SPITI (ปี 1) กันดารวิถี - เส้นทางจาก Tabo สู่ Reckong Peo (จบ)
บันทึกการเดินทางในอินเดียครั้งที่ 2 : ตุลาคม 2014 (โดยได้เรียบเรียงเนื้อหาใหม่อีกครั้งในปี 2018)
บริเวณหน้าทางเข้าวัด(เก่าแก่) ของหมู่บ้านตาโบ
ด้วยความที่ฉันพักอยู่ในเกสท์เฮาส์ของวัด และอยู่ติดกับศาสนสถาน ไม่ก็ เพราะมันหมดฤดูท่องเที่ยว หรืออาจมีเหตุผลอื่น ๆ มากกว่านี้มารวมกัน ทำให้ ความเงียบของแต่ละวัน มันชัดเจนเสียจนฉันลุกตื่นจากการนอนหลับได้ด้วยเสียง สวดมนต์งึมงำ ๆ อันแผ่วเบา ของพระชรารูปหนึ่งที่เดินถือกงล้ออธิษฐานหมุนควง ไปมาอยู่ด้านนอก... ฉันแง้มหน้าต่างออกพร้อมชะโงกหัวออกไปรับอากาศที่เย็นเฉียบ ตลอดจนมองหาต้นเสียงดังกล่าว แต่ก็เห็นท่านเดินลิ่วไปไกลซะแล้ว
พอเดินลงมายังทางออกด้านล่าง ก็พบว่าประตูไม้ของเกสท์เฮาส์ยังคง มีกุญแจคล้องไว้ แน่นอนสิ มันยังเป็นเวลาที่ยังเช้ามาก ๆ จนถึงขนาดที่ว่าไม่มี ใครในนี้ลุกตื่นและออกไปข้างนอกกันเลย ฉันตั้งใจว่าจะออกไปหากาแฟไม่ก็ นมร้อนมาดื่มสักหน่อย แล้วจากนั้นก็ค่อยหาทางไปยังแม่น้ำสปิติที่อยู่ตรงทิศ ตะวันตก บริเวณที่เป็นพื้นที่เพาะปลูก
ณ เวลานั้น ก็เพิ่งจะหกโมงเช้า ร้านขายของยังคงปิดเงียบอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะมีใครออกมาเดินเพ่นพ่านสักคน เว้นแต่พระรูปนั้น ฉันจึงคิดหาทางไปยังแม่น้ำแทน แต่สุดท้ายแล้วก็ไปไม่ถึงนะ เพราะแปลงเกษตรบางส่วนมีการกั้นเขตเอาไว้ ยิ่งพอมาเจอทางตัน ฉันก็เริ่มเป็นกังวลเรื่องเวลาอีก ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือกลับห้องไปจัดกระเป๋า สำหรับรอเวลาและเตรียมตัวย้ายออก
ในเมื่อหาทางไปไหนต่อไม่ได้ ก็คงเหลือแต่วัดโบราณ (Tabo Old Monastery) ที่ฉันมองเห็นผ่านตามาหลายหน (เพราะที่พักก็อยู่ติดกับโบราณสถาน) และคิดว่า มันไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าสถาปัตยกรรมแปลก ๆ ที่เอาดินเหนียวหนาเตอะ ที่โบกฉาบตัวอาคารภายนอกแบบนั้น
ลานไม้ที่ปูพื้นไว้ตรงหน้าวัดเก่า และตัวอาคารที่ตั้งอยู่ด้านนอกกำแพงก็คือวัดที่สร้างใหม่
ลักษณะอาคารของวัดเก่าบางส่วน หลวงพี่โซนัม ได้มาเปิดกุญแจวัดและแนะนำสถานที่ให้ในตอนเช้า
นี่คือถุงเท้าถักสีส้มแปร๋นที่ได้รับมา -- ฉันพยายามใส่ดูแล้วแต่ก็พบว่ามันเล็กเกินไป
ฉันมานั่งเล่นอยู่ตรงกลางลานหน้าวัดที่มีชื่อว่า The Golden Temple (gSer-khang) มันเป็นลานโล่งที่อยู่หน้าวิหารเก่าเหล่านั้นซึ่งปูพื้นด้วยไม้ จำไม่ได้ว่า หลวงพี่โซนัมเดินออกมาจากทางไหน แต่พระก็ได้มาทักถาม และต่อมาท่านก็ชวนไปดูพื้นที่ด้านในของวัดดังกล่าวอีกด้วย
ช่วงที่ได้สนทนา ฉันคงเผลอยกมือขึ้นมาถูแก้หนาวบ่อยครั้ง ท่านก็เลยบอกว่า เดี๋ยวจะเอาถุงเท้าถักมาให้ไว้ใช้คู่นึง...ก่อนที่จะเดินกลับที่พักไปเอากุญแจ มาเปิดไขวัดโบราณอีกแห่งให้เข้าไปดูเพิ่มเติม
ในระหว่างนั้นที่ยืนรออยู่นั้น ฉันก็ได้เจอกับคนหน้าคุ้น ที่แอบมายืนซุ่มสเก็ตรูปวัดลงสมุดบันทึกเล่มเล็กแถวเจดีย์
อ้อ...พี่คนที่อยู่ข้างห้องนี่เอง ด้วยความที่เขาโผล่หน้ามาทักทายสวัสดียามเช้า ก็เลยเป็นเหตุให้ฉันต้องเดินไปคุยฆ่าเวลาครู่หนึ่ง พี่อเล็กซ์ เป็นชาวอเมริกัน แต่มาทำงานอยู่ที่ประเทศอินเดียแบบไป ๆ มา ๆ นับจากเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็เลยทำให้เขาพอจะคุ้นเคยกับภาษาและวัฒนธรรมของ ที่นี่ (ซึ่งอาจจะมากกว่าฉันเสียอีก) โดยเฉพาะแถบตอนเหนือ
ฉันถามถึงที่หมายถัดไปของเขา แม้ว่าจะไม่ได้รู้รายละเอียดดีนัก ว่าหลังเดินทางออกจากตาโบ แล้วจะยังมีหมู่บ้านอะไรให้แวะได้บ้าง
อเล็กซ์ บอกว่าพรุ่งนี้จะไปต่อที่ 'นาโก' ส่วนฉันน่ะเหรอ...หลัง 10 โมงเช้าของวันนี้ก็จะต้องออกไป รอรถโดยสาร เพื่อเดินทางไปยัง 'เรคก็อง พีโอ' แล้วจากนั้น ก็จะเข้าเมืองเพื่อเตรียมตัวบินกลับไทย
หลังจากหลวงพี่โซนัม เดินกลับมาไขกุญแจวัดอีกหลังให้พวกเราได้เข้าไปดู (ภายในนั้นห้ามถ่ายรูป) ส่วนชื่อของวัดนั้นก็คือ The white temple (dKar - abyum Lha-Khang) หากจะพูดถึงพื้นที่ด้านในนั้นของวัดโบราณเหล่านี้ ก็พบว่า ดูมีขนาดใหญ่พอสมควร ด้านบนอาคารจะมีคานไม้คอยค้ำโครงสร้าง ส่วนรูปปั้น พระประธานที่นั่งอยู่ตรงใจกลางของห้องก็ดูเก่าแก่มาก ๆ ... ประกอบกับความ หนาทึบและไม่มีแสงภายนอกลอดเข้าถึง จะมีเพียงแท่นบูชาด้านหน้าที่มีถ้วย- ตะเกียงใส่น้ำมันที่จุดไฟเรียงรายเอาไว้จำนวนหนึ่งที่พอจะเป็นแสงสลัว ๆ ได้
ฉันไม่รู้จะอธิบายและเปรียบเทียบยังไงดี เพราะไม่เคยเห็นวัดทิเบตมาก่อน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น ก็คือบรรดารูปวาดที่ลงสีแบบเฟรสโก ในเรื่องราวของ พุทธประวัติ พระโพธิสัตว์ เทพยดา ฯลฯ ตามคติความเชื่อของพุทธทิเบต
พวกเราไปยืนจ้องภาพบนผนังเคยถูกวาดลงจากคนโบราณเมื่อพันปีก่อน แล้วแอบสูดดมกับกลิ่นของความเก่า พลางพึมพำถึงสิ่งที่เห็นตรงหน้า... ถึงในปัจจุบันจะผ่านการบูรณะเพื่อไม่ให้มันเลือนไปตามกาลเวลาก็ตาม แต่ลายเส้นและศิลปะที่ลงบันทึกไว้มันยังคงอยู่ดังเดิมใช่มั้ยล่ะ?
ในเช้านั้น ฉันจำเป็นต้องปลีกตัวออกมาก่อนและหมดโอกาสที่จะเข้าไปเห็น วัดหลังอื่น ๆ ที่เหลือต่อ กระทั่งแวะโฉบไปดูการทำวัตรของพระที่วัดแห่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ติดกันก็ด้วย ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งเก้าโมงกว่า แต่ฉันเป็นพวกขี้กังวลกลัวตกรถมากถึงมากที่สุด และหากไปตรงเวลากับที่มันจะมาเป๊ะ ๆ คงลุกลี้ลุกลนน่าดู อีกอย่างหนึ่งที่ตาโบ ก็ไม่ได้มีท่ารถขนส่งฯ แบบในกาซ่า ดังนั้นสถานที่รอรถประจำทาง ก็คือถนนหน้า หมู่บ้านบริเวณเดียวกับที่มาลงรถเมื่อวานนั่นแหละ
อ้อ...ก่อนไป ฉันได้บอกพี่อเล็กซ์ด้วยว่า อย่าลืมขึ้นไปดูดวงอาทิตย์ตกดิน ที่เนินเขาในตอนเย็นก็แล้วกัน! ส่วนเรื่องสถานที่อื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ฉันเองก็จนปัญญาที่จะแนะนำ
หลวงพี่ทินเล่ ผู้ดูแลเกสท์เฮาส์ ส่วนกระเป๋าที่วางอยู่ข้างประตู ก็คือสัมภาระของข้าพเจ้าเอง
ในเวลาเก้าโมงกว่า ๆ ฉันออกมายืนรอรถตรงที่เก่าก่อนเวลาที่กำหนด ถึงหลวงพี่ทินเล่ ผู้ดูแลเกสท์เฮ้าส์จะบอกเป็นนัยไว้ตอนเอากุญแจไปคืน ว่าไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้เดินออกไปสักสิบโมงครึ่งก็ยังทัน...แต่ฉันก็ยังรั้นอยู่ดี
แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ...ดูเหมือนจะไม่มีวี่แวว ของรถประจำทางเที่ยวไหนวิ่งผ่านมาให้เห็นสักคัน!
มีชาวบ้านบางส่วนนำได้ข้าวของใส่ถุงกระสอบมาวางไว้ตรงริมทางเยอะแยะ คงเพื่อรอขนใส่ขึ้นรถฯ และที่ฝั่งตรงข้ามมีหญิงสาวหมวกเขียวสองคนที่แต่งตัว แปลก ๆ (เหมือนกับป้าคนเมื่อวาน) มาโผล่ให้เห็นอีกจนได้ ก็ยิ่งทำให้ฉันเริ่มกลับ มาสงสัยอีกแล้ว...ว่าพวกเธอเป็นคนแถวไหนกันแน่เนี่ย?
สิบโมงครึ่งก็แล้ว ฉันไม่เห็นว่าจะมีรถผ่านมานอกเสียจาก รถโดยสาร HRTC ที่จะวิ่งไปยังกาซ่าหนึ่งคันเท่านั้น หลังจากนั้นถนนยังคงว่างเปล่าดังเดิม ฉันเห็นรถยนต์คันเล็กของทางวัดที่หลวงพี่ทินเล่เป็นผู้ขับ(พระแถวนี้ขับรถเองนะ) ได้วิ่งผ่านหน้าไปและวนกลับมาให้เห็นอีกหน
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ กระทั่งสิบเอ็ดโมง ฉันได้เห็นชาวตะวันตกคนหนึ่งเดินหอบกระเป๋าเดินทาง กับเสื้อกันหนาวโผล่ออกมาจากปากทาง ดูเหมือนกับว่า เขากำลังจะออกมารอรถเหมือนกัน เลยโบกมือทักทายไป ก็เพราะไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหนหรอก
"นี่พี่จะไปที่ไหนอ่ะ?"
"ไป นาโก...ดูเหมือนว่า หมู่บ้านนี้ไม่มีอะไรแล้ว"
อเล็กซ์บอกว่าพอได้ยินคนแถวนั้นพูดกันว่าวันนี้รถมาช้า ก็เลยเปลี่ยนใจกลับไป เก็บข้าวของเพื่อเดินทางต่อเลย พวกเราก็เลยได้ยืนคุยกันต่อพักใหญ่ แต่ถึง- อย่างนั้น ก็ยังไม่เห็นมีรถผ่านมาเสียที
"เอ่อ...ไม่ใช่ว่ารถโดยสารมันวิ่งไปแล้วนะ"
จุดรอรถโดยสารที่ริมถนนเส้นหลักของตาโบ ที่นาน ๆ ครั้งจะมีรถวิ่งผ่านมา
"ไม่มีทาง!"
ฉันยืนยันเป็นหนักแน่น เพราะออกมายืนรอตั้งแต่เก้าโมงครึ่งแล้ว จะมีแค่รถวิ่ง ไปทางกาซ่าเท่านั้นที่ผ่านมาคันนึง ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ก็เห็นจะเป็นรถอีแต๋น ของชาวบ้านที่ขับไปทำงานในไร่นาเท่านั้นแหละ
11.30 น. ในที่สุดรถจากกาซ่า ก็วิ่งตรงมาถึงตาโบ เสียที! มันเป็นรถโดยสารรอบเดียวกับที่ฉันนั่งมาเมื่อวานนี้ ส่วนทางที่ จะไปนาโก ก็เป็นเส่้นเดียวกันกับฉัน เพียงแต่ว่าจะถึงก่อน
พอรถเมล์ได้ทำการจอดรับผู้โดยสารใหม่จากที่หมู่บ้านนี้ ชาวบ้านต่างก็พากันทยอยขึ้นอย่างว่องไว หนนี้ไม่มีการจองคิวกันแล้ว ฉันมองหาที่นั่งริมหน้าต่าง ซึ่งมันก็มีเหลืออยู่ที่เดียวตรงท้ายรถเท่านั้น เลยไม่ได้คิดอะไรมากและจัดการวางเป้ใบโตไว้ใต้เบาะ ส่วนพี่อเล็กซ์ ก็พุ่งตรงไปนั่งยังที่เบาะที่นั่งมุมขวาที่อยู่เยื้องฉันไป "แน่ใจเหรอว่าจะนั่งตรงนั้นจริง ๆ"
เขาได้หันมาถาม ก่อนที่จะจัดแจงเอาเสื้อกันหนาว ไปเก็บไว้ตรงชั้นวาง จากนั้นก็ย้ายมานั่งเป็นเพื่อน
"ขอเตือนไว้ก่อนนะ ทางมันค่อนข้างแย่หน่อย"
โวะ ทางที่ว่ามันจะเด้งดึ๋ง ๆ แค่ไหนกันเชียว แถวบ้านเราก็มีถนนลูกรังและหลุมบ่อเยอะแยะไป
เป็นอันว่า พวกเราก็มานั่งเรียงหน้ากันที่ท้ายรถ และถัดไปจากอเล็กซ์ ก็เห็นจะเป็นชายวัยรุ่นท้องถิ่น ที่พยายามจะหันมาคุยจ้อกับพี่อเล็กซ์ตลอดเวลา
สวัสดีครับ...คุณชื่ออะไร.... อายุเท่าไหร่...มาจากไหน... บลา บลา บลา
บนรถโดยสารท้องถิ่น (ค่ารถจาก Tabo-Reckong Peo : 273 รูปี)
แม้ว่าระหว่างบทสนทนาดังกล่าว จะมีอุปสรรคเข้ามาแทรกมาตลอด การพูดคุยจึงไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก เหมือนกับสัญญาณติด ๆ ดับ ๆ ดังเช่น เวลาที่ตัวรถต้องวิ่งกระแทกพื้นถนน (ที่มีหน้าตาไม่เหมือนถนน) เราต่าง พากันนั่งเกร็งไปกับทางอันแสนวิบาก ที่สามารถดีดตัวให้ลอยเด้งได้ ทั้งไหนจะ ต้องมาปิดจมูกคอยระวังเศษดินและฝุ่นที่ปลิวพัดเข้ามาทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้เรื่องชาวบ้านย่อมสำคัญกว่า เพราะอาจมีผลต่อการ เดินทางของฉันด้วย ซึ่งข้อมูลโดยคร่าว ของเพื่อนผู้ร่วมทางบนรถเมล์อีกคน ถัดจากอเล็กซ์ มีชื่อว่า'อนันต์' (งั้นเราควรชื่อ อฟา สินะ จะได้เข้าพวก - อฟา อเล็กซ์ อนันต์) อนันต์ เป็นคนในพื้นที่นี้ กำลังจะเดินทางไปยังเมืองชิมลา เพื่อทำเรื่องขอจบ- การศึกษาที่มหาวิทยาลัย แต่วันนี้เขาจะต้องแวะเข้าพักยัง 'เรคก็อง พีโอ' ก่อน ซึ่งนั่นก็เป็นที่เดียวกับที่ฉันจะไปลงนั่นเอง
หลังจากที่รถเมล์คันนี้ ได้พาเราหลุดออกไกลไปตาโบมาไกลแล้ว ฉันก็พบว่าพื้นที่ทางฝั่งนี้แลดูมีหน้าตาทุรกันดารเสียยิ่งกว่าที่คิดไว้ เนินเขาบางลูกแทบไม่มีต้นไม้ แต่ก็ยังมีสัตว์ประหลาดตัวเท่าวัว โผล่มาให้เห็นบนเนินเขาที่ทำมุมตั้งฉากจนเกือบ 90 องศา! (ถ้าเป็นแพะภูเขาฉันคงไม่แปลกใจ) แต่นี่มันยังกับพวกไบซัน ไม่ก็เป็นเทือกเถาเหล่ากอเดียวกับจามรี
สะพานที่เชื่อมต่อพื้นที่วิ่งรถ บางครั้งก็ดูสวยบางครั้งก็น่ากลัว
สภาพพื้นที่บางส่วนของการเดินรถหนนี้
ส่วนทางด้านขวาของไหล่ทาง จะเห็นเม่น้ำสีเทอร์คอยซ์สายหนึ่งที่ไหลขนาบ ไปกับการเดินรถอยู่ด้วยระยะหนึ่ง แน่นอนว่ารถของเราจะต้องมีการข้ามฟากข้าม สะพานไปยังฝั่งตรงข้าม เพื่อรับผู้โดยสารมายืนรอกันเต็มไปหมด นั่นจึงทำให้ฉัน เริ่มเข้าใจแล้วว่า ในวันหนึ่งอาจจะมีรถประจำทางที่วิ่งระยะไกลผ่านมาเพียงคัน- เดียวต่อวันเท่านั้น (ไม่นับเที่ยวรถประจำทางที่วิ่งแบบระยะสั้นระหว่างหมู่บ้านนะ)
จุดตรวจตราด่านแรกที่ตั้งอยู่ตรง Sumdo ที่ซึ่งฉันต้องลงไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ฯ
แม่น้ำสีฟ้าสดที่ไหลพาดผ่านถิ่นทุรกันดาร
รถโดยสารกับสภาพเส้นทางด้านหน้าที่กำลังจะเคลื่อนที่ไปต่อ หลังจากที่ฉันชะโงกหน้าออกไปเพื่อถ่ายรูป ก็แทบจะเป็นบ้าตาย!
สถานที่แห่งแรก ที่รถมาจอดพักครู่ใหญ่ก็คือด่านที่ชื่อว่า Sumdo สำหรับอเล็กซ์และฉัน จำเป็นที่จะต้องมารายงานตัวกัน โดยนำใบขออนุญาต เข้าพื้นที่ฯ ที่ทำไว้ล่วงหน้าจากสำนักงาน ADC ในกาซ่า มายื่นพร้อมกับ พาสปอร์ต ให้เจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกการเข้า-ออก เพราะในส่วนของเขต upper Kinnaur ที่เราจะต้องนั่งรถผ่านนั้น ตั้งอยู่ติดกับพรมแดนทิเบตมาก ๆ
*** เมื่อหลุดไปจาก Sumdo แล้วก็จะถือว่า เราได้ออกจาก Spiti Valley เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจากนี้จะถือว่าเป็นเขต Kinnaur ทางตอนบนนั่นเอง ***
ซุ้มหน้าหมู่บ้านชางโก
ประมาณเที่ยงครึ่งเห็นจะได้ หลังจากที่นั่งรถกันมาแค่หนึ่งชั่วโมง แต่เส้นทางที่แสนวิบากนี้ กลับให้ความรู้สึกยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์
คนขับก็ได้แวะลงจอดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ชางโก (Chango) และผู้คนมากมายบนรถ ต่างก็พากันเดินลงไปยังด้านล่างเกือบหมด
อนันต์จึงได้หันมาชวนไปดื่มน้ำชาที่ร้านด้านล่าง ทีแรกเราก็ไม่คิดอยากจะลงกันหรอก (คือกลัวว่า...พอลุกแล้วเสียที่) แต่หลังจากที่เจ้าถิ่นยืนกรานว่า ต่อจากนี้ไปรถเมล์อาจวิ่งยาวและ ไม่จอดแวะอีกก็ทำให้พวกเรารีบเปลี่ยนใจทันที
ด้วยเส้นทางที่ผ่านมาทำให้ฉันรู้ดีแล้วว่า ระยะทางที่บอกเป็นกิโลเมตร กับระยะเวลาเดินทางจริง มันแทบจะไม่มีความความสัมพันธ์กันเลยสักนิด
เออ ดีเหมือนกัน...ขอลงไปยืดเส้นยืดสายสักหน่อยเนอะ ว่าแล้วพวกเรา ก็ลงมาสูดอากาศกันครู่หนึ่ง และใช้เวลาดื่มชานานราว 15 นาทีได้
...
จากหมู่บ้าน Chango เมื่อเรานั่งรถผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง กระเป๋ารถเมล์ ก็เริ่มเดินมาบอกให้พี่อเล็กซ์ได้เตรียมตัวล่วงหน้า เพราะตอนนี้ก็ใกล้จะถึงปลายทางของเขาแล้วในไม่ช้า
พี่อเล็กซ์ได้ลงที่หมู่บ้านนาโกในเวลาบ่ายโมงครึ่ง และหากนับจาก ตาโบ มายัง นาโก ก็แค่ 64 กิโลเมตร ในขณะที่ฉันยังคงอยู่บนรถเมล์ตามเดิม โดยที่ไม่รู้ว่า 'เรคก็อง พีโอ' มันไกลแค่ไหนนับจากนี้?
ถัดไปจาก Chango กับเส้นทางที่ต้องวิ่งวกไปวนมา เพื่อไต่ระดับความสูงไปเรื่อย ๆ ส่วนพื้นที่สีเขียวริมฝั่งแม่น้ำตรงนั้นก็คือ สวนแอปเปิ้ล
จุดจอดรถโดยสารหน้าหมู่บ้านนาโก
พื้นที่เพาะปลูกบางส่วนของหมู่บ้านนาโก
คนงานเหล่านี้กำลังจัดเก็บผลแอปเปิ้ลเพื่อเตรียมนำไปส่งขาย
อเล็กซ์ได้บอกให้ฉันรู้ว่าที่ 'พีโอ' (คำเรียกย่อของ Reckong Peo) ไม่มีอะไรน่า สนใจเท่าไหร่นัก มันเป็นแค่เมืองใหญ่ และหากฉันไปถึงเมืองที่ว่าก่อนค่ำก็ควร แวะไปที่ 'กัลป้า' (Kalpa) ซึ่งเมืองนั้นมันตั้งอยู่บนเขาและไกลจาก พีโอ เพียงแค่ ไม่กี่กิโลเมตร -- จากนั้นอเล็กซ์จึงได้ให้เบอร์ติดต่อของคนรู้จักเผื่อไว้ก่อนที่เขา จะลงจากรถไป
ต่อมา อนันต์ก็ได้เข้ามานั่งอยู่ข้างฉันแทนพี่อเล็กซ์เป็นที่เรียบร้อย ฉันแอบนึกขำตรงที่ว่า แม้เราจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาตั้งแต่ขึ้นรถ และได้ พูดคุยกันบ้างเล็กน้อยก็ตาม แต่เขาก็เริ่มต้นคุยกับฉันเหมือนกับพี่อเล็กซ์เป๊ะ
สวัสดีครับ...คุณชื่ออะไร.... อายุเท่าไหร่...มาจากไหน... บลา บลา บลา
นี่แกมีคำถามที่สร้างสรรค์กว่านี้มั้ย?
แถมมีการบอกด้วยนะ ว่าตอนแรกเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นชาวสปิติ มากกว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว (อันนี้ต้องยอมรับว่าเหมือนจริง 55)
ถัดจากนาโก ยิ่งรถออกวิ่งตัวไปไกลมากเท่าไหร่ จำนวนผู้คนที่ขึ้นมาสมทบเพิ่ม ก็ดูเหมือนว่าจะเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เสียอีก ทั้งภาพของเส้นทางจากนี้ มันดูดิบเถื่อน เสียยิ่งกว่าขามาเสียอีก ...ถนนบางเส้นกำลังถูกเตรียมทางโดยมีรถบดและยาง- มะตอยร้อน ๆ ที่กำลังทำการราดลงพื้นให้เห็น พื้นที่ภูเขาบางส่วนกำลังจะถูก ระเบิดเพื่อเจาะอุโมงค์เชื่อมต่อ ฉันได้ยินว่ากว่าโครงการเหล่านี้จะเสร็จสมบูรณ์ อาจกินเวลายาวนานสัก 10 ปี - 20 ปี เชียวล่ะ
แต่นั่น...ก็ยังไม่ทำให้ฉันรู้สึกตกใจเท่ากับคำตอบเรื่องปลายทาง ที่กำลังจะไปถึงเมื่อได้รู้คำตอบจากอนันต์ "น่าจะราว ๆ 6 โมงครึ่ง เพราะวันนี้รถมันมาช้ามาก ๆ"
ฉันมองวิวรอบนอกอย่างเลื่อนลอยเสียยิ่งกว่าครั้งไหน และถอนหายใจอยู่ หลายเฮือก ในเมื่อเวลานั้นก็เพิ่งจะบ่ายสามโมงเอง ส่วนเรื่องของภูมิประเทศ แถบนี้ พอมองไปทางไหนก็เจอแต่เพียงภูเขาโล่งเตียน สวนแอปเปิ้ล แล้วก็ หุบเหว...
ไม่มีทั้งปั๊มน้ำมันหรือจุดแวะพักใดอีกนอกเสียจากเสียงตะโกนส่งสัญญาณ บอกผู้โดยสารที่มายืนตรงจุดรอ ว่ารถคันนี้จะวิ่งไปที่ไหนเท่านั้น
นี่ถ้าฉันรู้ว่าเส้นทางมันจะเป็นแบบนี้ คงตัดสินใจลงที่ นาโก แทนไปแล้ว
....
"อนันต์...ฉันต้องการความช่วยเหลือ!"
ในเมื่อรถมันจะไม่จอดพักแบบที่ชางโก ฉันก็จำเป็นที่ต้องแก้ปัญหาบางเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่
"ได้สิ" อนันต์รับปากว่าจะช่วยทำหน้าที่สื่อสารให้
"เธอช่วยบอกกระเป๋ารถเมล์ให้ที ว่าฉันจะอยากเข้าห้องน้ำ"
ถ้ามัวแต่รอจนถึงปลายทาง มีหวังคงได้ป่วย เป็นกรวยไตอักเสบ หลังจากนี้แน่!!!!!!
อนันต์ จึงได้ช่วยบอกกระเป๋ารถเมล์ที่กำลังนับเงินอยู่ตรงท้ายรถเช่นเดียวกับเรา ว่าเมื่อถึงจุดรอรถข้างหน้าเมื่อไหร่ก็ช่วยตะโกนบอกคนขับให้ด้วย ว่ามีผู้หญิงจะ เข้าห้องน้ำ (เพราะยังไง คนขับรถก็ต้องรอฟังสัญญาณเสียงจากกระเป๋ารถฯ อยู่ดี) ฉันรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย หลังจากที่เขารับปากว่าจะให้เวลาลงไปทำธุระส่วนตัวยัง ป้ายหน้าได้
ป้ายหน้า? มันคือคำธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาเลยนะ
ก็อย่างว่าแหละ...ที่ผ่านมาเวลารถจอดชั่วขณะ ฉันเห็นพวกผู้ชายลงไปทำธุระฯ กันได้แบบไม่รู้สึกกังวล แต่สำหรับผู้หญิงกับสภาพพื้นที่แถวนี้ หากไม่มีที่กำบัง ที่ดีพอมันก็แย่เอาการทีเดียว
ป้ายหน้า ที่มีหน้าตาไม่เหมือนป้ายรถเมล์และเป็นเพียงแค่พื้นที่โล่งโจ้งตามเคย หลังจากที่ฉันได้ยินกระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกคนขับให้รอครู่หนึ่งก่อน เพื่อจะให้ ฉันลงไปด้านล่างได้สะดวก
ฉันเดินลงจากรถ ด้วยความรู้สึกดีใจและเห็นว่าตรงถนนนี้ มีร้านขายของชำมาตั้งอยู่หนึ่งแห่ง แต่ว่ากลับไม่มีห้องน้ำซะงั้น! ฉันจำเป็นจะต้องมองหาพื้นที่กำบังดี ๆ เสียหน่อย -- ไม่ไกลจากรถมีหินก้อนใหญ่ ตั้งอยู่มันสูงราวครึ่งเมตร คงพอที่จะหลบซ่อนได้บ้าง ส่วนเรื่องสุมทุมพุ่มไม้อะไร แบบนี้ก็อย่าไปหวังเลย...ไม่มีหรอก แต่ว่ารถเมล์และผู้คนมากมายก็อยู่ไม่ไกล เกินสามเมตร (แน่นอนว่าพวกเขาคงรู้กันหมด ว่าฉันเดินลงจากรถไปเพื่ออะไร)
เคราะห์ยังดีที่ลุงกระเป๋ารถเมล์ ได้ช่วยตะโกนบอกให้คนขับฯ เคลื่อนรถไปข้างหน้าอีกหน่อยให้พอดูพ้นสายตาไปได้บ้าง ฮือ...ขอบคุณมากค่ะลุง
ถามว่า อายมั้ย? ก็แน่นอนสิ น่าอายจะตายไป! คิดซะว่าพอถึงวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็คงลืม ๆ กันไปหมดแล้วล่ะ
สภาพถนนบางส่วนของเขต upper Kinnaur ที่เป็นทางผ่าน
และเมื่อฉันได้กลับมาขึ้นรถ กระเป๋ารถเมล์ก็ส่งสัญญาณบอกคนขับ ให้ไปต่อได้โดยการเป่านกหวีดและตะโกน "จะโล ๆ"
ฉันเลื่อนกระจกหน้าต่างเพื่อปิดกันฝุ่น ที่พัดพาเข้ามาด้านในรถอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีอารมณ์ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอีกแล้ว ส่วนวิวข้างนอก หากไม่ใช่ทางลูกรัง ก็เห็นจะเป็นพื้นที่ภูเขาว่างเปล่ากับแคมป์คนงาน -- ในตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงกว่า แสงด้านนอกกำลังจะหมดไป ส่วนด้านพื้นที่บนรถก็ช่างดูเบียดเสียดและแออัด พอยิ่งใกล้เข้าถึงปลายทางเท่าไหร่ก็มีผู้โดยสารเยอะขึ้นด้วย
เราเริ่มเห็นทิวทัศน์ของภูเขาข้างทางที่เริ่มมีต้นไม้ขึ้นเขียวและฉากหลัง ของภูเขาลูกนั้นจะเป็นเทือกเขาที่สูงใหญ่กว่าและมีหิมะปกคลุม ส่วนพื้นล่าง ของทางถนนเส้นนี้ก็จะมีแม่น้ำไหลผ่าน อนันต์บอกกับฉันว่าบนเขาลูกนั้นมี วัดโบราณของพระศิวะตั้งอยู่ พร้อมกับพูดเสียติดตลก
"พื้นที่แห่งนี้เป็นเส้นทางสู่แดนสวรรค์ แต่ถนนเนี่ย...นรกสุด ๆ"
ฉันเข้าใจว่า อนันต์คงเอ่ยถึงฉายาในเขตคันนัวร์แห่งนี้ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น 'ดินแดนแห่งเทพเจ้า' แน่ ๆ หรือบางคน ก็อาจบอกว่าแถวนี้นั่นแหละที่เป็นป่าหิมพานต์
ในเมื่อไม่มีวิวอะไรที่น่าสนใจแล้ว ฉันจึงได้เผลอหลับไปงีบหนึ่ง แม้ว่ารถมันจะโขยกเขยกเสียจนน่าเวียนหัวก็ตาม ต่อมารถโดยสาร ได้ทำการหยุดจอดลงอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ช่างแปลกเอาเสียมาก ๆ ข้างทางซีกขวาคือภูเขาที่ถูกแซะหน้าออกเพื่อตัดทาง ส่วนฝั่งซ้าย ดูเหมือนจะเป็นแม่น้ำ และมีเต็นท์ขนาดใหญ่สำหรับเป็นแคมป์คนงาน ตั้งอยู่ ฝั่งถัดไปจากริมน้ำก็จะเป็นภูเขาที่มีต้นไม้ และมีภูเขาหิมะเป็น ฉากหลังเช่นเดิม...แน่นอนว่า นอกเหนือไปจากนี้ก็ไม่เห็นจะมีสิ่งใดอื่นอีก
...
พีโอ! ...พีโอ!
ฉันลืมตาขึ้นมาแบบงัวเงียจากเสียงของลุงกระเป๋ารถฯ ที่มาตะโกน ตรงข้างรถที่จอดนิ่ง พลางเคาะกระจกเรียกปลุกฉันด้วย ทำให้เจ้าอนันต์ นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ "เอ่อ...พีโอ .... นี่คือ พีโอ"
ตรงนี้เหรอ?
ฉันย้ำถามอีกครั้งให้แน่ใจ และอนันต์ก็บอกว่าใช่ ประกอบกับลุงกระเป๋ารถฯ ก็ชี้บอกให้เดินไปข้างหน้า
กระเป๋าใบโต ที่ซุกอยู่ใต้เบาะล่างจึงถูกยกขึ้นมาคล้องไหล่สะพาย สภาพของมันในตอนนี้ ดูเกรอะกรังเหมือนกับว่าไปหลงอยู่ในสมรภูมิรบ ก็ไม่ผิด อนันต์ช่วยยื่นส่งกระเป๋าอีกใบให้ก่อนฉันจะเดินลงจากรถ
นี่เหรอ พีโอ? มองไปทางไหนก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีพื้นที่สำหรับพักแรม จะมีก็แต่ป่าเขาตามอย่างที่บรรยายไว้ข้างต้น...ฉันเดินไปที่ท้ายรถ มองสำรวจความน่าจะเป็น พร้อมกับแหงนหน้าไปมองอนันต์ ซึ่งเขาได้โผล่หัวออกจากช่องหน้าต่าง และส่งสัญญาณมือบอกใบ้ ให้ไปยังด้านหน้า
ไม่ไกลจากหน้ารถจะมีซุ้มเล็ก ๆ ตั้งอยู่ โดยมีเจ้าหน้าที่ชาวอินเดียสองนาย ออกมานั่งประจำการ ดูคล้ายกับที่ Sumdo ไม่มีผิด -- ผู้โดยสารบนรถ 3 คน ที่ไม่ใช่ชาวอินเดีย (อาจเป็นชาวเนปาลี) กำลังยื่นเอกสารและพาสปอร์ตให้ เจ้าหน้าที่ดังกล่าว หน้าแตกสิ ที่นี่คือจุดตรวจเอกสารฯ ด่านสุดท้ายของพื้นที่ Kinnaur นี่หว่า!
แหม ๆๆๆ แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น ฉันได้หอบข้าวของลงมาจากรถจนหมดแล้วซะด้วย พอจบการดำเนินเรื่องดังกล่าวแล้ว ฉันจึงเดินกลับ ไปยังรถคันเดิมและนั่งลงตรงที่เดิมนั่นแหละ
ก็ยังดี ที่อนันต์ยังจองที่ไว้ให้อยู่
"เมื่อกี้นี้ ทำไมเธอถึงเอาของลงไปทั้งหมดล่ะ?"
อนันต์สงสัยว่า กะอีแค่ลงไปรายงานตัวฯ แล้วทำไมถึงต้องบ้าหอบฟางขนาดนั้น
"ก็นายบอกว่า ถึง พีโอ แล้วนี่หว่า..."
"ใช่ไง นี่คือ ...พีโอ ที่เป็นด่านตรวจฯ"
ปัดโธ่! มาบอกแค่นี้ฉันก็เข้าใจผิด คิดว่าเดินทางมาถึง เรคก็อง พีโอ แล้วน่ะสิ!
....
รถเมล์เริ่มเดินทางต่อไปยังจุดหมายข้างหน้า และเริ่มเปลี่ยนชื่อ ของปลายทางที่ไกลกว่าเดิม นั่นก็คือ "ชิมลา"
มีผู้โดยสารแห่ขึ้นมาบนรถอย่างมากมายกว่าเดิม หากยึดตามความคิดของฉันแล้ว มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะจอดรับ คนเพิ่มเติมได้ ... แต่ว่า พวกเขาเหล่านั้นยังสามารถจัดการกับพื้นที่ อันแสนแออัดนี้ได้อย่างน่าตกใจ มันเต็มปรี่ไปจนถึงทางขึ้นหน้าประตู
แต่ไม่ทันไร รถเมล์ได้จอดรับผู้โดยสารเพิ่มอีกแล้ว
"เฮ้ย ... เป็นไปไม่ได้" ยังจะมีคนขึ้นมาเพิ่มอีกได้ไงเนี่ย!
อนันต์ ถึงกับหัวเราะหลังจากเห็นฉันทำหน้าตะลึง กับสิ่งที่เกิดขึ้น "ฮ่า ๆ เป็นไปแล้ว"
นับตั้งแต่ที่ฉันขึ้นรถตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง และพักกินมื้อกลางวัน ที่ Chango ตอนเที่ยงวัน และนั่งรถลากยาวมาจนถึงหกโมงกว่า ๆ โดยไม่มี การแวะลงที่ไหนอีก กระทั่งเกิดเหตุฉุกเฉิน และลงมารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ฯ เรื่องในวันนี้ มันคงเป็นการเดินทางฝ่าถิ่นทุรกันดารที่ยาวนานที่สุด
และแม้ว่า ตัวรถคันนี้จะแล่นต่อไปจนถึงชิมลาได้ก็ตาม แต่อนันต์ก็ทักท้วงว่า กว่าจะถึงที่โน่นก็ตีสาม และเส้นทางถนนต่อจากนี้ค่อนข้างที่จะอันตรายมาก ๆ ถึงเจ้าอนันต์จะไม่พูดเตือนไว้ ฉันก็คงไม่รีบร้อนและดันทุรังไปต่ออยู่แล้วล่ะ อยากลงจากรถ กินข้าว อาบน้ำ และเอนตัวหลับจนใจจะขาดอยู่แล้วตอนนี้!
จนในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงหน้าสถานีขนส่ง Reckong Peo ตอนหกโมงครึ่ง กับสภาพคลุกฝุ่นและมอมแมมจนดูแทบไม่ได้เชียว
เรคก็อง พีโอ มีสภาพเป็นเมืองใหญ่และดูไม่มีอะไรน่าสนใจจริง ๆ ฉันมองหาที่พักที่อยู่ไม่ไกลจากท่ารถ เพื่อที่จะได้สะดวกต่อการเดินทาง ในตอนเช้า มีร้านรวงมากมายที่พากันปิดหลายแห่ง เพราะในช่วงนี้กำลังมีงาน ฉลองใหญ่ของชาวฮินดูที่ชื่อว่า 'เทศกาลดิวาลี'
ในคืนนี้มีการจุดพลุฉลองกันบ้างเล็กน้อย ส่วนตามบ้านเรือนก็มีการประดับประดา ด้วยพวงมาลัยดอกดาวเรืองกันด้วย อนันต์บอกว่าในคืนพรุ่งนี้ฉันจะได้เห็นแสงไฟ ที่นำมาตกแต่งตามบ้านเรือนเรียงรายตรงหน้าบ้านเต็มไปหมด และจะมีเสียงจุด พลุและประทัดดังตูมตามจนถึงสว่างเลยล่ะ
....
22 ตุลาคม 2014
รุ่งสางของเช้าวันถัดมา ฉันเดินออกมาจากที่พักตั้งแต่ตีห้า แม้ว่าจะยังมืดอยู่ แต่ริมทางเดินก็มีแสงไฟส่องให้มองเห็นทางได้ไม่ยาก และพอเมื่อแหงนหน้าดูบนท้องฟ้า ดวงดาวบนนั้นช่างดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับ หุบเขาสปิติ ที่อยู่ไกลแสนไกลจากตรงนี้
ฉันตั้งใจว่าจะนั่งรถไปชิมลารอบเช้า แต่ว่าเมื่อพอไปถึงท่ารถ ก็กลับได้ยินว่ากำลังจะมีรถออกในตอนนี้ รอบตีห้าครึ่ง! ถึงจะยังไม่ทันสว่างดีนัก แต่ฉันก็ตัดสินใจไปกับรถคันดังกล่าว
บรรยากาศรอบนอกยังคงมืดอยู่ และต่อมาฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น จากเมืองพีโอ รถคันนี้ได้พาฉันไปยังเส้นทาง NH-22 ที่ชื่อว่าอันตรายติดอันดับโลก บนถนน เส้นแคบที่วิ่งเลียบไหล่เขากับความสูงของมัน ได้ทำให้ฉันหายง่วงและไม่กล้า หลับ เพื่อหวังว่าจะไม่มีรถใหญ่วิ่งสวนผ่านมา และหวังว่าคนขับจะไม่พารถเมล์ ไถลร่วงหล่นลงเหว
พอเมื่อเข้าสู่เส้นทางปกติ (แต่ยังไม่เข้าตัวเมือง) ...บ่อยครั้งรถของเราแอบติดขัด กับการจราจรบนท้องถนนที่มีบรรดาฝูงสัตว์อย่าง แพะ แกะ มาเดินกันเต็มท้อง- ถนนตามการต้อนของคนเลี้ยง
และบนเส้นทางนี้เอง ก็ทำให้ฉันได้เจอกลุ่มคนหมวกเขียวอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะได้เห็นผ่านตามาแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานตอนเดินทางในพื้นที่ชั้นใน
ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รถได้วิ่งเข้าตัวเมืองแล้ว ฉันยังเจอกับบรรดาผู้หญิง- หมวกเขียวอีกหลายคน ที่ต่างพากันสวมใส่ชุดสีเขียวกำมะหยี่และมีผืนผ้าทอ ลายแปลกมาใช้คลุมไหล่กันหนาว พวกเธอต่างพากันใส่เครื่องประดับกันเต็มที่ และนำกลีบดอกไม้แห้งบางชนิดมาห้อยร้อยกันบนหมวกด้วย ถ้าเป็นผู้ชาย พวกเขาจะพากันสวมใส่ชุดนอกที่ดูคล้ายกับสูท
หากฉันเดาไม่ผิด สาเหตุที่พวกเขาพากันแต่งตัวเต็มยศ ก็คงเพื่อเตรียมการเฉลิมฉลองในวันงานเทศกาลใหญ่กัน
และต่อมาภายหลัง ฉันจึงได้รู้ว่าพวกคนเหล่านี้ ก็คืออีกชนเผ่าหนึ่งในอินเดีย ที่เรียกว่าชาวคินนัวร์ หรือ คินนัวรี (Kinnauri) นั่นเอง
Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2558 |
|
90 comments |
Last Update : 15 มกราคม 2562 13:23:10 น. |
Counter : 2299 Pageviews. |
|
|
|
คราวนี้รูปสวย