|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
รั ต ติ ก า ล
The Moonlight it was dancing
On the waves , out on the sea
The Stars of heaven hovered
In a shimmering galaxy
A Voice from down the ages
So huanting in its song
These ancient stones will tell us
Out love must make us strong..."
" ไม่มีโลกสมมุติ ที่นี่ ตัวตนทั้งหมดต่างสะท้อน มุมมอง ของการดำรงอยู่ อย่างสิ่งมีชีวิต ในจักรวาลอันไพศาล .......... มองจาก ดวงดาวไกลโพ้น สุดขอบฟ้า หรือมองผ่านพระจันทร์เสี้ยว ใกล้คืนแรม เจตจำนงหนึ่งในชีวิตก็คือ การพาปัญญา ประดับตน ไปพบอีกมิติหนึ่ง อันไม่มีในทุกสิ่ง ละเสียได้ ซึ่ง " ตัวตน " ไว้บนแผ่นดินนี้ ข้าม มหานที ไปสู่ อีกฝั่ง .... ปล่อยวาง ได้อย่างละซึ่ง ทุกหน้าที่ ทุกบทบาท ไม่เหลือ แม้ทุกสรรพสิ่ง
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539
หาก ผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือ นำส่วนหนึ่งส่วนใดของที่นี่ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาติเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
กราบพระพุทธ ณ กลางใจ พระธรรม ใส เป็น ดวงตา ก้าวย่าง ด้วยปัญญา พบ มรรคา ณ ใจ ตน
ตั้งนโมสามจบอย่างนบนอบ บุญประกอบวางลงตรงเบื้องหน้า ศรัทธามั่นเพียรทำน้อมนำมา เดินช้า ช้าก้าวย่าง..อย่างตั้งใจ
"ดาวแววดาววาบน้อย.....ดาวราย ดาวดาษคาดฟ้าพราย.....พร่างแพร้ว ดาวดวงเด่นประกาย.......ดารดาษ .ดึกดื่นคงไม่แคล้ว........ จะอาจเอื้อม ครองดาว
เพราะมิใช่สกุณาท่องฟ้ากว้าง ในเวิงว้างระหว่างม่านการค้นหา กลืนน้ำตาทิ้งหัวใจไว้สักครา แล้วมุ่งหน้า...ก้าวย่าง...แม้ทางไกล
แผ้วทางใหม่ โดดเดี่ยว ฝ่าเชี่ยวกราก หมดเวลา ซ้ำซาก ใจอ่อนไหว เรื่องอ่อนล้า ใช่ถึงตาย ช่างปะไร ฟ้าวันใหม่ มิหวนคืน ฝืนชะตา
"
|
|
|
|
|
|
|
อีกทั้งเห็นว่าที่เคยเขียนไว้บทหนึ่ง
คงจะพอเข้ากันได้กับเนื้อหา
ข้างบน
๑. อันใดเล่างดงามเท่าความรัก
ดังรุ้งถักทอลงที่ตรงหน้า
เมื่ออ่อนหวานซ่านแล้วในแววตา
ที่เหว่ว้าย่อมเร้นไม่เห็นเงา
๒. ไม่เห็นกันเพียงนิดเฝ้าคิดถึง
ห่างเพียงชั่วยามหนึ่งก็ถึงเศร้า
ข่มอาลัยยากครันจักบันเทา
แต่หงอยเหงาถวิลเห็นไม่เว้นวาย
๓. ปรารถนาอ้อมใจของใครหนึ่ง
ซบหน้าซึ้งอุ่นอยู่อย่ารู้หาย
สองแขนหวังโอบตอบอยู่รอบกาย
อย่าได้คลายห่างตัวแม้นชั่วยาม..!
๔. เร้ารุมอยู่ในอกเกินยกทิ้ง
นานวันยิ่งแน่นหนักเกินหักห้าม
บางครั้งจมในสุขที่ลุกลาม
บางคราทรามในโศกเกินโยกล้ม
๕. อกแกร่งเฉกแผ่นผายังอาเพศ
ต้องเทวษกล้ำกลืนจำฝืนข่ม
หลั่งอาลัยรดย้อมความตรอมตรม
ที่เขียวขมขื่นสิ้นจิตวิญญาณ
๖. เหมือนอบร่ำใจบนสุคนธรส
พร้อมชิวหาจ่อจดด้วยรสหวาน
เอิบอิ่มย่อมซาบซับอยู่นับนาน
แลจักซ่านซึ้งสู่เพียงผู้เดียว
๗. เฉก..สดใสจำรูญแสงสูรย์ส่อง
เช่น..หม่นหมองคืนแรมจันทร์แย้มเสี้ยว
ดุจ..ธาราบ่าสายเป็นหลายเกลียว
ดั่ง..ดายเดียวดาวตกเกินวกย้อน
๘. เช่นปลายศรพุ่งทะลวงปักทรวงอก
ทุกย่างยกบีบคั้นไม่ผันผ่อน
ทั้งวาดหวัง/ปรารถนาทั้งอาวรณ์
จนรุ่มร้อนหัวใจดั่งไฟเร้า
๙. หอมหวานล้ำกุสุมาที่ว่าหวาน
แต่ตฤปผ่านโลมลิ้นถึงสิ้นเศร้า
หลับตาล้วนพาดทับอยู่กับเงา
หวังทุกเสียงหนักเบาเป็น.."เขา"..แล้ว
๑๐. หนักหนาจนสาหัสทุกสัดส่วน
กรรทบล้วนส่งเสียงใช่เพียงแผ่ว
ทั้งจากรอยรูปสร้างอันพร่างแพร้ว
ทั้งจากแถวสร้อยโศกที่โกรกย้ำ
๑๑. กำเนิดเพื่อกำหนดความสดชื่น
แต่ตา..ตื่น..อกเต้นไม่เป็นส่ำ
กำจายลงสำนึกจนลึกล้ำ
และหวานฉ่ำหอมชื่น..สุดฝืนพ้น
๑๒. งามสร้อยสีลดามาลย์กลางม่านแสง
ล้อมให้แหล่งพร่างพราวทุกคราวหน
งามรูปรอยซาบซึ้งใครหนึ่งคน
จักเติบตนติดตรึงบนหนึ่งใจ.