"ไม่น่าจะกลับมาที่อินเดียอีกแล้วล่ะ" ฉันคงอิ่มตัวกับประเทศนี้เสียแล้ว
"เดี๋ยวก็กลับมาอีก เชื่อเหอะ"
แต่ลุงราเบท พูดคาดการณ์ไว้อีกอย่างแบบผู้มีประสบการณ์ตรง
ว่าได้ยินคนพูดแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนและสุดท้ายแล้วก็หวนกลับมาอีก
ก็ไม่รับประกันหรอกนะ ว่าหลังจากนี้ลุงจะเดาผิดหรือถูกกัน
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าลุ้นกว่า ก็คือการหารถเดินทางไปยังกาซ่าจากมะนาลี เนี่ยสิ!
พอมองภูเขาที่ล้อมรอบอยู่ตอนนี้ล้วนขาววอกเต็มไปหมด จากการตกของหิมะเมื่อคืน
ที่มาไวไปนิดทั้งที่เพิ่งจะเข้าช่วงต้นฤดูหนาวแท้ ๆ
ลุงได้แต่บอกให้เตรียมใจเรื่องเส้นทางที่กำลังจะถูกปิดได้ในอีกไม่ช้า...
รถโดยสารประจำทาง กุลลู - มะนาลี - กาซ่า ระงับการวิ่งมาพักใหญ่แล้ว
ตัวเลือกเดียวที่เหลือก็ รถจี๊ป ซึ่งต้องไปจองล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนเดินทาง
ที่คิวรถรับจ้างบริเวณด้านหน้า กิรันเกสท์เฮาส์ (ฝั่งมะนาลีใหม่) อย่างเลี่ยงไม่ได้
ฉันออกมาทำการติดต่อจองที่นั่งไว้เมื่อช่วงเย็น สำหรับเที่ยวรถรอบเช้ามืดของวันพรุ่งนี้
แต่รอบนี้ดูท่าทางจะสบายกว่าเดิม เพราะได้นั่งรถ Tempo ที่มีพื้นที่กว้างขวาง
ซึ่งก็ไม่ต้องมาเบียดอัดเป็นปลากระป๋องบนรถจี๊ปคันเล็ก เหมือนกับเมื่อปีก่อน
แต่แอบเกรงใจกับขนาดตัวรถ ในช่วงเลี้ยวโค้งเลียบเขากับทางที่แสนจะเล็กและแคบนี่จัง
ภาพของอุบัติเหตุ ที่มักจะเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยครั้งบนเส้นทางนี้
ในวันเดินทางภาพเส้นทางจากมะนาลีสู่ Rohtang la ฉันแทบไม่ได้ถ่ายภาพเก็บ
เอาไว้เพราะมันเป็นวิวเดิมที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ เว้นเสียแต่ต้นไม้
รายทางเหล่านี้ที่ยังคงเขียวอยู่ หากเทียบกับช่วงเวลาเดิมที่ฉันเคยเห็น มันก็ควร
จะเปลี่ยนสีผลัดใบได้แล้ว นั่นก็คงเป็นเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน
เราจอดพักกินข้าวเช้าในช่วง 8 โมง ตรง Marhi ตามเดิม มีลมที่โกรกเอาความ
หนาวยะเยือกมาตีปะทะกับเพิงผ้าใบที่กางคลุมพื้นที่ Dhaba (ซึ่งหมายถึงร้านอาหารริมทาง)
พัดกระพือพั่บ ๆ จนน่ากลัวว่าหลังคาจะปลิว
ในระดับความสูงแค่ 3,360 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยังเป็นถึงขนาดนี้ หากรถวิ่ง
ไปถึงช่องผ่านภูเขา Kunzum la ที่สูงปรี๊ดไปไกลถึง 4,550 เมตรฯ นั่นเมื่อไหร่
กว่าจะถึงเวลานั้น พวกเราก็คงจะด้านชากันหมดแล้วล่ะ!
"ถ้ามันไม่มีรถคว่ำที่กลางทางแบบนี้ คนขับรถคงไม่คิดชะลอช่วงโค้ง
ให้พอได้ทันเก็บรูปได้หรอก" ฉันบอกอเล็กซ์ เพื่อนร่วมเดินทางที่เข้ามายัง
หุบเขาสปิติพร้อมกัน พวกเราถ่ายภาพได้น้อยเพราะรถวิ่งไวและมัวแต่นั่งหลับ
แต่อยู่ ๆ ก็ต้องมาสะดุ้งตื่นกันแบบอัตโนมัติ เมื่อเห็นภาพข้างทางแบบนี้เข้า
"จริง ๆ แล้วอย่าให้มีรถล้มแบบนี้ก็จะดีกว่า" อเล็กซ์บอกให้ไขว้นิ้วชี้กับนิ้วกลาง
เอาไว้เป็นเคล็ดประมาณว่าขอให้โชคดี "นี่ถ้ามีอะไรที่เป็นไม้ ก็ว่าจะเคาะด้วย"
ท่าทางแกจะกลัวไปไม่ถึง กาซ่า แฮะ
ส่วนอีกคนที่นั่งถัดไปจากเราตรงริมหน้าต่างคือ แพทริค เขาเดินทางมาเก็บภาพ
ที่ สปิติ ในเชิงสารดคีเพื่อลงวารสารของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ
เห็นมาดเคร่งขรึมแบบนี้แล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาอินเดียถึงหลายครั้งหลายหน
โดยเฉพาะสกิลการใช้มือฉีกกินปาราทากับมะม่วงดอง ที่จะดูคล่องกว่าฉันซะอีก
"ฉันมาครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1993 โน่น แต่เดินทางเข้ามากับพระ
ในตอนนั้น หุบเขาสปิติ ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่เลย"
แพทริค เคยมาเยือนสปิติตั้งแต่รุ่นบุกเบิก หลังจากที่ทางการอินเดียอนุญาตให้
คนต่างชาติเข้าพื้นที่ได้ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเรื่องของระบบคมนาคมขนส่ง
ก็ยังไม่มีการรองรับหรือสะดวกมากเท่าสมัยนี้ ฟังดูแล้วมันคงสดใหม่น่าดู ...
แต่ถึงอย่างนั้น ลุงแกก็ยังยืนกรานเป็นหนักแน่นว่า ตัวเขาเองนั้นไม่ค่อยรู้อะไร
เกี่ยวกับสปิติดีพอเท่าไหร่นัก
เหรอ !!!!!!!??????
จะว่าไปแล้ว ฉันก็มีเรื่องที่เดาผิดไปอย่างหนึ่งสำหรับที่พักกลางทางใน
มื้อกลางวัน เมื่อรถมาจอดที่ Chhatru แทนที่จะเป็น Batal เหมือนในครั้งก่อน
นั่นก็แสดงว่าคงจะมีการเคลื่อนย้ายที่ตั้งสำหรับจุดแวะพักไปเรือย ๆ สินะ
เพราะเมื่อรถได้วิ่งผ่านจุดที่ชื่อว่า Batal ฉันก็พบว่าเพิงที่เคยถูกใช้เป็นที่พัก และ
ร้านขายอาหารนั้น ได้ถูกทิ้งร้างไปเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว
สายยางส่งน้ำ ที่มีการรั่วซึมและได้กลายเป็นน้ำแข็งในเวลาต่อมา
จุดแวะจอดพักครั้งที่สอง ที่ Chhutru
อาหารหลักสำหรับจุดแวะพัก ที่มีอยู่ก็เห็นจะเป็น
ชา---แกงถั่ว---ข้าว/จาปาตี---ปาราทา---ไข่เจียว
ซากอิฐซากปูน ที่ไม่ได้เป็นอาณาจักรเก่าแก่โบราณอะไร
มันคือ Dhaba ที่ถูกทิ้งร้างไว้ต่างหาก
สำหรับห้องน้ำบริเวณนี้ พื้นที่กว้างขวาง
ก็เลือกหามุมเอาเอง ตามที่สบายใจ
แม่น้ำ Chandra สีสวยในมุมที่ใกล้สายตา ครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสเห็นกันแบบชัด ๆ เสียที
"อยากกินอะไรแปลก ๆ ป่าว"
อเล็กซ์เอาเม็ดอะไรบางอย่างมาวางไว้บนหิน
จากนั้นก็ทุบให้แตกเพื่อเอาไส้ในมาให้กิน....โว้วว อเมซิ่ง!
ยังกะสมัยเด็กที่เอาลูกหูกวางมาโขกหินกินแก่นที่อยู่ข้างในเลย
แล้วนี่มันคืออะไรหว่า รสชาติมัน ๆ ฝาด ๆ
มารู้อีกทีว่ามันคือไส้ในของ เม็ดแอพริคอต หลังจากนั้นฉันก็เริ่มกวาดสายตา
มองหาต้นของมันที่น่าจะมีขึ้นอยู่ในบริเวณนี้ทันที คิดว่าอเล็กซ์คงไม่เอาอะไร
แบบนี้พกติดใส่กระเป๋ามาหรอก แต่ก็ไม่นึกว่าจะจริง
"แถวนี้มันไม่มีต้นแอพริคอทขึ้นได้หรอก ฉันพกมาเองจาก ลาดักห์"
นี่ถ้าเกิดไปหลงป่าหลงเขาขึ้นมา
พี่เขาน่าจะเป็นผู้รอดชีวิตในลำดับต้น ๆ แหง
คนบ้าอะไรเนี่ย พกเม็ดแอพริคอตติดกระเป๋ามาด้วย
พี่เสื้อเขียว เดินมาดูความเรียบร้อยของผู้โดยสารว่าขึ้นรถจนครบหมดคน และ
พร้อมออกเดินทางกันต่อแล้วหรือยัง ระหว่างที่ตาคนขับชุดเสื้อหนังดำยังคงนั่ง-
จิบชาอยู่ที่โต๊ะ ...
"โฮ กายา!" เรียบร้อยละนะ!
เขาตะโกนบอกเป็นสัญญาณ ก่อนที่จะเข้ามานั่ง
แทนที่คนขับรถท่ามกลางความงงของผู้โดยสาร ...
มีการเปลี่ยนคนขับกลางทางด้วย?
เมื่อเสียงเพลงเริ่มดังมาสารถีตีนผีก็เริ่มซิ่งเหินอย่างไม่กลัวร่วง
นอกเหนือไปจากต้องทำใจ ก็คงได้แต่แอบไขว้นิ้วจนมือหงิก
เย็นนี้ข้าจะไปถึงกาซ่ามั้ยย???
เส้นทางบางช่วง อาจต้องจอดรถเพื่อรอเคลียร์ทางกับรถที่สวนมา เพราะมีหิน
ที่ระเกะระกะขวางทับอยู่ หรือไม่ก็จอดทักทายเหล่าคาราวานรถจี๊ปที่ขนผู้คนจาก
สปิติ บางส่วน เดินทางออกไปยังเมือง Mandi หลบหนีความหนาวเย็นกัน...
ก่อนที่สปิติจะเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว ก็แค่ราว ๆ -30 ํc เอง
ทั้งนี้ผู้คนทั้งหลายในหุบเขาสปิติต่างก็เป็นเครือญาติ และรู้จักกันแทบทั้งนั้น
'กีกี โซโซ ลา เกียล โล' - ขอชัยชนะอยู่กับพระเจ้า
เป็นคำอธิษฐานที่ชาวทิเบตจะพูดท่องกันตอนเดินทางผ่านช่องหุบเขา
ธงมนตราห้าสีหรือ "ลุงต้า" ที่โบกสะบัดรับลมแรงตรงช่องเขาที่ชื่อ Kunzum la
ยังคงถูกขึงโยงผูกไว้จนหนาเช่นเคย คนที่นั่งรถมาบางคนก็เป็นนักท่องเที่ยว
บางคนก็เป็นชาวสปิติ ต่างลงจากรถและตรงไปยังสถูปสีขาวที่ตั้งเรียงอยู่เพื่อ
ทำการขอพร
จากนั้นไม่นานก็มาถึงด่านสุดท้ายที่ Lasor หมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่สปิติ
เราได้พักกินข้าวและจิบชากันอีกหน ส่วนตาคนขับรถเสื้อเขียวได้แยกตัวไปยัง
สถานที่ทำการฯ สำหรับแจ้งเรื่องการนำพาหนะโดยสารเข้าพื้นที่
ไม่นานนักเขาก็เรียกผู้โดยสารให้กลับมาประจำที่นั่งเพื่อออกเดินทางต่อ
ฉันยังมีข้อสงสัยเกี่ยวการทำเรื่องแจ้งเข้าพื้นที่ (สำหรับคนต่างชาติ)
ที่จุด check point แห่งนี้ ว่าจำเป็นต้องลงไปรายงานตัวด้วยหรือปล่าว
แต่แพทริคบอกว่าเมื่อปีก่อนเขาเองก็ไม่ได้ลงไปรายงานตัว อาจเพราะ
ที่นี่ไม่ได้เคร่งครัดมากเท่าไหร่
"บางปีก็ทำ บางปีก็ไม่ได้ทำ" สับสนละทีนี้
ในที่สุด อเล็กซ์ก็เลยถามเรื่องนี้กับคนขับรถ
ก่อนที่ล้อจะขยับเคลื่อนต่อ... ผลสรุปก็คือ ต้องทำ
"โทษที ลืม!" คนขับฯ ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เขารีบเดินลงจากรถ
และพาพวกเราไปลงชื่อรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่เป็นการด่วน
"ทำงี้ได้ไง!" แพทริค ทำเหมือนจะดุเล็กน้อย
แถมยังพูดทีเล่นทีจริงอีก ก็ไม่รู้ว่าแอบโมโห(จริง)ด้วยหรือปล่าว
"ฉันเป็นหัวหน้าวินแท็กซี่ เดี๋ยวจะเขียนรายงานแกซะเลย !"
เมืองกาซ่า ในยามบ่ายสี่ ปลายทางของวันนี้ ที่ยังคงระดับหนาวได้สะใจตามเดิม
มีเสียงลมที่หวืดปะทะบอกต้อนรับยามเปิดประตูรถ เราทั้งหลายต่างก็ออกมายืนรับ
ลมกันให้สะท้านที่ด้านนอกโดยพร้อมเพรียง แรก ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอะไร
แต่สักพักก็ต้องรีบขยับย้ายไปมาให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นบ้าง
เวลาก็วิ่งผ่านเลยไปเกือบสิบนาทีแล้ว ต้องเรียกว่าใกล้จะหนาวตายกันหมด
แต่หมู่เฮาก็ยังแยกย้ายไปไหนไม่ได้ เพราะต้องรอจ่ายค่าโดยสารกัน ....
"เดี๋ยวเจ้าของวินก็มา พวกคุณรอกันตรงนี้แหละ"
ตาคนขับรถเสื้อเขียวบอกพวกเราให้รอที่นี่
ก่อนจะหนีไปเล่นคริกเก็ตที่หน้าลานจอดรถเมล์
พูดกันตรง ๆ เลยนะ มันน่าชักดาบซะจริง !
เพิ่มเติม
- มะนาลี แบ่งเป็นสองพื้นที่หลัก คือ บริเวณที่มีตลาดย่านการค้า และท่าจอดรถโดยสาร
จะเป็นฝั่ง 'มะนาลีใหม่' มีผู้คนพลุกพล่าน ส่วน 'มะนาลีเก่า' ต้องเดินทะลุผ่านป่าที่ตั้งกั้นไว้
ไม่ก็ จ้างออโต้ริกชอว์ให้ขับไปส่งซึ่งที่นั่นจะดูเงียบสงบกว่ามาก
ตอนนี้ อ.เต๊ะ อยากจะเม้นท์มาก แต่ก็มีอุปสรรค คือ ง่วงมากๆ 555
เดี๋ยวเค้า ขอนอนก่อนนะ ตะเอง น้ำลายยืดแล้ว555