บันทึกส่งท้าย : พุชการ์ (2)
เมื่อต้องพูดถึงเมืองสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาก็ย่อมมีการเล่า เรื่องบอกที่มาของแต่ละหนแห่งแอบอิงไปกับคติความเชื่อของคนท้องถิ่น ทุกที่ทุกแห่ง และเมืองพุชการ์นี้ก็เช่นกัน
ชื่อของเมืองก็มีหลายความหมายบ้างก็ว่าหมายถึง "ดอกบัวสีฟ้า" ในความหมายอื่นก็อาจมาจากคำว่า ดอกไม้ (Pushpa) ที่ร่วงหล่นมาจากมือ (Kar) หรือ กร ของพระพรหม ซึ่งหากยึดชื่อตามความหมายที่สองก็จะสอดคล้องกับชื่อหนึ่ง ที่เคยได้เปิดไปเจอในหน้า วิกิพีเดีย (ภาคภาษาไทย) ได้เอ่ยถึง ที่ตั้งวิหารอันเก่าแก่แห่งเดียวที่สร้างสำหรับพระพรหมไว้ว่า
เมืองบุษกร อ่านแล้วก็ทำให้นั่งนึกงงเสียตั้งนาน เมืองอะไรหว่าฟังดูชื่อไทยจัง !? ส่วนที่มาอื่น ๆ ก็เชื่อว่าอาจผันมาจากคำว่า Pushkarni ที่แปลว่า ทะเลสาบ
ในเมืองแห่งนี้จะเต็มไปด้วยวัดต่าง ๆ มากมายแต่วัดบางแห่ง อาจมีข้อห้ามเว้นไม่ให้คนนอกศาสนาหรือคนต่างชาติเข้าไป ส่วนเป้าหมายหลักที่สำคัญสำหรับคนที่มาแสวงบุญ ก็เห็นจะเป็น การลงอาบน้ำที่ทะเลสาบ ในบริเวณที่กำหนดให้ลงจุ่มหรือที่เรียกว่า สังคัม (sangam) และที่นี่ดูจะเคร่งในเรื่องของการถ่ายภาพกันมาก พวกเขาจะไม่อนุญาตให้ถือกล้องถ่ายกันตอนทำพิธีฯ โดยพละการได้เลย
ตามกาต หรือท่าน้ำที่สำคัญก็มักจะมีป้ายติดบอกห้ามถ่ายภาพอยู่เสมอ หรือบางทีก็อาจจะเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยว ไปยืนเต๊ะถ่ายรูปกับป้ายห้ามถ่ายกัน แถว ๆ บริเวณที่ไม่ได้มีคนมาเฝ้า ซึ่งรอบนี้จากที่เห็นเนี่ยไม่ใช่ทัวร์จีนนะ แต่เป็นก๊วนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี
ส่วนพื้นที่บางฝั่งของทะเลสาบแห่งก็มีกฏ ห้ามสวมรองเท้าเดินด้วย เรียกว่าต้องหัดมองป้ายและสังเกตมองคนที่เขาเดินมาก่อนเราให้ดีด้วยละกัน
กลับมาที่ใจความแรกกันต่อ หากยึดตำนานของพระพรหม เรื่องของทะเลสาบพุชการ์ ก็เกิดจากดอกบัวที่ใช้ทำการปราบอสูรร้าย (ประมาณว่าเสกให้ลงมาทับตาย) หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีกลีบบัว หลุดร่วงหล่นลงมายังพื้นที่นี้และก่อเกิดเป็นทะเลสาบอันศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด
รูปลักษณ์ของพระพรหมตามที่รู้กันก็มี สี่พักตร์และสี่กร ส่วนสัตว์ที่เป็นพาหนะคือหงส์ และมีพระชายานามว่าพระนางสรัสวตี
แถวนี้มีหงส์ (หรือห่านก็ไม่รู้) มาเดินเล่นว่ายน้ำเล่นกันอยู่ที่ด้านมุมหนึ่งของทะเลสาบ
รูปประกอบจาก วิกิพีเดีย -- ภาพวาด พระพรหมยามประทับบนหงส์ เราอาจคุ้นหน้าตาของพระพรหมจากที่ต่าง ๆ ในไทยกันมาบ้างแล้ว แต่ในที่นี้อาจดูแปลกไปมากหน่อยกับทัศนความเชื่อเดิมที่คิดไว้ หรือแม้แต่ในนิทานเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของ รพินทรนาถ ฐากูร ยังใช้คำสรรพนามอื่นเรียกขานแทนว่า 'เสด็จปู่'
ดังนั้นภาพพระพรหมสำหรับที่นี่ จึงน่าจะมีหนวดเครายาว และดูชรามากกว่าเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาเกลี้ยงเกลา
ทางขึ้น Jagatpita Brahma Mandir หรือรู้จักกันในนาม Brahma Temple
แม้จะได้ฉายาว่าเป็น เทพผู้สร้าง และเป็นหนึ่งในสามมหาเทพของฮินดูที่เรียกว่าตรีมูรติ
ในเมื่อลัทธิหลัก ๆ อย่าง ไวษณพ (Vishnav)ที่ยึดถือ พระวิษณุเป็นใหญ่ หรือแม้แต่ ไศวะ (Shiva)กลุ่มที่ยึดถือ พระศิวะเป็นใหญ่ ต่างก็มีนักบวชของตนกันทั้งนั้น ?
แต่ทำไมเราถึงไม่ได้พบเห็นเทวสถานที่เป็นสร้างเป็นวิหาร และนักบวช สำหรับพระพรหม โดยทั่วไปอย่างเทพเจ้าองค์อื่นเลย
เรื่องก็มีอยู่ว่า หลังจากพระพรหมได้ปราบอสูรร้ายที่มาเข่นฆ่าผู้คนได้แล้ว ก็จะคิดทำพิธีใหญ่สำหรับการบูชาไฟ (yagna) กัน ที่เมืองพุชการ์แห่งนี้ด้วย เหล่าเทพเจ้า เทพยดา ทั้งหลาย ต่างก็พร้อมใจกันเข้าร่วมพิธีสำคัญดังกล่าว รูปจาก วิกิพีเดีย -- วิหารด้านบนที่ตั้งอยู่ตำแหน่งกลางวัด ส่วนภายในจะมีรูปปั้นของพระพรหมตั้งอยู่
แต่ทั้งนี้พระนางสรัสวตี กลับมาล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนดนัดหมายไว้ พิธีจำเป็นต้องเริ่มกันแล้ว รอกันไม่ได้ซะด้วยสิเดี๋ยวเสียฤกษ์ ว่าแล้วก็ต้องหาคนมาแทนที่พระแม่โดยไว ดังนั้นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา สามัญนางหนึ่งที่ชื่อว่า กายาตรี (ซึ่งบางข้อมูลระบุไว้ว่านางเป็นสาวเลี้ยงวัว ผู้มีหน้าตาสวยงาม) จึงได้ถูกเชิญตัวให้มาร่วมพิธีนี้แทนซะเลย และหลังจากจบพิธีนั้น นางกายาตรีก็เลยต้องรับตำแหน่งเป็นชายา ของพระพรหมไปอีกคน ถัดมาเมื่อเทวีสรัสวตีได้เดินเข้ามาถึงยังงานฯ ที่ดำเนินการเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว
อ้าวนั่น... ตำแหน่งที่นั่งของเรา ไหงกลับเป็นแม่สาวที่ไหนก็ไม่รู้มานั่งแทนได้ไง? ว่าแล้วก็ พระนางก็กล่าวคำสาปด้วยความโกรธไล่ไปตั้งแต่ต้นเหตุของเรื่อง คือ "พระพรหม" ว่านับจากนี้จะไม่มีผู้ใดมากราบไหว้หรือสร้างสถานที่สำหรับบูชา พระพรหม (ในกรณีนี้คงหมายถึงวัด) แต่หากจะยกเว้นก็ให้มีเพียงแค่ในพุชการ์เท่านั้น
ส่วนเทพองค์อื่นที่รู้เห็นเป็นใจและไม่ได้คิดจะห้ามปราม ต่างก็โดยสาปแช่ง ไปตามความหนักเบาของความผิด จะเว้นเสียแต่นางกายาตรีรอดพ้น หนำซ้ำยัง ได้รับพรจากพระนางสุรัสวตีอีกด้วย เพราะเห็นว่าไม่ได้มีส่วนผิดอะไร
นอกจากการที่ผู้แสวงบุญ มุ่งหน้ามาพุชการ์เพื่อจุ่มตัวชำระบาปกันที่ทะเลสาบ ศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว พวกเขาก็จะมุ่งหวังที่จะขึ้นไปสักการะพระพรหมบนที่วิหารที่ซึ่ง เชื่อว่ามีอยู่เพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น
หากใครไม่ได้เตรียมดอกไม้ขึ้นไป ตรงด้านล่างก็มีจำหน่ายแถวทางขึ้นบันไดนี่แหละ ส่วนการที่จะเดินขึ้นไปด้านบนได้นั้น ต้องถอดรองเท้าไว้ข้างล่าง กล้องถ่ายรูป สัมภาระต่าง ๆ นอกจากกระเป๋าเงิน ห้ามนำเอาขึ้นไป ต้องนำฝากไว้ที่ชั้นฝากเก็บตรงทางขึ้นโดยอาจต้องเสียค่าฝาก 20 รูปี
ที่วัดด้านบน มีรูปปั้นของพระพรหมตั้งอยู่ พื้นที่ไม่กว้างใหญ่เสียเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับคับแคบนัก เมื่อเสร็จสิ้นจากการขึ้นไปเยือนวัดพระพรหมและรับของฝากคืน
ถ้าคิดอยากจะหาอะไรกินต่อแถวนั้น ก็จะมีพวกร้านขายลาสซี่เครื่องดื่ม ที่ทำมาจากโยเกิร์ตขายอยู่เยอะ ส่วนมากจะปรุงรสไว้แล้วและหวานเจี๊ยบ หากได้ลองกินแล้วพบว่าร้านไหนตักใส่ภาชนะเป็นถ้วยดินเผาที่ปั้นแบบหยาบ ๆ ที่พอกินเสร็จจะหาที่โยนทิ้ง หรือจะเก็บพกติดตัวเป็นที่ระลึกก็แล้วแต่
ยังไงเสีย... ไม่ต้องเฟอะฟะเดินเอาไปคืนแบบเจ้าของบล็อกนะคะ
สินค้าที่บรรจุใส่ไว้ในกล่อง ดูเหมือนจะเป็นขนมปังกรอบ
ทางเดินที่เป็นตรอกซอกซอยผ่านตึกอาคารต่าง ๆ ตัวอาคารสร้างสวยดี แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้ดูแล
รางระบายน้ำทิ้งของตัวเมือง ที่เปิดร่องปล่อยน้ำให้เห็นกันแบบโล่ง ๆ
ที่บริเวณตลาด วัวยังคงครองความเป็นเจ้าถิ่นได้อยู่ ส่วนพวกอูฐไม่มีทางได้มาเฉิดฉายแบบนี้หรอก
แอบแว้บออกมาดูพื้นที่อีกด้านที่มีแต่พื้นทราย และกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์
และเมื่อฉันเอารูปถ่ายพวกนี้จากพุชการ์ ไปอวดทางบ้าน เสียงตอบรับก็เป็นไปตามคาด
"เนี่ย ใช่เลย...อินเดีย ชัด ๆ"
"อ้าว แล้วที่ผ่านมาอ่ะ?" ฉันถามกลับ
"นั่นไม่ใช่ อินเดีย ไง"
.......................
จดหมายถึง หิมาลัย (ฉบับที่ 3)
สวัสดี... เอ่อ ไม่สิ ฉันได้ยินมาว่า ในรัฐราชาสถานจะมีอีกคำที่รู้นอกเหนือไปจาก นมัสเต ก็คงเห็นจะเป็น คัมมา กานี แต่แย่หน่อยที่ฉันยังไม่มีโอกาส ได้ใช้สักหนเลย เพราะเวลาทักใครเข้าก็มักจะคิดคำ ที่เตี๊ยมท่องไว้ไม่ค่อยทันเท่าไหร่
ที่ราชาสถาน หนาวน้อยกว่าหิมาจัลประเทศ มากทีเดียว แต่ก็ยังมั่นใจว่าเย็นเฉียบกว่าเมืองไทยแน่นอน :)
เมื่อวันก่อนฉันแวะเดินสำรวจแถวตลาด ซึ่งรอบ ๆ นี้ ก็มีแต่พื้นที่ค้าขายเต็มติดกันไปหมด มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนพุชการ์เยอะแยะเลย
ถ้าไม่นับชาวฮินดูที่มุ่งตรงมาเพื่อแสวงบุญ ก็เห็นจะเป็นหมู่เหล่าชาวฮิปปี้ ที่มักจะเห็นเป็นชาวอิสราเอลซะเยอะ แถวนี้ มีแต่เขาลูกเตี้ยรายล้อม ได้เห็นทีไร ก็พาลนึกถึงภูเขาหิมาลัย ยิ่งเวลาที่เดินผ่านร้านบางร้าน ที่เอาชื่อเวชสำอางค์ยี่ห้อหนึ่งมาเรียกคนเข้าร้าน กับประโยคที่ว่า " มาสิ Himalaya อยู่ที่นี่ "
ฉันแทบบ้าเวลาได้ยินชื่อนั้น คงเพราะอยากเห็นหิมาลายา ที่เป็นเทือกเขาเสียมากกว่าครีมบำรุง
ไม่แน่ว่า ความรู้สึกในตอนนี้ คงดูคล้ายกับพวก ' คิดถึงบ้าน ' แล้วสินะ
มีหนหนึ่ง ฉันไปนั่งที่ริมทะเลสาบช่วงเช้า พื้นที่แถบนั้นมีการก่ออิฐสร้างซุ้ม คล้ายกับเป็นที่พักขนาดเล็ก มีคนที่แต่งตัวคล้ายกับ Holy man อาศัยอยู่ในนั้น บาบา ที่ได้เจอคนหนึ่ง เขาคุยกับฉันเล็กน้อย เท่าที่พอสื่อสารได้ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการชวน สูบยา!
จะเป็นอะไรก็ช่างเหอะ ฉันก็ได้แต่ปฏิเสธไป ที่นี่ ดูเหมือนว่าจะมีการค้าเยอะ เพราะเมื่อเดินพ้นผ่านไปเพียงก้าวเดียว ก็ย่อมมีคนมาเสนอสินค้าต่อเนื่องแบบ non-stop ถึงพวกเขาจะไม่ได้เดินตื๊อแต่มันก็น่ารำคาญไม่เบา ก็แบบว่าแทบจะไม่พักช่วงให้ได้หายใจได้สะดวกกันเลย
ฉันอาจมาหาที่สงบ ๆ อยู่ ผิดแหล่งเองแหละ
เรื่องของเสียงดนตรี อาจเป็นสิ่งเดียวที่ฉันชื่นชอบ โดยเฉพาะก่อนพลบค่ำ ในบางจุด จะมี เสียงตีกลองบรรเลง ถ้าไม่ใช่ที่มุมตรงหน้าร้านอาหาร ก็อาจจะเป็น อีกฟากหนึ่งที่เหล่าคณะคนรักดนตรี พวกเขาจะไปรวมตัว บรรเลงกลอง และมีเสียงเครื่องเป่าคลอประสานอยู่ด้วย
หรือหากเป็นช่วงหัววัน ถ้าไปนั่งตามริมทะเลสาบบางฟาก ก็อาจได้พบกับนักดนตรีพเนจร ผู้แต่งชุดผ้าฝ้ายขาว ไว้หนวดแหลมทรงโต ใส่ต่างหู และโพกผ้าที่ดูเป็นเอกลักษณ์ มาเร่เดินสีเครื่องสาย เพื่อหาลูกค้า ที่จะเรียกเข้าไปเล่นดนตรีให้ฟัง จากนั้นก็จ่ายเงินให้เขาไป
นักดนตรีพเนจร มักจะพูดเกริ่นเสมอว่า เขาเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยม ก่อนที่จะบรรเลงบทเพลงและร้องคลอ ที่เป็นทำนองเฉพาะถิ่นให้ฟัง
บางทีฟังแล้วก็เพลินดี ดูเข้ากับบรรยากาศ แต่บางครั้ง มันก็ดันไปประสานงา กับทำนองกลองที่พนักงานร้านอาหาร กำลังตีบรรเลงเรียกลูกค้าอยู่ก่อนหน้าซะงั้น
สำหรับขยะที่นี่ ดูเหมือนจะทิ้งกันเกลื่อนกลาด จุดบริการน้ำกรองสำหรับดื่ม ก็หาแทบไม่เจอ และที่แน่ ๆ คงไม่เดินทางลงไปยังเมืองอื่นต่อแล้วล่ะ
ถึงฉันจะไม่ถูกชะตากับการขึ้นรถไฟก็เถอะ แต่ก็ไปแอบสืบรู้มาจาก ไกด์บุคที่เปิดอ่านผ่าน ๆ มาว่า ที่เมืองนี้เราสามารถทำการจองกับที่ทำการไปรษณีย์ได้ด้วย เสียค่าบริการไม่กี่รูปีเองแค่หาชื่อและหมายเลขรถไฟ แล้วก็ชั้นโดยสารที่ต้องการไปให้เขาตรวจสอบดูก่อนได้
ฉันแอบใจเสียนิดหน่อย ในเมื่อเที่ยวโดยสารนั่น มันเต็มเสียแล้วสิ มีแต่ waiting list รอลำดับกันยาวเหยียดทั้งนั้น แต่ความหวังก็มีอยู่บ้างนะ เมื่อลุงเจ้าหน้าที่ บอกให้ฉันกลับมาอีกครั้งตอน 10 โมงเช้า วันพรุ่งนี้ หากโชคดีก็จะมีพวกที่ทิ้งตั๋วสละที่นั่งกัน และจังหวะนั้นแหละที่เราจะรีบทำการจองที่แทนได้
หวังว่าครั้งนี้จะได้นอนเหยียดตัวสบาย ๆ ข้ามคืน บนรถไฟปรับอากาศกะเค้าซะที
Create Date : 18 มกราคม 2560 |
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 16:59:06 น. |
|
18 comments
|
Counter : 1941 Pageviews. |
|
|
เพิ่งได้ถึงอินเดียจริงๆล่ะ..อิอิ
ขอบคุณที่บอกเล่าด้วยภาพนะคะ..
โหวตให้เลยคะ