ที่ด้านหลังวัดทะไลลามะ ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งถูกซ่อนไว้แต่ไม่ถึงกับลึกลับ
จากถนนด้านข้างเมื่อเดินลงไปก็จะพบกับทางแยกเป็นทางจุดเดินเข้าแคบ ๆ ที่ดู
ไม่เป็นทางเสียเท่าไหร่ เว้นแต่มีสัญลักษณ์ของธงมนตราที่พาดแขวนบนกิ่งไม้
แจ้งบอกเป็นกลาย ๆ ว่าให้เลี้ยวมาทางนี้
ฉันตรงเข้าไปยังทางดังกล่าว หลังจากที่มองเห็นคนเดินล่วงหน้านำไปไม่ไกล
พวกเขาภาวนาเป็นเสียงพึมพำในคำสวด 'โอม มณีปัทเม ฮุม' อย่างไม่รู้จบ
ในระหว่างเดินการเดินวนรอบ (Kora) ประทักษิณ เกือบตลอดตรงบริเวณซีกฝั่ง
ด้านขวาจะมีแท่นหินที่สลักเป็นภาษาทิเบตวางเคียงอยู่กับรูปปั้น และภาพถ่ายตั้ง
สลับกับแนววางกงล้ออธิษฐาน
ในพื้นที่แถบนี้บางจังหวะก็อาจมีผู้คนเดินผ่านมา แต่ส่วนมากแล้วดูจะไม่พลุก-
พล่านนักและมักจะทิ้งช่วงเดินกันห่างค่อนข้างไกล ตลอดทั้งการเดินนี้จะไม่มี
การย้อนสวนทิศทางกลับมาอีกด้วย ดังนั้นหากเดินหลุดห่างจะระยะห่างไปจาก
คนที่มาก่อนหน้าเราไปแล้วมันก็จะดูเปลี่ยวทันที
ระหว่างที่เดินเก็บภาพไปเรื่อยเปื่อย กล้องถ่ายรูปของฉันมันมีปัญหาเล็กน้อย
พอได้เจอกับจุดนั่งพักตรงกลางทางก็เลยหยุดแวะลงนั่งเพื่อเช็คเลนส์
ผู้หญิงทิเบตคนหนึ่งเดินผ่านมาและแวะเข้ามาคุย เธอบอกว่าอย่าถือกล้องออกมา
โชว์แบบนี้ เพราะมีคนวิ่งราวอยู่บ่อยครั้งทั้งนี้โจรที่ว่าอาจจะชกทรัพย์เราแล้วหนี
ลงเขาไปตามทางลาด ซึ่งยากทีเดียวที่จะไปไล่ตามตัวทัน ฉันรับปากว่าจะคอย
ระวังตัวให้ดี แต่ในตอนนี้ขอตรวจสภาพกล้องสักเดี๋ยวก่อน...
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเดินจากไป ก็มีคุณป้าสองคนมานั่งพักยังเก้าอี้ที่ไม่ไกลห่างจาก
ฉันนัก ทั้งสองคอยพยายามพูดเตือนเหมือนกับคนเมื่อครู่และนั่งรออยู่พักใหญ่
จนกระทั่งฉันจัดการนำเอาเลนส์มาติดกล้องได้เรียบร้อยแล้ว คุณป้าทั้งสองจึง
ลุกขึ้นเพื่อเดินต่อและชักชวนให้ฉันไปพร้อมกับพวกเธอด้วย
พอถึงจุดแวะพักอีกแห่ง ซึ่งดูคล้ายกับเป็นที่ตั้งของวัดและไม่ค่อยเปลี่ยวเท่าไหร่
คุณป้าสองคนจึงขอแยกตัวและพากันไปเดินหมุนกงล้ออธิษฐานขนาดใหญ่ที่ตั้ง
กลางศาลากันต่อ
ตรงศาลานั่งพักอีกมุมหนึ่ง ฉันได้มาเห็นภาพของผู้คนจำนวนหนึ่งถูกติดวาง
เรียงเอาไว้บนแผ่นกระดานขนาดใหญ่มันเป็นภาพเดียวกับในพิพิธภัณฑ์ทิเบตที่
เคยเข้าชมเมื่อปีก่อน แต่รายละเอียดและจำนวนตัวเลขของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นได้
ถูกหยุดไว้แค่ลำดับที่ 117 ... ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการเผาร่างพลีชีพเพื่อ
ประท้วงฯ ของชาวทิเบตเหล่านี้ได้ยุติลงเป็นที่เรียบร้อยในลำดับที่ว่านั้นหรอกนะ
แต่คงเป็นเพราะว่าบนแผ่นกระดานนั้นมีเนื้อที่รองรับไม่มากพอต่างหาก
และจวบจนถึงในปัจจุบันก็ได้มีผู้ที่จากด้วยการเผาร่างฯ
มากเลยไปจนถึงลำดับที่ 145+ เข้าแล้ว
รายนามผู้เผาร่างประท้วง : Self-immolation
โดยมีชื่อ,สถานที่และอายุ ของผู้เสียชีวิตระบุไว้
ฉันใช้เวลาหยุดมองป้ายรายชื่อลำดับที่หนึ่งไล่เรียงไปเรื่อยจนครบ หากมองไม่
พลาด คนที่มีอายุต่ำสุดก็คือ 16 ปี และส่วนมากแล้วก็มักจะมีอายุไม่มากเลยด้วยซ้ำ ...
ฉันจำชื่อเรียกของที่นี้ไม่ได้แต่มันดูเหมือนกับ 'อนุสรณ์สถาน'
เพื่อรำลึกถึงการสูญเสียที่แอบหลบซ่อนเก็บตัวอย่างสงบเงียบ
การเดินวนรอบนี้จะมาสิ้นสุดยังที่ตั้งของศาลาเล็ก ๆ ก่อนจะออกเลียบไปยัง
ทางออกด้านข้างวัดทะไลลามะถัดไปจากนี้ไม่ไกล ฉันได้พบคุณป้าชาวทิเบต
ทั้งสองตรงศาลาอีกครั้ง เธอตรงเข้ามาทักทายก่อนลาแถมบ่นเตือนนิด ๆ ส่งท้าย
ว่าทีหลังอย่ามาเดินคนเดียวอีก...และแม้ฉันจะไม่ได้รู้จักกับคนเหล่านี้ดีเท่าไหร่
แต่ก็ยังรู้สึกอุ่นใจนะที่ยังมีคนเป็นห่วง
ขอสารภาพว่า เมื่อก่อนฉันไม่เคยสนใจเรื่องราวของทิเบตเลยสักนิด
กระทั่งได้มาพบเจอกับผู้คนที่พลัดถิ่นจาก*แผ่นดินพ่อเหล่านี้
เรื่องราวของพวกเขาก็ได้ทำให้ฉันมองมองเห็นบางสิ่งบางอย่างชัดเจนขึ้น
(*เป็นการเรียกบ้านเกิดเมืองนอนแบบชาวทิเบต)
....
เรื่องทั่วไปในแมคลอดกันจ์ อย่างร้านอาหารและที่พักบางแห่ง หากลอง
สังเกตกันให้ดี จะพบว่าในบางที่อาจเป็นกิจการของวัด ที่จัดทำขึ้นสำหรับหา
รายได้ในการทำนุบำรุงฯ อีกช่องทาง ซึ่งร้านอาหารฯ ที่ฉันเคยแวะเข้าไปอุดหนุน
อยู่บ่อย ๆ คือ 'Shangrila' หรือบางทีฉันก็แอบตั้งชื่อเล่นไว้ว่า Monk Restaurant
นั่นก็เพราะ เราจะได้เห็นพนักงานในร้านนั้นที่เป็นพระผลัดเวียนกันเข้ามาดูแลร้าน
(โดยมากแล้วพวกเขาจะมีป้ายติดบอกให้รู้ว่า ที่พัก
หรือร้านอาหารนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Monastery ไหน)
มีเรื่องหนึ่งที่ฉันเพิ่งรู้ก็คือ คนทิเบตจะกินอาหารเสียงดังพอควร และบางครั้ง
การกินแบบเงียบเชียบก็มักจะทำให้มีคำถามตามมาว่า "อาหารไม่อร่อย รึไง?"
อีกทั้งเมนูที่สะเทือนใจที่สุดก็เห็นจะเป็น ซัมป้า (Tsampa Porridge)
อาหารเช้าสไตล์ทิเบต และยังเป็นที่นิยมบริโภคกันในแถบถิ่นหิมาลัยด้วย
มันทำมาจากข้าวบาร์เลย์คั่วบด ได้ยินมาว่ากินแล้วอิ่มท้องนานและดีต่อสุขภาพ
ดังนั้นในเช้าวันสุดท้ายก่อนที่ฉันไปจากชุมชนชาวทิเบตแห่งนี้ "ซัมป้า" จึงได้ถูก
เลือกสั่งมากินแทนข้าวโอ๊ตต้ม คงเพราะไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกินอาหารทิเบตจาก
ที่ไหนได้อีก แต่หลังจากที่ได้ลองชิมแล้วก็แทบอยากจะประกาศลาขาด!
รสชาติมันจืดชืดสุด ๆ ไม่รู้ว่าผ่านการปรุงอะไรมาบ้าง
มองไปมองมา ช่างเหมือนอาหารเด็กอ่อนไม่มีผิด
ยังจำพระทิเบตสองรูป ที่ได้บังเอิญมารู้จักกับพวกเขาในวันแรกได้ไหม?
ฉันยังได้เจอกับพระที่เคยช่วยเหลือในวันที่เดินทางมาที่นี่อีกครั้ง
พระรินเชน พอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างแต่ก็ยังยากพอสมควรที่จะสื่อความกัน
เราจึงต้องพยายามใช้วิธีผูกคำอย่างสั้น ๆ เพื่อให้เข้าใจแทนการพูดทั้งประโยค
และเขาก็เปิดปฎิทินในโทรศัพท์มือถือให้ดู... "วันที่ 10 จะไป ชิมลา"
พร้อมชี้ไปยัง พระยงซุล ในทำนองที่ว่าจะออกเดินทางไปพร้อมกัน
ส่วนฉันก็ชี้ไปยังวันที่ 9 เดือนเดียวกันนี้ โดยบอกว่าจะแวะไปแถวนั้นเช่นกัน
จากนั้นพระรินเชนก็ยื่นนามบัตรมาให้ ฉันจึงจับใจความได้ว่าพวกเขาชวนให้
แวะมาเยี่ยมที่ 'กอมปา' ซึ่งหมายถึง 'วัด' ที่พระทั้งสองพำนักอยู่
อันที่จริงฉันก็ไม่แน่ใจนักว่า หลังจากนั้นจะมีโอกาสได้พบกับพวกเขาอีกไหม?
แต่ก็ยังรับนามบัตรมาเก็บเอาไว้ โดยที่อยู่ในนั้นเป็นชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน
เมืองโซลัน อีกทั้งยังมีเบอร์โทรฯ และ WeChat ไว้ใช้ติดต่อถึงสองทาง
เอาเถอะ ถึงอุปสรรคทางภาษาจะมีมากจนทำให้พวกเราคุยกันยากไปหน่อย
แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่นะ หากมันปูด้วยพื้นฐานของมิตรภาพที่ดี
....
ช่วงบ่ายแก่ของวัน ฉันตั้งใจออกมาเดินเล่นในวัดทะไลลามะอีกครั้ง ซึ่งก็รู้ดีว่า
ที่นี่เข้มงวดมากในเรื่องการตรวจตรา ฉันไม่อยากฝากของมีค่าเอาไว้ตรงซุ้ม
ด้านนอกเพราะพวกเขาจะเอาข้าวของเหล่านั้นมามัดผูกหมายเลขติดไว้ และอาจ
วางกองรวมกับของคนอื่น ก็เลยตัดสินใจพกสิ่งของติดตัวมาแค่ไม่กี่อย่าง
ตั้งของตำแหน่งวัด Namgyal ที่อยู่ภายใน Tsuglagkhang Complex
ตรงบริเวณชั้นล่าง มีรูปภาพของพระราชวังโปตาลาติดเอาไว้เหนือประตู
(บริเวณชั้นสอง) ห้องโถงสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ด้านในจะมีพระพุทธรูป และธรรมาสน์ขององค์ทะไลลามะ
ที่จัดเก็บพระไตรปิฎก (กันจูร์) และคัมภีร์ที่สำคัญอื่นของสันสฤต ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ
พุทธศาสนาโดยตรง (ตันจูร์) จะถูกจัดวางอยู่ที่ชั้นเก็บติดผนังของวัด
ธรรมาสน์ขององค์ทะไลลามะ ถูกเก็บคลุมเอาไว้ด้วยผ้าสีเหลือง
ซึ่งตำแหน่งการจัดวางจะตั้งอยู่ตรงเบื้องหน้าองค์พระประธาน
บริเวณพื้นที่อื่นในห้องพิธีฯ ยังคงดูเป็นโล่งและว่างเปล่า
พื้นที่ด้านข้างของอาคาร
กลุ่มพระนักศึกษาในสถาบันที่ตั้งอยู่ในพื้นที่นี้
เด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษา กำลังเดินหมุนกงล้ออธิษฐานที่ติดไว้รอบนอกโดยเวียนไปทางขวา ห้องกระจกที่เต็มไปด้วยตะเกียงบูชา
หนนี้ดูแปลกเสียจริง ไม่รู้ว่าทำไมจุดรับฝากของที่ซุ้มหน้าทางเข้าด่านแรก
ถึงปิดอย่างเงียบเชียบและเมื่อเดินไปยังจุดค้นตัวและตรวจสอบสิ่งที่พกพาเข้ามา
ก็กลับไม่ได้ถูกยึดเพื่อฝากไว้ชั่วคราวเหมือนกับครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมาและที่สำคัญ
ฉันเอากล้องเข้าไปได้ด้วย!
ซึ่งแย่หน่อยนะ ที่หยิบเอากล้องคอมแพคพกติดกระเป๋ามาตัวเดียว
มีคนกำลังทำการกราบอัษฎางคประดิษฐ์ บนกระดาน ตรงพื้นที่ลานบริเวณชั้นสองหน้าห้องพิธีฯ
บางคนก็ใช้เวลากับการนั่งอ่านคำสวด ไม่ก็หามุมนั่งทำสมาธิกัน
ลานกว้างบริเวณด้านล่าง เมื่อมองลงมาจากชั้นที่สอง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวอินเดีย
วันนี้มีกลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษากันด้วย และเหล่านักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ต่าง
พากันยืนเก็บภาพกันอย่างเป็นเรื่องปกติ ราวกับว่าที่นี่ไม่ได้เข้มงวดอะไรนัก
ทำให้ฉันนึกไปถึงภาพวันงาน Long Life Puja ที่ผ่านมา ตรงบริเวณลานโล่งทั้ง
ด้านล่างและชั้นสอง ต่างก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากมาย และมีเจ้าหน้าที่รักษา
ความปลอดภัย เดินตรวจตราดูแลกันอย่างแข็งขันด้วยเหตุที่ต้องคุ้มกันองค์ทะไลลามะ
ที่อยู่ในพิธีฯ
หน้าทางเข้าตำหนักฯ ขององค์ทะไลลามะ
ภายในห้องสมุดที่อาคารชั้นล่าง
เมื่อมีโอกาส ฉันจึงพยายามเก็บภาพของสถานที่เอาไว้เท่าที่ทำได้ ให้ดูเพียงพอ
ต่อการนำกลับมาเล่าสู่กันฟังได้ว่าสถานที่พำนักของท่านทะไลลามะ จะมีหน้าตา
เป็นยังไง
และเนื่องจากหลายครั้งที่ผ่านมา ฉันยังไม่เคยรับอนุญาตให้พกอุปกรณ์บันทึก
ภาพและนำสิ่งของที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัย (แม้แต่กระบอกไฟฉายก็ด้วย)
บางทีก็แอบกังวลเล็ก ๆ นะว่าจะมีจุดไหนบ้างที่ควรเลี่ยงถ่ายหรือมีจุดไหนที่หวง-
ห้ามบ้าง กระทั่งโผล่หน้าไปเจอกับเจ้าหน้าที่ฯ คนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ
"ฉันสามารถถ่ายภาพในวัดนี้ได้ไหม?"
ขอถามเพื่อความแน่ใจอีกรอบละกัน
"ตามสบาย!" เขาบอก แต่ก็มีเตือนไว้ว่าหากเป็นพื้นที่
บริเวณด้านหน้าตำหนักฯ ก็ไม่ควรเข้าไปใกล้จนเกินไป
"แล้วทำไมก่อนหน้านี้ ถึงไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้ล่ะ ?"
ในปีก่อนก็ใช่ แม้ว่าตอนนั้นจะไม่มีงานพิธีสำคัญอะไร
ฉันจำได้ว่าต้องฝากข้าวของหลายสิ่งไว้ที่ด้านนอกเลย
"แล้วแต่จังหวะ ... ถ้าติดช่วงเตรียมพิธีฯ
หรือมีงานสำคัญก็มักจะไม่อนุญาต"
ถ้างั้นกฏของที่นี่คงมีความอะลุ่มอล่วยอยู่บ้าง หากเทียบกับหนแรก
ที่เคยเขียนถึงความเข้มงวดเรื่องการตรวจตราที่เจอมาในครั้งก่อนหน้า
ก็นับว่าวันนี้ฉันโชคดีที่มาถูกเวลา
พระภิกษุชาวทิเบตรูปหนึ่งที่เข้ามาเยี่ยมชมสถานที่
และการที่ได้กลับมาเยือนเมืองนี้ ฉันคงได้รับการเติมเต็มไปจนครบหมดแล้ว
ไม่ใช่เพราะไล่เก็บสถานที่จนไม่เหลือให้ไปได้ต่อ แต่กลับเป็นการเข้าใจคำที่ใช้
เรียกแทนดารัมซาลาตอนบน หรือแมคลอดกันจ์ ในชื่อ ลาซาน้อย (Little
Lhasa) ด้วยความหมายที่แท้จริงโดยตรงเสียที
ครั้งนี้ไปถูกที่ถูกเวลานะคะ เลยได้เก็บภาพมาด้วย
แต่ก็เห็นด้วยกับคุณป้าทั้งสองนะคะ
คราวหน้าหาเพื่อนไปสักคนน่าจะดีค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
**mp5** Dharma Blog ดู Blog
mcayenne94 Home & Garden Blog ดู Blog
ชมพร Cartoon Blog ดู Blog
ก้นกะลา Music Blog ดู Blog
กาปอมซ่า Pet Blog ดู Blog
mastana Literature Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog