4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 
ปริศนาการตายของจิอันนี เวอร์ซาเซ

ในโลกแห่งแฟชั่น คงไม่มีใครรู้จักดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกคนนี้ จิอันนี เวอร์ซาเซ ใคร ๆ ต่างขนานนามเขาว่า “ซีซาร์แห่งโลกแฟชั่น” ซึ่งผู้คนยกย่องเขาเป็นถึงราชันย์เลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ความสำเร็จในวงการแฟชั่นเท่านั้น เขายังมีทรัพย์สินกว่า 1,000 ล้าน และชอบชีวิตที่หรูหรา เขามีคฤหาสน์ 4 หลังในมิลานและเลกโคโม ในอิตาลี นิวยอร์ก และที่ไมอามี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาชอบอยู่บ้านที่ไมอามีที่สุด เวอร์ซาเซให้เหตุผลที่ชอบบ้านในไมอามี่ว่า บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่เขตชุมชนที่เขาสามารถเปิดโล่งบริเวณหน้าบ้านหันออกทะเล มีถนนที่ผู้คนและนักท่องเที่ยวสัญจรไปมาอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ตลอดเวลา ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและกลมกลืนกับผู้คน ในขณะเดียวกันบ้านของเขาเหมือนป้อมปราการเพราะเขาติดระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนามาก เสมือนกับว่าบ้านของเขาเหมือนคุกยังไงอย่างงั้น เวอร์ซาเซรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ชีวิตในไมอามี่มาก และที่ไมอามีแห่งเองนี้เองก็กลายเป็นที่จุดจบชีวิตผู้นำแฟชั่นอย่างไม่น่าเชื่อ!!


จิอันนี เวอร์ซาเซ เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1946 ในเมืองท่าทางตอนใต้ของอิตาลี ชื่อเรจจิโอ คาลาเบรีย เมืองแห่งตำนานของเทพเจ้ากรีก จิอันนี เวอร์ซาเซ เป็นบุตรคนที่ 2 ของตระกูล โดยมีพี่ชายซานโต้ และน้องสาวโดนาเทลล่า ฟรานเชสก้าแม่ของเวอร์ซาเช่ เป็นช่างตัดเสื้อผ้าตามแฟชั่นของปารีส ซึ่งเวอร์ซาเชเริ่มงานเป็นดีไซน์เนอร์ตั้งแต่เด็ก ๆ โดยการช่วยแม่ปักชุดต่าง ๆ เขาฉายแววด้านแฟชั่นตั้งแต่วัยเยาว์ และเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาหลงรักในแฟชั่น เวอร์ซาเชชอบศิลปะและดนตรี วาดรูปผู้หญิงเพื่อออกแบบเสื้อผ้า และตามพ่อไปดูละครโอเปร่า ละครเวที เขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ในการช่วยแม่เย็บกระดุมเสื้อ พับผ้า และหัดตัดเย็บ และยังได้เรียนรู้เรื่องผ้าด้วยการตามแม่ไปต่างเมืองเพื่อเลือกซื้อผ้าสำหรับตัดเสื้อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลกับเขามากในการศึกษาเรื่องออกแบบในเวลาต่อมา เสื้อผ้าชุดแรกของเขาได้ออกแบบเมื่อตอนเขาอายุ 10 ขวบ เป็นเสื้อกำมะหยี่แบบโรมันที่มีสายคล้องไหล่ข้างเดียว เขามักจะให้โดนาเทลราน้องสาวเป็นนางแบบเสื้อผ้าที่เขาออกแบบขึ้น พอจิอันนีเริ่มโตขึ้นมาก็เข้าเรียนวิชาสถาปัตยกรรม จิอันนีเริ่มก้าวเข้าสู่ถนนสายแฟชั่นเมื่อปี 1972 โดยทำงานที่ร้านเสื้อผ้าชื่อ "ฟลอเรนทีน ฟลาวเวอร์" ในเมืองลุคก้า ทางตอนใต้ของมิลาน ซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ออกแบบเสื้อผ้า ในช่วงนั้นอิตาลีกำลังนิยมเสื้อผ้าที่เน้นประโยชน์ใช้สอย ดูเรียบ ๆ สีทึม ๆ จำพวกสีเทา และสีเบจ แต่จิอันนี เวอร์ซาเชกลับนำเสนอเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส ดูโดดเด่น สะดุดตา ซึ่งเป็นก้าวแรกในการปฏิวัติเสื้อผ้าสตรี เขาคิดว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียบร้อยเป็นกุลสตรีตลอดเวลา ผู้หญิงอาจดูเซ็กซี่นิดหน่อย ตราบเท่าที่ยังดูเฉลียวฉลาด มีอารมณ์ขัน และดูดี ทำให้เสื้อผ้าในคอลเลคชั่นแรกของเขาประสบความสำเร็จอย่างสูง จึงกลายเป็นนักออกแบบที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในวงการแฟชั่นอิตาลี


หลังจากการได้ เริ่มออกแบบดีไซน์เสื้อผ้าแฟชั่นแล้ว เวอร์ซาเซ ได้ต่อยอดตัวเอง ด้วยการเข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นผู้จัดซื้อสินค้า ด้านสิ่งทอต่าง ๆ จนทำให้เขามีความรู้เรื่องปลีกย่อยเกี่ยวกับสิ่งทอจนแตกฉาน ซึ่งมันมีประโยชน์ต่อเขาอย่างมหาศาลเกี่ยวกับงานออกแบบของเขาเองในเวลาต่อมา เขาได้มีโอกาสเป็นครั้งแรกที่จะได้แสดงผลงานชิ้นสุดยอดของเขา ให้กับ Fiori Fiorentini , a Lucca บริษัทที่อยู่ในอิตาลี จากจุดนี้เวอร์ซาเซ ตัดสินใจเดินทางสู่ศูนย์กลางแฟชั่นของมิลาน โดยเข้าร่วมงานกับบริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่ จิรอมเบลลี่ที่นั่นเขาได้มีเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ใหม่เป็นของ ตนเอง "คอมปลิเช่" เป็นเสื้อผ้าที่ดูเป็นวัยรุ่น ดูสนุกสนาน และดูเก๋ไก๋ ต่อมาในปี 1976 จิอันนี เวอร์ซาเซ ได้ตัดสินใจทำธุรกิจของตนเองโดยชวนซานโต้พี่ชายมาเป็นหุ้นส่วน ซึ่งจุดแข็งของซานโต้คือ การวางแผนธุรกิจ และการวางกลยุทธ์ ต่อมาดอนนาเทลล่า น้องสาวจึงได้เข้ามามีส่วนช่วยสร้างภาพลักษณ์ของงานออกแบบให้กับเวอร์ซาเช ดอนนาเทลล่าเป็นคนกระฉับกระเฉง ดูทันสมัย บุคลิกของเธอและการมองโลกเป็นสิ่งสำคัญ ดอนนาเทลล่ามักจะแนะนำอะไรสวย ๆ จากมุมมองที่เธอเป็นผู้หญิงเป็นประโยชน์มากสำหรับการออกแบบของจิอันนี่ เวอร์ซ่าเช่ 

ในปี 1978 พวกเขาได้เปิดร้านเสื้อผ้าร้านแรกที่เวีย เดลล่า สปิก้า เขตชอปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดของมิลาน และได้จัดแฟชั่นคอลเลคชั่นแรกของเขาซึ่งเป็นการออกแบบที่ผสมผสานศิลปะ และความเซ็กซี่เข้าด้วยกันจนเป็นที่กล่าวขาน เวอร์ซ่าเชเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการโปรโมตเสื้อผ้าของเขาก็คือให้คนมีชื่อเสียงสวมใส่เสื้อผ้าของ เวอร์ซาเช่เป็นดีไซเนอร์คนแรกที่มีผู้ชมแถวหน้าสุดเป็นดารา ลูกค้าของเวอร์ซาเช่ที่โด่งดังที่สุดคือ มาดอนน่า, จอน โบวี่, ทีน่า เทอร์เนอร์ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังดีไซน์เสื้อผ้าสำหรับประเภทร็อคแอนด์โรลแก่ อีริค แคลปตัน, เอลตัน จอห์น, ไมเคิล แจ็คสัน สินค้าของเวอร์ซาเซ ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ในปี 1985 เวอร์ซาเซก็ได้สร้างจุดเด่นบนตราสินค้าเป็นครั้งแรกงานแสดงชุดที่ออกแบบที่มิลาน อิตาลี 

สำหรับการแสดงแฟชั่นโชว์เวอร์ซาเชนั้นไม่เหมือนใคร เขาได้ปั้นนางแบบบนแคทวอล์คเป็นดาราดังหลายต่อหลายคน อาทิ ลินดา, นาโอมิ แคมเบล, คริสตี้ โดยให้สาว ๆ เดินไปตามจังหวะดนตรีไปหาคนดู และให้พวกเธอคอยเล่นหูเล่นตาเพื่อตรึงคนดูไว้ และนำเสนอจุดเด่นของนางแบบ แต่ละค
น สร้างภาพให้เธอดูเซ็กซี่ แสนสวย และมีพลัง สไตล์การออกแบบของเวอร์ซาเชได้กลายเป็น ตัวตราสินค้าของมันเอง หากใครต้องการจะยลโฉม งานของหรืออยากรู้ว่างานเวอร์ซาเชมันเป็นแนวอย่างไง คุณก็ลองดูงานการออกแบบของเวอร์ซาเช ก่อนว่างั้นเถอะ เรารู้กันดี ในเรื่องของการเป็นเจ้าพ่อของเวอร์ซาเซ เจ้าแห่งการออกแบบที่มีสีสัน วัสดุแปลก ๆ ใหม่ ๆ เสมอตลอดจนการทำคัตติ้งในทุก ๆ ครั้งกับการออกแบบสินค้าตัวใหม่ของเขา เขาจะให้แต่เพียงคอนเซ็บต์ของงานคร่าว ๆ เป็นอย่างมากก่อนกับทีมงาน หลังจากนั้นผู้ช่วยของเขาจะต้องทำการเปลี่ยนมันให้เป็นผลิตภัณฑ์ ที่สามารถสวมใส่ได้อีกที ในฐานะที่เขาเป็นนักสรรหาวัตถุดิบ เช่น ผ้าชนิดใหม่ ๆ จึงทำให้เขาชอบการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งมันก็ทำให้เขามีประสบการณ์ กับสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

แต่แล้วท่ามกลางความมีชื่อเสียง ความร่ำรวย ความรุ่งเรื่องของเวอฺซาเซกลับหยุดลงอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยเหตุผลที่คนทั่วไปแทบรับไม่ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเขาถูกฆาตกรรม!! เหตุการณ์นั้นตรงกับวันที่ 15 กรกฎาคม 1997 จิอันนี่ เวอร์ซาเช ถูกยิงที่ศีรษะเสียชีวิต เช้าตรู่วันนั้น จิอันนี เวอร์ซาเซออกจากคฤหาสน์หรู 40 ล้าน ซึ่งเขาเรียกมันว่าคาซาซัวรินา เพื่อออกมาเดินอออกกำลังกายไปรอบ ๆ บริเวณนั้นตามที่เขาเคยปฏิบัติทุก ๆ เช้า และทุกเช้าเช่นกัน เวอร์ซาเซจะเดินเลยคฤหาสน์ของเขา เพื่อตรงไปยังร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อซื้อกาแฟกลับบ้านและแวะซื้อนิตยสารกับหนังสือพิมพ์ เป็นกิจวัตรซ้ำ ๆ ที่เขามักทำในขณะที่อยู่ไมอามีแห่งนี้

เมื่อมาถึงหน้าร้านกาแฟเวอร์ซาเซได้หยุดและหันมองรอบ ๆ อีกครั้ง คล้ายกัยมีใครบางคนจ้องมองและตามเขาอยู่ ต่อมาเขาเดินเข้ามาในร้านเลือกซื้อนิตยสาร 2-3 เล่ม กับกาแฟหนึ่งแล้ว แล้วเวอร์ซาเซก็ตรงกลับบ้าน ในช่วงที่เขาเดินขึ้นบันได้เพื่อเปิดประตูเหล็กหน้าคฤหาสน์ซึ่งไม่ได้ล็อกอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินพุ่มมาทางด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นตรงเข้ามาลั่นกระสุนปืนที่ด้านหลังศีรษะของเวอร์ซาเซ 2 นัด ร่างของเขาล้มไปทันที เลือดสด ๆ ฉีดพุ่งออกจากบาดแผลไหลลงตามขั้นบันไดหน้าคฤหาสน์คล้ายธารน้ำตก ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น เพื่อนชายของเวอร์ซาเซ คือ แอนโตนิโอ ดามิโก ได้วิ่งออกมาจากด้านใน ตรงเข้ามาที่ร่างของเวอร์ซาเซ ที่นอนจมกองเลือดอยู่ แต่เขาไม่เห็นคนร้ายแต่อย่างใด เวอร์ซาเซถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่มันก็สายไปเสียแล้ว แพทย์ได้แถลงการณ์ตายของจิอันนี เวอร์ซาเซ ว่าเขาสิ้นใจตายตั้งแต่ที่เกิดเหตุแล้ว ทันทีที่ข่าวการฆาตกรรมของเวอร์ซาเซได้แพร่ออกไป ที่หน้าคฤหาสน์คาซาคาซิวรินาของเขา ก็เต็มไปด้วยผู้คนและสื่อมวลชนจากแขนงต่าง ๆ ที่เข้ามามุงกันในบริเวณนี้นเต็มไปหมด ซึ่งในที่เกิดเหตุนั้นตำรวจได้ทำการปิดล้อมบริเวณด้วยเทปเหลือง คำถามที่ระงมไปทั่วทั้งบริเวณในขณะนั้นก็คือ “ใครคือคนที่ยิงเวอร์ซาเซ?” และ “ทำเพื่ออะไร?”



ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่เวอร์ซาเซจะโดนสังหารในช่วง 2-3 เดือนก่อน เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้นในหลายท้องที่ต่างกัน 4 คดี (ก่อนที่เวอร์ซาเซจะโดนสังหาร) โดยจุดเด่นของคดีคือทุก ๆ ครั้งที่เกิดเหตุฆาตกรรม ฆาตกรจะทิ้งรถยนต์ของเหยื่อรายก่อนหน้าซึ่งขโมยมาไว้ในที่ก่อเหตุฆาตกรรมเหยื่อรายต่อไปทุก ๆ ครั้ง ส่วนในคดีของเวอร์ซาเซ ตำรวจพบรถยนต์เชฟโรเร็ต แบบกะบะสีแดง ซึ่งเป็นของเหยื่อฆาตกรต่อเนื่องรายก่อนจอดอยู่ใกล้ ๆ คฤหาสน์ของเวอร์ซาเซ ภายในรถนั้นมีกองเสื้อผ้าถูกถอดเปลี่ยนเอาไว้กับพาสปอร์ตของฆาตกร ชื่อในพาสปอร์ตคือ “แอนดรูว์ ฟิลลิป คูนาแนน"

เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1997 ในมินนิอาโพลิส มีคนแจ้งตำรวจให้ไปตรวจสอบห้องในอพาร์ตเมนต์ห้องหนึ่งที่คิดว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้น เมื่อตำรวจไปถึงพวกเขาพบศพชายคนหนึ่งถูกทุบศีรษะด้วยค้อนจนเสียชีวิต ศพห่อม้วนอยู่ในพรมปูพื้นผืนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังคือ เจฟฟรีย์ เทรล อายุ 28 ปี เป็นผู้จัดการบริษัทขนส่งน้ำมันแห่งหนึ่งในมินนิอาโพลิส

ความจริงในห้องที่พบศพนั้น เจ้าของห้องจริง ๆ ไม่ใช่เจฟฟรีย์ เทรล แต่เป็นเดวิด แมดสัน แต่ตำรวจตามตัวเขาไม่ได้ อีกทั้งจากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าปืนลูกซองขนาด .44 พร้อมกล่องกระสุนเกิดหายไปจากห้องพัก อีกทั้งในคืนก่อนจะเกิดเรื่อง เพื่อนบ้านก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงภายในห้องของแมดสัน ตำรวจตั้งข้อสงสัยว่าเดวิด แมดสันเป็นฆาตกร และเขาหายตัวไปพร้อมกับรถจิ๊บเชอโรกี รถส่วนตัวของเขา....

ในวันที่ 3 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1997 คนตกปลาสองคนพบศพเดวิด แมดสัน นอนตายอยู่ที่ชายฝั่งทะเลสาปแห่งหนึ่งที่อีสต์ รัช เลก ในมินนิพาโพลิช บนศพมีร่องรอยถูกยิงที่ศีรษะ 2 นัด และหลัง 1 นัด ด้วยปืน .44 คาลิเบอร์ของเขาเอง แต่ไม่พบรถจิ๊บเชอโรกีแต่อย่างใด

วันที่ 4 พฤษภาคม ที่ชิคาโก มีผู้พบศพลี มิกลิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย 72 ปี นอนตายอยู่ในโรงรถของเขาเอง สภาพศพนั้นใบหน้าถูกพันด้วยเทปจนมิด เว้นไว้แต่เพียงช่องจมูกเท่านั้น ที่คอของมิกลินมีรอยถูกเชือดด้วยเลื่อยทำสวน ส่วนหน้าอกถูกปักด้วยกรรไกรเล็มหญ้า ใกล้ ๆ กันนั้นมีรถจิ๊บเชอโรกีของแมดสันจอดทิ้งเอาไว้ แต่รถเล็กซัสของมิกลินกลับหายไป จากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าเสื้อสูทชั้นดีของมิกลิน และกระเป๋าเอกสารที่มีเงินประมาณ 2,000 ดอลลาร์หายไป จากนั้นร่องรอยของฆาตกรก็เงียบหายไป เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เซลลูลาร์ ในฟีลาเดลเฟีย ได้รับสัญญาณการใช้โทรศัพท์จากเครื่องของลี มิกลิน ซึ่งติดต่อจากภายในรถที่หายไป และในอีก 4 ชั่วโมงต่อมามีการใช้อีกครั้ง แต่ครั้งที่สองนี้สัญญาณถูกเปิดชั่วขณะแล้วปิดลง (คูนาแนนคงไหวตัวทันว่าโทรศัพท์นี้อาจจะชี้เป้าอย่างชัดเจนกับตำรวจว่าเขาอยู่ไหน หลักฐานคือหลังจากตำรวจพบรถเล็กซัสของลี มิกลินแล้ว มีร่องรอยพยายามทุบทำลายโทรศัพท์ทิ้งอยู่ในรถด้วย) แต่ตำรวจก็ไม่สามารถติดตามเบาะแสได้มากไปกว่านี้

การโทรศัพท์ของคูนาแนนทำให้ตำรวจเชื่อว่าเขาอยู่ในฟิลาเดลเฟีย จึงได้กระจายกำลังตำรวจและ FBI ตามล่าเขาตามเส้นทางที่เชื่อมต่อฟิลาเดลเฟียกับรัฐต่าง ๆ แต่เนื่องจากการวางแผนครั้งนี้ไม่ได้เป็นความลับ อีกทั้งสื่อมวลชนดักฟังวิทยุตำรวจ ทำให้สื่อมวลชนแจ้งเบาะแสให้ประชาชนทราบว่าฆาตกรชื่อคูนาแนนยังอยู่ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งคูนาแนนก็ได้ยินข่าวในวิทยุเช่นกันจึงหลีกไปใช้เส้นทางรถเส้นทางอื่น วันที่ 9 พฤษภาคม พบศพ วิลเลียม รีส ผู้ดูแลสุสานในเพนน์สวิลล์ นิวเจอร์ซีย์ ถูกยิงด้วย .44 คาร์ลิเบอร์ เสียชีวิตในห้องทำงานของเขาเอง และใกล้กันนั้นพบรถเล็กซัส ของลี มิกลิน จอดทิ้งไว้ ในขณะเดียวกันรถกระบะเซฟโรเล็ตของวิลเลียม รีส กลับหายไป ซึ่งก็คือรถกระบะคันเดียวกันกับที่พบใกล้กับคฤหาสน์ของเวอร์ซาเซนั่นเอง ก่อนการสังหารวิลเลียม รีส ตำรวจติดตามเส้นทางการหนีของคูนาแนนอีก คราวนี้ตำรวจเชื่อว่าเขาน่าจะอยู่ที่กองประชาสัมพันธ์ของสะพานอนุสรณ์สถานเดลาแวร์ เพื่อขอข้อมูลท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ซึ่งที่นี่เป็นที่ตั้งของสุสานทหารผ่านศึกในช่วงสงครามกลางเมือง เจ้าหน้าที่อุทยานจำหน้าคูนาแนนได้เลยแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อตำรวจไปถึงพบว่าเขาหายตัวไปแล้ว มีการค้นหาเขาในสถานที่แห่งนี้ จนกระทั่งเกิดศพที่ 4 ขึ้น



หลังการฆาตกรรมรายที่ 4 ตำรวจแกะรอยเส้นทางของคูนาแนนเป็นระยะ มีการคาดเดาต่าง ๆ นานา จากตำรวจว่าคูนาแนนไปไหน ผลสุดท้ายก็คาดการว่าเขาน่าจะไปนิวยอร์ก มีการระดมกำลังมาดักรอที่นิวยอร์กเพื่อตามจับ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ปรากฏตัว ความจริงคูนาแนนนั้นเข้ามาในไมอามีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้ว เขาเอาทรัพย์สินของผู้ตายไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินที่โรงจำนำ ในระหว่างอยู่ในไมอามี่ คูนาแนนพักในโรงแรมนอร์มังดี พลาซา มาตั้งแต่ 12 พฤษภาคม โดยใช้ชื่อปลอมกับพาสปอร์ตฝรั่งเศส พักในห้อง 116 ห้องที่เล็กที่สุดและถูกที่สุด ต่อมาเขาก็เปลี่ยนห้องใหม่ถึง 3 หน จนหยุดที่ห้อง 322 จนกระทั่งหายไป 1-2 วัน ก่อนการลงมือสังหารเวอร์ซาเซ

วันที่ 11 กรกฎาคม ปีค.ศ.1997 ตำรวจไมอามีพลาดอย่างแรงในการจับตัว แอนดรูว์ คูนาแนนที่ร้านฟาสต์ฟูดแห่งหนึ่งในไมอามี พนักงานแจ้งให้ตำรวจไปพบ แต่เมื่อตำรวจไปถึงคูนาแนนก็ออกจากร้านไปเสียแล้ว โดยพนักงานไม่สามารถทำอะไรได้เลย

รูปภาพของ Hathairat Traithip


ายหลังมีการเปิดเผยข้อมูลอีกว่า ถ้าตำรวจใส่ใจสักนิดจะพบว่าคูนาแนนพักอยู่ในละแวกใกล้ ๆ กับร้านฟาสต์ฟูด และถ้าตำรวจไหวตัวทันเวอร์ซาเซอาจไม่ต้องตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของคูนาแนนก็ได้ ตำรวจปักใจเชื่อว่า เวอร์ซาเซตกเป็นเหยื่อรายหนึ่งของฆาตกรต่อเนื่องนาม แอนดรูว์ ฟิลลิป คูนาแนน และคูนาแนนได้ถูกขึ้นบัญชีว่าเป็น "10 อาชญากรร้ายแรงที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด” ที่น่าแปลกใจคือทุกครั้งที่คูนาแนนขโมยรถ เขาไม่เคยเปลี่ยนทะเบียนรถแต่อย่างใด ยกเว้นกรณีสังหารเวอร์ซาเซนั้น รถเซฟโรเล็ตของวิลเลียม รีส กลับถูกเปลี่ยนป้ายทะเบียน นอกจากนี้ระยะห่างของการฆ่าวิลเลียม รีส และเวอร์ซาเซนั้นอยู่ห่างกันเดือนเศษ ความจริงยังมีคดีฆาตกรรมที่คาดว่าจะเป็นฝีมือของคูนาแนนอีกคดีหนึ่งคือ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1997 ตำรวจได้รับแจ้งว่า พบศพชายคนหนึ่งชื่อ เคซีย์ แพตทริก อายุ 41 ปี แพตทริกตายเพราะถูกของแข็งทุบตีจนเสียชีวิตที่อพาร์ตเมนต์ของเขา จากการสอบถามเพื่อนบ้านพบว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายกลับเข้าห้องของเขาพร้อมกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายคูนาแนน และรถโตโยตา เซลิกาของแพตทริกหายไป แต่กระนั้นตำรวจก็ไม่มีหลักฐานใดที่จะยืนยันได้ว่านั่นเป็นฝีมือของคูนาแนน เพียงแต่มีพฤติกรรมในการฆ่าคล้ายกันเท่านั้น

เรื่องของคูนาแนนที่สามารถรอดพ้นมือการจับกุมของตำรวจและสามารถก่อคดีฆาตกรรมร้ายแรงแบบข้ามรัฐตลอด 3 เดือนนี้ สื่อมวลชนตั้งฉายาแก่เขาว่า “เงาปีศาจ” เกิดอะไรขึ้นกับแผนสืบสวนของตำรวจในการไล่จับคูนาแนน ทั้ง ๆ ที่ทีมตำรวจและ FBI ทราบตัวฆาตกรและรายละเอียดแล้ว ตั้งแต่การฆาตกรรมรายแรก และตำรวจทุกรัฐได้รับรายงานเกี่ยวกับฆาตกรรายนี้ในฐานะฆาตกรระดับอันตรายระดับหนึ่ง มีการประชาสัมพันธ์ทั้งลงใบปลิวออกแจกจ่ายทั่ว มีโปสเตอร์ของเขาปิดตามสถานบันเทิงต่าง ๆ โดยเฉพาะบาร์เกย์ เนื่องจากเหยื่อที่คูนาแนนฆ่านั้นส่วนมากเป็นเกย์ และคูนาแนนก็มีพฤติกรรมรักร่วมเพศเช่นกัน แต่เขายังสามารถวนเวียนปะปนอยู่ในสังคมได้นานถึง 3 เดือน



(จากซ้ายไปขวา เจฟฟรีย์ เทรล, เดวิด แมดสัน, ลี มิกลิน 
และวิลเลียม รีส เหยื่อของคูนาแนน)

คูนาแนน เป็นลูกครึ่งเอเชีย-อเมริกัน พ่อเป็นคนฟิลิปปินส์ แม่เป็นคนอเมริกัน พ่อของเขาเป็นนายหน้าค้าหุ้นในซานดิเอโก ทำให้ในช่วงเด็ก ๆ ครอบครัวของเขาจึงมีฐานะดี คูนาแนนเป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวในจำนวน 4 คน และถูกส่งไปเรียนโรงเรียนชั้นสูงในลา จอลลา คูนาแนนแตกต่างจากฆาตกรต่อเนื่องคนอื่น ๆ ที่ชอบเก็บตัว เพื่อนน้อย มีโลกส่วนตัว คูนานันเป็นคนร่าเริง ขี้เล่น ชอบทำอะไรห่าม ๆ แผลง ๆ เสมอ แต่กระนั้นเขาป๊อปปูลาร์ในหมู่เพื่อนๆ มาก ตอนจบการศึกษาชั้นเรียนในปี ค.ศ.1987 นั้นเขาได้รับผลโหวตจากเพื่อน ๆ ว่าเป็นเพื่อนที่น่าคบที่สุด แต่โลกสดใสของคูนาแนนต้องจบลง เมื่อพ่อของเขาต้องล้มละลายในการซื้อหุ้นในปี ค.ศ.1988 ตอนนั้นคูนาแนนเข้าเรียนในมหาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ซานดิเอโก อีกทั้งพ่อของเขาต้องหนีคดีไปอยู่ในฟิลิปปินส์ คูนาแนนที่เรียนไม่จบต้องตามพ่อไปอยู่ฟิลิปปินส์ด้วย คูนาแนนอยู่ในฟิลิปปินส์ 1 ปี แต่ชีวิตที่นี้เขาไม่ชอบเลย เขาต้องอยู่อย่างซอมซ่อ กินบะหมี่สำเร็จรูป ใช้ชีวิตแบบพื้น ๆ ที่ไร้อนาคตกับพ่อที่ล้มละลายที่นั่น เขารับสภาพเหล่านี้ไม่ได้ ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเกิดมามีแต่ความเพียบพร้อม มันยากเหลือเกินที่เขาจะรับหรือปรับตัวได้ ทำให้เวลาต่อมาเขาหนีไปอเมริกาอีกครั้ง เมื่อมาถึงอเมริกา คูนาแนนมาอยู่กับแม่ แต่สภาพทุกอย่างในตอนนี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สภาพบ้านที่บ้านแตกพ่อแม่ไปคนละทิศคนละทาง ตอนนี้แม่ของเขามีชีวิตอยู่ได้เพราะเงินบำเหน็จ 900 ดอลล่าร์ต่อเดือน และพวกพี่ ๆ ของเขาต้องออกหางานทำต่างเมือง ในปี ค.ศ.1995 เงินบำเหน็จของแม่หมดลง ทำให้แม่ของคูนาแนนต้องย้ายบ้านไปอิลลินอยส์

จุดเปลี่ยนของคูนาแนนเริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาดูภาพยนตร์เรื่อง The American Gigolo (1980) นำแสดงโดยริชาร์ด เกียร์ เขาดูหนังเรื่องนี้หลายรอบ ตั้งแต่ครั้งเป็นนักศึกษา เขาฝันอยากเป็นริชาร์ดเกียร์ในหนัง ที่มีเสน่ห์มัดใจใครต่อใคร และได้เงินมาใช้เสพสุข แต่งตัวดีๆ ใช้ของแพงๆ มีอาชีพที่ไม่ต้องใช้แรงงานหนัก (ริชาร์ด เกียร์ เริ่มเป็นที่จับตาของใคร ๆ หลายคน จากการรับบทนำในหนัง American Gigolo (1980) ของ พอล ชเรเดอร์ เดิมทีผู้สร้างวางตัวไว้แล้วว่าจะให้ จอห์น ทราโวลต้า มารับบทนี้ แต่ทราโวลต้าปฏิเสธ โอกาสอันแสนงามจึงตกเป็นของเกียร์ แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ถึงกับโด่งดังมากมายนัก แต่บทบาทการแสดงของหนุ่มเกียร์ก็ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น จนกระทั่งเขาก้าวสู่ความเป็นดาราดังอย่างแท้จริงในอีกสองปีถัดมา เมื่อเขาได้รับบทนำคู่กับ เดบรา วิงเกอร์ ใน An Officer and a Gentleman (1982))

แอนดรูว์ คูนาแนนนำแนวคิดจากภาพยนตร์มาพัฒนาเมื่ออายุ 21 ปี ก็ได้เริ่มอาชีพเป็น “จิกโกโล” รับจ้างเป็นคู่ขาชายหญิงทั้งหลายในซาน ฟราน ซิส โก ต่อมาคูนาแนนก็เลือกเป้าหมายเป็นเกย์สูงอายุที่มีฐานะ เนื่องจากคนเหล่านี้กระเป๋าหนัก แต่เก็บกด ซึ่งคูนานันเข้าหาคนเหล
่านี้โดยการแปลงตัวเป็นหนุ่มสังคมรสนิยมดี ใส่เสื้อผ้าหรู ๆ คูนาแนนประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในอาชีพนี้ ด้วยรูปร่างหน้าตาตรงสเป็คของเหล่าเกย์เฒ่า มีผู้มาใช้บริการกับคูนานันมากมาย แต่รายได้ที่ได้มาง่ายๆ นี้ก็ถูกจับจ่ายออกมาอย่างมือเติบเช่นกัน เขามักเข้าพักในโรงแรมหรู ๆ เช่ารถราคาแพงๆ ขับ และชอบซื้อของแพง ๆ โดยเฉพาะซิการ์ เมื่อคูนานันหาเงินในซานฟรานซิสโกจนพอใจ เขาการย้ายที่ทำกินที่ซาน ดิเอโก และได้พบกับนอร์แมน แบล็กฟอร์ด เกย์สูงอายุฐานะดีที่เข้ามาเป้นคู่ขาของคูนาแนน แบล็กฟอร์ดให้เงินคูนานันใช้เดือนละ 25,000 ดอลลาร์ พร้อมบัตรเครดิตกับรถสปอร์ต

ที่น่าสนใจคือหนึ่งในคฤหาสน์ของแบลกฟอร์ดนั้นตั้งอยู่ใกล้กับคฤหาสน์ของจิอันนี เวอร์ซาเซ ซึ่งคูนาแนนเคยไปที่นั้นและเคยพบกับเวอร์ซาเซมาแล้ว (นั้นเองที่มีข่าวลือมาว่าที่คูนาแนนสังหารเวอร์ซาเซก็เพราะความหึงหวง) ปริศนาความสัมพันธ์ระหว่างคูนานันและเวอร์ซาเซนั้นมีกระแสมากมาย บ้างก็บอกว่าจริง บ้างก็บอกว่าเป็นเรื่องโกหก มีการแจ้งเบาะแสต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้

มีการจัดประเภทการฆาตกรรมของคูนาแนนว่าเขาไม่ใช่ฆาตกรโดยกมลสันดารประเภทฆาตกรต่อเนื่อง แต่เขาเข้าข่ายเป็นประเภทปิติสุขเมื่อได้ฆ่า (Spree Kill) ฆาตกรประเภทนี้จะเกิดความรู้สึกสนุกสนาน มีความสุขในการฆ่าเหยื่อรายแรก จะด้วยบังเอิญหรือจงใจก็ตาม การใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันที่ค่อนข้างเหลวแหลกของคูนาแนนเอง ที่ทำให้เวลาฝ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่รู้ตัว คูนาแนนลืมคิดที่จะวางแผนชีวิต ใช้เงินหมดไปกับความสุข เหล้ายา มาบัดนี้เขาอายุใกล้ 30 ปีแล้ว ไม่ใช่หนุ่มที่สดใสเหมือนเคย ซึ่งในวงการเกย์นั้นอายุ 27 ปีถือว่าเป็นวัยปลดระวางแล้วสำหรับอาชีพนี้ ซึ่งทำให้คูนาแนนในช่วงนี้รู้สึกกดดันมาก เริ่มปล่อยตัว ไม่ระวังเรื่องอาหารการกินหรือเหล้ายา จนกระทั่งเขาอ้วน ชีวิตถึงขั้นตกต่ำมากจนกลายเป็นคนเดินยา

จุ
ดเริ่มต้นในการฆ่าเหยื่อรายแรกของคูนาแนนนั้นไม่มีใครทราบ แต่ดูจากประวัติเขาแล้วจะเห็นว่านานวันคูนาแนนเริ่มอิ่มตัวกับอาชีพคู่ขาเกย์แล้ว และอยากจะหยุดอาชีพนี้แล้วหาใครสักคนมาเป็นคู่ขาถาวร ซึ่งคูนาแนนต้องตาต้องใจชายคนหนึ่งคือ เดวิด แมดสัน ชายที่เขาอยู่ด้วยอย่างมีความสุขมาก และเขาสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างความพอใจกับแมดสันได้แม้แต่เพศรส คูนาแนนเคยเจอ เดวิด แมดสัน ขณะที่ทำงานเป็นสถาปนิกในโครงการหนึ่งในซานฟรานซิสโก แต่ทั้งคู่ยังไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากนัก ก่อนที่แมดสันจะกลับไปทำงานที่มินนีอา ช่วงนั้นคูนาแนนว้าเหว่มากก่อนจะได้พบแมดสันที่มินนีอาโพลิสและอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของเขานานเป็นเดือน ในคืนที่เกิดเหตุเขาทะเลาะกับเดวิดและเจฟฟรีย์ เทรล คูนาแนนบันดาลโทสะ และฉวยเอาค้อนทุบเทรลจนเสียชีวิต การฆาตกรรมเทรลเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ทำให้เขาต้องจับตัวเดวิด แมดสันไปกับเขาและสังหารเขาในเวลาต่อมา เพราะแมดสันรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และส่วนเหยื่อรายที่ 3 และ 4 นั้นคูนาแนนฆ่าเพื่อความเพลิดเพลิน

หลังจากการสังหารเวอร์ซาเซตำรวจในไมอามี่ก็ตามหาตัวคูนาแนนอย่างไม่ลดละ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่เจอตัวคูนาแนนเลย คล้ายกับเขาเป็น “แฟนธ่อม” ผีร้ายจอมล่องหนยังไงอย่างงั้น จนกระทั่งวันที่ 23 กรกฎาคม ปีค.ศ.1977 ที่เฮาส์โบทคลับและสปาของเกย์ในลาสเวกัส วันนั้นเฟอร์นานโด คาร์เรรา คนดูแลเฮาส์โบทออกตรวจตราบ้านเป็นปกติเช่นทุกวันแต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นบนชั้นสองของตัวบ้าน เขาวิ่งไปบอกลูกชายให้แจ้งตำรวจ ซึ่งต่อมากองกำลังตำรวจไมอามีและหน่วย SWAT มารวมตัวกันจนเต็มบ้านทำการปิดล้อมที่เกิดเหตุนานถึง 4 ชั่วโมง เวลา 2 ทุ่มหน่วย SWAT ก็ตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตานำเข้าไปก่อน ตามด้วยทีมเคลียร์พื้นที่เข้าไปในบ้าน แต่หลังจากตำรวจบุกเข้าไปในบ้านไม่มีการต่อสู้แต่อย่างใด และที่นั้นพวกเขาก็พบร่างไร้วิญญาณของแอนดรูว์ คูนาแนน นอนสิ้นใจอยู่ชั้นที่สองของตัวบ้าน เขายิงศีรษะของตนเองด้วยปืน .44 คาร์ลิเบอร์ ปืนกระบอกเดียวที่เขาใช้ฆ่าเหยื่อก่อนหน้า ตรงข้ามศพของเขาพบก้อนสำลีชุ่มด้วยเลือดและผ้าพันแผล ซึ่งจากการตรวจดูพบว่าเขามีรอยแผลที่ท้องที่คาดว่าเขาน่าจะรับบาดเจ็บระหว่างการฆาตกรรมเหยื่อรายใดรายหนึ่งก่อนหน้านี้ การตายของคูนาแนนทำให้คูนาแนนเป็นผู้ชนะในเกมนี้ เกมที่เขาคิดขึ้นเพื่อเล่นกับตำรวจ และป่วนเมือง ท้าทายการทำงานของตำรวจ เกมแมวจับหนูนี้เขาเหนือกว่าอยู่แล้ว ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเลิกเล่นเกมนี้เองด้วยการปลิดชีวิตของตนเอง เพื่อเป็นการตบหน้าตำรวจอย่างสะใจ งานนี้ตำรวจสหรัฐอเมริกากับ FBI ต้องเสียหน้าสุด ๆ อีกครั้งหนึ่ง และได้จารึกชื่อของแอนดรูว์ คูนาแนนว่าเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องสุดแสบในประวัติศาสตร์โลกที่กรมตำรวจสหรัฐอเมริกาและ FBI ต้องจดจำไปอีกแสนนาน













Create Date : 14 กรกฎาคม 2558
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 16:06:23 น. 0 comments
Counter : 4657 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.