บันทึกของผู้เฒ่า (๑๗๑)
บันทึกของผู้เฒ่า (๑๗๑) ๑๙ มี.ค.๕๖
กลับคืนสู่ดิน
วันนี้เป็นวันแรกของปีที่ ๘๓ ในชีวิต จึงขอรำลึกชาติ กลับไปดูอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิด และเจริญงอกงาม จนบัดนี้ชีวิตที่เหมือนกับการเดินทางของเรา ก็ได้มาถึงโค้งสุดท้าย ซึ่งได้เลี้ยวลงจากที่สูง จนเกือบจะถึงระดับพื้นดินราบ
เมื่อเหลียวมองกลับหลัง ไปดูเส้นทาง อันคดเคี้ยวที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จที่ได้รับเป็นส่วนใหญ่นั้น ล้วนแต่ได้การประคับประคองเหนี่ยวรั้ง และผลักดัน จากท่านผู้มีพระคุณจำนวนมากมาย
ตลอดระยะทางอันยาวไกล ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก นอกจากพ่อซึ่งเป็นต้นกำเนิดของชีวิต และแม่ผู้อุ้มชูเลี้ยงดูมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จนเกิดมาเป็นคนแล้ว ก็ยังมีอีกเป็นลำดับ
เริ่มตั้งแต่คุณครูโรงเรียนมัธยม ที่ภรรยาท่านเคยเป็นผู้ทำคลอดเรา เมื่อครั้งที่พ่อรับราชการอยู่ต่างจังหวัด ท่านได้อบรมสั่งสอนมาตลอดเวลาที่เรียนกับท่านในชั้นมัธยม ตั้งแต่ต้นจนปลายเหมือนบุพการีคู่ที่สอง
ต่อมาก็คือญาติผู้ใหญ่เป็นนายทหาร ที่กรุณาดึงตัวเอาไปทำงานเป็นลูกจ้าง เมื่อหลังสงคราม ในยามที่กำลังจะอดตาย เหมือนลากเด็กที่กำลังจะจมน้ำให้รอดชีวิตขึ้นมาหายใจต่อไปอีกได้
เมื่อเข้ารับราชการเป็นพลทหารเกณฑ์ ท่านผู้บังคับหมวดทหารราบ ของหน่วยที่สังกัดอยู่ ก็ได้สนับสนุน ให้เข้าโรงเรียนนายสิบ จนจบการศึกษา เสมือนการเปิดประตูให้ก้าวออกไปสู่โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล
เมื่อได้รับราชการต่อมา ผู้บังคับบัญชาหลายระดับชั้น ก็ได้อุปถัมภ์ค้ำจุน ให้ได้ไปทำงานพิเศษที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ตั้งแต่เป็นนายสิบ จนเป็นนายทหารยศสูงสุด
และท่านสุดท้าย ซึ่งไม่ได้เป็นญาติทางสายไหนเลย เพียงแต่เป็นลูกศิษย์ส่วนตัวของแม่ ที่ได้เคยสั่งสอนอบรมกันมา ทั้งวิชาความรู้ทางหนังสือ และการบ้านการเรือน ตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อท่านเติบโตมีฐานะเป็นหลักฐานมั่นคง
ตรงข้ามกับแม่ซึ่งได้ตกต่ำยากจนลงเป็นลำดับ จนถึงขั้นป่วยไม่สามารถหาเลี้ยงชีพตนเองได้ ด้วยความกตัญญูต่อแม่ ครูผู้มีพระคุณ ท่านจึงได้ยื่นมือเข้ามาโอบอุ้มช่วยเหลือเจือจาน ตั้งแต่เมื่อบ้านแตกสาแหรกขาด มาจากสวนฝั่งธนบุรี จนตลอดระยะเวลาของสงครามมหาเอเซียบูรพา
และผลของความกตัญญูกตเวทีของท่านนั้น ก็ได้ตกทอดมาถึงเรา และน้องก็ได้รับความอุปการะ ส่งเสียการกินอยู่และการเล่าเรียนจนจบประโยคครูมัธยมศึกษา ออกมาเป็นครูได้สำเร็จ
ทั้งยังได้ตามดูแลเอาใจใส่ ปลูกฝังความดีงามให้เกิดขึ้นในจิตใจต่อมา และได้ชักจูงชี้ทางไปสู่ธรรมะ และการทำบุญทำกุศล จนเป็นนิสัยอยู่ในปัจจุบัน
ท่านทั้งหลายที่ได้โอบอุ้มอุปถัมภ์เรา ด้วยความรักความเมตตา ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชราเหล่านั้น ก็ได้ล่วงลับไปจนหมดสิ้นแล้ว เราอาจจะได้มีโอกาสทดแทนพระคุณตอบแทนท่านบ้าง หรือตอบแทนแก่บุตรหลานของท่านบ้าง หรือไม่มีโอกาสเลยก็ตาม เราก็ระลึกถึงท่านด้วยความเคารพบูชาตลอดไป
ชีวิตของคนเรานี้ ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน จะอยู่ยืนยาวไปได้นานสักเพียงใด จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร และจากนั้นจะเป็นอะไรต่อไป ไม่มีใครที่จะให้คำตอบอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งได้ ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ตาม
ได้ตั้งใจไว้เมื่อ ครบ ๘๐ ปี ที่ไปทอดกฐินวัดใหม่ยายมอญ ว่าจะไม่ทำบุญใหญ่โต ให้หมดเปลืองทั้งเงินและเรี่ยวแรงอีกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ไปได้อีกสักกี่ปี เพราะไม่ได้มีความยินดี ในความมีอายุยืนต่อจากนี้ไป
ตาก็เจ็บ หูก็ตึง ฟันก็เหลือไม่กี่ซี่ ต้องกินอาหารปั่น หรือต้มจนเละเป็นโจ๊ก และพยายามหัดให้อิ่มโดยไม่กินมาก เพราะไม่อยากให้น้ำหนักขึ้นเกินกว่า ๖๕ ก.ก.
เวลานี้ต้องกินยาลดความดัน ลดไขมัน และ แอสไพริน ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี เป็นประจำ และกินยารักษาโรคกรดไหลย้อน กับยาระบายทุกวัน โครงกระดูกก็มีการปวดหัวไหล่ เมื่อยคอ แขนซ้ายชานาน ๆ ครั้ง ไม่แน่ว่า เพราะกระดูกต้นคอชำรุด หรือท้องอืด หรือโรคหัวใจ กล้ามเนื้อก็เป็นตะคริวง่าย และเป็นได้ทุกแห่งทั่วร่าง
ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงความเสื่อมของร่างกาย ที่ไม่มีวันจะคืนดี มีแต่จะมากขึ้น จนถึงเดินไม่ได้ หรือเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งไม่ใช่เรื่องควรยินดีเลย บ้านเราเหลือกันอยู่แก่ ๆ สามคน ใครจะช่วยใครได้
หน้าที่ของเราในปัจจุบันจนถึงอนาคต ที่ไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใดนี้ ก็คือการให้ความอุปถัมภ์หรืออนุเคราะห์ แก่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว ญาติพี่น้อง มิตรสหาย และเพื่อนร่วมโลก ที่ด้อยกว่า เท่าที่จะทำได้ เพื่อชดใช้หนี้ที่ได้รับมาแต่หนหลัง
จนกว่าจะพบกับวาระสุดท้าย ที่จะมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้
จนกว่าจะพ่ายแพ้แก่โรคาพยาธิ ที่มาคุกคามเอาชีวิต
จนกว่าจะหมดแรงหายใจเข้าออก
จนกว่าชีวิตที่อุบัติขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน จะเสื่อมโทรมผุพังจนใช้การไม่ได้ ประดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน หาประโยชน์มิได้
จนกว่ากระดูกที่ถูกเผาไหม้เป็นธุลี จะร่วงหล่นผ่านห้วงน้ำ ลงไปแนบอยู่กับผืนดิน และสลายไปในที่สุด. ##########
๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖
เพิ่งค้นเจอเมื่อ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
โดย: เจียวต้าย 12 พฤศจิกายน 2556 14:53:34 น.
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2556 |
|
6 comments |
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2556 15:04:22 น. |
Counter : 557 Pageviews. |
|
|
|
ชีวิตหนึ่ง ที่มีแต่ความภาคภูมิใจ
ด้วยต่อสู้ทั้งกายและใจมาชั่วชีวิต
สังขารอันไม่เที่ยง ย่อมมีเสื่อมไปเป็นของธรรมดา มันเป็นธรรมชาติ
หากทำใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว
กินอาหารปั่น ก็ง่ายดี ทำไมพี่ปู่ไม่ติมรสอันชอบล่ะคะ
ฟัน หู ตา ก็เป็นปรกติของมัน ใช้มานานแล้ว
มองด้วยตาไม่เห็นชัด ก็มองด้วย "ใจ" ซีคะ
หูตึง ฟังไม่ชัด ได้ยินไม่ถนัด ก็ "จินตนาการ" ว่าเขาพูดแต่สิ่งดีๆ มีมงคล กับเราซีคะ
แฮ่ม แม่ชีเฒ่า เยาว์พรรษาเจ๋อ ปุจฉา วิปัสนากับท่านสังฆราช
อย่าได้ถือสา โปรดเมตตา
ทำจิตใจให้หรรษานะคะพี่ปู่