Group Blog
 
<<
มกราคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
18 มกราคม 2560
 
All Blogs
 
บันทึกส่งท้าย : พุชการ์ (2)



เมื่อต้องพูดถึงเมืองสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาก็ย่อมมีการเล่า
เรื่องบอกที่มาของแต่ละหนแห่ง
แอบอิงไปกับคติความเชื่อของคนท้องถิ่น
ทุกที่ทุกแห่ง และ
เมืองพุชการ์นี้ก็เช่นกัน

ชื่อของเมืองก็มีหลายความหมายบ้างก็ว่าหมายถึง "ดอกบัวสีฟ้า"
ในความหมายอื่นก็อาจมาจากคำว่า ดอกไม้ (Pushpa)
ที่ร่วงหล่นมาจากมือ (Kar) หรือ กร ของพระพรหม 
ซึ่งหากยึดชื่อตามความหมายที่สองก็จะสอดคล้องกับชื่อหนึ่ง
ที่เคยได้เปิดไปเจอในหน้า วิกิพีเดีย (ภาคภาษาไทย) ได้เอ่ยถึง
ที่ตั้งวิหารอันเก่าแก่แห่งเดียว
ที่สร้างสำหรับพระพรหมไว้ว่า

เมืองบุษกร

อ่านแล้วก็ทำให้นั่งนึกงงเสียตั้งนาน
เมืองอะไรหว่าฟังดูชื่อไทยจัง !?



ส่วนที่มาอื่น ๆ ก็เชื่อว่าอาจผันมาจากคำว่า
Pushkarni ที่แปลว่า ทะเลสาบ

ในเมืองแห่งนี้จะเต็มไปด้วยวัดต่าง ๆ มากมายแต่วัดบางแห่ง 
อาจมีข้อห้ามเว้นไม่ให้คนนอกศาสนาหรือคนต่างชาติเข้าไป


ส่วนเป้าหมายหลักที่สำคัญสำหรับคนที่มาแสวงบุญ ก็เห็นจะเป็น
การลงอาบน้ำที่ทะเลสาบ ในบริเวณที่กำหนดให้ลงจุ่มหรือที่เรียกว่า
สังคัม (sangam)  
และที่นี่ดูจะเคร่งในเรื่องของการถ่ายภาพกันมาก
พวกเขาจะ
ไม่อนุญาตให้ถือกล้องถ่ายกันตอนทำพิธีฯ โดยพละการได้เลย





ตามกาต หรือท่าน้ำที่สำคัญก็มักจะมีป้ายติดบอกห้ามถ่ายภาพอยู่เสมอ
หรือบางทีก็อาจจะเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยว ไปยืนเต๊ะถ่ายรูปกับป้ายห้ามถ่ายกัน
แถว ๆ บริเวณที่ไม่ได้มีคนมาเฝ้า 
ซึ่งรอบนี้จากที่เห็นเนี่ยไม่ใช่ทัวร์จีนนะ
แต่เป็นก๊วนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี 

ส่วนพื้นที่บางฝั่งของทะเลสาบแห่งก็มีกฏ ห้ามสวมรองเท้าเดินด้วย
เรียกว่าต้องหัดมองป้ายและสังเกตมองคนที่เขาเดินมาก่อนเราให้ดีด้วยละกัน 




กลับมาที่ใจความแรกกันต่อ
หากยึดตำนานของพระพรหม
เรื่องของทะเลสาบพุชการ์ ก็
เกิดจากดอกบัวที่ใช้ทำการปราบอสูรร้าย
(ประมาณว่าเสกให้ลงมาทับตาย) 
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีกลีบบัว
หลุดร่วงหล่นลงมายังพื้นที่นี้
และก่อเกิดเป็นทะเลสาบอันศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด 

รูปลักษณ์ของพระพรหมตามที่รู้กันก็มี สี่พักตร์และสี่กร  
ส่วนสัตว์ที่เป็นพาหนะคือหงส์ และมีพระชายานามว่าพระนางสรัสวตี




แถวนี้มีหงส์ (หรือห่านก็ไม่รู้) มาเดินเล่นว่ายน้ำเล่นกันอยู่ที่ด้านมุมหนึ่งของทะเลสาบ



รูปประกอบจาก วิกิพีเดีย -- ภาพวาด พระพรหมยามประทับบนหงส์ 



เราอาจคุ้นหน้าตาของพระพรหมจากที่ต่าง ๆ ในไทยกันมาบ้างแล้ว 

แต่ในที่นี้อาจดูแปลกไปมากหน่อยกับทัศนความเชื่อเดิมที่คิดไว้
หรือแม้แต่ในนิทานเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของ รพินทรนาถ ฐากูร
ยังใช้คำสรรพนามอื่นเรียกขานแทนว่า 'เสด็จปู่'

ดังนั้นภาพพระพรหมสำหรับที่นี่ จึงน่าจะมีหนวดเครายาว
และดูชรามากกว่าเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาเกลี้ยงเกลา 




ทางขึ้น  Jagatpita Brahma Mandir หรือรู้จักกันในนาม Brahma Temple


แม้จะได้ฉายาว่าเป็น เทพผู้สร้าง
และเป็นหนึ่งในสามมหาเทพของฮินดูที่เรียกว่าตรีมูรติ

ในเมื่อลัทธิหลัก ๆ
อย่าง ไวษณพ (Vishnav)ที่ยึดถือ พระวิษณุเป็นใหญ่ 
หรือแม้แต่ ไศวะ (Shiva)กลุ่มที่ยึดถือ พระศิวะเป็นใหญ่
ต่างก็มีนักบวชของตนกันทั้งนั้น ?

แต่ทำไมเราถึงไม่ได้พบเห็นเทวสถานที่เป็นสร้างเป็นวิหาร
และนักบวช สำหรับพระพรหม โดยทั่วไปอย่างเทพเจ้าองค์อื่นเลย

เรื่องก็มีอยู่ว่า 
หลังจากพระพรหมได้ปราบอสูรร้ายที่มาเข่นฆ่าผู้คนได้แล้ว
ก็จะคิดทำพิธีใหญ่สำหรับการบูชาไฟ (yagna) กัน ที่เมืองพุชการ์แห่งนี้ด้วย
เหล่าเทพเจ้า เทพยดา ทั้งหลาย ต่างก็พร้อมใจกันเข้าร่วมพิธีสำคัญดังกล่าว 




รูปจาก วิกิพีเดีย -- วิหารด้านบนที่ตั้งอยู่ตำแหน่งกลางวัด ส่วนภายในจะมีรูปปั้นของพระพรหมตั้งอยู่



แต่ทั้งนี้พระนางสรัสวตี กลับมาล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนดนัดหมายไว้
พิธีจำเป็นต้องเริ่มกันแล้ว รอกันไม่ได้ซะด้วยสิเดี๋ยวเสียฤกษ์ 
ว่าแล้วก็ต้องหาคนมาแทนที่พระแม่โดยไว  ดังนั้นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา
สามัญนางหนึ่งที่ชื่อว่า กายาตรี (ซึ่งบางข้อมูลระบุไว้ว่านางเป็นสาวเลี้ยงวัว
ผู้มีหน้าตาสวยงาม) จึงได้ถูกเชิญตัวให้มาร่วมพิธีนี้แทนซะเลย  

และหลังจากจบพิธีนั้น นางกายาตรีก็เลยต้องรับตำแหน่งเป็นชายา
ของพระพรหมไปอีกคน  
ถัดมาเมื่อเทวีสรัสวตีได้เดินเข้ามาถึงยังงานฯ 
ที่ดำเนินการเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว 

อ้าวนั่น... ตำแหน่งที่นั่งของเรา
ไหงกลับเป็นแม่สาวที่ไหนก็ไม่รู้มานั่งแทนได้ไง?
ว่าแล้วก็ พระนางก็กล่าวคำสาปด้วยความโกรธไล่ไปตั้งแต่ต้นเหตุของเรื่อง
คือ "พระพรหม" ว่านับจากนี้จะไม่มีผู้ใดมากราบไหว้หรือสร้างสถานที่สำหรับบูชา
พระพรหม (ในกรณีนี้คงหมายถึงวัด) แต่หากจะยกเว้นก็ให้มีเพียงแค่ในพุชการ์เท่านั้น  

ส่วนเทพองค์อื่นที่รู้เห็นเป็นใจและไม่ได้คิดจะห้ามปราม ต่างก็โดยสาปแช่ง
ไปตามความหนักเบาของความผิด จะ
เว้นเสียแต่นางกายาตรีรอดพ้น หนำซ้ำยัง
ได้รับพรจากพระนางสุรัสวตีอีกด้วย เพราะเห็นว่าไม่ได้มีส่วนผิดอะไร


นอกจากการที่ผู้แสวงบุญ มุ่งหน้ามาพุชการ์
เพื่อจุ่มตัวชำระบาปกันที่ทะเลสาบ
ศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว 
พวกเขาก็จะมุ่งหวังที่จะขึ้นไปสักการะพระพรหมบนที่วิหารที่ซึ่ง
เชื่อว่ามีอยู่เพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น 

หากใครไม่ได้เตรียมดอกไม้ขึ้นไป 
ตรงด้านล่างก็มีจำหน่ายแถวทางขึ้นบันไดนี่แหละ
ส่วนการที่จะเดินขึ้นไปด้านบนได้นั้น ต้องถอดรองเท้าไว้ข้างล่าง 
กล้องถ่ายรูป สัมภาระต่าง ๆ นอกจากกระเป๋าเงิน ห้ามนำเอาขึ้นไป
ต้องนำฝากไว้ที่ชั้นฝากเก็บตรงทางขึ้นโดยอาจต้องเสียค่าฝาก 20 รูปี 

ที่วัดด้านบน มีรูปปั้นของพระพรหมตั้งอยู่ 
พื้นที่ไม่กว้างใหญ่เสียเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับคับแคบนัก
เมื่อเสร็จสิ้นจากการขึ้นไปเยือนวัดพระพรหมและรับของฝากคืน

ถ้าคิดอยากจะหาอะไรกินต่อแถวนั้น ก็จะมีพวกร้านขายลาสซี่เครื่องดื่ม
ที่ทำมาจากโยเกิร์ตขายอยู่เยอะ 
ส่วนมากจะปรุงรสไว้แล้วและหวานเจี๊ยบ
หากได้ลองกินแล้วพบว่าร้านไหนตักใส่ภาชนะเป็นถ้วยดินเผาที่ปั้นแบบหยาบ ๆ
ที่พอกินเสร็จจะหาที่โยนทิ้ง หรือจะเก็บพกติดตัวเป็นที่ระลึกก็แล้วแต่

ยังไงเสีย... ไม่ต้องเฟอะฟะเดินเอาไปคืนแบบเจ้าของบล็อกนะคะ




สินค้าที่บรรจุใส่ไว้ในกล่อง ดูเหมือนจะเป็นขนมปังกรอบ



ทางเดินที่เป็นตรอกซอกซอยผ่านตึกอาคารต่าง ๆ
ตัวอาคารสร้างสวยดี แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้ดูแล



รางระบายน้ำทิ้งของตัวเมือง ที่เปิดร่องปล่อยน้ำให้เห็นกันแบบโล่ง ๆ 



ที่บริเวณตลาด วัวยังคงครองความเป็นเจ้าถิ่นได้อยู่ 
ส่วนพวกอูฐไม่มีทางได้มาเฉิดฉายแบบนี้หรอก



แอบแว้บออกมาดูพื้นที่อีกด้านที่มีแต่พื้นทราย และกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ 



และเมื่อฉันเอารูปถ่ายพวกนี้จากพุชการ์ ไปอวดทางบ้าน
เสียงตอบรับก็เป็นไปตามคาด

"เนี่ย ใช่เลย...อินเดีย ชัด ๆ"


"อ้าว แล้วที่ผ่านมาอ่ะ?"
ฉันถามกลับ

"นั่นไม่ใช่ อินเดีย ไง" 





.......................



จดหมายถึง หิมาลัย (ฉบับที่ 3)

สวัสดี... เอ่อ ไม่สิ ฉันได้ยินมาว่า 
ในรัฐราชาสถานจะมีอีกคำที่รู้นอกเหนือไปจาก นมัสเต
ก็คงเห็นจะเป็น คัมมา กานี  แต่แย่หน่อยที่ฉันยังไม่มีโอกาส
ได้ใช้สักหนเลย เพราะเวลาทักใครเข้าก็มักจะคิดคำ 
ที่เตี๊ยมท่องไว้ไม่ค่อยทันเท่าไหร่ 

ที่ราชาสถาน หนาวน้อยกว่าหิมาจัลประเทศ มากทีเดียว 
แต่ก็ยังมั่นใจว่าเย็นเฉียบกว่าเมืองไทยแน่นอน :)

เมื่อวันก่อนฉันแวะเดินสำรวจแถวตลาด ซึ่งรอบ ๆ นี้
ก็มีแต่พื้นที่ค้าขายเต็มติดกันไปหมด 
มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนพุชการ์เยอะแยะเลย 

ถ้าไม่นับชาวฮินดูที่มุ่งตรงมาเพื่อแสวงบุญ 
ก็เห็นจะเป็นหมู่เหล่าชาวฮิปปี้
ที่มักจะเห็นเป็นชาวอิสราเอลซะเยอะ 

แถวนี้ มีแต่เขาลูกเตี้ยรายล้อม ได้เห็นทีไร 
ก็พาลนึกถึงภูเขาหิมาลัย ยิ่งเวลาที่เดินผ่านร้านบางร้าน
ที่เอาชื่อเวชสำอางค์ยี่ห้อหนึ่งมาเรียกคนเข้าร้าน
กับประโยคที่ว่า " มาสิ Himalaya อยู่ที่นี่ "  

ฉันแทบบ้าเวลาได้ยินชื่อนั้น 
คงเพราะอยากเห็นหิมาลายา 
ที่เป็นเทือกเขาเสียมากกว่าครีมบำรุง

ไม่แน่ว่า ความรู้สึกในตอนนี้
คงดูคล้ายกับพวก ' คิดถึงบ้าน ' แล้วสินะ

มีหนหนึ่ง ฉันไปนั่งที่ริมทะเลสาบช่วงเช้า 
พื้นที่แถบนั้นมีการก่ออิฐสร้างซุ้ม
คล้ายกับเป็นที่พักขนาดเล็ก 
มีคนที่แต่งตัวคล้ายกับ Holy man
อาศัยอยู่ในนั้น  บาบา ที่ได้เจอคนหนึ่ง 
เขาคุยกับฉันเล็กน้อย เท่าที่พอสื่อสารได้
ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการชวน สูบยา!

จะเป็นอะไรก็ช่างเหอะ ฉันก็ได้แต่ปฏิเสธไป
ที่นี่ ดูเหมือนว่าจะมีการค้าเยอะ 
เพราะเมื่อเดินพ้นผ่านไปเพียงก้าวเดียว 
ก็ย่อมมีคนมาเสนอสินค้าต่อเนื่องแบบ non-stop 
ถึงพวกเขาจะไม่ได้เดินตื๊อแต่มันก็น่ารำคาญไม่เบา 
ก็แบบว่าแทบจะไม่พักช่วงให้ได้หายใจได้สะดวกกันเลย

ฉันอาจมาหาที่สงบ ๆ อยู่ ผิดแหล่งเองแหละ 

เรื่องของเสียงดนตรี อาจเป็นสิ่งเดียวที่ฉันชื่นชอบ
โดยเฉพาะก่อนพลบค่ำ ในบางจุด 
จะมี เสียงตีกลองบรรเลง 
ถ้าไม่ใช่ที่มุมตรงหน้าร้านอาหาร ก็อาจจะเป็น 
อีกฟากหนึ่งที่เหล่าคณะคนรักดนตรี
พวกเขาจะไปรวมตัว บรรเลงกลอง 
และมีเสียงเครื่องเป่าคลอประสานอยู่ด้วย 

หรือหากเป็นช่วงหัววัน 
ถ้าไปนั่งตามริมทะเลสาบบางฟาก 
ก็อาจได้พบกับนักดนตรีพเนจร 
ผู้แต่งชุดผ้าฝ้ายขาว ไว้หนวดแหลมทรงโต 
ใส่ต่างหู และโพกผ้าที่ดูเป็นเอกลักษณ์ 
มาเร่เดินสีเครื่องสาย เพื่อหาลูกค้า 
ที่จะเรียกเข้าไปเล่นดนตรีให้ฟัง
จากนั้นก็จ่ายเงินให้เขาไป

นักดนตรีพเนจร มักจะพูดเกริ่นเสมอว่า 
 เขาเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยม
ก่อนที่จะบรรเลงบทเพลงและร้องคลอ 
ที่เป็นทำนองเฉพาะถิ่นให้ฟัง


บางทีฟังแล้วก็เพลินดี ดูเข้ากับบรรยากาศ
แต่บางครั้ง มันก็ดันไปประสานงา 
กับทำนองกลองที่พนักงานร้านอาหาร
กำลังตีบรรเลงเรียกลูกค้าอยู่ก่อนหน้าซะงั้น


สำหรับขยะที่นี่ ดูเหมือนจะทิ้งกันเกลื่อนกลาด
จุดบริการน้ำกรองสำหรับดื่ม ก็หาแทบไม่เจอ
และที่แน่ ๆ คงไม่เดินทางลงไปยังเมืองอื่นต่อแล้วล่ะ 

ถึงฉันจะไม่ถูกชะตากับการขึ้นรถไฟก็เถอะ 
แต่ก็ไปแอบสืบรู้มาจาก ไกด์บุคที่เปิดอ่านผ่าน ๆ มาว่า
ที่เมืองนี้เราสามารถทำการจองกับที่ทำการไปรษณีย์ได้ด้วย
เสียค่าบริการไม่กี่รูปีเองแค่หาชื่อและหมายเลขรถไฟ 
แล้วก็ชั้นโดยสารที่ต้องการไปให้เขาตรวจสอบดูก่อนได้ 

ฉันแอบใจเสียนิดหน่อย 
ในเมื่อเที่ยวโดยสารนั่น มันเต็มเสียแล้วสิ 
มีแต่ waiting list รอลำดับกันยาวเหยียดทั้งนั้น
แต่ความหวังก็มีอยู่บ้างนะ เมื่อลุงเจ้าหน้าที่ 
บอกให้ฉันกลับมาอีกครั้งตอน 10 โมงเช้า วันพรุ่งนี้
หากโชคดีก็จะมีพวกที่ทิ้งตั๋วสละที่นั่งกัน 
และจังหวะนั้นแหละที่เราจะรีบทำการจองที่แทนได้

หวังว่าครั้งนี้จะได้นอนเหยียดตัวสบาย ๆ ข้ามคืน 
บนรถไฟปรับอากาศกะเค้าซะที







Create Date : 18 มกราคม 2560
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 16:59:06 น. 18 comments
Counter : 1941 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณอุ้มสี, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณเรียวรุ้ง, คุณlovereason, คุณMax Bulliboo, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณInsignia_Museum, คุณtoor36, คุณเนินน้ำ, คุณชีริว, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก


 
สวัสดีคะ..

เพิ่งได้ถึงอินเดียจริงๆล่ะ..อิอิ

ขอบคุณที่บอกเล่าด้วยภาพนะคะ..

โหวตให้เลยคะ





โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 19 มกราคม 2560 เวลา:6:23:52 น.  

 
เออ ได้รู้เรื่องคำสาปอีกอย่างแฮะ

เหมือนเลาๆ ว่าเคยได้ยิน แต่จำไม่ได้ว่าเรื่องราวแบบนี้หละ

ว่าแต่ทำไมเจ้าแม่ถึงยกเว้นสาวคนนั้นหละน้อ แต่ก็จริงนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับเค้าซะหน่อย

นิสัยนักท่องเที่ยวเกาหลีนะ บอกเลย แย่พอๆ กับคนจีน พี่เคยไปเจอที่เมืองจำลองเสินเจิ้น เค้าเข้าไปในที่จำลอง เอาเท้าเหยียบหลังคาวังเลยค่าาา พี่นี่แบบ เฮ้ยยย เมิงไม่เห็นป้ายเหรอออออ สถุลมากๆ หึยยยย พูดแล้วขึ้น

วันนี้โหวตเต็มแล้วง่ะ พรุ่งนี้มาโหวตให้นะจ๊ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 19 มกราคม 2560 เวลา:11:03:29 น.  

 
@ คนผ่านทางมาเจอ -- ขอบคุณค่ะพี่อ้อมแอ้ม
ฟ้าถ่ายรูปที่นี่ ค่อนข้างน้อยมาก
เลยมีตัวเลือกคัดภาพลงบล็อกไม่เยอะเลยค่ะ


-------------------------------------------------


@ สาวไกด์ใจซื่อ -- ถึงจะโกธรอยู่แต่ เทวีฯ ก็ยังแยกแยะได้ 55
คงเห็นว่า นางกายาตรี ถูกดึงมาเข้าพิธีฯ แบบไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา
นอกจากจะไม่สาปแล้ว ก็ยังให้พรอีกด้วยแน่ะ ...

เรื่องนักท่องเที่ยวที่ว่า ...
อย่างที่พี่เต้ยไปเจอมา ดูน่าเกลียดจริงอ่ะ!




โดย: กาบริเอล วันที่: 19 มกราคม 2560 เวลา:18:15:20 น.  

 
ขอแสดงความยินดี
กับน้องฟ้าด้วยจ้า
กับสายสะพายท่องเที่ยว
แหล่มเลย


โดย: อุ้มสี วันที่: 19 มกราคม 2560 เวลา:22:09:40 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เริงฤดีนะ Movie Blog ดู Blog
เกศสุริยง Education Blog ดู Blog
Close To Heaven Review Food Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

มาโหวตนะจ๊ะฟ้า

บอกเลยว่าความมารยาททราม นักท่องเที่ยวเกาหลีไม่แพ้ชาติใดในโลก เหอๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:8:34:08 น.  

 
สวัสดีครับคุณฟ้า
เรื่องคำสาป สะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดได้ดีทีเดียว
คนที่สาปแช่งแยกแยะความถูกผิดของผู่ที่เกี่ยวข้องได้

การเอาภาชนะกลับไปคืนคนขายเป็นความเฟอะฟะด้วยเหรอ
ลุงชาติทำบ่อยเลยในเมืองไทย
ซื้อน้ำดื่ม พอดื่มหมดขวด ก็ไม่รู้จะเก็บขวดไว้ทำไม
ก็เลยส่งคืนให้เจ้าของร้านไป .. ^__^

อ่านได้เพลินเลยครับ แม้ภาพจะมีน้อย
ก็เขาห้ามถ่ายภาพนี่นา...

ขอบคุณครับ



โดย: loongchat (สมาชิกหมายเลข 3016924 ) วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:10:51:22 น.  

 
สวัสดีค่ะ

ดูจากรูปก็เหมือนอินเดียจริงๆนะ

อ้าวแล้วที่ผ่านมาล่ะ เหมือนชนบทสวยๆนะ555555555555

ชอบตำนานพระพรหมจัง จะโทษผู้หญิงไม่ได้อยู่แล้วก็อยู่ดีๆเขาเชิญนางไปเองนี่ พระนางสุรัสวดีทำถูกต้องแล้วที่ไม่สาปนาง

พระพรหมท่านก็เหลือเกินจริงๆเพียงแค่ชายามาช้าถึงกับหาคนอื่นแทนเลยเชียว ก็น่าเจ็บใจอยู่นะ หรือจะเป็นแผนพระพรหม

โหวตให้ Travel ค่ะ


โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:12:48:40 น.  

 
สวัสดีอีกรอบน้าา

555 ถูก เวลากิน ไม่ว่าจะอะไร ห้ามคิดถึงแคลฯ เด็ดขาด ไม่งั้นมันกินไม่ลงจริงๆ นะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:14:00:38 น.  

 
รีบวิ่งมาหาก่อน ตอนเช้า เจ็ดโมงยี่สิบของฝั่งนี้ เจ้โหวตให้ก่อนนะ เดี๊ยวจะกลับมาอ่านจ้ะ ต้องไปว่ายน้ำก่อน วันนี้เป็นวันแรกของซีซั่นนี้ที่ตั้งใจเรียนฟรีสไตล์แบบจิงๆจังกะว่าก่อนอายุแปดสิบ น่าจะว่ายได้คล่องล่ะ อิอิ

เย้ย นี่เราสวัสดีปีใหม่กันยังเนี้ย... งั้นหวัดดีย้อนหลังละกันนะ
คิดถึงๆๆเดี๊ยวว่างจะรีบกลับมาอ่านจ้ะ


โดย: Max Bulliboo วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:13:30:40 น.  

 
ที่บ้านเราก็เยอะเลยฟ้าเอ๊ย ประเภท ห้ามเดินลัดสนาม ห้ามถ่ายภาพ ห้ามใช้แฟลช ... แต่ก็ยังเห็นนะ ไม่ว่าพี่ไทยเราเอง หรือนักท่องเที่ยว

พี่เคยเจอนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่ ที่โบสถ์วัดสุทัศน์ เข้ามาแล้วก็ล้งเล้ง บ๊งเบ๊ง ยืนกันเต็ม ไกด์คนไทยรีบบอกให้นักท่องเที่ยวนั่งลง เค้าก็นั่ง เลยเดาว่า เค้าอาจจะไม่ได้อ่านป้าย อาจจะไม่รู้เนาะ

พระพรหมบ้านเรา หล่อเหลาปานเทพบุตรอินเดีย

เทพของเค้านี่ เอะอะอะไรก็สาปเนาะ อย่าให้ได้โกรธเลย พี่เล่นสาปหมด

สูบยาอะไรอ่ะฟ้า บุหรี่ กัญชา โจ่งแจ้งขนาดนั้นเลยเหรอ


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:19:24:24 น.  

 
ชอบภาพตามซอก ตามมุมแบบนี้ครับ
อยากไปแบบนี้บ้าง คิดไว้นานแล้ว แต่ยังหาโอกาสไม่ได้สักที
ขอบคุณครับที่เก็บภาพมาฝาก


โดย: Insignia_Museum วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:21:19:04 น.  

 
สวัสดีอีกรอบจ้าฟ้า

เอามือทาบอกด้วยค่ะ 555

แหม เข้าใจจ้า พี่เองก็อัพเที่ยวไทยน้อยมากง่ะ แต่ถ้าถามว่ามีโอกาสอยากรีวิวของไทยมั้ย ก็อยากนะ พี่วาพี่มีอะไรอยากเล่าอีกเยอะเลยแหละ แต่นะ..แค่นี้ก็ทำไม่ทันแล้ว ดองยาวๆ หลายอันเชียว เหอๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:22:56:21 น.  

 
เมืองบุษกร ที่ชื่อรู้สึกไทย อาจเพราะไทยยืมคำพวกบาลี สันสกฤตมาใช้เยอะด้วยมั้งครับ บางที่เคร่งเรื่องถ่ายภาพมากๆ ให้เก็บกล้องเลยก็มี

บางทีเราก็แยกไม่ออกเหมือนกัน ว่าห่านหรือหงส์ แต่ถ้าเป็ดอันนี้แยกได้

ตามตำนานผมว่าแปลกดีที่เชิญชาวบ้านมาร่วมพิธีเทพ ถึงจะมีคำสาป แต่ที่ไทยยังมีคนไหว้เยอะน้า~

ถอดรองเท้านี่เสี่ยงหายชะมัด ขนาดที่ไทยตอนนี้หลายๆ ที่เค้าให้ใส่เข้าไปเลยนะ คาดว่าคงตัดปัญหาเรื่องร้องเท้าหาย เพราะมันมีพวกขโมยจริงๆ

ภาพอินเดียในสายตาคนนอกไม่ได้เป็นแบบที่นำเสนอไว้น่ะครับ 555



จากบล็อก
น้องอลิซ ปีนี้จะดันให้สุดๆ เลย ตอนนี้มีผลงานของเธอรอออนแอร์แน่ๆ แล้ว 2 ชิ้นครับ

เรื่องภาษาจีนผมอยากได้ความเห็นจากคนที่ไม่มีความรู้ด้านภาษาจีนมากๆ จะเป็นในจุดไหนก็ได้ มันช่วยในเรื่องการพัฒนาในส่วนนี้ได้ดีครับ

ไปเม้นต์เขาแล้วไม่ตอบเฉยๆ แต่ไปถามอะไรเค้าแล้ว เค้าไม่ตอบบางทีเราก็มานั่งคิดเหมือนกันว่า เราสมควรเม้นต์อะไรในบล็อกเขารึเปล่า เขาอาจไม่อยากให้เราไปเม้นต์ก็ได้


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:0:59:11 น.  

 
มาทักทายจ้ะน้องฟ้า
บุษกรเป็นชื่อที่เราคุ้นเคยจริง ๆ แต่ถ้าเป็นภาษาไทยแปลว่าดอกบัวหรือเปล่า สว.ยังมึน ๆ เบลอ ๆ จากการอดนอนเฝ้าคุณแม่ที่ รพ.อยู่นะคะ แต่ที่นี่ก็มีความหมายแรกคล้าย ๆ กันอยู่เนาะ
ดูภาพแล้วพี่ก็ร้องเหมือนคนทางบ้านน้องฟ้าด้วยนะ นี่แหละอินเดีย 555 วัวเป็นใหญ่คับถนนจริง ๆ เลย ถ้าบ้านเราคงเป็นรถพ่วงอ่ะเนาะ ^__^
โหวตจ้ะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:6:35:47 น.  

 
ไม่ค่อยได้เห็นศาสนสถานสักการะพระพรหมนะครับ เห็นพระศิวะกับพระนารายณ์ หรือกระทั่งพระพิฆเนศยังบ่อยกว่าอีก
เพราะเป็นคนสร้าง คนก็เลยไม่ต้องบูชาเชิดชูมาก แต่คนทำลายนี่ต้องเชิดชูไว้ก่อน ไม่งั้นมีโมโหมาทำลายนู่นทำลายนี่ (ฟังดูเทพนี่เกรียนจัง)
ส่วนตำนานกายาตรีคงตามมาทีหลัง เอาไว้อธิบายว่าทำไมพระพรหมถึงไม่ดัง อิอิ
ลดคะแนนนิยมพระสรัสวดีได้อีก มาก็ช้ายังทำตัวเกรียน หรือพระพรหมจะเป็นพ่อบ้านใจกล้า? (ตีมูรติแพ้เมียทุกคน นี่ยังนับว่าดีกว่าพระศิวะผู้ถูกเมียกระทืบยอดอก)

ถ่ายภาพตรงป้ายห้ามถ่ายนี่ท้าทายเกิ๊น! กรุ๊ปทัวร์ไม่ทำตามกฎนี่อายถึงประเทศนั้น เก่งอะแยกเกาหลีกับจีนออก คนเล่าว่าเวลาคนเกาหลีทำอะไรผิดจะแกล้งพูดให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นคนญี่ปุ่นด้วยนะ ไม่รู้จิงป่าว
ห่านแถวนั้นอาจเป็นพาหนะของพระพรหมก็เป็นได้... ก็ไม่ก็เป็นเมนูของร้านอาหารข้างๆ
พอภาพวาดตอนขี่เป็ดนี่ฮาพรืดเลยครับ เอ่อ เพิ่งเคยเห็นพระพรหมตอนทรงพาหนะ เครางี้ครึ้มเชียว หน้าตาจริงจังมาก แต่ขี่เป็ด
ไม่คุ้นสำหรับอูฐในอินเดียเท่าไหร่ แต่วัวอะใช่เลย พออยู่ในอินเดียแล้วเชิดจนน่าหมั่นไส้ แต่แกงเนื้อที่ผมกินเมื่อเช้านั้นอร่อยจริงๆ
ฟ้านั่งรถไฟปรับอากาศนี่ไม่คุ้นเลยครับ ปกตินั่งแต่รถบรรทุกไต่เขากับรถสองแถว แต่รัฐนี้คงเจริญกว่าที่ผ่านๆมา

ฟ้าไปเข้าศาสนสถานมาหลายถิ่นหลายศาสนา แต่ดันเข้าวัดภาคเหนือไม่ได้ซะงั้น (บางส่วนห้ามผู้หญิงเข้า) เตรงเตร่ง...

เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้ามาโหวตน้า ^o^


โดย: ชีริว วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:22:48:52 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: ชีริว วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:0:02:50 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 24 มกราคม 2560 เวลา:4:39:18 น.  

 
"เมืองหน่อย"?
.
.
.
.
งงเลยอะดิ...ก็ "หน่อย-บุษกร" ไง เก็ตมั้ย 55


ป.ล. เห็นว่าตลาดวายคงไม่มีใครเข้ามาแล้ว เลยกล้าเล่นมุกนี้นะเนี่ย ฮุฮุ :D
(เจ้าของบล็อก: ทหาร! เอามันไปแช่แข็ง!)



โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 31 มกราคม 2560 เวลา:23:18:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาบริเอล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




ชอบต้นไม้, แมว, หนังสือ
และออกเดินทางท่องเที่ยวบ้าง

ไม่ชอบพบปะผู้คนมากนัก
เป็นมนุษย์จำพวก introvert

การเขียนบล็อก
คืออีกพื้นที่บอกเล่าผ่านตัวอักษร
และตัวตนของเราก็อยู่ในสิ่งที่เขียนค่ะ

ขอบคุณ Bloggang
สำหรับพื้นที่แบ่งปันตรงนี้

....

เริ่มต้นลงบันทึกอย่างเป็นทางการ
ณ วันที่ 16 ม.ค. 2014


###ไม่สะดวกพูดคุยหลังไมค์นะคะ###

© ขอสงวนลิขสิทธิ์ ภาพถ่าย 
ห้ามนำไปใช้ ดัดแปลง แก้ไข 
โดยไม่แจ้งที่มา ก่อนได้รับอนุญาต


New Comments
Friends' blogs
[Add กาบริเอล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.