Happiness depends upon ourselves.....
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2549
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
27 พฤศจิกายน 2549
 
All Blogs
 
อลังการนครวัดและรอยยิ้มบายนที่ฉันหลงรัก

10-12/11/2006

หลังจากเก็บความอิจฉาเพื่อนๆ ที่ได้ไปเที่ยวนครวัดมาแล้วอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ที่จะพาตัวเองไปดูให้เห็นกะตาซักที ว่านครวัดที่ว่าเนี่ยมันจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน ว่าแล้วก็เริ่มหาข้อมูลจากบริษัทต่างๆ ที่จัดโปรแกรมไปเที่ยวนครวัด เราก็ตกลงได้ว่า จะไปแบบ 3 วัน 2 คืน เพราะจะได้ลางานแค่วันเดียว ช่วงหลังลาติดๆ กันไปหน่อย จนเจ้านายชักแซวว่าเที่ยวเก่งจังนะ เลยเริ่มรู้สึกผิด เอาเป็นว่าเที่ยวกันแต่ปราสาท Highlight ละกันเนอะ

แหกขี้ตาตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่เพราะต้องไปขึ้นรถทัวร์ที่ตรงสวนลุมตอนตี 5 ครึ่ง พอ 6 โมงเช้ารถก็ออก ตอนแรกพวกเรากะจะเล่นเกมซ่อนตาดำกันทันทีแต่ไปๆมาๆ คุยกันจนเพลิน ไปถึงที่ด่านตรงอรัญประเทศซึ่งเราก็เพิ่งรู้ว่ามันอยู่ติดๆ กับตลาดโรงเกลือนั่นเอง ตอนประมาณเกือบๆ 9 โมง ทำพิธีการผ่านด่านอย่างรวดเร็ว พวกเราก็ได้มาเที่ยวต่างประเทศกันแล้ว ที่ตรงนี้เค้าเรียกว่า ปอยเปต ค่ะ ตรงนี้จะขึ้นชื่อลือชาเรื่องมีบ่อนกาสิโนเพียบ คนที่มาเล่น เท่าที่กวาดตาดู...ก็เห็นมีแต่พี่ไทยเราเนี่ยแหล่ะค่ะ

ตรงหน้าด่านเข้ากัมพูชาค่ะ Welcome to Cambodia …..



แล้วความตื่นเต้นก็เริ่มต้นขึ้น ในการไปเที่ยวนครวัดครั้งนี้ พวกเรารวบรวมสมาชิกกันได้ทั้งหมด 8 คนพอดี มีแต่สาวๆ (สวยหรือเปล่าไม่รู้) ทั้งนั้น แถมที่โชคดีก็คือคนที่เค้าจะมา join ทัวร์กับเราเค้า cancel พอดี เราเลยได้ไปเที่ยวแบบ private group สบายไปเลย อิอิ แต่ตอนนี้เราจดจ่อกับการลุ้นว่าสภาพถนนจะเลวร้ายขนาดไหน เพราะก่อนจะมาเที่ยวมีแต่คนขู่ว่าทางที่จะไปเสียมเรียบนั้นโหดมั๊กมาก.......บางคนบอกว่า ลงจากรถไส้กี่ขดกี่ขดมันจะมากองอยู่ที่เดียวกัน ......แหม แต่ละคนขู่กันเข้าไป เอาเหอะ เดี๋ยวก็รู้ ว่าจะโหดขนาดไหน

รถที่จะพาเราไปส่งที่เมืองเสียมเรียบในวันนี้เป็นรถตู้ค่ะ รถที่นี่คงจะช่วงล่างดีกันมากๆ เห็นแต่ละคนวิ่งกันไม่มียั้งเลย ทั้งๆ ที่สภาพถนนก็โหดจริงๆ นั่งรถไป สงสารรถไปค่ะ วันที่ไปเจอฝนตอนพักทานข้าวพอดี สภาพถนนเลยเป็นดังนี้ค่ะ



นั่งรถกระแทกกระทั้นกันไปตลอดทาง เราก็มาถึงตัวเมืองเสียมเรียบกันตอนประมาณบ่าย 2 โมง ทางทัวร์ก็จัดแจงให้พวกเราได้เข้าไปล้างหน้าล้างตาที่โรงแรมกันก่อน แล้วก็จะเริ่มโปรแกรมท่องเที่ยวกันเลย โดยที่แรกที่เราไปเที่ยวกันก็คือ โตนเลสาบ ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชาและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย สิ่งที่น่าสนใจของโตนเลสาบนี้ก็คือเราจะไปดูวิถีชีวิตของผู้คนที่เค้าอาศัยอยู่บนเรือในทะเลสาบแห่งนี้ แม้แต่โรงเรียนหรือห้องสมุดก็ลอยอยู่ในน้ำเช่นกันค่ะ

บรรยากาศของโตนเลสาบตอนบ่ายๆค่ะ



เสร็จจากโตนเลสาบ พวกเราก็จะมุ่งหน้าไปเตรียมตัวดูพระอาทิตย์ตกกันที่เขาพนมบาเค็งค่ะ ซึ่งที่นี่จะเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกได้สวยที่สุดเพราะเป็นปราสาทที่สร้างอยู่บนเขา แถมเราจะยังได้เห็นปราสาทนครวัดจากมุมสูงอีกด้วย แต่ว่าของดีๆ ก็ไม่ได้มาง่ายๆ นะคะ พวกเราต้องออกแรงเดินขึ้นเขากันหน่อย ก็ไม่เท่าไหร่ แค่พอเหงื่อซึม พอมาถึงยอดเขา เราก็ต้องปีนปราสาทกันอีกนิดนึง หวาดเสียวพอประมาณ แต่คนขึ้นกันเยอะมากๆ เลยค่ะ



ขึ้นไปถึงด้านบน เราก็จะเห็นนครวัดอยู่ไกลๆ รูปนี้ใช้ zoom จนสุดเลยนะเนี่ย



แล้วก็มานั่งรอพระอาทิตย์ตกกันค่ะ กำลังจะตกแล้ว....



ท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์จะตก กลายเป็นสีส้ม สวยดีจริงๆ ที่นี่เค้ามีบริการ Balloon ให้ขึ้นดูพระอาทิตย์ตกจากมุมสูงด้วย ถ้าเราได้ขึ้นบ้างคงจะดีเหมือนกันเนอะ (ถ้าเผื่อใครสนใจ สนนราคาถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 – 600 บาทไทย ใช้เวลาอยู่บน Balloon ประมาณ 10 นาทีค่ะ)



ดูพระอาทิตย์ตกกันอยู่สักพัก พวกเราก็ต้องรีบลงแล้วค่ะ เพราะว่าบันไดมันค่อนข้างชันแถมมันก็เริ่มมืดแล้วด้วย พวกเราค่อยๆ ตะกายบันไดลงมาอย่างทุลักทุเลพอสมควร ไกด์บอกแกมขู่อีกว่าบันไดนครวัดพรุ่งนี้จะชันและหวาดเสียวกว่านี้อีก......คิดเหรอว่าพวกเราจะกลัว.....เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้

กลับมาถึงโรงแรมพวกเราพักกันที่โรงแรม Prum Bayon Hotel ค่ะ เป็นโรงแรมเล็กๆ แต่ก็สะอาด สบายใช้ได้ บางคนก็ขอไปนอนพักผ่อนเอาแรงกันเลย แต่พลังงานของเรายังไม่ยอมหมด เลยขอลงไปดำผุดดำว่ายที่สระว่ายน้ำของโรงแรมกะเพื่อนซะหน่อย ได้แช่น้ำตอนดึกๆ เนี่ยก็ดีเหมือนกันนะ เสียดาย พวกเราว่ายน้ำกันอยู่อย่างสบายอารมณ์ ก็ดันมีลุงๆ ชาวเกาหลี แกลงมาว่ายน้ำด้วย พวกเค้าคุยกันเสียงดังมาก แถมยังวิ่งกระโดดน้ำเหมือนเด็กๆ เราเลยหันไปสบตากะเพื่อน แล้วก็ตกลงกันว่า......ขึ้นเหอะแก .... เป็นอันได้แยกย้ายกันไปนอนเก็บแรงไว้เที่ยวในวันรุ่งขึ้นค่ะ

วันต่อมาพวกเราตื่นกันแต่เช้าเพราะว่าวันนี้มีโปรแกรมไปเที่ยวกันแบบแน่นเอี๊ยด ทานอาหารเช้าเสร็จ ก็มาถ่ายรูปกันแถวๆ สระว่ายน้ำที่ลงมาว่ายเมื่อคืน ก็ถึงเวลาที่คุณสุวรรณ ไกด์สุดหล่อมารับพอดี

ยามเช้าที่โรงแรม Prum Bayon ค่ะ



เราเริ่มต้นทริปด้วยการไปที่ ปราสาทตาพรม ซึ่งเป็นปราสาทที่มีความโดดเด่นตรงที่ปราสาทนี้จะมีต้นสะปงและรากของมันชอนไชไปทั่วปราสาท ทำให้เกิดภาพแปลกตาแก่ผู้พบเห็น เค้าว่ากันว่าต้นสะปงนี้เป็นตัวช่วยพยุงให้ปราสาทนี้ยังอยู่รอดมาได้ไม่พังลงมาจนปัจจุบัน แต่บางคนก็ว่า ต้นสะปงนี้แหล่ะที่จะทำให้ปราสาทพังทลายเร็วขึ้น ก็ไม่รู้จะเชื่อใครดีเนอะ

ความยิ่งใหญ่ของต้นสะปงที่ครอบคลุมไปทั่วปราสาทตาพรม



อีกจุดที่น่าสนใจและเป็นภาพที่พวกเราเห็นกันบ่อยๆ ที่ปราสาทตาพรมแห่งนี้คือนางอัปสราที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้รากของต้นสะปง ใครไปต้องพยายามหาให้เจอนะคะ ไม่งั้นจะถือว่าพลาดจุดสำคัญของที่นี่ค่ะ ภาพที่ถ่ายออกมาดูลึกลับน่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย



การเดินชมปราสาทตาพรมจะแตกต่างจากปราสาทอื่นๆ ตรงที่มันจะไม่ร้อนมาก เพราะมีต้นไม้ใหญ่คอยบังแดดให้ ทำให้เราจะได้เห็นภาพความชุ่มชื้นของปราสาทแห่งนี้ ชุ่มชื้นขนาดไหน ดูได้จากตะไคร่น้ำที่ขึ้นบนปราสาท เคลือบให้ปราสาทกลายเป็นสีเขียว สวยแปลกตาดี



เดินกันมาอีกซักนิด เราก็จะได้มาเจอวิวที่โด่งดังที่สุดจุดนึงของตาพรม คือบริเวณที่เคยใช้เป็นฉากในหนังเรื่อง Tomb Riders ของนางเอกปากสวย Angelina Jolie ที่ภายหลังเธอได้กลายเป็นขวัญใจของคนเสียมเรียบเพราะเธอได้ช่วยเหลือคนที่นี่ไว้มากค่ะ

ฉากที่เห็นในหนัง ..... จำกันได้มั้ย



แค่ที่แรกพวกเราก็กระหน่ำถ่ายภาพกันแบบไม่ยั้ง ไกด์บอกว่าถ้าไปถึงที่ต่อไปจะอึ้งกว่านี้อีก ... ที่ต่อไป พวกเราจะไปเที่ยวกันที่ ปราสาทบันทายศรี ค่ะ ปราสาทนี้ห่างออกไปจากเมืองเสียมเรียบประมาณ 30 กิโล แต่ถึงแม้จะไกลไปซักหน่อย แต่ปราสาทนี้ก็เป็นปราสาทห้ามพลาดค่ะ

ระหว่างทางที่จะไปปราสาทบันทายศรี เราจะเห็นบ้านเรือนและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขมรค่ะ



และแล้วพวกเราก็มาถึงยังปราสาทแสนสวย... บันทายศรี..... ที่นี่เป็นปราสาทขนาดเล็กแต่ยิ่งใหญ่ด้วยความงดงาม เนื่องจากตัวปราสาททำมาจากหินทรายที่มีสีออกแดงๆ แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ ลวดลายการแกะสลักที่บันทายศรีเนี่ยละเอียด สวยงามสุดยอดจริงๆ ค่ะ

ลวดลายที่หน้าซุ้มประตูของปราสาทบันทายศรีค่ะ ลายคมและละเอียดมากจริงๆ



จริงๆ แล้ว ลวดลายต่างๆ บนปราสาทที่เสียมเรียบเนี่ย เค้ามักจะแกะสลักมาจากเรื่องรามเกียรติ์นะคะ ใครที่มีพื้นความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง คงจะเที่ยวที่นี่สนุกเป็นพิเศษ ..... แต่สำหรับเราและชาวคณะ ..... เอ่อ.... หัวกลวงกันมา ก็สนุกกันแค่ประมาณนึงค่ะ

ปราสาทสีชมพูแสนสวย... บันทายศรี



ที่นี่เค้าก็มีนางอัปสราเหมือนกันนะคะ หลังจากเที่ยวปราสาทต่างๆ ในเสียมเรียบแล้ว จะสังเกตได้ว่านางอัปสราของแต่ละปราสาทจะมีความสวยงามแตกต่างกันไป ของที่นี่ก็สวยไม่แพ้ใครเช่นกันค่ะ เห็นว่าสวยขนาดเคยถูกอุ้มไปขายโดยชาวฝรั่งเศสที่เค้าพบปราสาทนี้ด้วยนะคะ แต่โชคดีชาวฝรั่งเศสคนนั้นถูกจับได้ซะก่อน นางอัปสราองค์นั้นเลยได้กลับมาอยู่ยังบ้านของท่านอีกครั้งค่ะ



พวกเราเดินชมความสวยงามของบันทายศรีกันพักใหญ่ ก็ได้เวลากลับมาเที่ยวที่เมืองเสียมเรียบกันต่อ ความจริงปราสาทบันทายศรีเนี่ยสวยมากๆ เลยนะคะ แต่พอดีช่วงที่เราไปคนเยอะมากๆ ทำให้ไม่ค่อยประทับใจเท่าที่ควร ถ้าคนไม่เยอะ เราว่าที่นี่คงจะสวยกว่านี้อีกเยอะเลยค่ะ

กลับมาถึงเสียมเรียบ พวกเราแวะถ่ายรูปกันที่ ปราสาทตาแก้ว ที่อยู่ใกล้ๆ กับนครวัดกันค่ะ



แล้วก็มาถึง Highlight ของทริปนี้กันแล้วค่ะ ....... นั่นคือ ปราสาทบายน ซึ่งปราสาทนี้อยู่ในบริเวณเมืองที่พวกเราคุ้นเคยกันดีในนามของ นครธม คำว่า นครธม แปลว่า เมืองใหญ่ ทางไกด์ได้เล่าว่า นครธม เนี่ยเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากๆ ในสมัยก่อน ว่ากันว่ามีประชากรอยู่ในรั้วของนครธมแห่งนี้เป็นจำนวนกว่าแสนคนเลยนะคะ และปราสาทบายน ก็เป็นปราสาทสำคัญของนครธมค่ะ....... ตื่นเต้น ตื่นเต้น

ปราสาทบายนต้อนรับพวกเราด้วยภาพแกะสลักนางอัปสราที่มีท่าทางการร่ายรำที่แสนจะอ่อนช้อย (เราว่านางอัปสราที่เนี่ยถ้ามาแข่งยิมนาสติกต้องชนะเลิศแน่ๆ เพราะดูตัวอ่อนซะเหลือเกิน)



ชื่นชมกับความอ่อนช้อยของนางอัปสรา พวกเราก็ต้องปีนบันได้ขึ้นมาด้านบน ซึ่งเราก็จะได้พบกับรอยยิ้มบายนเต็มไปหมด ซึ่งรูปหน้าเหล่านี้เค้ายังเถียงกันไม่เสร็จค่ะว่า เป็นหน้าของใครกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นรูปพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้สร้างนครธม บ้างก็ว่าเป็นพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ตามความเชื่อของศาสนาพุทธ

ไม่ว่าพวกเราจะเดินไปทางไหน เราก็จะได้เห็นพระพักตร์เหล่านี้เต็มไปหมด เพราะว่าภายในปราสาทบายน มีพระพักตร์เหล่านี้รวมแล้วถึง 216 หน้าเลยทีเดียว และในบรรดาพระพักตร์ทั้งหมด เค้าว่ากันว่า อันนี้เป็นอันที่มีรอยยิ้มแบบบายนที่สวยที่สุดค่ะ



เดินไปทางไหนก็หนีพระพักตร์เหล่านี้ไปไม่พ้น เค้าว่าคนที่มาเดินที่นี่มักแบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรกจะชอบที่นี่มากๆ กับแบบที่สองจะรู้สึกว่าระแวง เพราะเหมือนมีคนคอยจับตามองตลอดเวลา ลองมาพิสูจน์กันดูนะคะ ว่าคุณจะจัดอยู่ในประเภทไหน

บอกแล้ว ไปทางไหนก็ต้องเห็น ขอชื่นชมนายช่างสมัยก่อนที่ออกแบบปราสาทบายนนะคะ Creative สุดๆ จริงๆ




ตัวเราเองชอบปราสาทบายนมากที่สุดในบรรดาปราสาททั้งหมดที่ได้ไปเยี่ยมชม ตอนจะออกจากบายนเลยรู้สึกอาลัยเล็กๆ ขอเก็บภาพบายนจากมุมไกลๆ มาฝากอีกทีค่ะ



เที่ยวกันมาตั้งครึ่งค่อนวัน ท้องก็ร้องแล้วตามระเบียบ ขอนำภาพอาหารเขมรมาฝากนะคะ ใครชอบทานปลา มาเที่ยวที่เสียมเรียบรับรองว่าไม่ผิดหวังค่ะ



อิ่มท้อง ล้างหน้าล้างตา ทาครีมกันแดด พวกเราก็พร้อมจะตะลุยกันต่อแล้วค่ะ ภาคบ่ายเราจะไปเที่ยวกันที่มหาปราสาทนครวัดกันค่ะ ก่อนที่จะลืมขอนำภาพบัตรท่องเที่ยวแบบวันเดียวเที่ยวทั่วเสียมเรียบมาฝากค่ะ



แล้วเราก็เข้ามาถึง ปราสาทนครวัด ที่ยิ่งใหญ่ขนาดถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์เลยนะคะ แต่ก่อนจะชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ เราจะไปชมภาพวาดรอบๆปราสาทที่มีความสำคัญและสวยงามอย่างมากของนครวัดกันก่อนค่ะ โดยที่ภาพเหล่านี้จะอยู่ที่กำแพงรอบๆ ปราสาทนครวัด ถ้าจะเดินกันให้ทั่วจริงๆ เค้าว่าก็เกือบ 2 กิโลเลยค่ะ แต่เนื่องจากเวลาเรามีจำกัด เราขอดูแค่ด้านที่เป็น Highlight ก็พอ

ภาพแกะสลักที่สำคัญห้ามพลาดเด็ดขาดคือ ภาพการกวนเกษียรสมุทรค่ะ โดยที่พระวิษณุจะยืนอยู่บนหลังเต่า แล้วใช้พญานาคในการกวนเกษียรสมุทรเพื่อผลิตน้ำอมฤต ที่เมื่อได้ดื่มแล้วจะทำให้ได้เป็นอมตะ โดยที่ด้านหางของพญานาคจะถูกถือไว้โดยเหล่าเทวดา ส่วนด้านหัวจะถูกถือไว้โดยพวกยักษ์ค่ะ ซึ่งเป็นอุบายของเทวดาเค้าค่ะว่าเวลาที่กวนเกษียรสมุทรอยู่พญานาคก็จะพ่นพิษไปเข้าที่ตาของพวกยักษ์ทำให้มองไม่เห็น เมื่อได้น้ำอมฤตแล้วพวกเทวดาก็เอาไปเป็นของตัวเองฝ่ายเดียว......เอ...งานนี้ไม่รู้ว่าใครฉลาดแกมโกงเนอะ

ภาพแกะสลักการกวนเกษียรสมุทรค่ะ ตอนนี้ถ้าใครยังไม่มีโอกาสมาดูที่นครวัด ก็แวะไปดูได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิตรงขาออกต่างประเทศนะคะ



อีกภาพที่พลาดไม่ได้โดยเฉพาะคนไทยต้องไปดู คือภาพกองทัพทหารสยามค่ะ ในรูปทหารสยามใส่เสื้อลายดอกด้วยน้า....



พอชมภาพแกะสลักจนครบ ก็มาถึงเวลาสำคัญ เวลาวัดใจกันแล้วค่ะ เพราะจุดต่อไปคือการขึ้นไปชมยังชั้นที่ 3 ของนครวัด ที่ว่าต้องวัดใจก็เพราะเราจะต้องปีนบันไดที่สูงและที่สำคัญชันมากๆๆๆ ขึ้นไปค่ะ คุณสุวรรณไกด์สุดหล่อของพวกเราบอกว่าชั้นนี้ใครจะขึ้นไม่ขึ้นก็แล้วแต่ความสมัครใจ เราเองก่อนจะมาก็โดนขู่มาเยอะถึงความน่ากลัวของบันไดที่นี่ แต่ได้แต่แอบสัญญากับตัวเองไว้เงียบๆ ว่า ขึ้นไหวไม่ไหวไม่รู้ แต่ที่รู้ต้องลองขึ้นก่อน ถ้าลองแล้วขึ้นไม่ได้อย่างน้อยก็ยังได้ชื่อว่าได้พยายามแล้ว เลยหันไปบอกกับคุณไกด์ว่าจะขอขึ้นค่ะ แล้วกำลังจะหันไปถามชาวคณะว่ามีใครไม่ขึ้นมั๊ย จะได้ฝากกระเป๋า แต่พวกเราทุกคนเป็นหญิงไทยใจสู้ค่ะ ขึ้นกันทุกคนเลย ทำให้คุณสุวรรณบอกว่างั้นเค้าจะขึ้นไปด้วย เพราะปล่อยให้ขึ้นกันเอง เค้าไม่ไว้ใจ

สภาพของบันไดที่ชันได้ใจที่พวกเรากำลังจะปีนขึ้นไปกันค่ะ



หลังจากที่ยืนจดๆ จ้องๆ อยู่พักใหญ่ ว่าจะปีน ตะกาย ขึ้นไปท่าไหนดี พวกเราก็เริ่มเครียด เพราะความยากเนี่ยมันอยู่ที่ด้านบนๆ ของบันได เนื่องจากมันไม่มีหินด้านข้างๆ ให้จับ เราต้องไต่ขึ้นไปอย่างเดียว พวกเราก็กลัวว่าเกิดขาสั่นก้าวไม่ออกขึ้นมามันจะยุ่ง ก็พอดีที่ตรงบันไดด้านที่เค้าทำราวไว้ให้เดินลงมันว่างพอดี พวกเราเลยอาศัยโอกาสทองปีนขึ้นด้านทางลงซะเลย กลัวรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าจับราวแน่นมากๆ จนมือเหม็นกลิ่นเหล็กเลยค่ะ

แต่พอขึ้นมาก็หายเหนื่อยนะคะ เพราะว่าบนชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของนครวัด เราจะได้เจออีกหนึ่งสิ่งห้ามพลาดของการมาเที่ยวนครวัด นั่นก็คือ นางอัปสราลิ้นสองแฉก ค่ะ ในรูปคือนางทางด้านซ้ายนะคะ



จุดเด่นอีกอย่างของนครวัดคือเหล่านางอัปสราที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย นับกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ละนางก็สวยๆ ทั้งนั้น เค้าว่ากันว่าไม่มีองค์ไหนเหมือนกันเลยด้วยนะ

ภาพนี้คือคุณสุวรรณไกด์สุดหล่อของพวกเรา ควงคู่มากับนางอัปสราแสนสวยค่ะ



ลวดลายสวยๆ ยิ่งทำให้นางอัปสราดูงดงามมากขึ้น ว่ามั้ยคะ



วิวสวยๆ จากมุมสูงของนครวัดค่ะ



หันกลับมา ก็เจอกับนางอัปสราอีกแล้ว รูปนี้น้องสาวเป็นคนถ่ายมา ตอนแรกดูผ่านๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่พอมาดูดีๆ รูปนี้เป็นอีกรูปที่ชอบมาก เพราะเราว่านางอัปสราพวกนี้เค้าคงเป็น Gang เพื่อนสนิทกันแน่ๆ ถึงได้ยืนกอดคอ คล้องแขน โอบเอว กันอย่างสนิทสนม ได้อารมณ์ของเพื่อนรักดีนะคะ



หลังจากเดินชมนางอัปสรากันพักใหญ่ๆ ก็ถึงเวลาทำใจกันอีกแล้ว เพราะเมื่อมีขาขึ้นก็ต้องมีขาลง มันเป็นสัจธรรมอย่างนึงของชีวิต มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องปีนลงไปด้านล่าง เราก็มาต่อแถวกันตรงทางลงที่มีราวจับ (ก็ทางที่พวกเราแอบขึ้นมานั่นแหล่ะค่ะ) ระหว่างรอคิวอยู่ เรานึกอะไรไม่รู้ขอยื่นหน้าและกล้องไปถ่ายรูปซะหน่อย นอกจากจะได้รูปมาแล้ว ยังได้ใจที่เต้นโครมครามด้วยความกลัวมาเป็นของแถมอีกด้วย .... จำได้เลยว่าตอนก้าวลง ขามันสั่น ใจมันหวิวๆ นี่ขนาดไม่ได้เป็นคนกลัวความสูงนะคะเนี่ย ตอนขาลง น้องสาวเราเกิดกลัวขึ้นมาบอกว่าให้เราลงก่อนแล้วคอยช่วยหันมาดูเค้าด้วย ตอนนั้นก็ทำใจดีให้กำลังใจน้องว่า....เออ เดี๋ยวจะช่วย แต่ในใจหน่ะคิดว่า ....ตัวใครตัวมันก่อนละกันนะน้องรัก พี่ก็กลัวเหมียนกัน

แต่ในที่สุดพวกเราทุกคนก็ลงมาได้อย่างปลอดภัย พอลงมาเหยียบพื้นด้านล่าง รู้เลยว่าอาการโล่งใจเนี่ยมันรู้สึกดีอย่างงี้เอง....... แล้วพวกเราก็เดินกลับออกทางด้านหน้าของนครวัด ผ่านตรงร้านขายของที่ระลึก ก็นั่งพักดื่มน้ำกันซะหน่อย

แผงขายของที่ระลึกด้านหน้านครวัดค่ะ



ดื่มน้ำ พักเหนื่อย เราก็มาแวะถ่ายรูปตรงวิวห้ามพลาดกันค่ะ ใครมาเที่ยวที่นครวัดต้องถ่ายภาพมุมนี้เก็บไว้แน่นอน เป็นภาพที่เราจะได้เห็นยอดปราสาททั้งหมด 5ยอดของปราสาทนครวัด สะท้อนบนพื้นน้ำด้านหน้า เป็นอีกหนึ่งภาพที่สวยประทับใจพวกเราทุกๆคนค่ะ



แต่เท่านี้ยังไม่หมดนะคะ เรายังมีอีกหนึ่ง Highlight ของปราสาทนครวัด เราต้องตามหา นางอัปสรายิ้มเห็นฟัน กันก่อนค่ะ ไม่งั้นจะถือว่าพลาดของสำคัญ นางอัปสรานางนี้เค้ามายืนแอบอยู่ตรงประตูทางเข้าทางด้านหน้าของนครวัดค่ะ ดูจากรูปไม่รู้เหมือนกันนะคะว่านางอัปสราแอบ in trend ไปจัดฟันมาด้วยรึเปล่า



เป็นอันเสร็จพิธีการเที่ยวชมนครวัดแล้วค่ะ ที่ต่อไป เราแวะไปดูโครงกระดูก (ของจริง) ของชาวเขมรที่ถูกฆ่าในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองซึ่งถูกเก็บไว้ที่วัดแห่งนึงกันค่ะ หลายๆคนอาจจะเคยได้ดูหนังเรื่อง The killing field กันมาบ้าง เรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริงในยุคนั้นค่ะ



ยิ่งได้ฟังคุณสุวรรณไกด์ของพวกเราเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เกิดสงคราม ตัวเค้ายังเด็กๆอยู่เลย ตัวเค้า พ่อ แม่ พี่น้อง ต้องหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง ยิ่งทำให้เราสงสารคนเขมรขึ้นจับใจ สงครามเนี่ยมักจะเกิดขึ้นจากความโลภของคนไม่กี่คน แต่กลับต้องทำให้คนอีกหลายๆคนเดือดร้อน ไม่ดีเลยจริงๆ

ออกจากวัดนั้น พวกเราไปแวะ shopping กันที่ ตลาดซาจ๊ะ ซึ่งเป็นตลาดขายของที่ระลึกของเสียมเรียบ ต่อของกันสนุกดีค่ะ ได้ของมากันคนละนิดคนละหน่อย พวกเราก็ไปทานอาหารเย็นกันที่ ภัตตาคารโตนเลสาบ ที่นี่เราได้ดู โชว์ Apsara Dance กันด้วย



กว่าโชว์จะจบ พวกเราก็ตาแทบปิด เพราะวันนี้เหนื่อยจากการที่เดินเยอะจริงๆ แถมแดดยังร้อนสุดๆ ถึงโรงแรมก็แยกย้ายห้องใครห้องมันทันทีเลยค่ะ

เช้ามาก่อนจะนั่งรถตะลุยทางหฤโหดกลับไปยังปอยเปต เอาภาพบรรยากาศถนนของเมืองเสียมเรียบตอนเช้ามาฝากค่ะ



ระหว่างทางกลับ ทางคุณสุวรรณพาเราไปแวะดูอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่เค้าเรียกกันว่า บารายตะวันตก เป็นที่เก็บน้ำและส่งน้ำไปให้ชาวเสียมเรียบใช้กันค่ะ ถ้าจำไม่ผิดบารายแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วนะคะ



ที่บารายตะวันตกนี้เอง พวกเราได้เจอกับกองทัพพ่อค้าแม่ค้าตัวน้อยๆ ที่มีลีลาการตื้อเพื่อขายสินค้าแบบถึงใจจริงๆ เวลาที่เค้าจะขายของให้พวกเรา เค้าจะมาพร้อมประโยคเด็ดที่พูดเหมือนกันทุกคนราวกับนัดกันมาว่า “ ผี ผี (พี่ พี่ )ช่วยหนูซื้อหน่อย 4 อัน 20” ตื้อกันขนาดไหน ดูจากรูปเอาละกันนะคะ แล้วอย่างนี้ เป็นใครจะไม่ใจอ่อนเนอะ



ออกจากบารายตะวันตก เราก็มุ่งหน้ากลับปอยเปต สภาพถนนยังคงทุลักทุเลเหมือนเดิม แต่เราไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนขามา สงสัยร่างกายพวกเราคงชินกับสภาพถนนของเขมรซะแล้ว

มาเที่ยวคราวนี้ สนุกและถูกใจมากๆ เพราะได้มาเที่ยวในที่ที่อยากมาตั้งนานแล้ว แถมได้มากับน้องสาว และเพื่อนๆ ที่รัก ถ้าปี 2008 ถนนไปเสียมเรียบจะเรียบสมชื่อเหมือนที่คุณไกด์บอกไว้ละก็ รับรองได้ ว่าเราจะกลับมาเยี่ยมรอยยิ้มบายนอันเป็นที่รัก และเมืองเสียมเรียบแห่งนี้อีกแน่นอน

เป็นอันจบทริปนครวัดแค่นี้แหล่ะค่ะ

บ๊ายบาย





Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 16:06:26 น. 11 comments
Counter : 3485 Pageviews.

 
ขอบคุรมากครับ อยากไปเที่ยวมากๆเลย


โดย: PutterZ (ToppuT ) วันที่: 27 พฤศจิกายน 2549 เวลา:18:22:28 น.  

 
เจ๊ๆ อยากไปนะเจ๊ ยืมตังสัก 3 หมื่นซิ เศษๆ เดี๋ยวออกเอง
อยากพา เสด็จพ่อ เสด็จแม่ แล้วคุณน้องชายไปด้วยนะ


โดย: จังกึม IP: 124.121.136.118 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2549 เวลา:22:31:52 น.  

 
ไปด้วยกันป่าวเนี่ยะ ทำไม เรื่องที่เล่ามาไม่คุ้นเลย สงสัยตอนนั้นมัวแต่เป็นนางแบบ และตากล้องอยู่ เก็บรายละเอียดมาเยอะมากเลย นะเนี่ยะ เยี่ยมจิงๆ



โดย: hibarbies IP: 58.8.111.94 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2549 เวลา:22:49:08 น.  

 
รูปน้อยจังเลย ทีหลังโชว์มากกว่านี้หน่อยดิ
เอาเป็นภาค 1-3 เหมือนทริปเกาหลีน่ะ


โดย: iowatrumpet IP: 125.24.39.48 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2549 เวลา:12:04:44 น.  

 
เห็นแล้วคิดถึงตอนไปนครวัดครับ อยากไปเก็บปราสาทเล็กๆน้อยๆ ที่ทัวร์ไม่ได้พาไปอีกจังเลย


โดย: A_Mong วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:15:53:43 น.  

 
อยากไปจังครับ ไว้ผมจะมาสอบถามข้อมูลนะครับ


โดย: DAN_KRAB วันที่: 1 ธันวาคม 2549 เวลา:0:12:41 น.  

 
....วันนี้มาดูรูปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาตามอ่านจ้า


โดย: B.B.P. (boybangplee ) วันที่: 8 ธันวาคม 2549 เวลา:18:31:14 น.  

 


สุขสันต์วันหยุดค่ะ







โดย: โสมรัศมี วันที่: 9 ธันวาคม 2549 เวลา:12:33:59 น.  

 
...อ่านจบแล้วคร๊าบ 555 เหนื่อยไปด้วย แต่ว่าปราสาทเขาเยอะจริงๆเนอะ อยากไปเหมือนกันนะเนี่ยะ แต่หาคนร่วมทริปไม่ได้เลย คงต้องพึ่งทัวร์แล้วมั่งงานนี้


โดย: B.B.P. (boybangplee ) วันที่: 13 ธันวาคม 2549 เวลา:9:11:14 น.  

 
อยากไปมาก ตอนอยู่เมืองไทยก็ไม่มีโอกาสได้ไปซักทีทั้งๆที่อยู่ใกล้ๆ


โดย: Matthew_Larsson วันที่: 19 มีนาคม 2550 เวลา:20:08:36 น.  

 
อันยิ้มเห็นฟัน ไกด์ก็ชี้ให้ดู แสดงว่าคนนี้ดังสุดเนอะ


โดย: พัมกิ้น IP: 203.155.247.40 วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:16:15:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Snoopy in BKK
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ก็แค่อยากจะเล่าสู่กันฟัง ....
Friends' blogs
[Add Snoopy in BKK's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.