DHARAMSHALA : ชีวิต และ ผู้คน (1)
ใน ภาษาทิเบต Lung แปลว่า " ลม " และ Ta แปลว่า " ม้า " ลุงต้า คือชื่อที่ใช้เรียกแทนธงมนตราห้าสีที่ถูกขึงแขวนระโยงระยาง
เป็นสายยาวเต็มไปหมดบนที่สูงโบกโล้รับลมที่พัดกระพือ จนเป็นเสียง คล้ายกับม้าหลายตัวกำลังควบวิ่ง เพื่อเร่งพาส่งคำอธิษฐานไปให้ไวขึ้น...
แม้จะเคยเห็นธงมตราเช่นนี้มาก่อนหน้าหลายหน แต่ฉันกลับไม่เคยเข้าใจถึงความหมายเหล่านั้นได้ดีนัก
หากแค่ตั้งจิตคำอธิษฐานอย่างเดียวจะดูไม่ทันใจนึกหรือไง ทำไมพวกเขาถึงต้องการบางสิ่งที่เป็นตัวช่วยวิ่งส่ง เช่น Lung Ta?
เมื่อได้มีโอกาสเข้าชมงานเทศกาลหนังอิสระฯ ภายใต้ชื่อ Dharamshala International Film Festival (DIFF)
ที่มีสโกแกน เก๋ๆ ว่า Bringing Independent Cinema to the Mountains
ลานกิจกรรมด้านหน้า TIPA หนึ่งในสถานที่จัดฉายภาพยนตร์ฯ
ฉันประทับใจภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ที่ ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน- กับธงมนตราที่ว่านี้ ใน ตลอดความยาว 111 นาที ได้ถ่ายทอด
ถึงชายญี่ปุ่นผู้มีชื่อว่า Kazuhiro Nakahara เจ้าของกิจการ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Lung Ta ที่ซึ่งตั้งอยู่ที่แมคลอดกันจ์ แห่งนี้นั่นเอง
เขาเคยมีข้อสงสัยที่ว่า ทำไมชาวทิเบตถึงต้องเผาร่างของตนด้วย ?
หลังจากที่ตกใจกับข่าวการเผาตัวเองพลีชีพประท้วงฯ ของเด็กสาวที่มีอายุเพียงแค่วัยมัธยมต้น ...
ภาพประกอบจาก : https://diff.co.in
นั่นจึงเป็นที่มาของภาพยยนต์สารคดีเรื่อง Lung Ta เมื่อชายญี่ปุ่นคนดังกล่าวได้ เริ่มต้นสอบถามและพูดคุยกับชาวทิเบตในละแวกนี้เพื่อสืบค้นที่มา โดยมี หลาย ฉากถูกถ่ายทำบนแมคลอดกันจ์ ที่ฉันมาพักชั่วคราวในตอนนี้ ดังนั้นภาพของ สถานที่และผู้คนจึงคุ้นตา และสิ่งที่ได้เห็นมันจึงดูใกล้ตัวเสียจนน่าตกใจ...
กระทั่งเขาได้เดินทางไกล ออกไปยังดินแดนที่ราบสูง ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีสถานภาพเป็นประเทศ เพื่อไปถึงจุดกำเนิด อันเป็นรากเหง้าและตัวตนของชาวทิเบต ในตอนท้าย
ปมปัญหาของเนื้อเรื่องในตอนจบ ก็ไม่ได้พูดถึงวิธีแก้คลายความยุ่งเหยิงเพื่อนำ ไปสู่ข้อสรุปอันสิ้นสุดได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจากโลกปัจจุบัน ก็ยังคงดำเนินไปตาม กระบวนการของมันอยู่ - ดังนั้นท่ามกลางคำอธิษฐานที่ดูเงียบงันและโดดเดี่ยว อาจไม่มีพลังมากพอที่จะกล้าจะเปล่งร้องออกมาให้ 'ดัง' ขึ้นได้ด้วยตัวเอง... เรื่องของ Lung Ta จึงไม่ได้พูดถึงธงแห่งสัญลักษณ์ แต่หากเปรียบกับผู้คนที่ได้ ร่วมยืนเคียงข้างและเป็นกำลังใจ ส่งต่อเสียงเรียกร้องนั้นให้ 'ดัง' ขึ้นมา
ภายหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์จบไปแล้ว ฉันก็เริ่มนึกถึง 'คนทั้งหลาย'
ที่ได้มีโอกาสพบเจอและพูดคุยบน แมคลอดกันจ์ ขึ้นมาทันที และนั่น จึงเป็นที่มาของเรื่องราว "ชีวิตและผู้คน" ที่ฉันอยากเขียนเล่าถึง...
VIDEO
Lung Ta - Trailer
ฉันได้เจอกับพี่ทิเบต ชายชุดดำที่เคยได้คุยกันระหว่างเดิน เทียนไว้อาลัยอีกครั้ง หลังจากที่แวะมากินข้าวกลางวันที่ Dhaba แห่งหนึ่ง เราเดินสวนกันและเขาจำฉันได้
"วันนั้นหาตั้งนานไม่เจอ ถ้าว่างก็แวะไปที่ทำงานของผมตอนบ่ายสองนะ"
เขาจดที่อยู่ของสำนักงานเล็ก ๆ ที่ดูแล ตรงถนนทางไปบักซูให้ ก่อนจะแยกหายไปหาข้าวกลางวันกิน ในช่วงเวลาพักเที่ยง
....
"เอาไก่ กับจาปาตีสองที่ และก็ทาลีหนึ่งที่"
มีพระสามรูป ทวนสั่งรายการอาหารกันที่ด้านหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาจับจองที่นั่งด้านในกัน ซึ่งนั่นก็เป็น โต๊ะเดียวกันกับที่ฉัน กำลังนั่งกินมื้อกลางวันอยู่นี่แหละ
และหลังจากที่อาหารถูกตักมาเสิร์ฟให้หลวงพี่ทั้งสาม
ก็มีเรื่องบางอย่างชวนให้คิดสงสัยอยู่ไม่น้อย "เอ่อ พระฉันเนื้อได้ด้วยเหรอคะ?"
แต่ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่า พระฝ่ายมหายานของจีน ฉันเพียงอาหารเจ
ส่วนพุทธวัชรยานทิเบต นี่จะคล้ายกันไหมล่ะเนี่ย?
"กินได้ บางทีมันก็ต่างไปจากที่คนทั่วไปรู้กันนิดหน่อยล่ะนะ"
หนึ่งในนั้นตอบกลับมาด้วยท่าทีอารมณ์ดี และเราก็ได้คุยกันต่อ จนกระทั่งได้ถาม ถึงเรื่องการย้ายถิ่นฐานจากทิเบตมายังอินเดียของพระแต่ละรูปว่ามีที่มายังไง
จากขวา ไป ซ้าย - พระ Norbu ย้ายมาในปี 1964 อายุ 63 ปี - พระ Ngawang ย้ายมาในปี 1963 อายุ 69 ปี - พระ Choeying ย้ายมาในปี 1984 อายุ 64 ปี
"ฉันมาตั้งแต่ยังตัวเล็ก ๆ มาบวชเป็นพระที่นี่แหละ" หลวงพี่ย้อนถึงความหลัง ว่าบางคนก็ตามครอบครัวมา แต่บางคนก็ต้องแยกจากครอบครัวไม่ได้มาพร้อมกัน
"รุ่น ๆ เดียวกันหมดเลยนะคะ" ฉันอ่านข้อมูลจากสมุดบันทึก ที่พระทั้งสาม ช่วย เขียน ชื่อ,ปีเกิด และปีที่ย้ายถิ่นฐาน ของแต่ละคนลงไปในนั้นมาตรวจดูคร่าว ๆ
"ไม่นะ ฉันเด็กที่สุด!" หลวงพี่นอร์บุ แย้งขึ้น
.....
หลังจบมื้อกลางวันแล้วฉันก็เดินออกมายังร้านหนังสือแถวนั้น เพื่อฆ่าเวลา ก่อนถึงบ่ายสอง ตั้งใจว่าจะซื้อคู่มือภาษาฮินดีพกติดตัวสักเล่ม ...
"คอนนิจิวะ"
เหมือนว่าฉัน ได้ยินใครที่ไหนก็ไม่รู้ตะโกนมา "คนญี่ปุ่นเหรอเธอน่ะ" ทีแรกก็ไม่ได้หันไปหรอกนะ ก็หน้าตาฉันมันไม่ได้เข้าเค้า ไปทางชาวอาทิตย์อุทัยสักนิด แต่.... "เฮ้ เธอนั่นแหละ!" อ้าว ตกลงว่าเรียกเราเรอะ?ฉันชะโงกหน้าโผล่ไปนอกร้านอีกทีเพื่อความแน่ใจ
เสียงเรียกนั้นมีที่มาจากซุ้มเพิงข้างทาง ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านขายอาหาร ที่ฉันเพิ่งกินมื้อกลางวันไป ตอนนั้นมีสองหนุ่มต่างสัญชาติกำลังนั่งอยู่ด้วยกัน คนที่เป็นตัวตั้งตัวทีตะโกนทักฉัน เป็นช่างซ่อมรองเท้าชาวอินเดีย ส่วนอีกคนที่ นั่งอยู่บนปี๊บเป็นวัยรุ่นชาวทิเบต
"เค้าอยากรู้ว่าเธอเป็นคนประเทศไหน" คนซ่อมรองเท้า ชี้ไปยังหนุ่มทิเบตที่ว่า...
ฉันชี้มาที่ร้านหนังสือเพื่อต่อรองเรื่องเวลา "ขอเวลาห้านาที เดี๋ยวเดินไปบอก!"
ราเมช ช่างซ่อมรองเท้า มาจากรัฐราชาสถาน เขาปักหลักทำมาหากินในที่นี้ เพราะทำ รายได้ดีกว่า ปกติแล้ว เขาจะกลับไปเยี่ยมครอบครัวในช่วงหน้าหนาว
ส่วนชาวทิเบตที่ชื่อว่า รินเชน เดินทางออกมาจากทิเบตเมื่อสองปีก่อน ด้วย การเดินเท้าและ กว่าจะข้ามพรมแดนได้ก็นานเป็นเดือน โดยต้องพักที่ เนปาลก่อน ที่จะเข้ามาที่ประเทศอินเดีย
รินเชน บอกว่ากำลังเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งคนที่ลี้ภัยมารุ่นหลัง ๆ จำเป็นต้องเข้า เรียน ซึ่งจะมีการสอบวัดระดับเสียด้วย ส่วนภาษาฮินดีเขายังใช้สื่อสารไม่ได้ ใน บางช่วงที่ว่างก็จะมานั่งคุยกับราเมช เพราะอยากฝึกการพูดให้คล่องกว่านี้
ดูเหมือนว่า ชาวทิเบตทุกคนที่อพยพย้ายมาอยู่ประเทศที่สอง จำเป็นต้องหาความรู้ติดตัวกันให้ได้มากที่สุดเลยนะ โดยเฉพาะเรื่องภาษา
ฉันนึกไปถึงศูนย์ Tibet world ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามทางเดินขึ้นที่พัก ก็ เคยได้มีโอกาส เข้าไปดูพื้นที่การเรียนการสอนด้านใน จากคำชวนของ หลวงพี่เจษ ซึ่งกำลังมา รอเข้าชั้นเรียนรอบเช้า ฉันเห็นตารางสอนที่ติดแปะเอาไว้ มีทั้งการสอน ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส
ไม่รู้ว่าทำไมคนที่นี่ ถึงต้องเรียนกันเยอะขนาดนี้?
ฉันได้หลงเข้าไปแจมใน Conversation class หนหนึ่ง
ชั้นเรียนนั้นเปิดโอกาสให้คนภายนอกเข้ามาร่วมพูดคุยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
หนแรกก็กะจะเข้าไปสวัสดี หลวงพ่ออำนาจ ที่มาเข้าชั้นเรียนนี้สักหน่อย
แต่แล้วก็กลับออกมาไม่ได้ซะงั้นเพราะมีคนชวนให้นั่งเรียนเป็นเพื่อน
พวกเขาต่างนั่งล้อมวงเพื่อ แนะนำตัวเองต่ออาสาสมัครชาวต่างชาติที่เข้ามาดูแล ว่าชื่ออะไร มาจากไหน มีจุดประสงค์อะไร ที่เข้ามาร่วมสนทนาในชั้นเรียนนี้
ก่อนที่จะได้กระดาษหนึ่งแผ่นมาเป็นแบบฝึกหัด ให้ได้หัดพูดถามโต้ตอบกัน ท่าทีของแต่ละคน ดูตั้งใจและกระตือรือล้นเป็นอย่างมากกับการเรียนรู้ภาษาที่สอง
ซึ่งเป้าหมายหรือแรงจูงใจนั้น ก็คงหนีไม่พ้นถึงความหวังที่จะ 'มีชีวิตที่ดีขึ้น'
บ่ายสองโมงกว่า ฉันย้อนกลับไปยังสำนักงานที่พี่ชุดดำคนนั้นบอกแจ้งไว้ แต่ว่าดูเหมือนป้ายที่ปิดไว้ตรงประตูด้านหน้าจะแจ้งบอกว่า 'ปิด'
มีชายอินเดีย ที่หลังโก่งและมีปัญหาขาลีบเล็กคนหนึ่งได้นั่งประจำอยู่ที่เก้าอี้ ด้านหน้าศูนย์ ฯ เขาพอพูดได้บ้างแต่ออกเสียงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก หลังจากที่ฉัน ถามถึงคนที่ดูแลสำนักงานนี้ ชายคนนั้นพยายามบอกให้ฉันไปนั่งรอที่ห้องด้าน ข้างแทน ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นสาธารณสุขไม่ก็สถานีอนามัยมากกว่า
สักพักประตูตรงหน้าก็ถูกผลักเปิด หลังจากป้ายที่แขวนถูกพลิกเปลี่ยนเป็น 'เปิด'
"เข้ามา ๆ"
พี่โซนัม ย้ายมาอยู่ที่ประเทศอินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998
ฉันไม่รู้สาเหตุที่เขาเดินเท้าออกมาจากทิเบตทำไม
ในเมื่อครอบครัวของเขาก็ยังคงอยู่กันที่นั่น และแม้ว่าจะไม่ครบก็ตาม
ที่ศูนย์อนามัยแห่งนี้ เขาทำหน้าที่ดูแลสำนักงานและมีวันที่ต้องไปลงพื้นที่ ให้ความรู้ตามโรงเรียน ไม่ก็แหล่งชุมชนทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อการรณรงค์เรื่องผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ซึ่งฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคนที่นี่จะดื่มจัด!
แต่พี่โซนัมยืนยันว่า "คนทิเบต" ย่านนี้ มักจะมีปัญหาเรื่องการติดเหล้ามากกว่าที่คิด
เขาหยิบแผนที่ฉบับหนึ่งที่กองสุมอยู่ตรงชั้นวาง มากางคลี่ออก ให้เห็นถึงเส้นทางเดินเท้า ในช่วงที่แอบลับลอบหนีออกมาจากเขตทิเบต
"เวลาโทรหาครอบครัว เราก็ต้องคอยระวังเรื่องคำพูด" เขาเล่าถึงเรื่องของ พี่ชายตัวเองที่เคยพูดวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรัฐบาลจีน และสุดท้ายก็ถูกจับ ไปอยู่ในเรือนจำนานถึงห้าปี
"พี่หมายถึง เขาดักฟัง?" โห นอกจากที่เห็นในละครแล้ว มันมีแบบนี้เกิดขึ้นจริงเหรอเนี่ย?
"ใช่" โซนัม ตอบ " ตอนนี้ก็กังวลนิด ๆ นะ เราติดต่อหากันไม่ได้มาสองเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นยังไงกันบ้าง แต่บางทีก็จะคุยผ่าน WeChat"
ฉันเพิ่งจะรู้นะเนี่ย ว่าเราต่างก็มี chat application ที่นิยมไปคนละค่าย
ในขณะที่คนไทยใช้ Line คนอินเดียใช้ Whatsaap ส่วนคนทิเบต ก็ใช้ WeChat
ภาพของการใช้สมาร์ทโฟน ที่มีทั้งพูดใส่โทรศัพท์และรอฟังเสียงปลายสาย โต้ตอบหากัน หรือกดแชทพิมพ์ส่ง ก็ ดูจะเป็นเรื่องปกติแล้วสำหรับคนที่นี่ ตอนแรก ๆ ฉันก็แอบคิดไปเองว่าคนทิเบตติดเล่นโทรศัพท์มือถือ
ระหว่างที่พูดถึงครอบครัว เขาก็ได้เอามือสอดเข้าไปยังใต้ซอกเสื้อแบบทิเบต เพื่อหยิบบางอย่างออกมา นั่นคือรูปถ่ายครอบครัวที่เก็บพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
"พวกเราเป็น nomad ไม่มีบ้านอยู่เป็นหลัง แต่จะย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ"
เขาให้ดูภาพความเป็นอยู่ที่เป็นกระโจม เล็ก ๆ มีทุ่งหญ้า มีฝูงจามรี
และภาพวัยเด็กกับพี่น้อง ที่นั่งเรียนกันกลางแจ้งไม่มีห้องหับ
เขายังบอกอีกว่า ชาวทิเบตหลายคน เมื่อได้ลี้ภัยออกนอกประเทศแล้วก็ใช่ว่าจะ หยุดเพียงแค่ที่นี่ พวกเขาอาจต้องการที่จะมุ่งหน้าย้ายไปยังประเทศโลกที่หนึ่ง อย่าง สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และที่อื่น ๆ เพื่อหวังถึงการมี ชีวิตที่ก้าวหน้า
"แล้วพี่คิดที่จะย้ายไปบ้างไหม?" ฉันถาม
"ไม่หรอก เห็นคนหลายพอได้ออกไปแล้ว ดูมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีเงินเยอะขึ้นก็จริง แต่เหนื่อยนะกับการดิ้นรนขนาดนั้น บางคนก็แทบ จะไม่มีเวลาในชีวิตเหลือเลย เพราะต้องทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลัง"
โซนัม บอกว่าพอใจแล้วกับชีวิตที่เป็นอยู่ในที่นี้ เขามี เวลาพัก,มีเวลาพบปะผู้คน และมีเวลาใช้ชีวิต ฯลฯ แต่นั่น ก็ต้องยอมรับด้วยว่า ไม่อาจมีอะไรได้มากกว่านี้ เขาจึงบอกข้อสรุปง่าย ๆ ให้ฟัง "ถ้าอยาก อัพเกรด ก็ต้องออกไป"
เราคุยกันอยู่พักใหญ่ ตั้งแต่เรื่องเดินเทียนคราวนั้น จนกระทั่งถึงเรื่องของ สถานที่ท่องเที่ยว พี่โซนัมพูดถึงที่แห่งหนึ่งที่ผู้คนจะไปเดิน " โกร่า" (Kora) กัน มันตั้งอยู่ที่ด้านหลัง 'วัดทะไลลามะ' นี่เอง และ อีกที่หนึ่งก็คือ 'นอร์บุลิงกะ' ที่อยู่ห่างไปจากดารัมซาลา 10 กิโลเมตร โดยต้องนั่งรถเมล์ออกไปนอกเมือง และถัดไปอีก 2 กิโลเมตร จากที่นั่น ก็จะเป็นที่ประทับของ การ์มาปะ ลำดับที่ 17
ประมุขแห่งพุทธวัชรยาน นิกาย Kagyu** ซึ่งก็เป็นที่นับถือของชาวทิเบตเช่นกัน
ก่อนกลับ เขาได้ให้แผนที่ทิเบตฉบับนั้นมาเป็นที่ระลึก ซึ่งก็หวังว่า
มันจะยังคงอยู่ติดตัวไปกับฉัน จนกระทั่งกลับมาถึงประเทศไทยได้นะ
พี่โซนัมได้เดินออกมาส่งฉันที่หน้าประตู และในตอนนั้น ก็มีคนมายืนรอ ชายพิการ ที่นั่งอยู่ข้างหน้าสำนักงานด้วย
"กลับบ้านแล้วเหรอ?" พี่โซนัม ช่วยหยิบเป้คล้องใส่หลังให้กับเขา พร้อมช่วยยกไหล่ประคองให้ลุกยืน ชายพิการคนนั้น หันมายิ้มและโบกมือลาก่อนจะเดินออกไปกับเพื่อนที่มารับ
"ฉันเจอเขาที่ดารัมซาลาเมืองด้านล่าง ตอนนั้นกำลังนั่งขอทานอยู่ ... พอเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เลยอยากช่วยเหลือเท่าที่พอจะทำได้ "
โซนัม เล่าถึงที่มาของชายคนนี้ให้ฟังและ ต่อมาก็ได้ให้อาศัยพื้นที่ตรงด้านหน้านี้ เพื่อขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ มีรายได้มากกว่ามาช่วยเฝ้าหน้าศูนย์ฯ อย่างเดียว นี่คงเป็นมิตรภาพเล็ก ๆ ที่ส่งคืนกลับให้กันและกัน
ระหว่างผู้อพยพอย่างพี่โซนัม กับชายพิการผู้มีสถานะเป็นคนอินเดียสินะ
มานึกดูแล้วบนโลกใบนี้ ก็ยังไม่ถึงกับ 'โหดร้าย' จนเกินไปนักหรอก ...
"อื่นๆ"
- เรื่องอาหารของพระวัชรยาน เท่าที่ฟังมา จะมีการกินเนื้อสัตว์เป็นบางครั้งบางคราว แต่ถ้าอยู่ใน M onastery จะไม่อนุญาตให้นำเข้าไปบริโภคได้
จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2012 ส่วน ในปี 2016 นี้ ก็จะมีในวันที่ 3-6 พฤศจิกายน
- Dhaba หมายถึง ร้านขายอาหารริมทางทั่วไป
- Conversation class (ภาษาอังกฤษ) ที่ศุนย์ Tibet world
จะเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถเข้าไปร่วมชั้นเรียนได้ฟรี
Create Date : 24 เมษายน 2559
Last Update : 5 มกราคม 2561 0:49:27 น.
27 comments
Counter : 1790 Pageviews.
แต่... ถ้าเป็นเรื่อง ผู้อพยพ.... ที่ต้องการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า ในเยอรมันแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ "ให้อภัยแทบไม่ได้..." กลับกลายเป็นเรื่องที่ต้อง "ดูถูกเหยียดหยาม และขับไล่..." เรื่องมันเยอะมากในเยอรมัน ไว้พี่จะพยายามเก็บข้อมูลเอามาเขียนให้อ่านกัน
สำหรับพี่แล้วพี่คิดว่า "เมื่อเราเป็น มนุษย์เหมือนๆกัน..." ไม่ควรที่จะมี มนุษย์คนไหนที่ "ผิดกฏหมาย" ถูกไหมล่ะ ถ้า หมาแมว สามารถวิ่งไปไหนตามใจชอบได้ แล้วเราล่ะ...ทำแบบสัตว์ไม่ได้เลยหรือ? น่าคิดเนอะ เพราะถ้าจะนำหมาซักตัว หรือซักฝูงเข้าเยอรมัน ไม่ยากนะ ง่ายมากด้วยซ้ำ ...แต่ถ้าจะนำคนจากแผ่นดินอื่น...(อย่างอินเดียว หรือ ธิเบต) โห....... ขั้นตอนยาวยิ่งกว่าทางช้างเผือกในกาแลคซี่ซะอีกอ่ะ...
"ความสุข น่าจะเท่ากับ ความพอใจ" เจอความพอใจเมื่อไหร่ ความสุขเกิด...พี่คิดว่า พี่โซนัมเค้าคิดถูกแล้วล่ะ...ที่เลือกความสุข และไม่กระเสือกกระสนทำเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว