมีมนุษย์ได้เห็นแน่ๆ แต่อย่าเที่ยวอะไรเสี่ยงๆแบบนี้อีกเลยแม่คู้ณณณณ กลัวไม่มีใครกลับมาเล่าเรื่องเที่ยวไกลๆแปลกๆให้ฟัง
ในที่สุดก็มาถึงต้นกำเนิดแม่น้ำคงคาจนได้นะครับ
แถวนั้นคงไม่ค่อยมีเครื่องแกงกิน กินถั่วเขียวต้มเกลือไปพลางๆ แบบนี้ต้องแนะนำเมนูถั่วเขียวต้มน้ำตาลให้แขกเหล่านี้กินบ้างแล้วครับ อร่อยนะ
เห็นชื่อ Ashish แล้วตะขิดตะขวงใจ สมัยผมเรียนอยู่ U of Rhode Island เจอคนอินเดียชื่อนี้ตั้ง 3 คน! คงเป็นชื่อยอดนิยมพอๆกับชื่อ Nguyen ของเวียดนาม
ส่งรักมาให้ครับ ♥
คุณได้ทำการแปะ ♥ ให้กับคุณ กาบริเอล เรียบร้อยแล้วนะคะ
คุณเหลือ ♥ อีก 8 ดวง สำหรับวันนี้ค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น