SPITI (ปี 2) Kee Monastery สุดท้ายก็ได้มาเยือน
ทางเลือกสุดท้าย
ข่าวเรื่อง Kunzum la กำลังจะถูกปิดเส้นทางสัญจรในไม่ช้านี้ กำลังทำให้ตัวเอง ต้องตัดสินใจเตรียมตัวเดินทางออกจากสปิติไวกว่ากำหนด จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะ แวะเวียนตะลอนเที่ยวไปอีกหลายแห่ง แต่เพราะข้าวของบางส่วนได้ถูกฝากเก็บไว้ ยังมะนาลี นั่นจึงเป็นเหตุให้ต้องเดินทางกลับยังเส้นเดิม
"ไป Mud กันไหม มันไปทางเดียวกับ Dhankar"
อเล็กซ์เจอกับแพทริกเมื่อเช้า หลังจากที่ลุงหายไปเก็บภาพตามพื้นที่ต่าง ๆ กับเพื่อนชาวสปิติของเขา และเย็นวันนี้เขาจะเดินทางไปยังหมู่บ้านที่ว่านี่ด้วย
"แต่ฉันยังไม่เคยแวะไป Kee Monastery เลยนะ "
เมื่อปีที่แล้วฉันเสียเที่ยวไปหนนึง เลยไม่อยากพลาดอีก ไม่ชอบเลย ที่ต้องมาคิดเลือกในเวลาที่กระชั้นชิดแบบนี้ อเล็กซ์เคยไปที่ คี มาแล้วแต่ยังไม่เคยไป หมู่บ้านมุด ส่วนฉันไม่เคยไปทั้งสองที่
ฉันรู้แค่ว่าเวลาที่นึกถึงสปิติ ภาพของอารามสงฆ์ ที่ตั้งบนเนินเขาแห่งนั้นคือสัญลักษณ์แรกที่นึกถึง
"เอางี้ คนละครึ่งทาง เราจะโบกรถไป คี กัน... ถ้าครึ่งชั่วโมงจากนี้ไม่มีคันไหนจอด ก็ไป มุด แทน"
เออก็ดีนะ กว่าจะรถประจำทางจะออกมันก็เย็นเกินไป เที่ยวรถที่จะวิ่งไป คี ต้องรอนานถึงบ่ายสี่โมงครึ่ง ส่วน มุด จะออกไวกว่า หากจำไม่ผิดก็รอบบ่ายสาม
ประมาณบ่ายแก่ของวันนั้น หลังจากหอบข้าวของ ไปยืนโบกรถอยู่นานสองนานแต่ไม่สำเร็จ ก็เลยต้องย้ายกลับมายังท่าจอดแทน โชคไม่ดีที่รถประจำทางสำหรับไป มุด ไม่มีวี่แววจะโผล่มาเลย ความที่ รถเที่ยว นั้นมันไม่ได้กลับมาที่กาซ่าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะหนาวเกินไป !
พวกรถแท็กซี่รับจ้าง ในวันนี้กลับเต็มเอียดไม่มีเหลือให้จองได้ แม้แต่ แพทริก ยังสาละวนเดินรอตรงคิวรถและไม่แน่ใจว่า ในเย็นนี้กลุ่มของพวกเขาจะได้เดินทางกันหรือปล่าว?
คงเหลือตัวเลือกสุดท้ายนั่นคือ การนั่งรถเมล์ ไปยัง Kee Monastery นี่แหละ ที่ดูจะไม่มีปัญหาอะไร
ประมาณครึ่งชั่วโมง รถเมล์ได้พาเราไต่ขึ้นเนินเขาเล็ก ๆ เพื่อแวะจอดส่งลงยังหน้าวัด ก่อนที่จะเลี้ยวกลับออกจากที่นี่ ไปสุดทางยัง คิบเบอร์ (Kibber) หมู่บ้านที่อยู่ถัดไปไม่ไกล
ก่อนที่วันรุ่งขึ้น รถเมล์คันเดิมนี้จะวิ่งกลับมายัง คี อีกครั้ง เพื่อตรงไปยัง กาซ่า ในเวลา 8.30 น.
อารามสงฆ์ที่นี่เป็นสถาบันการศึกษาที่ใหญ่และเก่าแก่แห่งหนึ่ง ได้ถูกสร้างเมื่อ ช่วงศตวรรษ ที่ 11 และปัจจุบันได้ขึ้นตรงกับ นิกายเกลุกปา (หมวกเหลือง) โดยตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,166 เมตร
หากมองจากทางรถวิ่งผ่านก่อนจะเข้าสู่เมืองกาซ่า ก็จะเห็นกอมปาแห่งนี้ ตั้งอยู่เด่นชัดแม้ว่าจะดูไกลจนลับสายตาไปไวก็ตาม และแม้ว่าสถานที่นี้จะดู มีหน้าตาแสนโบราณราวกับถูกหยุดเวลาไว้ตั้งแต่ถูกสถาปนาสร้างขึ้นก็ตาม ทว่าในด้านความเป็นอยู่ของพระที่นี่ กลับดูเหมือนจะไม่ได้ดำรงวิถี ตามแบบ จารีตดั้งเดิมเสียหน่อย
เพราะภาพแรก ที่ก็ได้พบเจอกลับเป็น "พระ" ที่บิดมอเตอร์ไซด์ร่อนลงมาจากเนินเขาซะนี่ !
มีชายชาวอินเดียสองคนที่ขับมอเตอร์ไซค์คันโต แวะมาเยือนที่นี่เช่นกัน ถึงเราจะเดินเข้ามายังอารามแห่งนี้ไล่เลี่ยกัน แต่พวกเขาก็อยู่นานแค่ 10 นาที ก่อนจะไปต่อยังที่อื่น
เราตรงไปยังบริเวณพื้นที่ทางเดินเข้าไปยังด้านในห้องครัว ที่ ๆ ต้องเอากระเป๋าไปวางฝากไว้ มันดูมืดทึบลึกลับจนต้อง หยิบเอาไฟฉายมาส่อง รู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ของที่นี่มากเลย
มีคนทำครัวอยู่สองคน กำลังเตรียมทำอาหารลงหม้อใบโต ที่วางตั้งอยู่บนเตา ที่ใช้ฟืนสุมก่อไฟ มีคนหนึ่งทำหน้าที่ปั้นแป้งที่ปั้นเป็นทางยาว ดูคล้ายจะเตรียม ทำปาท่องโก๋ ส่วนพ่อครัวอีกคนก็ทำหน้าที่บิแป้งเป็นชิ้น ๆ และโยนใส่หม้อซุป
หม้อยักษ์ กระทะยักษ์ ตะหลิวยักษ์ ภาชนะต่าง ๆ ที่วางอยู่โดยรอบบริเวณนี้ มีไว้เพื่อรองรับการประกอบอาหารเลี้ยงพระที่พำนักอยู่ที่นี่ เป็นจำนวนถึง 350 รูป
พี่พ่อครัว บอกเราว่าตอนนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียน ดังนั้นจึงอาจจะไม่ได้เห็นพระมากนักในเวลานี้
หลังจากฉันขออนุญาตเก็บถ่ายภาพในห้องครัวแล้ว ก็ถูกเตือนไว้ว่าอย่าไป ถือกล้องเก็บภาพสุ่มสี่สุ่มห้าแบบที่นักท่องเที่ยวชอบทำกันนะ เพราะพระที่นี่ ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบให้ถ่ายรูป
อีกทั้งภายในอารามสงฆ์แห่งนี้ ก็ห้ามบันทึกภาพด้วย โดยจะมีข้อความเขียนเตือนไว้หลายจุดรวมไปถึงกล้อง CCTV
หลังพักจิบชาไปคนละถ้วย จนหายหนาวแล้ว ก็เดินออกไปดูพื้นที่ด้านนอก พร้อมกับพระรูปหนึ่งที่นำเรามา ห้องแรกที่หลวงพี่เปิดให้ดูจะมีพระพุทธรูปตั้ง อยู่ตรงกลาง และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแนวทิเบต
ส่วนห้องที่สอง จะเป็นที่รวบรวมเก็บข้อบัญญัติทางศาสนา (Canon) มีที่ประทับและห้องพักที่เคยจัดรับรอง ทะไลลามะ องค์ปัจจุบัน ทุกอย่างถูกเก็บวางให้คงสภาพเดิมที่สุดเหมือนถูกสตาฟไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 พวกเขายังคงดูแลไว้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรถูกเคลื่อนย้าย มีเพียงแค่พลาสติกใส ปิดคลุมกันฝุ่นเอาไว้
หลวงพี่อธิบายให้เราฟังเรื่องการรวบรวมตำราว่า ถูกแปลจากสันสกฤตมาเป็น ฉบับภาษาทิเบตได้นั้นเพราะมาจากการแลกเปลี่ยนความรู้ทางศาสนากันระหว่าง สองชนชาติ อินเดีย - ทิเบต ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนโน้น
"ที่ Tabo ใช่ไหมคะ?" ฉันนึกย้อนไปถึงสถานที่ ๆ มีฉายาเรียกว่า อชันตาแห่งหิมาลัย ที่เคยไปเยือนเมื่อปีก่อนได้ทันที
"ถูกต้อง"
ไม่คิดว่ามันจะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ถูกนำมารวบรวมเก็บไว้ยังที่นี่เสียด้วยตื่นเต้นชะมัด
หลังจากนั้นเราก็ได้ไปนั่งดื่มชาที่ห้องเก็บของเก่า โดยที่หลวงพี่รูปนั้นยังทำหน้าที่ พูดคุย เรื่องทั่วไปเกี่ยวกับที่นี่ ตรงห้องนั้นดูเหมือนจะมี ถ้วยชาม เครื่องดนตรี จำพวก ฉาบ แตร อาวุธโบราณอย่างหอก โถใส่เมล็ดพันธุ์พืชบางอย่าง รวมไปถึง กระบอกไม้ที่ใช้สำหรับตำเนยเพื่อชงชาแบบทิเบต (butter tea) ที่มีรสชาติออก ไปทางจืด ๆ เค็ม ๆ พวกเขาคงจิบดื่มกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นเท่านั้น
มื้อค่ำวันนั้น เราต้องย้อนกลับไปยังห้องครัว ตรงบริเวณพื้นที่รอบนอกก่อนทาง- เข้า เริ่มมีกลุ่มพระที่นั่งกันกระจัดกระจาย แต่ละรูปจะมีภาชนะใส่อาหารต่างกันไป คงใช้เป็นของส่วนตัว รวมไปถึงช้อนตักมีทั้งแบบธรรมดาและไม่ธรรมดา
ฉันเห็นพระบางรูปได้นำเศษไม้เก่า ๆ ที่มีปลายแหลมมาจิ้มอาหารกินแทนใช้ช้อนตักก็มี
ภายในห้องครัวช่วงค่ำ จะมีแค่แสงตะเกียงส่อง และบรรยากาศก็ดูมืดทึบยิ่ง กว่าเดิม มีพระกำลังนั่งฉันมื้อค่ำอยู่ในนั้นประมาณ 20 รูปเห็นจะได้
และเมื่อกินเสร็จแล้วต่างก็ต้องล้างเก็บภาชนะประจำตัวกันเอง
ฉันเดินไปหยิบชามใส่อาหาร พร้อม ๆ กับอาการประหม่าเล็กน้อย อาจเริ่มกังวลว่าการเป็นผู้หญิงคนเดียวในพื้นที่นี้มันดูไม่คุ้นเท่าไหร่ ถึงจะรู้ว่าการวางตัวของพระทางฝ่ายวัชรยานจะแตกต่างไปจากพระในไทย และการที่ต้องมากินข้าวรวมกับพระแบบนี้ ทำให้ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด ถ้าพี่อเล็กซ์แกไม่มาด้วย ฉันก็คงอาจทำตัวไม่ถูก!
ตรงหม้ออาหารมีผงสีแดงประหลาดตั้งอยู่ด้านข้าง เห็นพระบางรูปหยิบมาโรย บางรูปก็ไม่สนใจ ฉันเลยหยิบเอามาส่องดูว่ามันคืออะไรอย่างเงียบ ๆ แต่ก็ มีเสียงบอกพร้อมกันอย่างเซ็งแซ่ คล้ายกับจะแย่งกันบอกว่านั่นคือ "พริกป่น" สำหรับปรุงอาหารให้มีรสเผ็ด พวกเขาคงเห็นฉันทำตัวไม่ถูกด้วยล่ะเลยพยายาม ช่วยพูดช่วยคุยให้ไม่รู้สึกประหม่าเท่าที่จะทำได้
อาหารคืนในนั้น คือซุปเหลวกึ่งข้นคล้ายราดหน้า ต้มก้อนแป้ง ใส่ชีส(Paneer) และชิ้นผักที่มีอยู่เล็กน้อยอย่างมะเขือเทศกับมันฝรั่ง
ที่พักคืนนี้ เป็นแบบดอร์ม...ดูเหมือนกระแสไฟฟ้าจะดับ ๆ ติด ๆ บ่อยครั้ง หนนี้สิ่งที่ได้รับมาก่อนเข้าพักกลับไม่ใช่กุญแจ แต่เป็นเทียนไขหนึ่งเล่มกับ ไม้ขีดไฟอีกหนึ่งกล่อง
ฉันพยายามเขียนบันทึกเรื่องที่อารามสงฆ์แห่งนี้ ผ่านทางการจด เท่าที่จะทำได้ เพราะไม่สามารถเก็บรายละเอียดจากภาพถ่ายได้ดีนัก
ลมหนาวในตอนกลางคืน จะพัดผ่านลอดหน้าต่างเข้ามาแทบตลอด ที่นี่ไม่มี เครื่องทำความร้อนและหนาวยะเยือกได้ใจมาก การได้มานอนพักที่วัดโบราณ แบบนี้ช่างได้บรรยากาศที่แตกต่างไปจากโฮมสเตย์มากเลย
....
ฉันลองตั้งค่ากล้องไว้ สำหรับถ่ายภาพตอนกลางคืน หนแรกก็กะว่า จะได้เห็นทางช้างเผือกพาดท้องฟ้าอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็แย่นิดหน่อย ที่เวลานั้นดันเป็นคืนข้างขึ้นไปซะได้
ถึงวิวข้างนอกจะไม่มีดาวสักดวงเพราะเป็นเดือนหงายแล้ว แต่แสงจันทร์ที่ตกกระทบลงหิมาลัย มันสวยมากทีเดียว ฉันเสียดายภาพที่อยู่ตรงนั้นมาก เพราะเก็บความทรงจำผ่าน เมมโมรี่การ์ดเอาไว้ไม่ได้ การที่ออกไปยืนตากลมบนดาดฟ้า คราวนั้น มันจึงทำได้ดีที่สุดก็แค่แหงนมอง
ยังตั้งค่ากล้องถ่ายรูปยังไม่เป็นอ่ะ...
ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนแผนมาเก็บภาพในช่วงหกโมงเช้าแทนละกัน
ฉันออกมาเดินลัดเลาะลงไปทางด้านข้างอารามแห่งนี้ สำรวจห้องหับที่อยู่ ลดหลั่นต่างระดับแยกเป็นส่วนต่าง ๆ ดูคล้ายกับถูกสร้างต่อเติมภายหลัง ตอนนั้นกำลังคิดอยู่ว่าจะหาทางลงไปยังศาลาข้างล่างเพื่อเก็บภาพมุมมหาชน ของที่นี่ยังไงกัน?
ก๊อกน้ำตรงด้านนอก ถูกเปิดทิ้งไว้ในตอนเช้า และฉันว่าคงมีใครลืมปิด เลยช่วยบิดกลับ กลัวว่าจะสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ แต่พอเดินกลับมา อีกครั้งก็พบว่า มีพระเดินมาเปิดไว้เหมือนเดิม พร้อมบอกกับฉันว่าไม่ต้องปิดวาล์ว เพราะที่จริงแล้วเขาต้องการให้น้ำในท่อไหลระบายออก เพื่อไม่ให้จับตัวค้างเป็น น้ำแข็งต่างหากล่ะ
ฉันหิ้วถังมารองน้ำเย็น ๆ จากก๊อก เพราะข้างบนไม่มีสำรองเหลือใช้ อีกทั้งยังไม่มีน้ำอุ่นจัดเตรียมให้ผู้มาพักอาศัย เหมือนกับสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป
มีอยู่แค่ไหน ก็ใช้ไปเท่าที่มี ชีวิตใน สปิติ คงสอนฉันให้คิดแบบนี้
พี่อเล็กซ์ออกปากชวนให้เดินไปข้างนอก ตรงเนินเขาเพื่อไปถ่ายรูปจากตรงนั้นกัน ทางเดินขึ้นเนินดูเล็กแคบและชัน เห็นแล้วก็แอบกลัวว่าจะลื่นกลิ้งตกลงมา
แต่มุมภาพจากที่เห็น มันก็สวยแสนคุ้ม
"ปีก่อน เคยลองเดินขึ้นไปสำรวจเนินบนถัดไปจากนี้" อเล็กซ์ชี้ให้ดูทางที่เคย ปีนขึ้นไป แต่ดูท่าจะเพลินไปหน่อย "พอได้ยินเสียงรถเมล์วิ่งเท่านั้นล่ะ รู้เลยว่าตกรถแน่" เขาบอกว่าในวันนั้น ต้องเดินเท้ากลับไปที่กาซ่า ปัญหาการคมนาคมที่มีจำกัด มันช่างดูลำบากเอาเรื่องเหมือนกัน ถ้าไม่ทันต่อตารางเวลา ก็หวังว่าบทเรียนที่เคยพลาดไปครั้งนั้น จะทำให้ระแวดระวังกันมากขึ้นเนาะ
อารามสงฆ์ ที่จริงแล้วก็ไม่ได้อยู่ยั้งคงทนมาตลอดหรอก เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยถูกทำลาย และสร้างใหม่อยู่หลายครั้ง ทั้งจากความขัดแย้งของมนุษย์ ไฟไหม้ และ ภัยธรรมชาติ ฯ
เราเดินกลับมายังวัดเพื่อเก็บของเตรียมเดินทางออก แต่ระหว่างนั้นเมื่อเวลา ที่ยังมีเหลืออยู่ พี่พ่อครัวที่เราเจอเมื่อวาน ก็นำเราไปหยิบชามขนาดย่อมมา คนละใบ และให้ไปนั่งรอที่ห้องสวดมนต์ (Prayer Hall)
ภายในห้องนั้นมีผ้าสีต่าง ๆ ประดับตามขอบคานและมีพู่ห้อยเป็นขอบระบาย มีพระที่นั่งของ ดาไล ลามะ ตั้งอยู่ที่มุมกลางพร้อมกับภาพถ่ายตั้งวางไว้ คล้ายกับเป็นสัญลักษณ์ขององค์ประธาน
มีโต๊ะสูงประมาณหนึ่งศอกตั้งวางไว้ด้านหน้าเบาะนั่งของพระ ที่ปูยาวและ แบ่งออกเป็นสองฟาก บนโต๊ะจะมีคัมภีร์วางไว้ตรงหน้าสำหรับท่องอ่าน ฟากหนึ่งมีพระนั่งอยู่สองรูป และตรงกันข้ามมีหนึ่งรูปที่ธรรมมาศตรงหัวมุม จะมีพระชั้นผู้ใหญ่นั่งอยู่บนนั้น
ส่วนที่นั่งของเราก็คือ บนเบาะที่ปูวางตรงท้ายห้อง
เมื่อเสียงสวดเริ่มขึ้น ฉันรู้สึกว่าดูคล้ายกับการประสานเสียงโต้กันคนละคีย์ ส่วนที่โต๊ะหน้าธรรมมาส จะมีกระดิ่งเล็กที่พระผู้ใหญ่หยิบมาสั่นเคาะ คั่นระหว่าง การสวด บ้างก็หยิบพู่กันจากขนนกยูงที่วางปักอยู่ ยกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง
ต่อมาก็จะมีพระหนึ่งรูปเดินถือกาน้ำเข้ามารินใส่ชามที่วางอยู่ด้านหน้า ไล่เรียงตามลำดับจากพระผู้ใหญ่ ลงมาจนกระทั่งถึงชามของฉัน และ ดูเหมือนจะมีการเติมชามาเรื่อย ๆ
สองหนแรกก็เป็นชานมธรรมดา และอีกสี่หนหลังเป็นชาเนย เค็ม ๆ มัน ๆ ที่เราได้รับการเทซ้ำแล้วซ้ำอีกจนต้องขอบอกปัดในครั้งต่อไป เพราะ "จุก" ท่าทางมื้อเช้านี้ พื้นที่กระเพาะอาหารคงจะมีชาบรรจุเก็บไว้เป็นลิตรเลยล่ะ ก่อนที่จะนั่งฟังพระสวดจนเพลินไปกว่านี้ พี่อเล็กซ์ได้หันมาบอกอะไรบางอย่าง
"ไปกันเหอะ เมื่อกี้ได้ยินเสียงรถวิ่งออกไปแล้ว!"
เฮ้ออ ...
ประวัติศาสตร์ก็มักจะซ้ำรอยเช่นนี้แหละ
เช้านั้นเราเดินกลับกาซ่า ด้วยการเดินเท้า ไม่ก็อาจหวังว่าจะมีรถสักคันจอดรับให้ติดไปด้วยระหว่างทางเท่าไหร่ หมู่บ้านที่อยู่ถัดไปจากอารามสงฆ์แห่งนี้ ก็ดูจะคล้ายกับหมู่บ้านอื่น ไม่มีอะไรต่างกันมากนัก มีบ้านดิน ที่นา และปศุสัตว์ บางส่วนก็เริ่ม มีการสร้างโรงเพาะปลูกแบบ Greenhouse ไว้ด้วย
บทส่งท้าย
"ที่นี่มันก็ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยนั้นเท่าไหร่นัก เพียงแค่มีรถวิ่งสัญจรระหว่าง หมู่บ้านเยอะขึ้นที่พัก โรงแรม เกสท์เฮาส์ ที่ผุดขึ้นเป็นระนาว แถว ๆ กาซ่า ส่วนเรื่องขยะมันก็เยอะแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร..."
จากที่เมื่อวานนี้เราได้เจอกับ แพทริก แถวท่ารถในตอนบ่าย เขาได้บอกเล่าเกี่ยวเรื่องสปิติโดยคร่าวให้ฟัง หลังจากที่ฉันถามถึง สภาพแวดล้อมของที่นี่เมื่อ 22 ปีก่อน และหากเทียบกับตอนนี้ หุบเขาสปิติ จะดูต่างไปจากปัจจุบันน้อยมากแค่ไหน? ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอก จะยังดูไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่นี้มากเท่าไหร่
แต่อาจการนำมีเทคโนโลยีบางอย่าง ที่นำมาประยุกต์ใช้เพื่อการดำรงชีวิต จากกลุ่ม NGO ที่เข้ามาพัฒนาพื้นที่ อาทิเช่น การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ สำหรับกระแสไฟฟ้า ไม่ก็ใช้ทำน้ำอุ่นสำหรับอาบ เพื่อหวังจะการใช้ลดปัญหา เรื่องมลพิษจากเชื้อเพลิงที่มาจากการเผาไหม้ของถ่านไม้ด้วย
เส้นถนนที่ปูลาดยาวบนทางไกล 12 กิโลเมตร กลายเป็นทาง ที่ต้องเดินด้วยเท้าจาก คี กลับไปยัง กาซ่า หัวเมืองหลักสปิติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของการเดินทาง
พอใกล้จะถึงบทลาจาก พื้นที่กลางหุบเขาแห่งนี้ ก็ยังรู้สึกไม่พร้อมเลยที่ต้องออกไป
ชีวิตข้างนอกมันยุ่งยาก และวุ่นวายจะตาย...
"อื่นๆ"
- ชื่อของ 'คี' พบว่ามีการสะกดไม่ตายตัว มีทั้ง Ki, Kee, Kye, Key
- คำว่า Gompa และ Monastery มีความหมายเดียวกัน
- การที่เดินเท้ากลับในวันนั้นใช้เวลาไม่นานนัก เพราะได้ติดรถชาวบ้านไปลงยังกาซ่า
- จำนวนของพระ อ้างอิงจากป้ายประชาสัมพันธ์ของทางอารามสงฆ์
- ค่าที่พัก ใน monastery 250 รูปี/คน
Create Date : 25 มีนาคม 2559 |
Last Update : 7 เมษายน 2561 15:48:48 น. |
|
37 comments
|
Counter : 1810 Pageviews. |
|
|
เอนทรี่นี้ภาพสวยหลายภาพอีกแล้ว แต่พี่ชอบภาพหกโมงเช้าที่สุด สวยมากๆ ได้ความรู้สึกอ้ะ
อ่า..วชิรยาน กินมื้อค่ำ ขี่มอไซค์ ถ้าเป็นพี่ก็คงไม่คุ้นแหละ แหะๆ
แล้วตกลงนอกจากส่องแล้วได้ลองมั้ย พริกน่ะ?