|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ต้น แปะตำปึง
ตอนเขาเอามาให้ทาน เห็นกิ่งมันอวบเหมือนพวกคุณนายตื่นสาย ท่าจะชำหรือปลูกไม่ยากเลยลองเอาไปปักดินดู ถ้าปลูกติดจะได้ทานตลอด เพราะช่วงนั้นราคาแพงกิโลละ500บาท ดีที่ชำติดและขยายแผ่กิ่งก้านง่ายและไวเป็นพุ่มสวยเชียวแถมไม่มีแมลงมากวนอีกด้วย
เวลาทานให้ทานสด รสชาติก็หอมพอทานได้ ใบจะกรอบนิดๆๆ ทานกับลาบ น้ำพริกก็เข้ากันได้ดี ทานกะพวกยำก็พอไหว ใบใส่ตู้เย็นไว้เก็บได้หลายวัน
ล่าสุดเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษเพราะเครียดจากโดนโกงจากคนใกล้ชิด ทดลองกินแปะตำปึ๋งตามสูตร รู้สึกได้ผลดีมาก ก้อนที่คอยุบจริง ๆ และกำลังจะหายเป็นปกติ
ในการที่ป่วยหนัก ใช้ใบสด 30 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ต้มน้ำ 3 ถ้วย เหลือ 8 ส่วนของถ้วยกินตอนบ่าย 2โมงของทุกวัน
และเอาใบสดอีก 3 ใบ หั่นละเอียดคลุกข้าวสวยกินในช่วงอาหารมื้อเย็นทุกวัน กินติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือนขึ้นไปอาการจะดีขึ้น
แปะตำปึง ไทยเรียกจักรนารายณ์ เพราะขอบใบหยัก บางคนเรียกว่า ต้นผักพันปี ชื่อทางจีนเรียกว่า กิมกอยมอเช่า
การปลูก เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ตระกูลเดียวกับ เบญจมาศ มาปักชำนำไปไว้ในที่รำไร ขึ้นได้ในดินทั่วไป ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วม จะปลูกลงดินกลางแจ้งหรือลงกระถาง
มีรสเย็น ใช้ใบเป็นยา รสชาติคล้ายใบชมพู่สาแหรก โรคที่รักษาหายแล้วได้แก่ เบาหวาน ความดันสูง ภูมิแพ้ หอบหืด งูสวัด เกาต์ ริดสีดวงทวารหนัก ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผลอักเสบ พุพอง-ฝีหนอง ปวดเส้น ปวดหลัง ไขมันในเลือด ไทรอยด์ ตาอักเสบ ตาเป็นต้อ โรคตาต่างๆ โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โลหิตจาง ฟอกเลือด ล้างสารพิษในร่างกาย ขับลม กินได้ นอนหลับ คนปกติทั่วไปกินแล้วสุขภาพ แข็งแรง เรียกว่าเป็นสมุนไพรครอบจักรวาลเลยทีเดียว
ช่วยขับสารพิษตะกั่วออกจากร่างกาย จะฟอกเลือด ปรับระบบเลือดให้ดีขึ้น น้ำเหลืองจะดีขึ้น รักษาแผลภายใน - ภายนอก ชะล้างสารพิษภายในร่ายกายออกทาง (อุจจาระ ปัสสาวะ และทางตา) ทำให้กินข้าวได้นอนหลับอาการปวดต่าง ๆ ก็จะหาย
ระบบหายใจจะดีขึ้นไม่เหนื่อยหอบ ขับลมแน่นภายในช่อง โรคหืดหอบ-ภูมิแพ้ โรคมะเร็งทุกชนิด ริดสีดวงทวารหนัก งูสวัด โรคเก๊า ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผดฝีหนองทั่วไป โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง เนื้องอกต่าง ๆ ในไต ปวดเหงือก ปวดฟันแผลอักเสบ ปวดท้องประจำเดือน คอเรสเตอรอล ไขมันในเส้นเลือด ไทรอยท์ ปวดเส้น ปวดหลัง โรคกระเพาะ ดวงตาที่เป็นต้อ ดวงตาอับเสบ ขุ่นมัว โรคผิวหนังทั่วไป (สิว ฝ้า เป็นด่าง) โรคเอดส์ถ้าทานใบยาก็จะมีผลให้สุขภาพดีขึ้น
ลำต้นบางต้นจะมีสีแดงและมีลาย
วิธีการรับประทาน
ใบสด ควรรับประทานวันละ 1 ครั้ง ประมาณ 2,3 หรือ 5 ใบ เวลาที่ควรรับประทานใบยาที่ดีที่สุดคือ ตี 5-7 โมงเช้า เพราะลำไส้เริ่มทำงาน ท้องยังว่างอยู่จะได้ผลเร็ว ถ้าบางท่านที่ปวดเหงือก - ปวดฟัน ปากเป็นแผลลำคออักเสบ ควรรับประทานใบยาในเวลากลางคืน (แปรงฟันให้เรียบร้อย) ค่อยรับประทานใบยาเคี้ยวและอมทิ้งไว้สักระยะเวลาหนี่งแล้วค่อยกลืน ผลที่จะได้รับคือ ตื่นเช้าอาการปวดจะหายไป จะขับถ่ายโล่งสบาย จะมีขี้ตาออกมาเยอะหน่อย เพราะใบยาจะขับสารพิษออกทางตา
ถ้าใครปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะให้รับประทานใบยาเดี่ยวนั้น สักพักหนึ่งอาการปวดของโรคกระเพาะก็จะหายไป ยังช่วยขับลมแก๊สที่แน่นในท้องออกด้วย ยังสามารถนำใบยาแปะตำปึงใปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก
ทานเป็นของเคียงกับลาบ ส้มตำ ยอดแปะตำปึงมานึ่งใส่ปลา กินสุกเอาใส่พวกแกง ผัดน้ำมันหอย แกงจืด (15-20 ใบต่อ 1 ท่าน) ต้มเลือดหมูใส่ยอดแปะตำปึง นำมาหั่น-ตากแห้งไว้ชงกินแทนน้ำชาก็ได้
ถ้ามีใบยาที่แก่และเหลือง นำมาล้างแล้วผึ่งให้แห้ง นำมาปั่นหรือตำก็ได้ บีบน้ำยาใส่ถ้วย นำไปนึ่งให้สุกปล่อยให้เย็นแล้วใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น เก็บไว้ใช้ได้นาน
วิธีใช้เฉพาะโรค
โรคเบาหวาน กินใบสดๆ 2-5 ใบ ช่วงตี 5 -ถึง 7 โมงเช้าก่อนอาหาร เพราะลำไส้เริ่มทำงาน จะได้ผลเร็ว และกินอีกครั้งหลังอาหารเย็น 2-3 ชั่วโมงหรือกินก่อนนอน กินเช่นนี้นาน 7 วัน หยุดดูอาการ 2-3 วัน จึงกินต่อเพื่อน้ำตาลในเลือดจะได้ไม่ลดเร็วเกินไป (ขอเสริมตรงนี้นิดนึงว่า ปริมาณการกินของแต่ละคนอาจไม่เท่ากันขึ้นกับขนาดของใบและน้ำหนักตัว จึงขอให้คนป่วย เบาหวานทดลองกินจำนวนใบน้อยๆ ก่อนแล้วคอยดูอาการ เพราะเคยมีคนบอกว่าบางคนกิน แล้วน้ำตาลลดแบบฮวบฮาบ)
โรคตา นำใบสดๆมาล้างให้สะอาด บด-โขลกในครกสะอาดๆ ให้แหลก แล้วนำมาพอกตาข้าง ที่อักเสบหรือมัว นาน 30 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำ พอกเช้า-เย็น ตาจะดีขึ้นเร็ว
ดวงตาเป็นต้อ ดวงตาอักเสบ ตามัว นำใบยาประมาณ 7-8 ใบ มาขยี้ หรือใช้ครกตำก็ได้ บีบน้ำยาใส่ที่ดวงตา แบ่งใบยาเป็น 2 ส่วน พอกไว้ 20-30 นาที ค่อยล้างออก ผลที่ได้รับคือ ดวงตาจะสว่างขึ้น แผลต่าง ๆ จะหายไป รวมทั้งต้อ ริดสีดวงทวารหนัก ควรทานใบสด และควรนำใบยามาขยี้หรือตำให้ได้พอเหมาะยัดใส่ทวาร แผลหายเร็ว ติ่งที่โผล่ยุบเลือดที่ออกก็จะหยุด ใบยาที่แก่และเหลือง เอามาปั่นหรือตำคั้นเอาน้ำ นึ่งให้สุกใส่ตู้เย็นไว้ทาแผลต่างๆได้
มะเร็ง ให้กินเป็นผัก เช่น จิ้มน้ำพริก ทุกวัน ถ้าเป็นมะเร็งกินก่อนนอน 5-7 ใบ ก่อนนอน ประมาณ 6 เดือน มะเร็งจะลดขนาดลง
เริม งูสวัด นำใบมาตำกับน้ำตาลทรายแดง เพื่อให้จับตัวเป็นก้อน ไม่หลุดง่าย พอกตรงรอยแผลไว้ 30 นาที หรือใช้น้ำคั้นทาก็ได้
ถึงอย่างไรก็ควรระวังเรื่องอาหารของแสลง เช่นเนื้อ, กุ้ง, หมึก (ไม่เรียกว่าปลาหมึกเพราะไม่ใช่ปลา แต่เป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง) ปู, ปลาทู, ปลาร้า, กะปิ, หน่อไม้, ข้าวเหนียว, แตงกวา, หัวผักกาด, เผือก, สาเก, เครื่องดองของเมา และถ้าสุขภาพไม่แข็งแรงควรงดน้ำชากาแฟด้วย
ใช้แก้อาการแพ้ อักเสบ รวมทั้งพิษตะขาบ แมลงป่อง ใบสดขยี้ทาแก้คันจากลมพิษ
ริดสีดวงทวารหนัก ตำใบสดแล้วใส่ในทวาร จะทำให้หายเร็ว ติ่งที่โผล่จะยุบ เลือดที่ออกจะหยุด
โรคกระเพาะ ถ้าปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะ ให้กินเดี๋ยวนั้น สักพักอาการปวดจะหายไป ยังช่วยขับลมที่แน่นในท้องออกมาได้ด้วย
ถ้าเป็นงูสวัด และแผลต่าง ๆ ใช้น้ำยาทา หรือนำใบยาสดมาตำพอกก็ได้
ก็กินทุกวันช่วงเช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นวันละ 5 ใบ(จากคำบอกเล่าของผู้เคยใช้)ทดลองแล้ว 1เดือนนำตาลในเลือดลดลงบ้างแล้วจาก 213 กว่า เหลือ 148
เจ็บคอ ไอ ระดูขาว ซิฟิลิส แผลบนใบหน้า กระดูกเมื่อยล้า รังแค โรคเกาต์ ปวดไต ความดันสูง ความดันต่ำ ปวดหัวใจ โรคต่อมไทรอยด์ และเส้นเลือดอุดตัน
วิธีใช้3แบบ วิธีที่1 ใช้ใบสด 7 ใบ ต้มกับน้ำเปล่า 2 ถ้วย ( ถ้วยตราไก่จีนที่นิยมใส่ข้าวรับประทาน ) ให้เหลือน้ำ 1 ถ้วย กิน 3 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 1 ส่วน และเอาใบสด 1 ใบ ล้างให้สะอาดเคี้ยวให้ละเอียดกลืนลงท้องกินติดต่อกันเป็นเวลา 12- 20 วัน โรคที่เป็นจะค่อย ๆ หายได้
วิธีที่ 2 ในการที่ป่วยหนัก ใช้ใบสด 30 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ต้มน้ำ 3 ถ้วย เหลือ 8 ส่วนของถ้วยกินตอนบ่าย 2โมงของทุกวัน และเอาใบสดอีก 3 ใบ หั่นละเอียดคลุกข้าวสวยกินในช่วงอาหารมื้อเย็นทุกวัน กินติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือนขึ้นไปอาการจะดีขึ้น วิธีสุดท้าย ใช้ใบ 7 ใบล้างให้สะอาด บดละเอียด เติมน้ำและน้ำตาลทรายเล็กน้อย ผสมให้เข้ากัน กินติดต่อกันวันละครั้ง เป็นเวลา 15 วันขึ้นไป อาการของโรคที่กล่าวข้างต้นจะหายได้ ข้อห้าม เมื่อกินยานี้แล้วไม่ควรกินอาหารที่มีส่วนผสมผงชูรสและอาหารกระป๋อง บาดแผลถูกของคมบาด ใช้ทั้งต้นตำแหลกพอกชะงัดนัก และถ้าถูกน้ำร้อนลวก ใช้ทั้งต้นตำพอกเฉย ๆ จะไม่ปวดแสบปวดร้อนและไม่พุพอง
นอก จากนั้น ในตำรายาพื้นบ้านของจีน ยังกล่าวอีกว่า ถ้าถูกลูกปืนมีวิธีใช้ ๒ อย่างคือ เอา แปะตังปุง ตำกับน้ำผึ้งพอก หรือเอาใบ หญ้าขัดมอญ ใบ ฟ้าทะลาย กะปิ กุ้งน้ำจืด ตากแห้งแล้วตำรวมกันเป็นผงทาที่บาดแผลลูกปูน ส่วนภายนอกใช้ แปะตังปุง ตำแหลกพอกทับอีกที สามารถถอนลูกปืนฝังในให้ออกมาได้ แต่คนไฟธาตุอ่อน ร่างกายอ่อนแอและตัวไม่ร้อน ไม่ควรกิน
อ้างอิง
//raikuwong.is.in.th/?md=news&ma=show&id=9
//www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php?topic=4377.msg%25msg_id%25
//gotoknow.org/blog/dad/38481
Create Date : 08 เมษายน 2549 |
Last Update : 30 สิงหาคม 2559 12:03:40 น. |
|
7 comments
|
Counter : 4161 Pageviews. |
|
|
|
โดย: พฤษภา IP: 124.120.93.197 วันที่: 8 เมษายน 2549 เวลา:20:51:19 น. |
|
|
|
โดย: e kor IP: 124.120.76.245 วันที่: 8 เมษายน 2549 เวลา:21:56:57 น. |
|
|
|
โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 9 เมษายน 2549 เวลา:20:51:20 น. |
|
|
|
โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 9 เมษายน 2549 เวลา:20:59:23 น. |
|
|
|
โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) วันที่: 10 เมษายน 2549 เวลา:15:40:45 น. |
|
|
|
โดย: numta2003 IP: 83.250.24.107 วันที่: 18 เมษายน 2549 เวลา:8:05:45 น. |
|
|
|
โดย: เนเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 3 พฤษภาคม 2549 เวลา:19:17:34 น. |
|
|
|
|
|
|
|