4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 
เอช. เอช. โฮล์มส์ : หมอปีศาจ (ตอนที่ 2)

○ ปราสาทมรณะ
ในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1888 โฮล์มส์เริ่มต้นสร้างตึกขนาดใหญ่ที่เขาเรียกมันว่า “ปราสาท” บนพื้นที่ 50 x 162 ฟุต มุมถนนวอลเลขสตรีทกับถนน 63 (นี้เองที่ทำให้หมอโฮล์มส์ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า ปีศาจมุมถนนสตรีท หรือปีศาจบนถนน 63) “ปราสาท” เป็นต
ึกสามชั้น มีห้องกว่า 100 ห้องก่อด้วยอิฐแดง มีชั้นใต้ดินอีก 2 ชัน ยอดบนเป็นป้อมเล็กๆ ทำให้ดูแล้วคล้ายปราสาทยุคกลาง จนได้รับขนานนามต่อมาว่า “Bluebeard Castle” หรือ “Murder Castle” การก่อสร้างปราสาทกินเวลา 18 เดือน ผิดจากที่ประมาทไว้ 6 เดือน แม้ค่าแรงจะถูกมากในสมัยนั้น แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเป็นช่วงเพราะหมอโฮล์มส์ขาดเงิน โครงสร้างของปราสาทมีลักษณะลึกลับซับซ้อน แม้มีคนงานก่อสร้างมากกว่า 500 คน แต่มีเพียงไม่กี่ตนที่เข้าใจโครงสร้างชั้นใต้ดินทั้งสองชั้น หมอโฮล์มส์ต้องทำตัวเป็นสถาปนิก และวิศวกรคุมงานด้วยตนเอง โดยยืนสั่งผ่านหัวหน้าคนงานจากร้านขายยาตรงข้าม หมอโฮล์มส์ทำการคัดเลือกคนงานแบบพิถีพิถัน เขาเลือกแบบคนที่เก็บความลับอยู่ หรือไม่ก็พวกที่ไม่มีญาติพี่น้องหายไปก็ไม่มีใครสนใจ ในช่วงเงินขาดมือหมอโฮล์มส์มักหาเรื่องไล่คนงานครั้งละหลายคนด้วยข้อหาต่างๆ นาๆ ก่อนจะถึงงวดจ่ายเงิน หากคนงานคิดทำร้าย หมอโฮล์มส์ก็มีลูกน้องคนสนิทร่างยักษ์ชื่อเบนจามิน เอฟ.พีทีเซล คอยคุ้มกัน

ขณะก่อที่การก่อสร้างดำเนินการใกล้เสร็จสิ้น นายแพทย์โฮล์มส์สั่งซื้อตู้นิรภัยหรือตู้เซฟขยาดใหญ่ชนิดที่คนสามารถเดินเข้าออกได้ เขาสั่งให้ผู้ขายนำตู้เซฟไปติดตั้งไว้ในห้องชั้นสาม จากนั้นเขาก็สั่งโปกปูนติดล้อมเหลือเพียงช่องเข้าเล็ก ๆ ภายหลังผู้ขายตู้นิรภัยมาทวงเงินจากหมอโฮล์มส์ แต่โฮล์มส์ไม่ยอมจ่ายหนี้ เมื่อผู้ขายจะเอาเรื่อง โฮล์มเลยท้าว่าว่า เอาตู้เซฟกลับไปได้แต่ห้ามรื้อผนังบ้านของเขาเด็ดขาด ไม่งั้นเขาจะเรียกค่าเสียหาย ท้ายสุดหมอโฮล์มส์ก็ได้ตู้เซฟฟรี ๆ หมอโฮล์มส์ใช้วิธีเดียวกันในการเอาอุปกรณ์ก่อสร้าง เครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับบ้านมากมาย

ปราสาทของหมอโฮล์มส์มีทางเดินวกวนอย่างกับเขาวงกต และมีทางลับเข้าออกมากมาย รวมทั้งมีบันไดลับ ผนังปลอม เพดานหลอกตา ห้องเก็บเสียงชนิดอากาศผ่านเข้าออกไม่ได้ ประตูมีกับดัก เช่นหลังประตูกลอาจมีห้องเก็บเสียงสูง 8 ฟุต, ประตูกลบางแผ่นซ่อนอยู่ใต้พื้นห้องน้ำ ปูทับด้วยพรมหนา มีรางเลื่อนกับกล่องเหล็กใบใหญ่ขนาดตัวคนสามารถลำเลียงคนลงไปสู่ห้องใต้ดิน บางห้องของปราสาทมีบันได้เชื่อมกับประตูลับ เปิดสู่ถนนใหญ่เหมือนเตรียมไว้ในกรณีหลบหนีฉุกเฉิน ประตูบางบานเปิดออกไปเจอผนังทึบ บันไดลอยบางอันก่อสร้างไร้จุดหมาย ขึ้นแล้วเดินลงคืนที่เดิมเพราะปลายทางตัน ห้องน้ำชั้นสองและสามทุกห้องมีรูสำหรับแอบดูและสามารถใช้เป็นช่องพ่นแก๊สพิษหรือแก๊สสลบ สามารถควบคุมปริมาณก๊าซได้จากอุปกรณ์ลับที่ซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน และมีบางห้องที่หุ้มด้วยใยแก้วกันความร้อน และแผ่นเหล็กป้องกันไฟไหม้ ชั้นหนึ่งของปราสาท มีความสูงระดับเดียวกันถนน หมอโฮล์มส์จัดให้เป็นสำนักงานและร้านค้าสำหรับช้อปปิ้ง รวมทั้งร้านขายยาของเขา นอกจากนี้หมอโฮล์มส์ยังดำเนินกิจการเองในฐานะเจ้าของในหลายๆ ร้าน เช่น ร้ายจิวเวรี่ ร้านอหาร ร้านตัดผม ที่เหลือเปิดให้เช่าค้าขาย นอกจากนี้เขายังเปิดร้านขายยาเพิ่มอีกร้าน ป้ายไม้แกะสลักสีทองอร่ามรูปครกบดยาดูแล้วน่าเชื่อถือ มีระดับ ตัวอักษรสีทองเขียนว่า “H.H.Homes Phermacy” ในร้านก็ดูหรูหรา เห็นแล้วน่าเข้าอย่างยิ่ง ชั้นสองหมอโฮล์มส์เป็นที่พักส่วนตัว อย่างที่บอกไว้ตอนต้นเรื่อง จุดประสงค์ของหมอโฮล์มส์ในการสร้างปราสาทหลังนี้คือใช้เป็นเครื่องมือในการฆ่าคน โดยมีเป้าหมายคือผู้หญิงและเด็ก ส่วนแรงจูงใจในการฆ่าก็แล้วแต่อารมณ์และโอกาส เช่น ฆ่าเพราะทรัพย์สิน ฆ่าเพราะอยากได้ตัวมาเชยชม ฆ่าเพื่อเอาอวัยวะไปขาย ฆ่าเพราะความต้องการตนเอง ฯลฯ 

แน่นอน แผนนี้หมอโฮล์มส์เตรียมไว้นานหลายปีแล้ว และการเรียกเหยื่อมาให้เขาเลือกฆ่านั้น หมอโฮล์มส์ทำการโฆษณาแจกจ่ายไปทั่ว โดยบอกว่าปราสาทชั้นสามเปิดเป็นโรงแรมต้อนรับแขกมาพักในช่วงงานเวิลด์ เอ็กซ์โป ซึ่งชั้นสามออกแบบเป็นสำนักงานส่วนตัว ซึ่งมีห้องพักกว่า 30 ห้องที่ติดต่อกันด้วยทางเดินสลัว ในห้องถูกตกแต่งอย่างดีน่าอยู่อาศัย สำนักงานส่วนตัวของนายแพทย์โฮล์มส์มีเตาหุงต้มสูง 8 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ฟุต และมีช่องกว้างพอที่จะหย่อนมนุษย์ลงไปทั้งคนอย่างไม่ลำบากยากเย็น

ภายหลังหมอโฮล์มส์ถูกจับกุม ตำรวจทำการบุกค้นปราสาทในเวลาต่อมา พบว่า พบกระดูกมนุษย์ เส้นผม และเศษเสื้อผ้าสตรีเพียบ “โครงสร้างของปราสาทค่อนข้างซับซ้อนกว่าชั้นสาม ห้องโถงสลัว 6 ห้องถูกวางส่งเดชไร้แผน มี 51 ประตู 35 ห้อง มีเพียงบางห้องที่ตกแต่งเป็นที่พักอาศัย ห้องที่เหลือประดับด้วยอุปกรณ์ประหลาดน่ากลัว ไม่มีหน้าต่าง เพียงแค่ปิดประตู อากาศก็ผ่านเข้าออกไม่ได้ บางห้องมีเพดานลดต่ำลงมาผิดปกติ และมีประตูกลนำเข้าสู้ห้องเล็กชั้นใต้ดิน นอกจากนี้ยังพบว่าทุกห้องบนชั้นสอง รวมทั้งห้องที่มีเซฟขนาดใหญ่ มีท่อก๊าซต่อเชื่อม มองดูจากภายนอกจะเหมือนว่าผู้พักอาศัยสามารถควบคุมการเปิดปิดก๊าซได้ แต่อันที่จริงหัววาล์วไขก๊าซเป็นของปลอม วาล์วควบคุมก๊าซตัวจริงอยู่ในตู้เก็บในตู้เก็บผ้าในห้องนอนของหมอโฮล์มส์” จากการสืบค้นพบว่า การออกแบบปราสาทแบบนี้ เพื่อที่หมอโฮล์มส์สะดวกในการฆ่าคน วิธีการฆ่าเหยื่อที่เขาชอบใช้คือ การกักตัวอยู่ไว้ในห้อง และเปิดก๊าชสลบ และสำหรับห้องที่หุ้มใยแก้วดับเพลิงตำรวจเชื่อว่าโฮล์มส์ปล่อยก๊าซติดไฟเข้าไปแล้วจุดไฟเผาคลอก เหยื่อที่อยู่ข้างในดิ้นรนอย่างทรมานโดยไม่มีทางหนี เหมือนตกนรกทั้งเป็น

นอกจากนี้เครื่องควบคุมในห้องนอนของโฮล์มส์ยังมีกระดิ่งเตือนหากประตูห้องหนึ่งเปิดโดยพลการ นอกจากนี้ในห้องชั้นสอง ยังมีห้องผ่าแยกศพ และร่างเลื่อนลำเลียงร่างเหยื่อหรือศพลงไปเก็บไว้ห้องใต้ดิน ตำรวจพบเลือดกระเซ็นเต็มห้องนอน ห้องอาบน้ำและทางเดินลับ และยังพบเครื่องแต่งกายเด็กเล็กยัดแน่นในร่องปูนฉาบผนัง ในฐานะแพทย์ โฮล์มส์สามารถมียาสลบคลอโรฟอร์มไว้ในครอบครองแบบไม่จำกัดจำนวน จากการตรวจสอบของตำรวจพบว่าเขาซื้อคลอโรฟอร์มในปริมาณมหาศาลเกินความต้องการแบบผิดสังเกต “โฮล์มส์มักซื้อคลอโรฟอร์มในปริมาณมากจนน่าแปลกใจ ช่วงเวลาที่ผมรู้จักเขาไม่กี่เดือน เขาขอซื้อคลอโรฟอร์มประมาณ 10 ครั้ง แต่ละครั้งก็ไม่ใช่น้อย ๆ ผมเคยถามว่าเอาไปใช้ทำอะไร แต่คำตอบของเขาไม่เป็นที่พอใจ.....” เภสัชกรที่ขายคลอโรฟอร์มให้หมอโฮล์มส์กล่าว

สิ่งที่ตำรวจต้องขนลุกที่สุดในการบุกตรวจค้นปราสาทของโฮล์มส์คือ “ห้องทรมาน” เป็นห้องที่ก่อล้อมด้วยอิฐแดง มีกรงขังสำหรับเหยื่อ มีโต๊ะผ่าศพวางเด่นตรงกลาง ใต้โต๊ะผ่าศพวางเด่นอยุ่ตรงกลาง ใต้โต๊ะมีกะโหลกหญิงสาวจำนวนมาก ข้างๆ มีกล่องใส่เครื่องมือแพทย์สำหรับผ่า
ตัดที่ต้องการความประณีตเป็นพิเศษ ด้านหนึ่งเป็นเตาเผา พร้อมตะแกรงเหล็กที่สามารถเลื่อนไปมาบนรางลื่นอีกด้านเป็นถังสังกะสีขนาดใหญ่บรรจุกรดกัดเนื้อรุนแรง และในห้องยังมีเครื่องทรมานสำหรับทรมานคน ฯลฯ การสร้างเตาเผามนุษย์ขนาดใหญ่ได้นั้น โฮล์มส์จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาช่วยออกแบบก่อสร้าง เมื่อถูกถามจุดประสงค์โฮล์มส์อ้างว่าเขาเป็นแผนทำธุรกิจเป่าแก้ว หลังสร้างเตาเสร็จ โฮล์มส์ดัดแปลงเตาให้เพิ่มอุณหภูมิสูงถึง 3,000 องศาฟาเรนไฮต์ ด้วยความร้อนขนาดนี้สามารถเผามนุษย์กลายเป็นดองขี้เถ้าภายในระยะเวลาสั้น ๆ ในห้องเก็บของมีแต่รอยเลือดที่มีพื้นมีแอ่งตื้นๆ บรรจุด่างละลายเนื้อ ยังมีกระดูกมนุษย์แช่อยู่ในน้ำด่าง เป็นซากทารก เชื่อว่าเป็นเครื่องมือทำลายศพอีกชิ้นหนึ่ง ตำรวจพบกระดูกมนุษย์กองอยู่จำนวนมาก กระจายไปทั่ว บ้างก็ฝังในดิน เหล่านี้คือความน่าสะพรึงกลัวของปีศาจฆาตกร เอช. เอช. โฮล์มส์

ช่วงที่หมอโฮล์มส์อาศัยอยู่ในชิคาโกในปี ค.ศ. 1886 นั้น เป็นช่วงที่ชิคาโกกำลังเป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจกำลังขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนบ้าคลั่งกับการหาเงินและนับถือเงินเป็นพระเจ้า คนรวยมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลและสังคม ชิคาโกกลายเป็นนครแห่งตึกระฟ้าในบัดดล และมีประชากรครบหนึ่งล้านคน เนื่องจากหนุ่มสาวชนบทต่างเข้ามาแสวงโชคทิ้งบ้านเกิดหางานทำในเมืองด้วยความคิดว่าเพื่อให้ชีวิตเป็นอยู่ของตนดีขึ้นกว่าเดิม และมีไม่น้อยที่ตกเป็นเหยื่อปีศาจร้ายที่ซ่อนในมุมมืดของนครตึกระฟ้าแห่งนี้

#อ่านต่อตอนที่ 3









Create Date : 14 กรกฎาคม 2558
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 14:55:29 น. 0 comments
Counter : 990 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.