4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 
เรย์มอนด์ เฟอร์นันเดซ & มาร์ธา เบค : คู่รักฆาตกร (ตอนที่ 1)

รักแท้ย่อมเป็นอมตะ เมื่อมาร์ธา เบค กับ เรย์มอนด์ เฟอร์นันเดซ ต่างเดินเข้าเครื่องประหารเก้าอี้ไฟฟ้าด้วยกัน ตายในวันเดียวกัน ทั้งสองที่เป็นรู้จักกันดีในปลายทศวรรษที่ 40 โดยทั้งคู่ได้รับฉายา "นักฆ่าหัวใจเปล่าเปลี่ยว (The Lonely Hearts Killer)" เพราะทั้งคู่ฆาตกรรมสาวแก่ แม่ม่ายที่รู้จัก ในสมาคม "Lonely Hearts’clubs"

ซึ่งก่อนเวลาจะประหาร มาร์ธากับเรย์มอนด์ ต่างพร่ำสารภาพรักกันอย่างหวานซึ้งและหลงใหลซึ่งกันและกันตลอดทางเดินเข้าสู่แดนประหาร แม้จะมีหลักฐานแน่ชัดว่าพวกเขาจะฆ่าเหยื่อมาแล้ว 3 ราย แต่พวกเขาถูกตัดสินประหารชีวิตเพียงคดีเดียวเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญบ่นบอกว่าน่าเสียดายที่รีบประหาร เพราะจากหลักฐานเชื่อกันว่าพวกเขาน่าจะมีส่วนในการสังหารคนไปถึง 19 ศพ ด้วยความวิตถารเหนือคู่รักใด ๆ เพราะยิ่งฆ่า พวกเขายิ่งรักยิ่งผูกพันกันมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ดูรูปร่างก็ไม่น่าจะเป็นคู่เลยสักนิดเพราะเรย์มอนด์ผอมจัด แต่มาร์ธา เบคนั้นเธออ้วนมาก ๆ เหมือนกับกบหลงรักบอลลูนยังไงยังงั้น

ตอนสมัยเรย์มอนด์ เฟอร์นันเดซ เป็นจิ๊กโก๋หนุ่มมาดนุ่มนั้น เขารู้จักมาร์ธาโดยเขาเข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งใน Lonely Hearts’clubs ซึ่งเป็นสมาคมที่มาร์ธาเป็นผู้ก่อตั้ง ตอนนั้นแหละที่คู่รักคู่นรกนี้เกิดมาปิ๊งกัน ไม่รู้เพราะหนุ่มจิ๊กโก๋อยากลองของแปลกหรือรสนิยมชอบคนอ้วนหรือเปล่า แต่เขาก็ตกหลุมรักสาวทรงกลมเหมือนบอลลูกหนัก 233 ปอนด์เสียแล้ว และนี้คือจุดเริ่มต้นของฆาตกรต่อเนื่องนาม "นักฆ่าหัวใจเปล่าเปลี่ยว" (The Lonely Hearts Killer)

เรย์มอนด์ เฟอร์นันเดซ
แม้เขาชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่านักรักละติน แต่เรย์มอนด์ เฟอร์นันเดซ ถือกำเนิดที่ฮาวายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1914 โดยบิดาและมารดาเป็นชาวสเปน เมื่อเรย์มอนด์อายุ 3 ขวบ ครอบครัวของเขาย้ายไปยังเมืองบริดจ์พอร์ต รัฐคอนติเนคัต ประเทศสหรัฐอเมริกาและประกอบอาชีพชาวไร่ ซึ่งพ่อของเขาแม้จะเป็นกรรมกรที่ไม่รู้หนังสือสักตัวแต่กระนั้นก็ประสบความสำเร็จทางธุรกิจในหลาย ๆ ด้าน ตอนเล็ก ๆ นั้นเรย์มอนด์ตัวเล็กนิดเดียว มีร่างกายอ่อนแอและขี้โรค ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อไม่เอ็นดูเขานัก แม้เขาเป็นเด็กเรียนดี แต่พ่อก็ไม่ให้ให้เขาเรียนต่อ เพราะพ่อเขานั้นเป็นคนหัวโบราณและเข้มงวดมาก ๆ เชื่อว่าการศึกษาเป็นเครื่องบั่นทอนในการเจริญเติบโตของเด็กผู้ชายและเชื่อว่าการทำงานต่างหากที่จะสร้างบุคลิกให้สมเป็นชายชาตรีอย่างแท้จริง

เรย์มอนด์ต้องทนกับความหัวโบราณของพ่ออยู่บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาถูกพ่อทำโทษเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงเมื่อพ่อจับได้ว่าเขาเอาหนังสือหนังหาตำรับตำราจากโรงเรียนกลับมาบ้าน จนในที่สุดพ่อก็บังคับให้เรย์มอนด์ลาออกจากโรงเรียนและให้มาทำงานในฟาร์มที่พ่อลงทุนซื้อให้ เมื่อเรย์มอนด์อายุ 15 ปี เขากับเพื่อนเคยขโมยไก่และพูดจับได้ เจ้าทุกข์เรียกร้องให้พ่อของเรย์จ่ายเงินชดใช้ และเมื่อพ่อปฏิเสธที่จะไปประกันตัว เรย์มอนด์จึงต้องไปอยู่ในโรงเรียนดัดสันดานเป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งการขาดความรักนี้เองที่อาจจะเป็นตัวกำหนดอุปนิสัยของเขาในเวลาถัดมา

รูปภาพของ Hathairat Traithip

หลังจากถูกปล่อยตัว เรย์ก็ออกมาทำงานอย่างขยันขันแข็งและสะสมเงินทองได้มากมาย จนปี 1932 เกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่สเปน ที่สเปนนี้เอง เมื่อเรย์อายุ 20 ปี เรย์มอนด์ก็แต่งงานของหญิงชาวท้องถิ่นชื่อเอนคานาเชียน โรเบิ้ลที่ฐานะค่อนข้างร่ำรวย และเมื่อแต่งงานเขาต้องปรับปรุงบุคลิกตัวเองใหม่ กลายเป็นคนมีอัธยาศัย แต่งกายดี และสุภาพ ซึ่งตัวเขาในตอนนี้กลายมาเป็นที่ชื่นชมของเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน

ไม่นานนักเรย์ก็ได้เป็นพ่อของเด็ก 4 คน แต่เรย์ไม่มีความสุขเท่าไหร่ ไม่นานก็ทิ้งภรรยาและลูกๆ ไป และไม่ช้าเขาก็กลับมาใหม่เพราะได้ข่าวว่าลูกคนหนึ่งลมป่วยหนักใกล้ตาย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้น ก็เกิดสงครามขึ้นในสเปน เรย์มอนด์ทำงานเป็นสปายให้กับหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ ซึ่งช่วงนี้ไม่มีเอกสารหลงเหลือกล่าวถึงชีวิตในช่วงนี้ของเขานัก รู้แต่ว่าเขาได้รับคำชมเชยว่าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนได้เหรียญกล้าหาญ

ปี 1945 สงครามโลกจบลง เรย์มอนด์ตัดสินใจเดินทางไปหางานใหม่ที่อเมริกาโดยทิ้งลูกเมีย คราวนี้ทิ้งจริง ๆ ไม่กลับมาหาส่งข่าวคราวอีกเลย เขาเดินทางโดยเรือสินค้ามายังคูราเกา แต่ขณะที่เรือซึ่งเขาโดยสารกำลังมุ่งหน้าผ่านมหาสมุทรอินเดียตะวันตกนั่นเอง เขาก็ประสบอุบัติเหตุแผ่นเหล็กซึ่งเป็นฝาประตูบนดาดฟ้าเรือ ตกมากระแทกศีรษะอย่างแรงจนกะโหลกยุบ บาดเจ็บสาหัสแทบเอาชีวิตไม่รอด จนต้องรักษาตัวพยาบาลนานมาก ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอาการบาดเจ็บนี้มีผลต่อสภาพจิตใจของเขาแค่ไหน แต่หลังจากอุบัติเหตุครั้งนี้เองที่เรย์มอนด์เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขากลายมาเป็นคนอารมณ์ร้าย เย็นชาและยิ้มน้อยลง จนพัฒนามาเป็นฆาตกรในที่สุด เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญสามารถตอบได้ว่าอุบัติเหตุนี้อาจมีส่วนให้เรย์เปลี่ยนไป เนื่องจากอาการบาดเจ็บของสมอง อาจมีส่วนทำให้การควบคุมอารมณ์ของตนเองต่ำลง และการตัดสินใจเรื่องผิด ๆ มากขึ้นด้วย

จากคูราเกา เรย์คนใหม่ เดินเข้าสู่เมืองโมบาลย์ รัฐอลาบามา 15 มีนาคม 1946 ที่ซึ่งมาถึงปุ๊บเขาก็ถูกตำรวจจับทันทีในข้อหาขโมยทรัพย์สินของราชการ เมื่อเขาขโมยเสื้อผ้าจำนวนมากและของเล็ก ๆน้อย ๆ จากห้องเก็บของบนเรือซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปอลาบามา เขาถูกตัดสินลงโทษให้เข้าไปอยู่ที่แทลลาแฮลซีในฟลอริด้า ซึ่งนักโทษกว่าครึ่งของที่นี่เป็นชาวไฮติและเป็นสาวกลัทธิวูดู แล้วเรย์มอนด์ก็ได้รับอิทธิพลนี้มาอย่างเต็มที่ หลังจากนี้เองที่เขาอ้างว่าตัวเองมีพลังสามารถบังคับให้ผู้อื่นทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ ที่นี้เรย์ถูกทดสอบไอคิว ผลคือ เรย์มีไอคิวถึง 135 เฉียดระดับอัจฉริยะเลยทีเดียว วันที่ 3 ธันความ 1946 เรย์ได้รับอิสระ และชายผู้นี้เปลี่ยนบุคลิกตนเองโดยสิ้นเชิง!

ในปีเดียวกัน เรย์มอนด์ย้ายไปบรู้คลินและอาศัยอยู่กับพี่สาวที่ชื่อลีน่า คาโน ผู้ซึ่งแทยจำพี่ชายแท้ ๆ ของตนเองแทบไม่ได้ ญาติ ๆ ของเขาพากับประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่เพียงแต่นิสัย หากยังรวมไปถึงลักษณะภายนอกของเขาด้วย เขาเกือบจะหัวล้าน ทั้ง ๆ ที่เคยมีผมหนาดกดำ ฟันหลุดเกือบหมดปาก และมีแผลเป็นที่น่ากลัวอยู่บนหน้าผาก นอกจากนั้นเขาคุยว่า เขาฝึกพลังจิตเขามีพลังจิตลึกลับเหนือสตรีเพศทุกคน สามารถร่วมรักกับพวกเธอในระยะไกล เพียงแค่มีรูปภาพของเธอหรือเสื้อผ้าของเธอ รับรองไม่ว่าไกลอยู่ห่างหลายร้อยไมค์ เธอผู้นั้นต้องสยิวติ้วถึงจุดสุดยอดไปเลย ภายหลังเมื่อลีน่ามาให้การในชั้นศาล เธอกล่าวว่า ขณะที่เรย์มาอาศัยอยู่กับเธอนั้น วันๆ อยู่แต่เครื่องพิมพ์ดีดเพื่อพิมพ์จดหมาย เขาบอกว่าจดหมายนี้ใส่ผงวิเศษูู่้่่ีื่ ซึ่งผงนี้เหมาะสำหรับใส่ในจดหมายรัก โดยเขาส่งจดหมายรักนี้ไปให้ผู้หญิงมากกว่า 70 นาง ในคราวเดียว

เรย์มอนด์เริ่มส่งจดหมายหลายต่อหลายฉบับไปยัง "Lonely Hearts Club" ซึ่งเป็นคลับนัดบอดสำหรับสมาชิกสูงวัย และเริ่มอาชีพใหม่เป็นนักต้มตุ๋นหลอกเอาความไว้วางใจและเงินไปจากผู้หญิงกว่า 100 คนในเวลาเพียง 2 ปี กล่าวว่ามีบางช่วงที่เขาหลอกคบกับผู้หญิง 10 คนในเวลาเดียวกันเลยก็มี เปรียบไปแล้วตอนนี้เขาเหมือนเจ้าของฟาร์มแม่วัวนม ซึ่งวันๆ เขาจะรีดนมพวกมัน ซึ่งนมในที่นี้ก็หมายถึงทรัพย์สินของเธอพวกนั้น และเมื่อนมของพวกเธอเหือดแห้ง พวกเธอก็หมดประโยชน์ทัรนที และเรย์ก็มีวิธีกำจัดพวกเธอแบบฉลาดซะด้วยสิ.........

เท่าที่รู้ เหยื่อรายแรกของเรย์คือเจน ธอมพ์สัน แม่มายที่เขาเริ่มคบในปี 1947 ขผู้เพิ่งจะหย่ามาหมาดๆ เดือนตุลาคมปีนั้น ทั้งสองตีตั๋วเรือสำราญไปสเปนและท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆด้วยกันราวกับคู่สามีภรรยา แล้วจู่ๆ ไม่ทราบว่าเรย์มอนด์คิดอะไรอยู่กันแน่จึงได้พาเจนไปพบกับเอนคานาเชียนและลูกสองคนของเขา แน่นอนว่านั่นย่อมต้องสร้างสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นระหว่างเจนกับเอนคานาเชียน

7 พฤศจิกายน ความกดดันมาถึงขั้นแตกหัก พนักงานของ La Linea Hotel ได้ยินเสียงคนทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง เจนออกปากว่าจะกลับไปอเมริกาคนเดียว และในเช้าวันถัดมา เธอก็ถูกพบเป็นศพ แพทย์สันนิษฐานว่าเจนน่าจะเสียชีวิตเนื่องจากหัวใจทำงานผิดปกติ ซึ่งหากจะคิดว่าเป็นฝีมือของเรย์มอนด์ก็คงไม่ผิดไปนัก มีคำให้การในภายหลังว่าเรย์มอนด์เพิ่งจะซื้อดิจิทาลิส (พืชชนิดหนึ่ง มีพิษ ใบใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ บ้างก็เรียก foxglove) ทั้งขวดมาเมื่อสองวันก่อนที่เจนจะถูกพบเป็นศพ

ส่วนเรย์มอนด์นั้นไม่รอช้าสักนิด เขาออกจากประเทศสเปนก่อนที่ตำรวจจะทันรู้ชื่อเขาด้วยซ้ำ จึงไม่มีใครสามารถเรียกเขามาสอบถามได้ว่า เจนไปกินอะไรมาถึงเกิดอาการขนาดจายกะทันหันปานนี้ พอเรย์กลับมาถึงนิวยอร์ก เขาถือพินัยกรรมของเจนแล้วเดินทางไปที่อพาร์ทเมนท์ของเจนซึ่งปัจจุบันแม่ของเธออาศัยอยู่ เขาแสดงเอกสารอ้างว่าตัวเองเป็นผู้รับมรดกจากเจน (เอกสารดังกล่าวเป็นของปลอม) เขาบอกว่าเจนตายเพราะอุบัติเหตุรถไฟ แม่ของเจนโศกเศร้ากับการตายของลูกสาวและไม่มีกะจิตกะใจจะมาคัดค้าน ด้วยเหตุนี้ อพาร์ทเมนท์ของเจนจึงตกมาเป็นของเรย์มอนด์อย่างง่ายดาย นอกจากนี้เรย์ก็ฉกเงินของเจนจากบัญชีในธนาคารกว่า 6000 ดอลลาร์ พร้อมทั้งไปยังอาคารชุดที่เจนซื้อให้แม่ทำเป็นห้องเช่า เขาจัดการเอกสารทางกฎหมายให้กรรมสิทธิ์ครอบครองของเธอเป็นโมฆะไปอย่างหน้าด้านๆ แล้วไปครอบครองเสียเอง เป็นอันว่าเรย์ยึดทรัพย์สินของเจนได้ทั้งหมด

2 ปีต่อมาหลังเรย์ถูกจับกุม ระหว่างการพิจารณาคดี เรย์กล่าวถึง เจน ธอมพ์สัน ว่า เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อเธอไปเยอะมาก “แต่ผมไม่ได้อะไรจากเธอเลยแบบนี้ผมก็ต้องเอาคืนสิ ถูกไหม ผมผิดตรงไหนละ?” ย้อนกลับไปช่วงเวลาที่เรย์ฆ่าเจนแล้วลอยนวลในอเมริกา ตอนนั้นพอดีมาร์ธา เบค กำลังได้แรงยุจากเพื่อนๆ ให้ตั้งชมรมคนหัวใจเปลี่ยวขึ้น มันสะดุดตาสะดุดใจเรย์มอนด์ที่กำลังมองหาเหยื่อรายใหม่เข้าอย่างจัง เขาเลยส่งใบสมัครขอเป็นสมาชิกด้วยคน ว่าแล้วเขาก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ก้าวออกจากบรุ๊คลินย้ายมาเมืองใหม่เพนซาโคล่า ที่นี้เขาก็ได้พบ มาร์ธา เบค ซึ่งต่อมากลายมาเป็นผู้ร่วมชะตากรรมของเขาในเวลาต่อมา

มาร์ธา จูลล์ ซีบรู้ค
มาร์ธา จูลล์ ซีบรู้ค เกิดที่มิลตันทางตะวันตกเฉียงเหนือของฟลอริด้าในปี ค.ศ. 1919 เปลี่ยนนามสกุลเป็นเบคเมื่อเธอแต่งงานกับคนขับรถสิบล้อในปี 1944) เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว เมื่ออายุได้ 10 ปี พ่อของเธอออกจากบ้านไป แม่ผู้เคร่งครัดศีลธรรมจึงเ
ป็นผู้เลี้ยงดูเธอตลอดมา ชีวิตในวัยเยาว์ของมาร์ธา เกิดมาทำไมก็ไม่รู้ เพราะเธอเกิดมาพร้อมอาการผิดปกติ ด้วยอาการของไทรอยด์ทำให้เธออ้วนผิดปกติ และเติบโตแตกเนื้อสาวรวดเร็วเกินหน้าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้ว ๆ ไป เธอมีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุได้แค่ 9 ปี เท่านั้นเอง ครั้นพอถึงอายุ 12 เธอก็เป็นสาวเต็มตัว รวมไปถึงเริ่มแสดงความสนใจทางเพศเกือบจะพร้อม ๆ กัน จนเรียกว่ากระหายเรื่องเพศชนิดไม่รู้จักอิ่ม

ทางด้านสติปัญญา......ระหว่างเธอยืนต่อแถวรอคิวประหารนั้น ผู้คุมเล่าว่า อารมณ์และจิตใจของมาร์ธานั้นหยุดลงอยู่ที่วัย 8-9 ขวบ เหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ถูกขังในร่างมหึมา เธออาจดูก้าวร้าวรุนแรงอย่างร้ายกาจ แต่นั้นเป็นเพียงอารมณ์ความคิดของเด็กหญิงวัย 9 ขวบเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการเลี้ยงดูนั้น มาร์ธาถูกแม่ผู้มีอำนาจ ครอบงำเธอจนมิด! แม่ของมาร์ธาไม่ชอบลูกสาวคนนี้เลย เธอมักเที่ยวไปบอกใคร ๆ รวมไปถึงมาร์ธาว่า “ไม่เป็นที่ต้องการ” เป็นสัตว์ประหลาดน่าขนลุก” “ผิดปกติไม่เหมือนชาวบ้าน” ด้วยการมองของแม่ที่มองเหมือนมาร์ธาเป็นเด็กไม่เต็มเต็ง และกระหายในเรื่องเพศ ทำให้แม่ต้องเลี้ยงมาร์ธาอย่างเคร่งครัด แม่ชอบทำตัวเป็นเงาตามมาร์ธาทุกฝีก้าว และไม่ให้ยอมไปไหนมาไหนกับพวกผู้ชาย มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่เคยเห็นเธอเข้าไปในโรงหนังกับเด็กผู้ชายแล้วเอาร่มวิ่งไล่ตีเด็กผู้ชายดังกล่าว

ทั้งหมดที่แม่ทำนั้นได้ความกดดันให้กับมาร์ธาไม่น้อยเลย อีกทั้งน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้มาร์ธาตกเป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนร่วมชั้น พอมาร์ธาอายุ 13 มาร์ธาถูกพี่ชายของตนเองข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมขู่ด้วยว่าจะฆ่าหากปากโป้งพูดเรื่องนี้กับใคร ๆ ฟัง และเมื่อถึงเวลาประจำเดือนขาด และเธอกลัวว่าเธอจะตั้งท้อง เธอเลยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แต่แทนที่แม่จะช่วย แม่กลับโกรธมากและว่าเธอเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายบังคับให้พี่ชายอายุแก่กว่า 3 ปี ต้องยอมร่วมเพศด้วยอย่างน่าอับอาย จากนั้นก็จับมาร์ธาขังในห้อง เพื่อที่จะได้ไม่ให้มันออกไปไหนแล้วสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นอีก

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เธอกลายเป็นคนเก็บตัวและไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ปี 1942 มาร์ธาตอนนั้นเหมือนบอลลูนยักษ์ ตัวใหญ่เบ้อเร่อ แต่เธอก็สอบได้ใบรับรองนางพยาบาลได้ เธอทำงานเป็นผู้จัดการศพอยู่ระยะหนึ่งเนื่องจากหางานพยาบาลทำไม่ได้ เพราะไม่มีใครจ้างเหมือนกับว่าเธอจะไปล้มทับหมอหรือคนไข้ตายอย่างนั้นแหละ แต่อาชีพสัปเหร่อในห้องเก็บศพนั้นมาร์ธาสุดทน หลังทำงานมาได้ 8 เดือน เธอขยะแขยงศพมาก มันน่าคลื่นไส้จะตายไป ไม่อยู่มันแล้วเมืองนี้ไปอยู่แคลิฟอร์เนียดีกว่าเพราะที่นั้นเธอได้ยินข่าวว่าเขากำลังขาดแคลนนางพยาบาลเสียด้วยสิ มาร์ธาเดินทางไปเมืองนาปา ใกล้ ๆ นครซานฟรานซิสโก และเธอก็ได้งานจริง ๆ ที่ Park Victory Memorial Hospital โดยทำงานกลางวันในโรงพยาบาลทหาร และออกไปเที่ยวในยามกลางคืนตามบาร์ ที่นั้นชายในเครื่องแบบเยอะดี ซึ่งอ่อยเหยื่อได้ด้วย เพราะพวกทหารชอบความท้าทายและเห็นว่ามันสนุกดี ซึ่งนั่นทำให้เธอมีความสัมพันธ์กับทหารหลายคนส่วนสถานที่นั้นไม่เกี่ยง โมเต็ลใกล้ ๆ ก็ได้รับได้หมด

ราวปี 1944 ในไม่ช้ามาร์ธาก็ตั้งท้อง กับคนขับรถบัสแถว ๆ ซึ่งผู้เป็นพ่อของเด็กไม่ได้มีความรักจริงจังในตัวมาร์ธาเท่าไรนัก ทันทีที่เขาทราบว่ามาร์ธากำลังตั้งครรภ์ เขาแทบจะเป็นลมและจำใจรับผิดชอบและอยู่กินกับมาร์ธา แต่ไม่นานเขาก็รับไม่ได้เพราะมาร์ธานั้นรูปร่างอ้วนมาก ๆ เหมือนปลาวาฬไม่มีผิด แถมเดินไปไหนมาไหนกับเธอก็กลายเป็นเป้าสายตา จนเขาพยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการขับรถพุ่งลงอ่าวหากก็รอดชีวิตมาได้ และพอเขาออกจากโรงพยาบาลก็หายลับ ไม่กลับมาอีกเลย เมื่อถูกสามีทิ้งไป มาร์ธารู้สึกผิดหวังและอับอายในเรื่องนี้มาก จนถึงขั้นเป็นโรคประสาท

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1944 เธอถึงกับเป็นลมหมดสติกลางถนนขณะนำจดหมายไปทิ้งตู้ไปรษณีย์ เธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล Mission Eission Emergency Hospital ในซานฟรานซิสโก และหลายวันจากนั้นเธอก็กระเซอะกระเซิงมาที่สถานีตำรวจ ขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสารว่า จู่ ๆ เธอเกิดอาการสมองเสื่อมฉับพลัน จำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน? เธอถูกส่งตัวไปรักษาอีก 3 วัน แพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นฮีสทีเรียแบบความจำเสื่อม และหลังจากที่มาร์ธารักษาจนหายแล้ว เธอออกจากงานและหวนกลับไปยังเพนโคล่า ฟลอริด้า เธอเริ่มงานพยาบาลอีกครั้ง หากไม่กี่เดือนก็ถูกไล่ออก

ซึ่งสาเหตุก็คือ"การคบหามีความสัมพันธ์อย่างไม่ถูกศีลธรรม" ที่นั้นเองที่ มาร์ธาได้คลอดลูกเป็นเด็กผู้ชาย เธอโกหกว่าพ่อของเด็กเป็นทหารเรือซึ่งเสียชีวิตระหว่างออกปฏิบัติหน้าที่เซาธ์แปซิฟิก ชื่อโจ หล่อมาก รวยด้วย สูง 6 ฟุต มีผมบลอนด์เป็นระลอกคลื่นเหมือน พระเอกภาพยนตร์ น่าประหลาดที่ชาวบ้านพลอยบ้า เชื่อไปกับเธอด้วย จนมาร์ธากลายเป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่ยกย่องของสังคมท้องถิ่นนั้น ในนามของแม่ม่ายของวีรบุรุษผู้หวานซึ้ง เรื่องราวสุดโม้ของมาร์ธาก็ดันไปจับใจของคนขับรถบรรทุกนาม อัลเฟรค เบค อย่างจัง ถึงขนาดเขาขอหย่าจากภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก เพื่อมาอยู่เคียงข้าง มาร์ธา ที่เขาเห็นว่าเธอเป็นวีรสตรีของชาติ อัลเฟรด เบค และมาร์ธาเข้าพิธีสมรสเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 1944 มาร์ธาก็ตั้งท้องอีก อย่างไรก็ตาม 5 เดือนให้หลัง เธอก็จับได้ว่าอัลเฟรดมีผู้หญิงคนอื่น เธอเลยขอหย่าจากนั้นสภาพจิตใจที่ตกต่ำย่ำแย่ก็เกิดขึ้นกับเธออีกครั้ง จนเธอเป็นโรคซึมเศร้าอย่างแรง


#อ่านต่อตอนที่ 2









Create Date : 14 กรกฎาคม 2558
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 9:02:46 น. 0 comments
Counter : 2216 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.