หลังจากสุ่มเดินขึ้นไปสำรวจดูชั้นบนของสำนักงานฯ ว่าเปิดทำการหรือยัง
ก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังจัดเรียงเอกสารอยู่ลำพังในห้องทำงาน
ฉันจึงรีบเสนอหน้าไปขอยื่นเรื่องทันที แต่คุณเจ้าหน้าที่กลับไม่ยอมดำเนินการให้
"ยังไม่ถึงเวลาทำการ รอไปก่อน"
เขาว่าที่นี่เปิดทำการสองช่วงเวลา
คือ 7.00 น. 10.00 น. กับ 16.00 น. 19.00น.
และฉันควรจะมาทำตั้งแต่เมื่อวานเย็นตอนมาถึง
พลาดเลย! เวลาเปิดทำการแปลก ๆ แบบนี้ ไหงไม่เห็นมีใครบอก
"แต่นี่ก็ได้เวลาแล้วนี่" ฉันยกนาฬิกาข้อมือยืนยันว่า 7 โมงแล้ว อย่าอู้สิ!
เจ้าหน้าที่มองหน้าฉันอย่างเนือย ๆ พลางหันกลับไปเรียงเอกสารต่อ
"แล้วจะเข้าไปคนเดียวหรือไง?"
"ใช่" ฉันตอบ
"มีสำเนาวีซ่า กับพาสปอร์ตมาไหมล่ะ"
เขาถามก่อนที่จะหยิบแบบฟอร์มสีขาวมาให้กรอก
ในที่สุดก็ได้ทำใบอนุญาตเสียที เจ้าหน้าที่บอกว่าให้นำไปยื่นและจ่ายเงิน
ค่าทำเนียมเข้าอุทยานที่ด่านตรวจ ซึ่งมันจะอยู่ห่างจากที่นี่ถัดไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร
เอาหละ ได้เวลาออกเดินทางเสียที นี่ถ้าสายไปกว่านี้คงถึงที่หมายช้าแน่
ฉันหยิบเอาใบคำร้องนั่นมาตรวจดูอีกรอบ พร้อมตกใจกับเรื่องบางอย่างเข้า
เพราะเวลาที่เขียนลงกำกับนั้น คือ 6.10 น.!!!
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมปรับนาฬิกาข้อมือเป็นเวลาของประเทศอินเดีย
เจ้าหน้าที่คงอาจคิดว่าฉันน่าจะเบลอเพราะมึนกับที่สูง? รึไม่ก็ปล่อย ๆ ให้เข้าไป
แต่เช้าเลยดีกว่า ถ้าเกิดมันเอาแต่เดินเอื่อยเฉื่อยทำตัวสโลว์ไลฟ์เดินช้าไปถึง
ตอนมืดค่ำอาจจะแย่
แทบอยากวิ่งลงเขากลับไปขอบคุณซะเดี๋ยวนั้น!
เป้าหมายเส้นทางของการเดินทางขาไป วันที่ 1 จะแบ่งออกเป็นสองช่วง
- 9 กม. จาก กังโกตรี (3,049 ม.) > Chirbasa (3,600 ม.) พักกินข้าวกลางวัน
- 5 กม. จาก Chirbasa > Bhojbasa (3,792 ม.) หาที่พักแรมหนึ่งคืน
ทางอุทยานฯ มีการขอความร่วมรณรงค์ให้งดนำบรรจุภัณฑ์ประเภทพลาสติกเข้าไป
แต่เท่าที่เห็น ก็ยังมีการจำหน่ายน้ำดื่มบรรจุขวดที่บริเวณด้านในอยู่
ที่นี่มีสัตว์ป่าหายากอย่างตัว Blue Sheep อาศัยอยู่ อาจมีลุ้นได้พบเห็นระหว่างทาง
หลังผ่านจุดตรวจฯ ที่นำใบอนุญาตไปยื่นเรียบร้อยแล้ว กลุ่มนักเดินทางหลายคน
ก็มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ซึ่งใบหน้าเราจะหันรับแสงแดดท้า UV ที่จะสาดส่องเข้า
อย่างเต็ม ๆ เพื่อตรงไปยังจุดหมายเดียวกันนั่นคือโกมุข
หนแรกนั้น ฉันเห็นการเดินที่พร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะดีอยู่ ถัดไปไม่นานนักก็เริ่ม
แตกแถวแยกย้ายกันตามแรง ใครเดินไหวก็ไปต่อใครไม่ไหวก็นั่งพัก
ก็ตามที่คาดไว้เส้นทางนี้ดูไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ แต่แอบน่ากลัวตรงที่มันเป็นไหล่
ทางเลียบเขา บางครั้งก็แคบบางครั้งก็มีระดับลดหลั่น เสี่ยงต่อการลื่นไถลและเสีย
หลักได้ โดยเฉพาะมุมที่โค้งหักศอก สำหรับคนที่เดินไกลไม่ไหว 'การเช่าลาขี่'
ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของการผ่อนแรงที่ดี....แต่เราจะกล้าไว้วางใจ ลา มากกว่า
ฝีเท้าตัวเองหรือปล่าวก็อีกเรื่อง
ตรงสะพานข้ามฟากก็เป็นอีกจุดเล็ก ๆ ที่แอบดูน่ากลัว...
นักท่องเที่ยวชาวอิตาลีกลุ่มใหญ่กำลังเดินข้ามกันอย่างตื่นเต้นทีละคน ๆ
เพราะตัวไม้ที่ทำพาดไว้มันดูไม่แข็งแรง และบุแผ่นสังกะสีทับไว้เท่านั้น
ฉันยืนรอจนกระทั่งคนสุดท้ายข้ามไปเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงตาของตัวเอง
ที่ต้องเดินข้ามแบบยักแย่ยักยัน กลัวพลาดพลิกคว่ำสะดุดร่วงจะตายไป
พี่ไกด์เสื้อแจ็คเก็ตแดงที่เป็นคนดูแลกลุ่มฯ จึงเดินย้อนตรงมาที่กลางสะพาน
ยื่นมือมาให้เกาะเพื่อพาเดินไปด้วย แม้ว่าฉันจะไม่ได้มากับพวกเขาก็ตาม
ฉันเจอพี่ไกด์ฯ คนนี้อีกหนก็ตอนไปถึง Chirbasa เขามานั่งรอลูกทัวร์
ตรงเนินหินก่อนถึงจุดแวะพักกินข้าวกลางวัน
"ถัดจากนี้ก็เดินต่อไปแค่ 5 กิโลเมตร ก็ถึง Bhojbasa แล้ว
แต่ทางมันจะทุลักทุเลกว่านี้ จะเอาไม้เท้าไปใช้ค้ำไหม?"
พี่ไกด์จะให้ยืมฟรี ๆ นี่แหละ แต่ฉันเคยเดินป่าโดยใช้ไม้เท้ามาก่อน
และรู้สึกว่าเดินไม่ค่อยดีนัก ก็เลยบอกไปว่าไม่เป็นไร
แต่ก็ยังไม่วายมีถามต่อว่าแล้วจองที่พักแล้วหรือยัง ?
"ยังหรอก แต่คิดว่าจะไปพักที่อาศรม ลาล บาบา"
ฉันไม่ได้โทรไปจองล่วงหน้า แต่คิดว่าน่าจะเดินทันอยู่
"โควต้าให้คนเข้าอุทยานแค่วันละ 100 คนมันก็น่าจะพออยู่เนอะ"
"แน่ใจนะ....ถ้าเกิดไม่ทันยังไงก็ มาบอกเดี๋ยวให้ยืมเต็นท์ไปนอน"
ถึงมันจะเป็นการเดินทางตามลำพัง แต่เพื่อนร่วมทางที่ได้พบเจอ
ก็ทำให้ฉันไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองโดดเดี่ยวสักนิด
ช่วงพักกินอาหารกลางวัน ที่ซุ้มเพิงผ้าใบ บางคนก็ล้มตัวนอนพักเหนื่อยกัน
บางคนก็นั่งจิบชา ... ฉันสั่ง ปาราทา โรตีที่ผสมมันฝรั่งกับผัก กินแกล้มกับ
มะม่วงลูกเล็กที่ดองให้มีรสเปรี้ยวสำหรับแก้เลี่ยน ซึ่งมันก็เป็นแค่เมนูเดียวที่มีขาย
ที่จุดแวะพักนี้ ฉันได้มาเจอกับพี่เนปาล คนที่เดินมาคุยเมื่อตอนเช้านี้ด้วย
(อันที่จริงแล้ว พวกเราก็วนเวียนไปไหนไม่ไกลกันนักหรอก)
เขาบอกว่าหลังจากที่ฉันเดินไปแล้ว ไม่นานนักก็ได้ลูกค้าที่ว่าจ้างเป็นคู่รัก
ชาวเยอรมันคู่หนึ่ง และจากที่คุยกันก็ทำให้ได้รู้ว่าในที่นี้มีชาวเนปาลีมาทำงาน
เป็นลูกหาบเยอะพอสมควร
ไม่นานนัก พี่ลูกหาบเนปาลก็ต้องขอตัวออกเดินทางไปพร้อมกับลูกค้าของเขา
ส่วนฉันก็ยังคงต้องนั่งพักสักเดี๋ยวก่อนเพราะยังไม่หายเหนื่อยเลย
ดูเหมือนว่าทุกอย่างในวันนี้เหมือนจะดีพร้อมไปเสียหมดใช่ไหมล่ะ
แต่ก็ผิดคาด เพราะในที่สุดเรื่องที่ไม่ควรเกิดก็ดันเกิดขึ้นจนได้
ฉันมีปัญหาเรื่องเส้นทางนิดหน่อย
เนื่องจากบริเวณนั้นดันมีกองหินพะเนินยักษ์มาปิดขวางไว้
ซึ่งบางทีอาจต้องใช้การลัดเลี้ยวหรืออ้อมไปทางอื่น
ในเมื่อตอนนั้นกลุ่มที่เหลือยังไม่มีใครพากันเดินต่อ ฉันจึงไม่รู้ทางไป
เลยได้ลองถามแม่สาวใหญ่เสื้อม่วง ที่เดินทางมาพร้อมกับไกด์และลูกหาบ
เธอชี้ตรงไปยังทางลงด้านข้างพร้อมบอกว่า ให้ตรงไปเลย ...
จากนั้นก็ทำให้ฉันเดินผิดทางนานกว่า 10 นาทีได้
ถ้าหากไม่ได้เจอทางลงแม่น้ำเสียก่อน ป่านนี้คงพลัดเข้าป่าไปไกลแล้ว
ถึงมันจะดูไม่ไกลเท่าไหร่ แต่การที่ต้องมาเสียเวลาหลง ไหนจะความสูง
ของพื้นที่ที่เริ่มเยอะขึ้นอีก ความเหนื่อยและอารมณ์โกธรก็ยิ่งมีมากตามไปด้วย
เมื่อฉันเดินกลับมาที่เดิม เธอก็ยังนั่งคุยหัวเราะกับลูกหาบ
และล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจเฉิบ แม้ไม่รู้เจตนาที่แท้จริง
แต่คงปล่าวประโยชน์ที่จะเข้าไปต่อว่า
และในความเป็นจริง เส้นทางที่ควรจะต้องไปต่อ
มันอยู่ที่ด้านหลังกองหินที่เธอนั่งอยู่ตรงนั้นต่างหากเล่า!
ป่าสนที่อยู่ถัดจากจุดนั้น กับร่มไม้ที่ผลัดใบจนอร่ามเป็นสีเหลืองทอง
มันได้ช่วยบังแดดเป็นร่มเงาไประยะหนึ่ง สถานที่ตรงนั้นมันสวยมาก
จนทำให้ใจของฉันเริ่มสงบลงขึ้นเยอะทีเดียว
เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ไม่แน่ว่าฉันคงอาจสติแตกไปแล้วก็ได้
คงเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ได้รู้ -- ผู้หญิงด้วยกันเองนี่แหละอันตรายสุด ๆ
ส่วนอีกคนหนึ่งที่อยากพูดถึงนั่นก็คือ พี่ปาซัง ชาวเนปาล เผ่าเชอร์ปา
ไม่รู้ว่าทำหน้าที่อะไรในกลุ่มเดินทางเพราะสัมภาระบนตัวเขาดูไม่เยอะเหมือนลูกหาบ
แต่ก็แยกตัวเดินปลีกห่างออกมาจากกลุ่ม และนำทางล่วงหน้าไปไกลพอควร
มองดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่ไกด์ ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วว่าพี่เขาทำหน้าที่อะไรกันแน่
ฉันพบเขาตอนที่เดินผ่านมาและวานขอให้ช่วยถ่ายภาพตัวเองเป็นที่ระลึกระหว่างเดินให้
หลังจากนั้น ในบางจังหวะที่เดินทันกันก็ได้หยุดพักคุยกันตลอด แถมยังห้ามเตือน
เรื่องการไปลองกินผลไม้แปลก ๆ ที่ฉันดอดไปเด็ดมาชิมแบบสุ่มสี่สุ่มห้ามาหนหนึ่งซะด้วย
เขายังชี้ให้ฉันดูถึงโค้งอันตรายหลังจากนี้ ตรงจุดข้างหน้าที่มีหน้าตาเหมือนประตู
เส้นทางจะมีการหักเลี้ยวและแคบชันมากขึ้น อาจเสี่ยงต่อการเจอดินถล่มนิดหน่อย
ตัว Blue Sheep ปรากฏร่าง !!!
ฉันเริ่มหอบเหนื่อยมากขึ้นตามลำดับความสูง เมื่อต้องพยายาม
พยุงตัวเองเดินบนทางชัน และแอบลื่นล้มไถลไปหนึ่งหนจนได้แผล
ยิ่งใกล้ที่หมายเมื่อไหร่ อุปสรรคก็ดูเหมือนจะเยอะมากขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้าจะให้คิดเดินย้อนกลับ ก็คงยากซะแล้ว
"เอาเป้มาฝากไหม พอไปถึงที่ Bhojbasa แล้วค่อยมารับคืนก็ได้"
อยู่ ๆ พี่ปาซัง ก็ถามขึ้นมา หลังจากฉันเดินไล่ตามทัน
เพราะแกนั่งพักเอาแรงกลางทาง พร้อมยื่นน้ำอัดลมให้ดื่มแก้กระหายด้วย
"ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก" ฉันเกรงใจ ทั้งที่ตัวแกก็มีสัมภาระเยอะพออยู่แล้ว
ถัดจากนี้ฝีเท้าฉันไล่ตามพี่ปาซังไม่ไหวแล้ว คงเหลือแต่ตัวเองเท่านั้น
ที่จะต้องประคองไปให้สุดทางกับเนินหินพะเนินยักษ์ หนสุดท้ายที่ต้องกัดฟันไปให้ถึง
แล้วภาพของภาคพื้นล่างตรงนั้นคือจุดหมายสำหรับวันนี้นั่นคือ Bhojbasa !
เข่าแทบพับขาแทบขวิดเป็นเลขแปด ถ้าเป็นไปได้ก็จะขอกลิ้งลงไปแทนจะดีกว่าไหม...
14 กิโลเมตร ฟังดูเหมือนจะไม่ไกลเกินคว้าหรือดูน่าท้าทายเสียเท่าไหร่เลย
แต่มันเป็นระยะทางที่ฉันอยากลองพิชิตอยู่สิ่งเดียว นั่นก็คือใจของตัวเองนี่แหละ
"นมัสเต จี" สวัสดี ค่า ....
ที่พักที่ชื่อว่า Lal Baba Ashram มีหน้าตาเป็นเพิงสังกะสีและหลังคาทรงแหลม
พอได้เห็นจากบนเนินเมื่อครู่นี้แล้ว ฉันก็รีบจ้ำตรงเข้าไปถามหาที่พักทันที ซึ่งใน
ตอนนั้นก็มีคนมาเข้าพักอยู่ก่อนแค่ไม่กี่ราย
หลังจากได้ห้องและวางสัมภาระลงแล้ว บาบาที่ดูแลอาศรมก็พามานั่งคุย
เอาชาร้อนและข้าวกับถั่วเขียวต้มเกลือ ให้กินเป็นมื้อต้อนรับ
บอกตรง ๆ เลยว่ามันไม่น่ากินและดูน่าอร่อยเท่าไหร่
แต่หิวเป็นบ้าเลยวินาทีนั้น
บาบา ผู้ดูแลอาศรมที่ฉันไปพัก
เหล่าคนที่ทำงานในอาศรม
ฉันรู้สึกโชคดีนิดหน่อยที่มาถึงก่อนคนหลายกลุ่ม เพราะหลังจากบ่ายสามไปแล้ว
นักท่องเที่ยวรายอื่น ที่เพิ่งมาถึงต่างก็ต้องตระเวนเดินหาที่พักกัน บ้างก็ต้องอยู่แยกกลุ่ม
บ้างก็ได้พักที่เดียวกัน เพราะบริเวณแห่งนี้จะมีสถานที่รองรับอยู่ไม่กี่แห่ง
แต่ก็มีคนบางส่วนที่จัดเตรียมเต็นท์มากางเอง
ช่วงเย็นนี้มีฝนปรอยลงมาเล็กน้อย พวกคนที่ทำงานในอาศรมต่างยังพากันออกมา
เล่นคริกเก็ต แก้หนาวได้แบบไม่สะท้านปอดไม่รู้ว่าหายใจกันคล่องได้ยังไง
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ดันวิ่งตามไปขอเก็บภาพริมขอบสนามเป็นที่ระลึกด้วย
เพราะบรรยากาศห้องพักในอาศรมมันดูทะมึนทึมทึบเกินกว่าจะนั่งอยู่ได้นานน่ะสิ
คริกเก็ต เป็นกีฬายอดนิยมของประเทศอินเดีย พวกเด็กผู้ชายจนถึงคนวัยโต
มักจะมารวมตัวกันเล่นกีฬาชนิดนี้กันอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นสนามแข่งหรือ
กระทั่งพื้นที่ลานเล็ก ๆ ข้างทาง ซึ่งต่างไปจาก ฮ็อกกี้ กีฬาประจำชาติ ที่กลับ
ไม่ดังระเบิดเถิดเทิงเท่าไหร่
ถ้าพูดถึงกติกาการเล่นคริกเก็ต ฉันคิดว่ามันยากต่อการหาคำอธิบายพอสมควร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวางตัวผู้เล่น การทำแต้ม ตลอดจนไม้สามเส้าที่ปักเอาไว้
มันช่างดูสลับซับซ้อนพอ ๆ กับคนอินเดียเลย
ห้าโมงกว่าแล้ว หลังดวงอาทิตย์ลับหายไปกับขุนเขาที่ล้อมรอบ อากาศก็เริ่ม-
เย็นเฉียบลงเรื่อย ๆ ฉันนอนคุดคู้อยู่ในห้องที่มีฟูกวางปูอย่างง่าย ๆ และห่อตัว
ด้วยผ้าห่มสามผืน ความที่อยู่กลางหุบเขาและมีแม่น้ำไหลขนาบอยู่ไม่ไกลนัก
มันจึงหนาวชื้นอย่างบอกไม่ถูก ไฟฟ้าในที่นี้ก็มีจำกัดเพราะใช้พลังงานจากโซล่าเซลล์
พอหลังหกโมงไปแล้วทุกอย่างก็มืดลง
ในช่วงหนึ่งทุ่ม จะมีคนมาไล่เคาะที่ประตูหน้าห้องเรียกบอกให้ทุกคนไปกิน
อาหารค่ำที่ห้องโถงกัน ทีแรกก็ว่าจะไม่ลุกไปนะเพราะนึกว่าจะเป็นถั่วเขียวต้ม
ราดข้าวแบบที่กินไปเมื่อช่วงบ่ายแก่ แต่ก็ผิดคาดอาหารมื้อค่ำหนนี้ดูดีกว่าเยอะ
ที่ลานห้องโถง
ตรงพื้นปูนจะถูกปูพาดด้วยผ้ากระสอบผืนยาว ไว้รองรับให้แขกผู้มาพักนั่งลงรอ
จานและถ้วยที่ทำจากใบไม้ ถูกนำมาแจกวางไว้ข้างหน้า พร้อมแก้วน้ำโลหะ
เพื่อรอการเสิร์ฟมื้อค่ำที่มีทั้ง ข้าว จาปาตี แกงถั่ว และผัดมันฝรั่งใส่โปรตีนเกษตร
ซึ่งครั้งนี้ฉันกินจนอิ่มตื้อสุด ๆ เพราะมีการเติมได้ตลอด
แสงไฟสลัวที่อาศรมจะถูกเปิดเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง และหลังจากนั้นทุกอย่าง
ก็จะกลับเข้าสู่ความมืดอีกครั้ง คืนนี้ท้องฟ้าเปิดจนมองเห็นทางช้างเผือกชัดเจน
ฉันพยายามยืนมองมันให้นานเท่าที่จะทนหนาวได้จากลานด้านนอก
นานแค่ไหนแล้ว
ที่ไม่ได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้าจากพื้นที่ที่ไร้มลภาวะทางแสง
มารบกวน ท่ามกลางหุบเขาลึกที่ซึ่งไม่มีอะไรมาบดบัง
ก็น่าจะหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากไปเยือนหุบเขาสปิติ หนนั้นละมั้ง
ก่อนเข้านอนและคิดฝันหวานถึงรุ่งอรุณในเช้าวันพรุ่งนี้
ฉันได้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อตั้งค่าการปลุกเตือนช่วงตีห้า
แต่ก็พบว่าแบตเตอรี่มือถือมันดันหมดพลังงานลงเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งความใจดีในความเบลอของฟ้าของเจ้าหน้าที่คนนั้น
แม่สาวเสือม่วงที่น่าเผาพริกเผาเกลือแช่งเสียนี่กระไร..สงสัยเป็นเจ้ากรรมนายเวรเก่านะฟ้า หอยหลอดจริงๆ ทำเพื่ออะไรฟระะะะ
และคนที่อาสาแบกของให้นั่น
คงเหมือนชีวิตคนเราหละเนาะ เจอทั้งคนดีและคนร้าย ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้หละนะ
โหหหห อาหารที่ที่พัก..สุดยอดอ้ะ พี่เป็นคนท้องเปราะมาก จะกินไหวมั้ยน้อ ฟ้าไปแบบนี้เคยมีท้องเสีย ท้องร่วงบ้างมั้ย?
ฟ้าโคตรแกร่งอ้ะ ยอมรับเลย พูดเลย