4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
18 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 
อีวาน มิลัต : นักฆ่าแบ็คแพ็คเกอร์ (ตอนที่ 2 จบ)



คดีนี้นับว่ามีข้อมูลน้อยที่สุดเท่าที่เคยพบ นักสืบที่มีประสบการณ์หลายคนทำคดีนี้มาเป็นปีแต่ไม่คืบหน้า สถานที่เกิดอาชญากรรมก็เป็นที่เปลี่ยวไม่มีพยานบุคคลใด ๆ แต่สมอลไม่ย่อท้อ ที่สำคัญกว่านั้นฆาตกรยังลอยนวล เขาเรียกประชุมทีมงานทันที่ โดยให้บ็อบ ก็อกเดน เจ้าหน้าที่สืบสวน เป็นผู้ช่วยของสมอล และรีบตั้งกองบัญชาการที่ซิดนีย์ และใช้ห้องทำงานที่ว่างติดตั้งโทรศัพท์ 30 สาย และคอมพิวเตอร์อีกกว่าสิบเครื่อง เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับสถานีตำรวจบาวรัลซึ่งสมอลเป็นฐานเพื่อความสะดวกในการเข้าไปที่อุทยานเยบันโกลทุกวัน สมอลเสี่ยงตัดสินใจเป็นมิตรกับสื่อมวลชน นักข่าวนับร้อยจากทั่วโลกหลั่งไหลกันมาทำข่าวในคดีนี้ นอกจากนี้เขายังจัดสรุปข่าวในป่าตอน 8.00 น. ทุกวัน และช่วงบ่ายอีกรอบในเมืองบาวรัล "เราต้องเหวี่ยงแหหาข้อมูลทุกทาง" เขาบอก การตัดสินใจนี้เกือบทำให้การสืบสวนล่มในสัปดาห์แรก มีโทรศัพท์สายด่วนเข้ามากกว่า 2,000 ราย ภายในไม่กี่วันก็ได้รายชื่อผู้ต้องสงสัยกว่า 2,500 ราย ทุกรายจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด และตำรวจต้องสัมภาษณ์ตัวต่อตัวหลายรายเผื่อพบเบาะแสเชื่อมโยงกับการฆาตกรรม หรือคดีเด็กหนุ่มสาวที่หายตัวไปซึ่งมีรูปถ่ายติดอยู่ที่ศูนย์บัญชาการของสมอลจำนวนมาก



► ซีโมน ชมิดเดิล
คนหนึ่งในบรรดารูปถ่ายผู้สูญหายเหล่านั้นคือ ซีโมน ชมิดเดิล สาววัย 21 ปี จากเมืองเรเกินสบูร์ก ประเทศเยอรมนี นักเดินทางผู้ช่ำชองที่เคยท่องไปทั่งแคนาดา อลาสก้า นิวซีแลนด์ ก่อนที่จะมาออสเตรเลียเป็นหนที่ 2 เมื่อวันที่ 19 มกราคม 1991 คืนนั้นซีโมนพักอยู่กับเพื่อน ๆ ที่กิลฟอร์ดไม่ไกลจากลิเวอร์พูล พวกเพื่อนได้ยินเรื่องราวน่ากลัวเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวประเภทแบกเป้เที่ยวเอง และขอร้องไม่ให้เธอโบกรถ แต่ซีโมนไม่ฟังเสียงนั้นแล้วมุ่งหน้าไปสนามบินเมลเบิร์นเพื่อพบแม่โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใด ๆ ซีโมนเป็นสาวรูปร่างสูงใหญ่ และรู้จักเอาตัวรอดจึงไม่เคยมีปัญหาในการเดินทาง เธอมักแบกเป้ใบโตขึ้นไหล่และดูโดดเด่นในชุดเสื้อกล้ามสีเหลืองกับกางเกงขาสั้นสีเขียว ผมสีเข้มหยิกหยอยถูกรวบไว้ด้านหลังด้วยที่รัดผมสีม่วง ขณะสวมกอดอำลาเพื่อนนักท่องเที่ยวชาติเดียวกัน และให้สัญญาว่าจะโทรหาจากเมลเบิร์น ทันทีที่แม่ของซีโมนไปถึงเพื่อน ๆ ก็แจ้งว่าลูกสาวของเธอหายไป แม่ของซีโมนอยู่ออสเตรเสียต่ออีกห้าสัปดาห์ ขณะที่พ่อของซีโมนซึ่งเป็นอดีตสามีและมีลูกคนเดียวพยายามสงบใจกับข่าวนี้ตั้งหน้าทำงานอาชีพขับรถโดยสารต่อไป และรอคอยการกลับมาของลูกสาวอย่างไม่ไร้จุดหมายนานนับเดือน เธอไม่กลับมาบ้านอีกเลย......

► พบศพ
ในเวลาเดียวกัน ที่อุทยานเบลันโกลตำรวจถึง 300 นายยังคงค้นหาต่อไปและต้องลงคลานคุกเข่าเรียงหน้ากระดานบ่อย ๆ เพื่อค้นทุกตารางนิ้วของแนวกับไฟป่าที่แผ้วถางแล้วทั้ง 2 ด้าน จนกระทั่ง เวลา 15.15 น.ของวันที่ 1 พ.ย. 1991 แถวตรวจค้นชะงักทันทีเมื่อมีเสียงตะโกนว่า "พบแล้ว" ลึกเข้าไปในป่าประมาณห้ากิโลเมตรจากจุดที่พบ เดเบอราห์ เอเวอร์ริสต์ และเจมส์ กิบสัน เจ้าหน้าที่เจอชิ้นส่วนที่อาจเป็นกระดูกท่อนขาของมนุษย์ ภายในกองใบไม้ แอนดรูว์กรอส เจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุพบกระดูกชิ้นใหญ่อีกชิ้น จากนั้นยังมีรองเท้าเดินป่า เสื้อกล้ามสีเหลืองเปื่อยยุ่ยและกางเกงขาสั้นสีเขียวซีด สันนิษฐานว่าศพคงอยู่ตรงนั้นมา 2-3 ปีแล้ว รอบกะโหลกศีรษะมีสายรัดสีม่วงซีดจนออกเทา ในห้องชันสูตรที่ซิดนีย์ หมอปีเตอร์แบรดเฮินต์ บันทึกว่ามีแผลถูกแทงสองแห่งที่สันหลังและหกแห่งที่หน้าอก เขาปลดสร้อยออกจากคอศพ สร้อยเส้นนี้ตลอดจนแหวนและปลอกคอหนังมีลายแกะสลักแบบเมารีที่พบอยู่ใกล้ศพ หลักฐานระบุได้ว่าเหยื่อรายนี้คือ ซีโมน ชมิดเดิล



► กาบอร์ นอยเกเบาเออร์ และ อันยา ฮับส์ชี
พ่อแม่ของกาบอร์ นอยเกเบาเออร์ เป็นห่วงลูกชายที่ไม่ส่งข่าวมาหาอีกเลยเกือบสองปี ลูกชายวัย 21 ปี ที่หายตัวไประหว่างท่องเที่ยวในออสเตรเลีย กับอันยา ฮับส์ชีด เพื่อนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมิวนิก กาเบอร์โทรกลับบ้านก่อนวันคริสต์มาสหนึ่งคืน เมื่อ ปี 1991 เขาวางแผนจะไปเที่ยวดาร์วินก่อนไปบาหลี ต่อมาพวกเขาพบว่าจดหมายและของขวัญที่ส่งไปถึงกาบอร์และอันยาที่ไปรษณีย์ในดาร์วินไม่มีคนมารับ ตั๋วเครื่องบินไปบาหลีก็ไม่ได้ใช้ พ่อแม่ของกาบอร์กังวลมากจึงบินไปออสเตรเลียพร้อมกับพี่ชายของอันยา พวกเขาค้นหาอยู่สี่สัปดาห์และเดินทางนับพัน ๆ กิโลเมตร แต่คว้าน้ำเหลวกลับบ้าน



สามวันหลังพบศพซีโมน ชมิดเดิล ผืนป่าเผยความลับดำมืดอีก จากจุดที่พบศพซีโมนไปทางตะวันออกเกือบสองกิโลเมตรทีมสำรวจหยุดแถวเมื่อได้ยินเสียง"พบแล้ว" ดังขึ้น เจ้าหน้าที่เหลือบเห็นโครงกระดูกสีขาวด้านข้างแนวไฟป่าระยะห่างไปราว 55 เมตรก็พบอีกศพ เป็นศพของอันยาและกายอร์ ห่างจากศพของกาบอร์ไปราว 150 เมตร ตำรวจพบปลอกกระสุน .22 กองใหญ่และเทปพันสายไฟ เชือกสีขาวและสายหนังซึ่งคงจะใช้มัดเหยื่อมีเศษสายสร้อยสีเงินขาดตกอยู่ เป็นสร้อยคอที่พี่ชายอันยาให้ตอนครบรอบวันเกิดอายุ 18 ปี และสันนิษฐานได้ว่าคงมีการต่อสู้กันรุนแรง และมีการทำร้ายร่างการอย่างเหี้ยมโหดหลายรูปแบบ อันยาถูกตัดศีรษะ สันนิษฐานว่าเธอคงอยู่ในท่าคุกเข่าเหมือนรับดาบรอการประหาร คางชิดอก อาวุธใหญ่และคมที่บั่นลงมาตัดขาดสะบั้นที่กระดูกท่อนที่สี่บริเวณคอ แต่ไม่พบศีรษะเธอ กาบอร์ถูกยิงที่ศีรษะหกนัดด้วยปืน .22 ในปากมีผ้าอุดไว้ไม่ให้ส่งเสียงและผ้าหนึ่งผืนมัดปาก กระดูกรูปตัวยูที่ฐานลิ้นร้าวสันนิษฐานว่าเขาคงถูกรัดคอ อันเค นอยเกเบาเออร์ แม่ของกาเบอร์เดินทางไปออสเตรเลียเพื่อรับศพกาบอร์กลับบ้าน เธอนั่งลงในสถานที่พบศพและร้องไห้เงียบ ๆ กลางหมู่แมกไม้ยูคาลิปตัส จากนั้นก็พูดกับก็อดเดนว่า "ฉันรู้ว่าเวลาของคุณมีค่าแต่ขออยู่ที่นี่ตามลำพังสักชั่วโมงได้ไหมคะ" "อยู่ได้นานตามใจคุณครับ ไม่ต้องห่วง" เขาบอกแล้วปลีกตัวเดินเข้าไปในป่า ....... หัวอกของคนเป็นแม่แทบแตกสลาย!

► สืบสวนอย่างหนัก
กลางเดือนพฤศจิกายน 1993 การตรวจค้นอุทยานเบลันโกลเสร็จสิ้น ทีมงานของสมอลไปรวมตัวกันที่ศูนย์บัญชาการในซิดนีย์ ตอนนั้นเป็นช่วงต้นหน้าร้อนอากาศเริ่มอบอ้าว ในห้องปฏิบัติการฝุ่นหนาเตอะมีสภาพเป็นห้องโถงใหญ่ห้องเดียว กำแพงถูกรื้อออก เพราะสมอลอยากให้ทีมงานใกล้ชิดและสื่อสารกันได้เร็วขึ้น โทรศัพท์แจ้งเบาะแสยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ขณะที่งานมหาศาลกำลังรอ ทีมงานซึ่งประกอบด้วยนักสืบ 38 คน เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลคอมพิวเตอร์และเจ้าหน้าที่ช่วยงานทั่วไปอีกกว่า 20 คน ในที่สุดทีมงานก็รวบรวมหลักฐานที่มีไปขยายผล กระสุน .22 ที่ใช้ยิงกาบอร์เป็นแบบเดียวกับที่พบในตัวแคโรไลน์ คลาร์ก รอยประทับรูปจันทร์เสี้ยวบนปลอกกระสุนที่พบใกล้กับศพทั้งสองระบุว่ายิงจากปืนกระบอกเดียวกัน คือปืน .22 รูเกอร์ 10/22 ผลิตก่อนปี 1982 ตำรวจได้ข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิปืนในสหรัฐฯ ว่า ปืนรูเกอร์แบบเดียวกับที่ผู้ต้องสงสัยใช้มีการนำเข้ามาในออสเตรเลียทั้งสิ้นถึง 55,000 กระบอก ในระหว่างปี 1964 - 1965 พวกเขาสร้างฐานข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธทั้ง 55,000 กระบอก ทีมงานอาศัยข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตจนสามารถติดตามได้ว่า ปืนแต่ละกระบอกส่งไปร้านปืน สโมสรยิงปืน และผู้ซื้อรายย่อยรายไหนบ้าง ทางการประกาศขอให้ผู้มีปืนประเภทนี้แจ้งข้อมูลให้กับทางการทราบ ทั้งยังตรวจบันทึกร้านขายปืนเพื่อหาว่าใครเคยนำปืนรูเกอร์ 10/22 มาซ่อมบ้าง นับว่าเป็นการปฏิบัติการที่ใหญ่มาก อย่างไรก็ตาม หน่วยเฉพาะกิจพบสิ่งหนึ่งที่ทำให้สมอลใจเต้น ใกล้ศพของกาบอร์พวกเขาพบกล่องเปล่าใส่กระสุนยี่ห้อวินเชสเตอร์ อาตเคน ใส่กระสุน .22 ที่ใช้ยิงกาบอร์ กับแคโรไลน์ คลาร์ก บรรจุกล่องมีหมายเลข ACD1CF2 เจ้าหน้าที่ค้นเอกสารที่โรงงานผลิตวินเชสเตอร์ที่กีลอง วิคตอเรีย พบว่ากระสุนรุ่นนี้ผลิตค่อนข้างน้อยแค่ 320,000 นัด แต่ไม่ได้วางขายที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ หลังรื้อค้นเอกสารการขายและใบสั่งซื้อสินค้าเป็นกล่อง ๆ ตำรวจเชื่อว่ากระสุนเลขหมายนี้ออกจากโรงงานระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน - 30 พ.ย. 1988 และวางจำหน่ายทั่วออสเตรเลีย

ขั้นต่อไปตำรวจสืบสวนต้องไปสอบถามกับร้านขายส่งและร้านปืน เริ่มจากร้านในพื้นที่เกิดเหตุ พยายามหาดูว่าใครซื้อกระสุนรุ่นนี้ไปในช่วงเวลานั้น ส่วนนักสืบอีกกลุ่มวุ่นอยู่กับฐานข้อมูลเพื่อหาตัวคนร้ายที่เคยต้องโทษคดีทางเพศ ลักพาตัวหรือทำร้ายร่างกาย จากข้อมูล
แวดล้อมที่เชื่อมโยงกันระหว่างคดีฆาตกรรมเหล่านี้ สมอลและลินช์ร่วมกันตั้งข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือของคน ๆ เดียวกัน กองกำลังตำรวจรัฐทั่วออสเตรเลียแจ้งหน่วยเฉพาะกิจว่ามีใครต้องสงสัยบ้าง โดยรวมมีฆาตกรที่เคยต้องโทษแล้วห้ารายที่ถูกสอบสวน แต่ทุกรายมีพยานอ้างอิงทำให้พ้นข้อสงสัย การสืบสวนยืดเยื้อไปถึงปลายปี 1993 สมอลยิ่งรู้สึกเครียด เหยื่อทุกรายหายตัวไปในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ ยกเว้นโจแอน วอลเทอร์ กับแคโรไลน์ คลาร์ก ฆาตกรจะลงมืออีกไหม เขาเพิ่มกำลังตำรวจสายตรวจและเสริมกำลังจับตาคนที่่คอยโบกรถเดินทางจากซิดนีย์บนทางหลวงฮูม อีกเรื่องที่น่าวิตกคือปริมาณของข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาถึงเดือนมกราคม 1994 ระบบคอมพิวเตอร์ใกล้ล้นและอัดแน่นด้วยข้อมูลเกือบ 1.5 ล้านข้อมูล ร็อด ลินช์เตือนสมอลว่าหน่วยเฉพาะกิจ ไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ "เราอาจต้องเริ่มต้นใหม่หมด แต่จะได้ระบบใหม่ที่ดีกว่าเติม " ด้วยอารมณ์ที่ไม่เป็นสุขนัก สมอลจ้องออกไปนอกหน้าต่างเห็นแสงสีทองของช่วงเย็นหน้าร้องเวลา 19.00 น. แต่อากาศในตึกยังอบอ้าว เขาคงกลับบ้านไปพบหน้าลูก ๆไม่ทันเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น แอมเบอร์วัย 11 ปี หรือโจชัววัย 14 ปี เขานิ่งคิดชั่วขณะ ระบบคอมพิวเตอร์ใหม่หมดหรือ มีเขาเพียงคนเดียวที่จะตัดสินใจได้ "ก็ได้" เขาสรุป "ลงมือเลย" ร็อด ลินซ์และทีมนักวิเคราะห์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อติดตั้งระบบใหม่ แต่สมอลยังไม่หายวิตกกับปริมาณข้อมูลอันมหาศาล รายละเอียดบางอย่างอาจถูกมองข้ามไปได้ มีใครในฐานข้อมูลที่เราเคยดูประวัติแล้วและน่าจะมีความเป็นไปได้บ้างว่าน่าจะเป็นฆาตกรโรคจิตต่อเนื่อง

► โครงร่างฆาตกร
ในการประชุมระดมผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเพื่อช่วยสร้างเค้าร่างทางจิตวิทยาของฆาตกร มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 1994 ที่ประชุมเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยสืบราชการลับ ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์แพทย์ด้านนิติจิตเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ฯลฯ มาช่วยร่วมหารือกำหนดบุคลิกของฆาตกรรายนี้หลายชั่วโมง

จนกระทั่งได้โครงร่างมาว่า การที่ศพผู้เคราะห์ร้ายถูกฝังในป่าเขา แสดงถึงลักษณะฆาตกรรมว่าเป็นคนที่โอ่บุคลิกแบบ "ชายชาตรี" ฆาตกรอาจเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์ ชอบเก็บของที่ระลึกจากเหยื่อเพราะเจ้าหน้าที่ไม่พบสมบัติสักชิ้นของเหยื่อแต่ละราย สาเหตุจากการฆ่า ทางเพศอาจเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งแม้จะไม่ใช่สาเหตุหลัก แม้มีหลักฐานชัดว่าผู้เคราะห็ร้าย 4 รายลูกล่วงเกินทางเพศ การผูกมัดลวก ๆ ที่พบในศพของเดบอราห์ เอเวอริสต์ กับกาบอร์ ยอนเกเบาเออร์ บอกว่าฆาตกรไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้าและส่อว่าฆาตกรชอบพันธนาการเหยื่อ ส่วนร่องรอยของกองไฟใกล้ที่พบศพ แสดงให้เห็นว่าฆาตกรใช้เวลาอ้อยอิ่งอยู่ตรงที่เกิดเหตุ น่าจะเป็นชายวัย 40 ปี อาจเป็นเด็กมีปัญหาตั้งแต่ในโรงเรียน อ่อนด้อยในการสร้างสัมพันธภาพและอาจจะฆ่าเพียงเพื่อความสุขที่ได้แสดงอำนาจ เป็นคนชอบเล่นปืนเล่นมีด และคงเป็นเสาหลักในครอบครัวตน

ช่วงพักการประชุมนี้เอง สมอลคุยกับเพื่อนที่มาประชุมว่ามีผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งที่เขาเห็นว่าส่อพิรุธจากการค้นหาข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ เป็นครอบครัวขนาดใหญ่มีสมาชิกครอบครัวหลายคน แต่อาศัยอยู่กระต๊อบในไร่โกโรโกโส ชอบซื้อกระสุนเป็นจำนวนมาก หลายคนในครอบครัวนี้เคยกระทำผิดในคดีประเภทต่าง ๆ ทุกคนในที่ประชุมหูผึ่งทันที "ไคลฟ์ คุณต้องจับตาดูครอบครัวนี้ให้ดี"

► ครอบครัวมิลัต
ครอบครัวมิลัต นับว่าเป็นครอบครัวที่มีประวัติซับซ้อนยุ่งยากดีแท้ เพราะพวกเขามักเปลี่ยนชื่อเรียกหลายครั้งมาก และมักจดทะเบียนเป็นเจ้าของรถและอาวุธปืนในชื่อของกันและกันเสมอ ครอบครัวนี้ประกอบด้วย สเตฟาน ผู้พ่ออพยพมาจากยูโกสลาเวีย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาแต่งงานกับสาวออสเตรเลียอ่อนวัยกว่าครึ่งรอบและมีลูกทั้งหมด 14 คน ลูกสาว 4 ลูกชาย 10 แน่นอนมีลูกมากจะยากจน สเตฟานผู้พ่อต้องทำงานหนักตลอด7 วันไม่มีวันหยุด เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวในบ้านที่พอคุ้มแดดคุ้มฝนในเมืองเล็ก ๆ ใกล้ลิเวอร์พูล โดยความเครียดนี้เองทำให้เขาเข้มงวดกับตัวเองและเข้มงวดกับลูก ๆ ลูกคนหนึ่งบอกว่า "ถ้าเรากลับบ้านเละพ่อรู้ว่าไปสร้างปัญหาที่ไหนมาพ่อจะหวดเราลงไปกองกับพื้น" แต่กระนั้นลูก ๆ ของสเตฟานส่วนใหญ่แต่ละคนล้วนก็วีรกรรมดี ๆ ทั้งนั้น เช่น ลูกชาย 4 คนในครอบครัวผ่านคุกตะรางมาแล้วนับไม่ถ้วนในข้อหาลักทรัพย์ งัดแงะ ขโมยรถ และครอบครองอาวุธโดยผิดกฎหมาย ลูกชายคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งวอลเทอร์พี่ชายเป็นคนขับ และเดวิดพี่ชายอีกคนก็เสียแขนข้างหนึ่งไป และสมองพิการในอุบัติเหตุอื่น ๆ 2 ครั้ง

ไมเคิล มิลัตติดคุกหลายปีข้อหาพัวพันในคดีลักทรัพย์โดยใช้อาวุธ นอกจากนิสัยชอบเล่นปืน ยังมีเหตุผลอื่นที่ทำให้ทีมสืบสวนสะดุดใจครอบครัวนี้ในจำนวนข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามากมาย เนื่องจากมีคำให้การของสมาชิกคนหนึ่งของสโมสรยิงปืนบาวรัลซึ่งอยู่ใกล้ป่าเบลันโกล บอกว่
าเขาออกจากสโมสรในช่วงเวลาเดียวกับโจแอน วอลเทอร์ กับแคโรไลน์คลาร์กหายตัวไปในเดือนเมษายน 1992 โดยสวนกับรถสองคันที่กำลังเลี้ยวเข้าป่า คันหนึ่งเป็นฟอร์ดฟอลคอนสีน้ำตาล อีกคันเป็นรถตู้ขับเคลื่อนสี่ล้อสีไข่ไก่และสีน้ำตาล ซึ่งน่าจะเป็นโฮมเพจโรดีโอ ในรถฟอลคอนมีชาย 4 คน ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งกลางระหว่างชาย 2 คนที่เบาะหลัง ผู้หญิงมีผ้าอุดปาก "เป็นผ้าผืนสีน้ำผึ้งพันรอบหัวและรอบปาก " รถอีกคันก็มีผู้หญิงถูกอุดปากนั่งไปด้วย ชายผู้ให้การคนนี้ชื่อ อเล็กซ์ มิลัต อดีตคนงานเหมืองวัย 59 ปี หนึ่งในสมาชิกครอบครัวมิลัต ตำรวจแวะเวียนไปซักถามยืนยันคำให้การของเขาหลายครั้งแต่ละครั้งอเล็กซ์ มิลัต กลับให้รายละเอียดเพิ่มขึ้น ถึงขนาดบรรยายแผลเป็นและรอยสักบนมือของชายคนหนึ่งในรถ ทั้ง ๆ ที่ ใครจะไปเห็นทันในรายละเอียดขนาดนั้นเวลาที่รถสวนกับบนถนนคลุ้งฝุ่น ทำไมเขาต้องโกหกขนาดนั้น? ทำไมอเล็กซ์รอนานถึงปีครึ่งจึงรายงานเรื่องน่ากลัวแบบนี้ หรือว่าเขาพยายามแกล้งให้ข้อมูลเพื่อดึงตำรวจให้ไขว้เขว หรือพยายามจะบอกตำรวจอ้อม ๆ ว่ามีเรื่องน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นในหมู่ญาติพี่น้องของเขา สมอลสั่งให้ทีมงานขุดคุ้ยถึงครอบครัวนี้ต่อไป ไม่ช้าทีมนักสืบก็พุ่งความสนใจไปที่ อีวาน มิลัต น้องชาย



► อีวาน มิลัต
อีวาน มิลัต ป็นน้องชายวัย 49 ปี ของอเล็กซ์ ในช่วงวัยรุ่นเขาเคยก่อคดีหลายคดีมาก สวนใหญ่มักเป็นคดีจำพวกลักรถและงัดแงะ อีวานเป็นชายร่างเตี้ยม่อต้อ ไว้หนวด ตาสีฟ้าเข้ม และแข็งแรงเหลือหลาย เขาปรับตัวกับสังคมได้อย่างดีเยี่ยมจนได้เป็นพนักงานสร้างทางตัวอย่างของกรมทางหลวงในลิเวอร์พูล อดีตนายจ้างคนหนึ่งบรรยายว่าอีวานเป็นคน ซื่อสัตย์ สุภาพ และไว้ใจได้ อีวานอยู่กับเชอลีย์น้องสาวที่บ้านในอีเกิลเวลใกล้ลิเวอร์พูล คนในละแวกนั้นมองว่าเขาเป็นเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจ มักรีบไปช่วยเวลารถใครเสียหรือช่วยตัดต้นไม้ เป็นคนดูแลสวนที่บ้านตัวเองอย่างสวยงามไม่มีที่ติ ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ ในล้างและขัดรถขับเคลื่อนสี่ล้อโฮมเดนแจ็กการูกับมอเตอร์ไซค์ ฮาร์เลย์เดวิดสันคันโปรด ทั้งยังคอยแวะเวียนไปดูแม่ที่ชราและน้องชายสมองพิการซึ่งอยู่กับแม่ในเมืองกิลฟอร์ดที่อยู่ใกล้ ๆ แต่เมื่อตรวจดูประวัติด้านมืดของเขาพบว่า หลายปีก่อนหน้านี้ช่วงอีสเตอร์ปี 1971 อีวานรับคนโบกรถขึ้นมา 2 คนคือ มาร์กาเร็ต แพ็ตเทอร์สัน และเกรตา เพียต์ที่ทางหลวงฮูม


เขาเลี้ยวรถเข้าไปบนถนนลูกรังและหยุดรถ พร้อมกับบอกว่า "พวกเธอคนใดคนหนึ่งต้องยอมนอนกับฉัน ไม่งั้นจะฆ่าทิ้งทั้งคู่" ว่าแล้วก็ชักมีดและเชือกออกมาเตรียมพร้อมจะจับเหยื่อมัด มาร์กาเร็ตตกลงยอมเพื่อให้เขาขับรถต่อและไม่ทำร้ายพวกเธอ เกรตาตั้งท่าจะหนีเมื่อมีจังหวะ
 แต่อีวานคว้าสร้อยหน้าที่ใส่ติดคอได้ทันควัน และตวัดแน่นด้วยกำลังมหาศาล จากนั้นก็จับเธอมัดไว้ และยังขับรถต่อจนถึงปั๊มน้ำมันและสั่งให้มาร์กาเร็ตออกไปซื้อน้ำให้ เมื่ออยู่ในร้าน มาร์กาเร็ตบอกพนักงานขายว่า "มีผู้ชายคนหนึ่งในรถ เขามีมีดและข่มขืนฉัน" ชาวบ้านกรูกันออกไปที่รถ เกรตาซึ่งถูกแก้มัดแล้วหนีออกมาได้ ส่วนอีวานขับรถหนี ตำรวจไล่กวดแต่ก็ยังตามไม่ทัน แต่ไม่นานนักก็จับตัวในภายหลังที่ด่านตำรวจ และประกันตัวออกมาไม่นานนัก ในระหว่างประกันตัวออกมา อีวานหนีไปนิวซีแลนด์ และกลับมาอีก 3 ปีต่อมา และถูกจับขึ้นศาลในเดือน ธันวาคม 1974 แต่การพิจารณาคดีลูกขุนเชื่อว่าฝ่ายหญิงสาวยอมตามที่อีวานให้การ ศาลจึงตัดสินให้เขาพ้นผิด แต่เมื่ออีวานกลับจากนิวซีแลนด์อีกครั้ง สันดานเก่าก็ไม่หาย เขาไปปล้นชิงทรัพย์กับน้องชาย แต่ทำไม่สำเร็จและทำให้ไมเคิลน้องชายติดคุกส่วนเขารอดอย่างหวุดหวิด จนกระทั่งหนีมาอยู่กับพี่ชายที่ออสเตรเลียในเวลาต่อมา.................... 

► จุดประกาย
นอกจากนั้นทีมงานของสมอลได้รับการติดต่อจากผู้หญิง 2 คน คือแมรี เทรกิลลาสและ เทเรส ทราน ทั้งสองเล่าว่า ในปี 1977 เคยโบกรถที่แคมป์เบลทาวน์ใกล้ทางหลวง และเคยถูกอีวาน มิลัต และ ริชาร์ด มิลัต น้องชายอีกคนจะฆ่าตอนที่อาสาขับรถไปส่ง ซึ่งโชคดีที่ทั้งสองต่อสู้ขัดขืนจนรอดมาได้ แต่คำให้การของแมรีและเทเรสแทบไม่มีประโยชน์ในศาล เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้น 17 ปีมาแล้ว และไม่แน่นอนว่ามันจะมีความเกี่ยวโยงกันกับคดีฆาตกรรมที่ป่าเบลันโกล ตำรวจพยายามเจาะหาข้อมูลเกี่ยวกับอีวานมากขึ้น และหาตัวคาเรน อดีตภรรยาของเขาจนพบเธอ เธอบอกตำรวจว่าอีวานเป็นคนคลั่งปืน และชอบซ่อนปืนพกเล็ก ๆ ไว้ข้างในรองเท้าบู๊ต เขายังเก็บปืนลูกโม่อีกกระบอกไว้ในกล่องใต้เตียงหรือใต้เบาะที่นั่งคนขับ ปืนตลอดจนสมบัติอื่นมักมีชื่อย่อสลักไว้คือตัวเอ็มมีตัวไอพาดขวาง คาเรน และเจสัน ลูกติดจากสามีอีกคนเคยเข้าไปในป่าเบลันโกลกับอีวานหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นเขายิงจิงโจ้และปาดคอมัน คาเรนเล่าว่าถูกเธอถูกอีวานผู้เป็นสามีข่มขู่และทำร้ายตลอดเวลาที่อยู่กับด้วยกัน ที่สุดในวันวาเลนไทน์ ปี 1987 คาเรนฉวยโอกาสหนีตอนสามีไม่อยู่บ้านสองสามวัน และเมื่อหนีออกมาได้เธอเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม และย้ายไปหลบซ่อนที่อื่น ไม่กลับมาให้อีวานเห็นอีกเลย เมื่ออีวานกลับมาบ้าน อีวานบันดาลโทสะบุกไปบ้านพ่อแม่เธอและต้องการรู้ที่อยู่ใหม่ของคาเรน แต่พ่อแม่ของคาเรนไม่ยอมบอก ต่อมาโรงรถของพ่อแม่คาเรนจะถูกไฟไหม้เป็นจุลโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นอีวานก็มีความสัมพันธ์กับอดีตน้องสะใภ้คนหนึ่ง แต่ก็เลิกรากันไป และนั้นเองที่เป็นสาเหตุที่เขาเกลียดผู้หญิงและเป็นตัวจุดประกายให้เขาเป็นฆาตกร.....

► จับหมู (หิน) 
ในเมื่ออีวานเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ สมอลสั่งให้ตรวจสอบกับที่ทำงานของเขาว่า วันที่นักท่องเที่ยวแต่ละรายหายตัวไปนั้น เขาลาพักร้อนหรือลากิจหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีตำรวจคอยจับตาดูอีวานและบ้านของเขาที่ถนนซินนาบาร์ในอีเกิลเวลเพื่อมองหาหลักฐาน ที่อาจเชื่อมโยงเขากับคดีฆาตกรรมที่ป่าเบลันโกล "ทุกอย่างที่เรามีตอนนี้เป็นพฤติการณ์แวดล้อมไม่มีมูลพอจะฟ้องอีวานได้" สมอลหารือกับทีมงาน จากข้อมูลกองพะเนินที่หลั่งไหลกันเข้ามา เจ้าหน้าที่พบบันทึกจากผู้หญิงชื่อ โจแอน เบอรี ในเดือนมกราคม 1990 เธอรับนักท่องเที่ยวคนหนึ่งในสภาพตกใจกลัวสุดขีดขึ้นรถ เขาบอกว่าถูกคนขับชื่อ อีวาน มิลัต ที่รับเขาขึ้นที่ทางหลวงฮูมทำร้ายเขา เธอจึงขับพาไปส่งที่สถานีตำรวจบาวรับ เหยื่อคนนั้นชื่อ พอล อันเนียนส์ วิศวกรวัย 24 ปี เดินทางมาจากอังกฤษ แต่สถานีตำรวจบาวรับไม่ได้ลงบันทึกแจ้งความเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ไม่มีการติดต่อสอบถาม มีแค่บันทึกคร่าว ๆ ลงรายงานประจำวันของตำรวจเวรตอนที่อันเนียนส์มาที่สถานีตำรวจ ความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจแบบนี้ส่งผลให้สมอลใช้เวลาหลายสัปดาห์ตรวจสอบคดีลักพาตัวที่เกิดขึ้นทุกกรณีในบริเวณนั้นตั้งแต่ปี 1985 หมดโอกาสที่จะได้เบาะแสสำคัญ 

จากการตรวจสอบกับนายจ้างของอีวานพบว่า วันที่ พอล อันเนียนส์ ถูกทำร้ายนั้น อีวานไม่ได้ไปทำงาน และวันที่ 25 ม.ค. 1987 ตำรวจโทรไปหาอันเนียนส์ ซึ่งตอนนี้กลับไปอยู่ที่อังกฤษ เขายินดีที่จะชี้ตัวคนที่ทำร้ายและข่มขู่เขาในวันนั้น ถ้าอันเนียนส์ระบุตัวคนทำร้ายเขาได้ อย่างน้อยก็สามารถฟ้องจับอีวานข้อหาพยายามลักพาตัวได้ วันที่ 5 พ.ค. 1994 ที่สำนักงานใหญ่ตำรวจนิวเซาท์เวลส์ พอล อันเนียนส์ ดูรูปถ่าย 13 ใบ ผ่านจอวิดีโอ ทั้งหมดเป็นชายไว้หนวด หลังฉายภาพกลับไปกลับมาหลายรอบ อันเนียนส์หยุดตรงภาพที่ 4 "คนนี้แหละ.หน้าและหนวดแบบนี้ " มันเป็นภาพของอีวาน มิลัต

ถึงตอนนี้สมอลและทีมงานมีหลักฐานพอจะฟ้องอีวานข้อหาพยายามลักพาตัวแล้ว แต่ขาดหลักฐานที่จะเชื่อมโยงเขากับฆาตกรรมที่ป่าเบลันโกล และอีวานเป็นคนเจนจัดเรื่องคุกตะราง สมอลรู้ดีกว่าเขาคงไม่เสียขวัญรีบรับสารภาพเป็นแน่ จึงให้ตำรวจ 300 นายดำเนินการค้นบ้านอีวานและบ้านอื่น ๆ อีก 7 หลังที่ญาติพี่น้องผู้ต้องสงสัยเป็นเจ้าของหรืออยู่อาศัย ก่อนที่ลงมือค้นบ้าน สมอลตัดสินใจส่ง บ็อบ เบนสัน เจ้าหน้าที่สืบสวนอาวุโสไปถาม อเล็กซ์ มิลัต ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ไร่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งในรัฐควีนส์แลนด์ เรื่องที่เห็นผู้หญิงถูกปิดปาก แต่อเล็กซ์ยังคงยืนกรานตามคำให้การเดิมจนบัดนี้ ขณะเบนสันดื่นกาแฟคุยกับอเล็กซ์และโจแอนภรรยา ทันใดนั้นเธอก็ถามขึ้นว่า เป้ของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายสีอะไร เมื่อเบนสันบรรยายให้ฟัง โจแอนเดินออกไปจากห้องและกลับมาพร้อมหิ้วเป้ลายสีม่วงแดง ชมพู เทา และดำ เบนสันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ดูเหมือนจะเป็นใบเดียวกับของซีโมน ชมิดเดิล โจแอนบอกว่าอีวาน พี่เขยของเธอให้ไว้ก่อนที่พวกเขาจะย้ายมาควีนส์แลนด์ เบนสันพยักหน้าเหมือนไม่สนใจ เขาเปิดกระเป๋าดูข้างในมีตัวอักษรย่อเขียนไว้เป็นตัวเอ็มขวางด้วยตัวไอ เมื่อสมอลทราบเรื่องนี้เขาร้องเสียงลิงโลดว่า "เราได้ตัวมันมาแล้ว"


เช้าวันรุ่งขึ้นเวลา 6.40 น. ของวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค. ขบวนรถตำรวจปิดถนนซินนาบาร์ในอีเกิลเวล เหลือช่องพอให้รถตู้ที่มีเจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาของรัฐซึ่งเป็นหน่วยจู่โจมแล่นผ่านไปได้ ที่บ้านของมิลัต เสียงโทรศัพท์ภายในบ้านพักของอีวานดังขึ้น "ตำรวจล้อมบ้านไว้หมดแล้ว" ตำรวจตัวแทนการเจรจาบอกอีวานซึ่งเพิ่งงัวเงียลุกขึ้นมารับสาย

"ทางการมีหมายค้นบ้านทุกหลังของคุณที่เกี่ยวข้องกับคดีปล้นชิงทรัพย์" "พูดเล่นน่า" อีวานบอกกับตำรวจ

"ผมขอให้คุณออกมาจากบ้านเพื่อความปลอดภัยของคุณเองและ คนในบ้าน ออกมาทางประตูหน้า หน่วยอารักขาของรัฐในชุดดำคอยคุณอยู่แล้วพร้อมอาวุธครบมือ ตอนที่ก้าวออกมาขอให้หันหน้าไปทางเจ้าหน้าที่และนอนราบก้มหน้าลงกับพื้น"

"ยังไงก็ได้" อีวานตอบ แต่อีวานไม่ยอมออกมาตามที่พูด

เมื่อตำรวจโทรเข้าไปอีกทีเสียง ชาลิมเดอร์ ฮิวจ์ แฟนเขารับสายแทน หลังคุยกันสั้น ๆ อีวานกลับมารับสายอีกรอบและอ้างว่าที่ไม่ออกไปเพราะคิดว่าเพื่อนที่ทำงานเล่นตลก "ไม่ล้อเล่นแน่ นี่ตำรวจของจริง" ท้ายที่สุดอีวานยอมปรากฎตัว เขาใส่เสื้อลายตาหมากรุกและกางเกงยีน "หันไปทางซ้าย นอนราบลง" ตำรวจร้องตระโกนทันทีที่แฟนเขาปรากฎตัว เจ้าหน้าที่รีบประกบตัวไปขึ้นรถซึ่งจอดรออยู่แล้ว ตำรวจกรูกันเข้ามาบ้านของอีวาน ตำรวจพบร่องรอยว่ามีการรีบร้อนกลบเกลื่อนหลักฐานบางอย่าง ส่วนอีวานมีท่าทางไม่ยี่หระ เขาถูกใส่กุญแจมือและนำตัวกลับเข้าไปในบ้านเพื่อสอบปากคำ ตำรวจบอกว่าเขาถูกจับข้อหาใช้อาวุธปล้นชิงทรัพย์ ตำรวจถามว่าเข้าใจไหมว่ากำลังถูกจับ "เข้าใจแต่ผมไม่ได้ทำครับ"

สตีเฟน ลีช ตำรวจสืบสวนร่างใหญ่ไว้เคราถามเขาเกี่ยวกับเป้หลังและป่าเบลันโกล อีวานตอบว่า "ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร", "คุณมีปืนในบ้านไหม", "ไม่มี", "เคยไปที่ป่าเบลันโกลไหม", "ผมเคยขับรถบนถนนลูกรังที่ตัวเข้าไปในป่านั้น แต่ก็นานมาแล้ว กว่าหลายสิบปี" ในห้องนอนของอีวาน ตำรวจพบกระสุนปืน .22 หลายสิบนัด ม้วนเทปพันสายไฟสีดำ ใบขับขี่ในชื่อไมเคิลน้องชายแต่ติดรูปอีวานเอง นอกจากนี้ยังมีโปสการ์ดจากนิวซีแลนด์ เริ่มด้วยคำว่า "สวัสดีบิล" ลีชถามต่อว่า "คุณเคยใช้ชื่อว่าบิลไหม" อีวานส่ายหน้า ตำรวจพบปืนพก .32 บราวนิงซ่อนอยู่ใต้เครื่องซักผ้าในห้องนอนอีกห้อง และยังพบกระสุน .22 กับถึงพลาสติกใส่ปลอกกระสุน .22 วินเชสเตอร์ที่ใช้แล้ว (ต่อมาพบว่ามีลักษณะเฉพาะของรอยเข็มแทงชนวนของปืนรูเกิร์ล 10/22 ซุกอยู่ในรองเท้าบู๊ตที่ตู้เก็บของในห้องโถง ต่อมาเมื่อตรวจค้นตามโพรงใต้หลังคาและกำแพงก็พบชิ้นส่วนอื่น ๆ ของปืนกระบอกเดียวกัน และแหนบกระสุนสำรอง ในส่วนอื่น ๆ ของบ้าน ตำรวจพบถุงนอนแบบเดียวกับที่ซีโมน ชมิดเดิล และเดบอราห์ เคยเป็นเจ้าของ กล้องถ่ายรูปโอลิมปัสแบบเดียวกับของแคโรไลน์ คลาร์ก และชุดหุงต้มแบบเดียวกับที่ซีโมนใช้ กระติกน้ำสลักชื่อย่อว่าไอเอ็ม แตกต่างจากการตรวจด้วยแสงอัลตราไวโอเลตระบุว่า มีผู้ขีดชื่อเดิมออก ชื่อนั้นคือซีโมน เหยื่อรายหนึ่งนั่นเอง เต็นท์สีเขียวในโรงรถมียางสีม่วงที่ใช้รัดเหยื่อ ในโรงรถยังมีปลอกหมอนแถบเขียวและเชือก 5 เส้น เส้นหนึ่งยังมีคราบเลือดเปื้อนติดอยู่ การพิสูจน์ดีเอ็นเอจากพ่อและแม่ของเหยื่อ พบว่าเลือดนั้นเป็นของแคโรไลน์ คลาร์ก



ที่บ้านแม่ของอีวาน ตำรวจพบเสื้อแบบเดียวกับที่เคยเป็นของพอล อันเนียนส์ บ้านของริชาร์ด มิลัต ตำรวจพบเต็นท์สีน้ำเงินและถุงนอนของแคโรไลน์ คลาร์ก ใกล้ ๆ กันนั้นที่บ้านของวอลเทอร์ มิลัต พบเป้ใบเล็กที่เคยเป็นของซีโมน ชมิดเดิล และกระสุน .22 ในกล่อง ซึ่งเป็นรุ่
นเดียวกับที่พบใกล้ศพกาบอร์ นอบเกเบาเออร์ ที่สนามยิงปืนของบ้านพี่น้องมิลัต ตำรวจพบปลอกกระสุน 16,000 อัน ซึ่งอย่างน้อย 4 ปลอกมีรอยเข็มแทงชนวน เหมือนปลอกกระสุนที่พบใกล้ศพแคโรไลน์ คลาร์ก กับกาบอร์ นอยเกเบาเออร์ หลักฐานที่จะโยงตัวอีวานกับคดีฆาตกกรมที่เบลันโกลมีมากมายจนไคลฟ์ สมอล ถึงกับงงงัน แต่ก็ยังไม่ดีใจจนออกนอกหน้า เขาต้องคอยเตือนตัวเองว่า อีวานน่ะเคยรอดเงื้อมมือกฎหมายมาได้หลายครั้งแล้ว

► การพิจารณาคดีและจุดจบ
วันที่ 24 ต.ค. 1994 เจ้าหน้าที่ดำเนินการไต่สวนอีวานระหว่างฝากขังที่ศาลเมืองแคมป์เบลทาวน์ พ่อแม่ของโจแอน วอลเทอร์, แคโรไลน์ คลาร์ก, เจมส์ กิบสัน, กาบอร์ นอยเกเบาเออร์ และพ่อของซีโมน ชมิดเดิล, แม่ของเดบอราห์ เอเวอริสต์ และอันยา ฮับส์ชีด ผลัดกันมาให้ปากคำ อีวาน มิลัต โกนหนวดเอี่ยมอ่อง สวมสูท ผูกเนกไทเรียบร้อย และมองพยานทีละคนด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจำเลยถูกส่งตัวให้คณะลูกขุนพิจารณา การพิจารณาคดี ใช้เวลาทั้งสิ้น 18 สัปดาห์ เริ่มที่ศาลเซนต์เจมส์ในนครซิดนีย์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1996 นับเป็นการพิจารณาคดีฆาตกรรมที่กินเวลานานที่สุดของออสเตรเลีย เมื่อเผชิญหน้ากับรายการหลักฐานมากมาย ทั้งอาวุธ อุปกรณ์พักแรม และหลักฐานอื่น ๆ อีวาน มิลัต ยังทำหน้าเฉยอ้างว่าไม่รู้เรื่องว่าของเหล่านี้มาอยู่ในครอบครองของเขาหรือครอบครัวเขาได้อย่างไร "เห็นได้ชัดว่ามีคนพยายามใส่ร้ายผม" ครอบครัวมิลัตยังคอยเป็นกำลังใจช่วยเหลือกันในศาล โจแอนภรรยาของอเล็กซ์ยืนกรานว่าเธอเองไม่เชื่อว่าอีวานที่เป็นคนเขียนอักษรย่อไอเอ็นลงบนเป้ที่เขาให้เธอ สมาชิกครอบครัวอีกหลายคนขึ้นให้การว่าอีวานอยู่ที่บ้านแม่ในวันที่ 26 ธ.ค. 2534 ดังนั้นคงไม่มีทางเกี่ยวข้องกับการหายตัวของอันยา ฮับส์ชีดและกาบอร์ นายเกเบาเออร์

ในทำนองเดียวกัน ญาติพี่น้องหลายคนยืนยันว่าตนไปเดินทางพักแรมกับอีวาน เมื่อเดือนเมษายน 1992 ตอนที่โจแอน วอลเทอร์ และแคโรไลน์ คลาร์ก หายตัวไป ในอัลบั้นภาพแคโรลินภรรยาของ บิล มิลัต มีภาพที่ดูเหมือนจะยืนยันคำให้การนั้น เมื่อตำรวจตรวจสอบอัลบั้มภาพ พบว่าวันที
่ในภาพได้รับการแก้ไขจากปี 1991 เป็น 1992 วันที่ 27 ก.ค. 1996 หลังจากพิจารณาหลักฐานกันสองวันครึ่ง ลูกขุนจึงแถลงคำตัดสินว่า อีวาน มิลัต มีความผิดจริงในข้อหาฆาตกรรมทั้งเจ็ดราย และข้อหา พยายามลักพาตัวพอล อันเนียนส์ ศาลลงโทษให้จำคุกตลอดชีวิต ผู้พิพากษาเดวิดฮันต์พูดในทำนองว่า ควรขังไว้ในคุก "ตราบจนจำเลยสิ้นอายุขัย" ผู้พิพากษาพยายามควบคุมน้ำเสียงเมื่ออ่านคำตัดสิน "หนุ่มสาวทั้งเจ็ดคนนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต อนาคตรอคอยพวกเขาอยู่ ไม่ว่าสาเหตุการตายของแต่ละรายจะเป็นด้วยเหตุใด แต่ที่เห็นชัดคือ ลักษณะที่พวกเขาถูกกระทำโดยพฤติกรรมที่เย็นชา เฉยเมยกับความทุกข์ ไร้ซึ่งมนุษยธรรม เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริง ๆ" อีวาน มิลัต ไม่ยอมแสดงความรู้สึกสำนึกผิดหรือเสียใจ เขายื่นอุทธรณ์ แต่ศาลปฏิเสธในเดือนกุมภาพันธ์ 1998 ไคลฟ์ สมอลได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองปราบปราม ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่สืบสวน 600 นาย ทำคดีฆาตกรรมและอาชญากรรมรุนแรง

พอล อันเนียนส์ พยานคนสำคัญปฏิเสธไม่ขอรับส่วนแบ่งเงินรางวัล จำนวน 25,000 เหรียญที่มีส่วนช่วยจับตัวฆาตกรรายนี้ได้ เขาขอให้ส่งเงินไปให้ครอบครัวของผู้เคราะห์ร้าย และส่วนหนึ่งบริจาคให้กลุ่มช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายในคดีฆาตกรรมใจรัฐนิวเซาท์เวลส์ "รอดมาได้ก็เป็นรางวัลแล้วครับ" เพื่อระลึกถึงลูกสาวที่จากไปสองสามีภรรยา คลาร์ก จัดผสมพันธุ์กุหลาบสีพีชและตั้งชื่อว่า แคโรไลน์ คลาร์ก ซึ่งบานเป็นครั้งแรกในสวนของพวกเขาที่นอทัมเบอร์แลนด์เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ไม่ไกลจากสุสานเซนต์แมรี ซึ่งแคโรไลน์หลับอย่างนิรันดร์.



► ก่อนทิ้งท้าย 
ฟพี – เจ้าหน้าที่ เผย ิวาน มิลัต ฆาตกรต่เนื่งชาวสเตรเลีย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที หลังจากหั่นนิ้ว ใส่ซงจดหมาย ที่จ่าหน้าถึงศาลสูง โดยฝากยามไปส่งให้

มิลัต วัย 64 ปี ต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิต ในเรือนจำขังเดี่ยว ฐานฆาตกรรมนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็ก 7 คน ในออสเตรเลีย เมื่อทศวรรษที่ 1990 โดย 5 คน ในจำนวนนั้นเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 

เจ้าหน้าที่เรือนจำเล่าว่า เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยเจ้าหน้าที่คุ้มกันในวันนี้ (26 มกราคม 2009) หลังจากเฉือนนิ้วตัวเองขณะอยู่ในห้องขัง 
“มิลัต ตัดนิ้วมือข้างซ้ายออกเล็กน้อย แล้วใส่ไว้ในซองจดหมาย ที่เขาจ่าหน้าถึงศาลสูงออสเตรเลีย เขามอบให้กับเจ้าหน้าที่เรือนจำ ระหว่างเวลาที่ถูกขัง ประมาณ 15.30 น.” โฆษกหญิงเรือนจำกล่าว

เธอเสริมว่า นิ้วมือของเขาถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง ขณะที่เข้าก็ยังถูกใส่กุญแจมือ โซ่คล้องขา และติดอุปกรณ์ควบคุม ในระหว่างผ่าตัดต่อนิ้วฉุกเฉิน มิลัตยังคงมีท่าทีที่สงบ และไม่ได้แสดงอาการช็อกแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะสามารถต่อนิ้วของเขาได้หรือไม่

ทั้งนี้ มิลัต เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งของออสเตรเลีย ถูกตัดสินจำคุกในปี 1996 ฐานฆาตกรรมนักท่องเที่ยวสะพายเป้ชาวอังกฤษ 2 คน เยอรมัน 3 คน และชาวออสเตรเลีย 2 คน ส่วนศพของทั้ง 7 คน ซึ่งถูกสังหารในระหว่างปี 1989-1994 นั้น ถูกพบในป่าเบลันโกล อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า เขาอาจเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมอีกมากถึง 30 คดีทีเดียว
........










Create Date : 18 กรกฎาคม 2558
Last Update : 22 กันยายน 2560 15:24:19 น. 0 comments
Counter : 4082 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.