บล็อกเพื่อการบันเทิง.. รับชม.. รับฟัง.. อ่าน.. เพื่อความสนุกสนาน.. รื่นรมย์.. กรุณา อย่าอินกับเนื้อหา... ติ ชม วิจารณ์ได้... แต่อย่า ชี้แนะ ชี้นำ พยายามชักชวน.. ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก.. ทุกคนมีจุดยืน... ต่างเลือกยืนบนจุดยืนของตัวเอง.. ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน






Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
18 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

เทพกระบี่ดาวเหนือ....ตอน บนเส้นทางยุทธจักร



เซียนกระบี่แห่งลุ่มแม่น้ำวัง




บนเส้นทางยุทธจักร
......................................


   ทางด้านชายหนุ่มหน้าขาวซีดขับขี่ม้าผ่านไป จนถึงแนวชายป่าที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนก็หยุดยั้งลง
โอบอุ้มเรือนร่างอ้อนแอ้นอวบอัด ลงจากหลังม้า พาเข้าไปในป่าข้างทาง แล้ววางลงบนหญ้าอ่อนนุ่ม เอ่ยเบา ๆ

   “ความงดงาม กับกลิ่นกายอันหอมกรุ่นเย้ายวนใจของแม่นาง ทำให้ข้าอดใจรอให้ถึงที่พำนักของข้าไม่ไหวแล้ว จำต้องใช้ผืนป่าแห่งนี้เป็นห้องหอของเราชั่วคราว มาตรว่าจะเป็นการลบหลู่เกียรติของแม่นาง ได้แต่ขออภัยแล้ว” กล่าวพลางนวดเบาๆ คลายจุดหลับให้กลับหญิงสาว จนค่อยๆ ฟื้นคืนสติ

   หญิงสาวสะบัดหน้าเบาๆไล่ความมึนงงแล้วจึงเหลียวมองรอบกาย อุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก

   “ท่าน ท่านเป็นใครกัน แล้ว ศิษย์พี่ข้าทั้งสอง อยู่ที่ใด ท่านทำอันใดกับพวกเขาไปแล้ว”

   “ฮะ ฮะ ฮะ แม่นางไม่ต้องเป็นกังวลกับผู้อื่นดอก ศิษย์พี่ท่านทั้งสอง เป็นศิษย์เอกของป้อมอินทรีเหิร เราไม่กล้าตอแยหาเรื่องกับว่าที่พ่อตาในอนาคตดอก ... เดี๋ยว ค่ำๆ พวกมันทั้งสองคงฟื้นจากผงสลบมอมวิญาณของเรา แต่กว่าจะ ฟื้นพลังยุทธ์ นั่นต้องรอครบขวบวัน ถึงยามเที่ยงพรุ่งนี้ ซึ่งกว่าจะถึงยามนั้น สองเราก็....”

   “หุบปากโสโครกท่าน ผู้ใดเป็นพ่อตาท่าน”

   “ฮะ ฮะ ฮ่า !.... รึแม่นางจะปฏิเสธว่ามิใช่เป็นธิดาโทนสุดรักของ อินทรีขนทอง ประมุขป้อมอินทรีเหิร”

   “ใครจะยอมเป็นภรรยาบุรุษโสโครก รังแกสตรีอ่อนแอ เยี่ยงเจ้า ต่อให้เจ้าใช้กำลังบังคับ คิดรึว่าบิดาจะยอมรับเจ้าเป็นบุตรเขย”
   “จะยอมหรือไม่ นี่ย่อมไม่เป็นปัญหา เมื่อข้าวสารหุงเป็นข้าวสุกแล้ว... อินทรีขนทอง คิดจะไม่ยอมรับก็คงไม่ได้แล้ว”

   “อีกอย่าง ถึงเราจะเป็นจอมโจรขโมยบุปผาผู้อื้อฉาว แต่ในยุทธจักร กลับไม่เคยมีผู้ใดทราบ ว่าเป็นเรา ”

   “มามะ มามีความสุขกันดีกว่า ไม่ต้องกลัว ข้าจะนุ่มนวลกับแม่นาง...แต่ อย่าให้ข้าต้องโมโห แม่นางอาจต้องเจ็บปวด... อ้อ! อย่าคิดใช้กำลังภายในขับพิษผงมอมวิญญาณออกจากกาย ไม่มีทางเป็นไปได้ดอก และหากมีใครวู่วามคิดใช้กำลังภายในขับพิษนี้ออกจากกายให้เจ้าอย่างหักโหม มิเพียงขจัดพิษไม่ได้ แต่จะกลับทำให้พิษแทรกซึมเข้าในกระดูก ไม่มีทางรักษา กลับกลายเป็นพิการอย่างถาวร”เอ่ยพลางขยับเข้าหายื่นมือเชยคางขาวผ่องขึ้นก่อนลูบไล้ลงไปตามลำคอระหง จนถึงกระดุมค่อยแกะกระดุมออก หญิงสาวพยายามจะขัดขืน กลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้เพียงจะดิ้นรน สร้างความแตกตื่นจนสลบไศลไปอีกครั้ง

การสลบ เป็นเครื่องมือป้องกันตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง เมื่อสลบไศลไม่ได้สติ ก็ไม่รับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนอีก

   ชายหนุ่ม ค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างใจเย็น และเมื่อมันหลุดออกไป สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา ก็บันดาลให้ลมหายใจแทบขาดห้วง เต้นถี่เร็วด้วยความหื่นกระหาย มันจึงรีบลุกขึ้นเพื่อจัดการกับเสื้อผ้ากับตัวเองจนเปลือยเปล่าแล้วถาโถมลงทาบทับเรือนร่างอันงดงาม

   แต่แล้ว คล้ายดั่งสวรรค์ล่มลงตรงหน้า มันพลันรู้สึกชาวูบ

ก่อนที่ชายโครง จะโดนเตะอย่างหนักหน่วงจนปลิวลิ่วไป และขณะที่กำลังลอยคว้างอยู่ กลางอากาศ ประกายกระบี่สว่างแวบขึ้น แก่นกายส่วนกลางของมัน ก็ขาดกระเด็นออกไปพร้อมกับประกายกระบี่นั้น ร่างมันลอยคว้างดั่งว่าวขาดป่าน ปลิวไปกระทบกับต้นไม้ใหญ่ ส่งเสียงร้องราวสุกรถูกเชือด ก่อนจะค่อยๆรูดลงกองกับพื้น มันแทบสลบไศลไปด้วยความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต มิเพียงเจ็บปวดทางกาย แต่ เจ็บปวดใจอย่างหาใดเปรียบได้.. จอมโจรบุปผาที่อื้อฉาว กลับไร้อาวุธคู่กายไปแล้ว... แล้วมันจะยังชีวิตอยู่ไปเพื่ออันใดอีก.. แทบสลบไศล แต่พานไม่สลบ เมื่อมันเงยหน้าขึ้นก็พบกับกระบี่ขาวไสราวน้ำค้างกลางหาว ปลายกระบี่จ่ออยู่กลางหว่างคิ้วมัน ด้ามกระบี่คล้ายๆขลุ่ยหยกอยู่ในมือบุรุษสวมหมวกปีกกว้างหรุบต่ำปิดบังหน้าตา เอ่ยเสียงเข้ม...

   “ครั้งนี้ จักยอมไว้ชีวิตเจ้า แต่ เจ้าคงไม่มีโอกาสก่อกรรมทำเข็ญกับสตรีผู้บริสุทธิ์ได้อีกแล้ว ทางที่ดี เจ้าหลบกายตามป่าเขา หรือไปบวชถือศีลชำระบาปซะ... อย่าให้เราได้พบเจอเจ้าอีก...ไสหัวไปได้แล้ว” กล่าวจบสะบัดกระบี่คราหนึ่ง ตัวกระบี่ก็หดกลับเข้าไปกลายเป็นเพียงขลุ่ยหยกเลาหนึ่ง แล้วหันกายไปใช้ขลุ่ยเขี่ยชายเสื้อปกปิดสัดส่วนสงวนของหญิงสาวแล้วคลายจุดให้ ก่อนหันกายยืนหันหลังให้กับหญิง สาว ไม่แยแสสนใจมันที่ค่อยๆกดจุดห้ามโลหิตแล้วคืบคลานเก็บเสื้อผ้าสวมใส่อย่างลวกๆ แล้วโซเซจากไปอย่างเจ็บปวด พักเดียวก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังแว่วจากไป

   หญิงสาวค่อยๆฟื้นขึ้นมา รีบคว้าชายเสื้อรวบเข้าปกปิดเรือนกายของตนอย่างเร่งรีบ ก่อนสำรวจร่างกายตนเอง พบว่ายังไม่มีสิ่งผิดปกติใดใด ก็ร้องไห้ออกมาเบาๆ ด้วยความดีใจ ผู้หญิง ดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้.. ร้องไห้ คล้ายดั่งเป็นอาวุธของอิสตรีทั้งแผ่นดิน และ พานเป็นอาวุธที่เหล่าบุรุษมิอาจต่อต้านหรือขัดขืนได้อีกด้วย

   “นี่! หยุดร้องไห้เถอะ เสียใจอันใด รึเสียใจที่เรามาขัดจังหวะดีงามของพวกเจ้า” คำพูดของเขา กลับยิ่งเสียดแทงใจจนร่ำไห้ยิ่งกว่าเก่า

   “นี่! นี่! พอ พอ หยุดได้แล้ว เราขอโทษ เราไม่เข้าใจ ในเมื่อปลอดภัยแล้ว มีอันใดต้องร่ำไห้เท่านั้น”

   “นี่ นี่ เรามีชื่อมีแซ่ นะ มา นี่ นี่ อยู่ได้”

“แม่นางชื่อไร แซ่ใด ผู้ใดทราบ ด้วยเล่า... แม่นางเอง ก็เคยเรียกเรา นี่นี่ มิใช่รึ”

   หญิงสาวหัวร่อคิกออกมาทั้งน้ำตาด้วยความขบขัน กล่าวเบาๆพร้อมกับจัดเสื้อผ้าของตัวเองไปพลาง

   “ขออภัย คุณชาย ... เรียกเรา ง้วยซิม ก็ได้”

   “แม่นางง้วย ไม่ต้องเรียกเราคุณชาย เราเป็นเพียงคนเร่ร่อน ไร้ชาติตระกูล หาใช่คุณชายบ้านใด ไม่.. รีบแต่งตัวเข้าเถอะ... ฝนทำท่าจะตกแล้ว ยังอีกไกลกว่าจะถึงหมู่บ้าน”

   หญิงสาว ง้วยซิมรีบจัดเสื้อผ้าจนเข้าที่ แล้วจึงขยับกายจะลุก
   “อุ๊ย!…” .. นางครางออกมาเบาๆ ก่อนเซถลา ลงนั่ง

   “เรี่ยวแรงข้ายังไม่ฟื้น พิษของผงมอมวิญญาณยัง.. ...คงเดินไม่ไหว”

   “แล้วนี่ จะทำอย่างไรดี… ถ้าจะถ่ายทอดพลังขับพิษให้เจ้า คงไม่เหมาะสมนักกระมัง”

   “โอ๊ะ! มิได้นะท่าน... เจ้าโจรร้ายนั่นบอกว่า พิษผงมอมวิญญาณ ไม่อาจใช้พลังรีดเร้นออกโดยเด็ดขาด”

   “แล้วนี่จะทำอย่างไร ฟ้าก็มืดมาทุกทีแล้ว อีกไม่นานฝนคงจะตกเป็นแน่แท้”

   “หากแม่นางไม่รังเกียจ ข้าคงต้องแบกท่านไป... บุรุษสตรีไม่อาจสนิทสนมทั้งการให้และการรับ แต่ ซ้อใหญ่ตกน้ำ อาเล็กยื่นมือช่วยด้วยคุณธรรม สองเรามีใจที่บริสุทธิ์ ดุจท้องฟ้ายามเที่ยง คงมิเป็นไรกระมัง...อย่าว่าแต่ สองเราเป็นบุตรธิดาบู้ลิ้ม ย่อมไม่ถือสาประเพณีคร่ำครึนั่น”

   “นี่....จะได้อย่างไร”

   “แม่นางคงรังเกียจข้า”

   “หามิได้… ข้าเพียงแต่ นี่จะเป็นการลำบากท่านแล้ว”

   “อ้อ...นี่ก็หาเป็นไรไม่ ไม่ต้องเกรงใจ มาเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันฝนนั่น” กล่าวพลางย่อกายลง หญิงสาวก้มหน้าลงด้วยความขวยอาย ใบหน้าแดงซ่านเปล่งลูกตำลึงสุก ก่อนค่อยๆขยับกายขึ้นขี่หลัง แล้วใช้สองมือจับบ่าเขาไว้

   “แม่นาง จับแบบนี้เดี๋ยวก็หล่นลงไปหรอก”

หญิงสาว หันหน้าหนีออกไปด้านข้าง ก่อนจะขยับสองแขนโอบรอบลำคอเขาไว้ แชฮุ้นจึงลุกขึ้น ก้าวเดินออกจากราวป่า มุ่งหน้าเข้าเมืองทันที

   ก้าวเดินมาได้เพียงอึดใจเดียว ฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว สายฝนหนาหนักจนแทบมองไม่เห็นทาง

   “ไม่ไหวแล้ว แม่นางง้วยซิม เห็นท่าเราจำต้องหาที่พำนักพักกายแถวนี้แล้ว”

   “เป็นเพราะท่านทีเดียว ก้าวเดินเชื่องช้ายิ่ง”

   “เฮอะ! เราหาใช่ม้าพันธ์ดีของป้อมอินทรีเหิรนะ จะได้บรรทุกคนบนหลังแล้วแล่นตะบึงได้”

   หญิงสาวอดมิได้ต้องหัวร่อคิกออกมา

   สตรีก็คือสตรี มักผันเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอยู่ในบรรยากาศเช่นใด มักมิสนใจสถานการณ์รอบข้างเท่าใดนัก

   “ขออภัย จริงๆท่าน”

   “เอ๊ะ...ข้างหน้านั่น ดูเหมือนเป็นกระท่อมนะ”

   “อืม... เราเข้าไปดูกันเถอะ”

   “ระวังหน่อยนะ ไม่รู้เป็นกระท่อมผู้ใด”

   “ถึงตอนนี้ ไม่ว่าในกระท่อมมีอะไรรออยู่ ก็ต้องเผชิญกับมันแล้วล่ะ” กล่าวพลางขยับขลุ่ยหยก เกร็งกำลังพรักพร้อม แล้วจึงผลักประตูกระท่อมเข้าไป

   “เป็นกระท่อมร้าง... แม่นาง ท่านนั่งพักก่อน เดี๋ยวข้าจะลองหาดูว่า มีอะไรพอใช้จุดไฟได้หรือเปล่า”

   ว่าแล้วก็ วางนางลงบนตั่งกลางห้อง ก่อนล้วงเอาชุดไฟของมืออสนีบาตออกมากวัดแกว่ง สักพักเดียวก็ติดไฟ ถึงอย่างไร มืออสนีบาตที่มีชื่อเสียงขึ้นมาก็หาได้อาศัยโชคช่วยไม่ ชุดไฟของมัน มาตรว่าเปียกน้ำจนทั่วก็ยังคงมีประสิทธิภาพดุจเดิม

   ใช้แสงไฟจากชุดไฟส่งหาจนพบ เตาสำหรับหุงต้ม ที่ยังพอมีเศษฟืนหลงเหลืออยู่ จัดการก่อกองไฟขึ้น

   แสงจากกองไฟส่องกระทบใบหน้าหญิงสาวที่ยามนี้เปียกโชก ขับเน้นให้ดูยิ่งงดงามจับตา แชฮุ้น สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะเอ่ย

   “แม่นาง เจ้าพักผ่อนในที่นี้ ข้าจะออกไปอยู่หน้ากระท่อม”

   “อย่าเลยท่าน ท่านมีพระคุณต่อข้า จะให้ข้าปล่อยท่านนอนตากฝนอยู่เบื้องนอกนั่นได้อย่างไร”

   “ท่านพูดเองไม่ใช่รึว่า บุตรธิดาบู๊ลิ้ม ไม่ถือสาประเพณีคร่ำครึ เราสองมีใจบริสุทธิ์ กลัวใยว่าจะมีใครครหา”

   “และ ที่นี่ก็เป็นกระท่อมร้างกลางป่า สายฝนหนาหนักเช่นนี้ คงไม่มีใครผ่านมาอีกเป็นแน่”

   ชายหนุ่ม จึงขยับกายนั่งลงบนตั่งข้างกองไฟ แล้วจึงพริ้มตาลง เดินลมปราณพักผ่อน และเพื่อหลบจากภาพที่ทำให้จิตใจฟุ้งซาน

   หญิงสาวเหม่อมองชายหนุ่มอยู่ครู่ใหญ่ จึงเอ่ยปากถามทำลายความเงียบ

   “นี่.... ท่านชื่อแซ่ใด บอกข้าได้หรือไม่ ?”

   “ข้าไร้แซ่ นาม แชฮุ้น แม่นางเรียกข้า แชฮุ้น เถอะ” ชายหนุ่มตอบทั้งยังหลับตา

   “เหตุใดท่านไม่ลืมตามาคุยกับข้าเล่า รึว่าท่านรังเกียจข้า”

   “หามิได้ ข้าเพียงแต่ เกรงว่า จะเสียมารยาทต่อแม่นางเท่านั้น”

   “เสียมารยาท....เฮอะ ท่านโอบอุ้มข้ามาถึงนี่ ยังมากล่าวถ้อยคำเกรงใจ กลัวเสียมารยาทอันใดอีก”

   หญิงสาวกล่าวพลางลุกเดินอย่างเชื่องช้าพลางคลายสายรัดเสื้อออก ปล่อยให้มันไหลลื่นออก ยื่นสองมือโอบรอบรำคอ โน้มกายลงหา

   “ท่านรังเกียจข้าหรือไม่”

   “ข้า ข้า ไม่ รังเกียจ” ชายหนุ่มตะกุกตะกักตอบ

   สายลมจากเบื้องนอกโชยพัดเข้ามาทางรอยแตก ทำให้กองไฟที่ใกล้โทรม ลุกวูบไหวขึ้น ทำให้อากาศภายในห้องที่เย็นยะเยือกจากสายฝน อบอุ่นขึ้น

   แสงสว่างจากกองไฟสะท้อนผิวกายเรียบลื่นงดงามราวสลักจากหยกเนื้อดี

   แสงไฟวูบวาบ ยิ่งทำให้ความรู้สึกยิ่งหวั่นไหว

   สายฝนเบื้องนอกยังคงโหมกระหน่ำหนาหนักราวเป็นใจ

   ค่ำคืนฝนตก ชายหนุ่มหญิงสาว พักแรมในกระท่อมน้อยเพียงสองคน
   จะมีอะไรเกิดขึ้น เป็นที่ผู้คนทั่วไปย่อมคาดคิดได้
   แต่อาจบางที ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ใครเล่าจักทราบ
   หากจะมี ย่อมมีเพียงสองคนเท่านั้น ที่ทราบ






หมายเหตุ : ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำวิธีการนำเสนอและติติง ครับ





 

Create Date : 18 สิงหาคม 2553
9 comments
Last Update : 18 สิงหาคม 2553 8:08:00 น.
Counter : 1392 Pageviews.

 


เซียนกระบี่แห่งลุ่มแม่น้ำวัง


 

โดย: เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง 18 สิงหาคม 2553 7:57:33 น.  

 

ดื่้มสุราช่วงนี้ไม่ดีน้า
เค้าฮิต งดเหล้าเข้าพรรษากัน ฮ่ๆะๆ
(แต่เราว่า กินเหล้าเข้าพรรษา พออกพรรษาแล้วงดจะดีกว่านะ หลายเดือนดี ฮ่ะๆๆ)

ปล...เห็นเขียนไว้ว่า ดื่มสุรากับผู้รู้ใจ พันจอกน้อยเกินไป สนทนาไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน (ก็เลยแซว คิคิ)

 

โดย: wayoflife 18 สิงหาคม 2553 9:27:47 น.  

 

น่าติดตามอ่านมากครับ
ถ้าไม่บอกว่าเซียนกีตาร์เขียน
ผมต้องคิดว่าเป็นบทประพันธ์ของโกวเล้งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

 

โดย: เศษเสี้ยว 18 สิงหาคม 2553 10:14:32 น.  

 

สวัสดีเช้าวันพุธค่ะ

เพลงเพราะมากค่ะพี่

 

โดย: เอื้องสามปอย 18 สิงหาคม 2553 10:38:34 น.  

 

เกือบสองช่วงทศวรรษแล้วที่ข้าฯมิได้ลิ้มรสของการพรรณาท่วงท่าและทำนองในการรำกระบี่แห่งบรรณภพ...หากแต่โชคดียิ่ง..ณ.ห้วงกาลนี้ได้สัมผัสอันดื่มด่ำและย้อนไป..หายิ่งกว่านั้นทำให้ข้าฯจินตนาการถึงแก๊งค์สามช่า-หม่ำ-เท่ง-โหน่ง-ตุ๊กกี้ และคณะเสียยิ่งขอรับ.......

เพลงยุทธ์ท่านยิ่งเหยี้ยม*....ยอดจริง
ยิ่งจอด กลางป่าชิง..........สวาทเจ้า
เว้าจ้าด* แห่งยุทธ์หญิง.....คราสยบ
ขบอย่า เผลอเพลงเร้า........หล่อนฟื้นกระบี่สวน

*เหยี้ยม= เยี่ยม
*จ้าด= ภาษาคำเมือง..น่าจะแปลว่าชาติ

ขอคารวะด้วย เอ็ม150 หนึ่งขวด ขอรับ อิอิ

 

โดย: คนสาธารณะ 18 สิงหาคม 2553 11:23:03 น.  

 

โยคา เว ชายเต ภูริ อโยคา ภูริสงฺขฺโย
เอตํ เทฺวธา ปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ
ตถาตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ

ปัญญาเกิดมีได้เพราะความเพียร เสื่อมไปเพราะไม่พากเพียร
เมื่อรู้ทางเจริญและทางเสื่อมของปัญญาแล้ว
ควรทำตนให้ดำรงอยู่โดยวิถีทางที่ปัญญาจะเจริญ

พากเพียรในทุกสิ่งอย่างมีความสุขตลอดไป...นะคะ


 

โดย: พรหมญาณี 18 สิงหาคม 2553 17:23:40 น.  

 

เด็กอายุต่ำกว่า 18 ห้ามอ่านนิยายจีนนะคะ

มีสอดแทรกรมณ์ขันเพื่อแก้ความขัดเขินด้วยนะ เรื่องนี้

นิยายไทยพระเอกกับนางเอกกว่าจะมีบทรัก..ลุ้นกันนาน

แต่นิยายของโกวเซียน ..ไวไฟมั่ก
เจอกันแค่สองครั้ง
ได้เสียกันแร่ว เร็วดี ไม่ต้องลุ้น คริ

ที่เหมือนกันแทบทู๊กเรื่องก้อบรรยากาศท่ามกลางฤดูฝนนี่แร่ะเนอะ..ฝนตกพายุมา ได้การละเสร็จมัน หุหุ

 

โดย: อิ่ม_Aim 18 สิงหาคม 2553 22:22:44 น.  

 

กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา
กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์กับทั้งตัวมันเอง

ขอให้มีความสุขกับการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าให้มากที่สุด..นะคะ


 

โดย: พรหมญาณี 19 สิงหาคม 2553 14:01:54 น.  

 

สวัสดีเช้าวันศุกร์ค่ะพี่

มาช้าก็ไม่เป็นไรค่ะ
เข้าใจ...ว่างานยุ่ง
นั่งหน้าคอม เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี (เหมือนหนูไง...แหะ..แหะ...)

 

โดย: เอื้องสามปอย 20 สิงหาคม 2553 7:50:05 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง
Location :
กรุงเทพฯ Qatar

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]





ชายไทยคนหนึ่ง

ที่ไม่ได้รักชาติ

น้อยไปกว่าใคร


อาจไม่เคย

แสดงออกอันใดว่ารักชาติ

มากกว่าคนอื่น

แต่อย่างน้อย...

มิเคยสร้างความเสียหาย

แก่ประเทศชาติ...

ก็แล้วกัน

เป็นแค่

ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง

ไม่มีตำนาน

ที่แตกตื่นสะท้านฟ้าดิน

ผ่านชีวิตและวันเวลาที่ธรรมดา

วันนี้เป็นอย่างนี้

พรุ่งนี้ ก็คงเป็นเช่นนี้.....

...........

"สุภาพบุรุษผิวขาว

นัยน์ตาสีสนิมเหล็ก

ร้อยเปลี่ยน

พันแปลง

ไปมาไร้ร่องรอย

คล้ายมากรัก

คล้ายไร้รัก"

.......

"ฟ้าดินกว้างใหญ่ปานนี้

ผู้คนมากมายปานนี้

เราสองได้รู้จักนับเป็นวาสนา

นับแต่นี้ . . . .

ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

ก็นับว่าเพียงพอ . . ....."



New Comments
Friends' blogs
[Add เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.