Group Blog
All Blog
|
ทนายอ้วนชวนเที่ยว ... เวลาเดินช้าที่ .. น่าน - วัดต้นแหลง อ.ปัว จ.น่าน สถานที่ท่องเที่ยว : วัดต้นแหลง อ.ปัว จ.น่าน, น่าน Thailand พิกัด GPS : 19° 11' 19.87" N 100° 54' 22.93" E สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดน่านในบล็อกนี้และบล็อกต่อๆไป 3-4 บล็อก จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวประเภทวัดในอำเภอปัว จังหวัดน่านนะครับ เจ้าของบล็อกใช้เวลาครึ่งวันในการท่องเที่ยวในอำเภอปัว และอีกหนึ่งวัดในอำเภอท่าวังผาครับ วัดต้นแหลง อำเภอปัว จังหวัดน่าน การเดินทางไปวัดต้นแหลงก็ไม่ยากเลยครับ จากตัวเมืองน่านมุ่งหน้าอำเภอปัว พอถึงอำเภอปัวให้เล็งห้างแว่นท็อปเจริญ เซเว่น – อีเลฟเว่น ไว้ พอเห็นห้างทองชำนาญศิลป์และป้ายร้านสุเกียวให้เลี้ยวซ้าย ขับตรงไปเรื่อยๆพอเจอวงเวียนแล้วเลี้ยวซ้าย ขับผ่านวัดปรางค์ทางขวามือ ขับตรงไปเรื่อยๆ พอสุดบ้านคนจะเลี้ยวซ้ายอีกที ตรงนี้มีป้ายบอกทางไปวัดต้นแหลง ขับตรงไปเรื่อยๆในชุมชนจะเห็นวัดต้นแหลงครับ วัดบ้านต้นแหลง หรือ วัดต้นแหลง ตั้งอยู่ที่ หมู่ ๒ ตำบลไทยวัฒนา อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นอีกหนึ่งวัดที่แสดงออกถึงความงดงามของวัฒนธรรมไทลื้อ ที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน สร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 2127 หรือประมาณ 422 ปี โดยช่างชาวไทลื้อ ที่มาของชื่อ "ต้นแหลง" นั้น มาจากไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ทางภาคกลางเรียกว่า "ต้นยวงผึ้ง" ในอดีตในหมู่บ้านนี้มีต้นแหลงเป็นจำนวนมาก ได้เคยเล่าให้ฟังในบล็อก “วัดภูมินทร์” แล้วว่า “ชาวไทลื้อ เป็นชนกลุ่มน้อยมีถิ่นฐานดั้งเดินอยู่ในแคว้นสิบสองปันนา หลวงพระบาง และล้านช้าง ได้อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองน่านตั้งแต่สมัยที่เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ (ผู้ครองนครน่านองค์ที่ 40) ทำสงครามกับเชียงใหม่ (ภายใต้การปกครองของพม่า) หลายครั้ง บางครั้งก็แพ้ บางครั้งก็ชนะ เมื่อแพ้จะหลบหนีไปอยู่ที่ลานช้างแล้วก็นำทัพจากเมืองลานช้างและหงสา เข้ามาตีเอาเมืองน่านกลับคืน ซึ่งตอนนี้นี่เองอาจมีชาวไทลื้อจากเมืองลานชางเข้ามาอยู่เมืองน่าน อีกช่วงหนึ่งที่ชาวไทลื้อได้อพยพเข้ามาในเมืองน่านเป็นจำนวนมากก็คือในยุคของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นเจ้าเมืองน่าน ตามพงศาวดารเมืองน่านระบุว่า ช่วง พ.ศ.2399 พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ยกทัพไปกวาดต้อนครอบครัวไทลื้อราว 2,000 คน มาจากเมืองพงษ์ในเขตสิบสองปันนา และญาติพี่น้องของคนกลุ่มนี้ก็อพยพตามกันลงมาอีก ปัจจุบันชาวไทลื้อตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในอำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอท่าวังผา และอำเภอปัว จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดของชาวน่าน เมื่อชาวไทยลื้อเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตเมืองน่านก็เริ่มสร้างบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัย และสร้างศาสนสถานเพื่อเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ชาวไทยลื้อที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านต้นแหลงนี้ก็ได้ร่วมกันสร้าง วัดต้นแหลง ขึ้นมา สันนิษฐานว่าตัววัดคงสร้างขึ้นราวๆ พ.ศ. 2400 กว่า (เมื่อคราวทีชาวไทยลื้ออพยพครั้งใหญ่มาอยู่ที่เมืองน่าน) หรืออาจจะก่อนนั้นคือในสมัยที่เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์เป็นผู้ครองนครน่าน (ประมาณ พ.ศ. 2134 – 2146) ในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรระบุว่า วัดต้นแหลง ปีสร้างเมื่อ พ.ศ. 2390 เดิม วัดต้นแหลง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของชุมชน ริมแม่น้ำปัว แต่วัดประสบปัญหาถูกน้ำท่วมเซาะตลิ่งพังเพราะมีแม่น้ำล้อมรอบหมู่บ้าน (แม่น้ำขว้างกับแม่น้ำปัว) จึงได้ย้ายวัดไปตั้งชั่วคราวในป่าริมหมู่บ้านหนาด ตำบลไชยวัฒนา อำเภอปัว (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปัว) เป็นเวลา 3 ปี ต่อมาเมื่อน้ำลดลงและไม่ท่วมเซาะพังหมู่บ้านแล้ว จึงได้มาสร้างวัดในสถานที่เหมาะสม ในกลางหมู่บ้าน คือสถานที่ตั้งวัดปัจจุบัน ส่วนวิหารหลังปัจจุบันสร้างเมื่อราวพ.ศ. 2425 หรือเมื่อกว่า 100 ปีก่อน ในพ.ศ. 2469 ได้มีพระครูญาณธาดา อดีตเจ้าคณะแขวงปัวเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ได้พร้อมกับขุนสถานสุทธารักษ์ อดีตกำนันตำบลสถานและคณะศรัทธาราษฎรในหมู่บ้านพร้อมกับจ้างนายช่างมาก่อสร้างพระประธานองค์ใหญ่ มีหน้าตักกว้าง 108 นิ้ว สูง 156 นิ้ว และทำแท่นแก้วพระประธานโดยนายมอญเป็นช่างผู้ก่อสร้าง ประมาณ 2 ปีจึงแล้วเสร็จ ได้ทำการสมโภชพุทธาภิเษกพระประธาน ต่อมาในปีพ.ศ. 2471 ได้ขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาและทำการผูกพัทธสีมา เมื่อ 9 มีนาคม 2474 พ.ศ. 2493 พระสวัสดิ์ สุภทโท เจ้าอาวาส ได้แนะนำศรัทธาราษฎรในหมู่บ้านปั้นอิฐเพื่อต่อเติมเสริมผนังซึ่งเดิมเป็นไม้ จนถึง พ.ศ. 2494 ก็ยังไม่เสร็จและได้ลาสิกขาบทไปเมื่อ พ.ศ. 2495 เจ้าอธิการส่วย เวปุลโล ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสได้ทำการก่อสร้างฝาผนังและพระอุโบสถเพิ่มเติมที่ค้างไว้เป็นเวลาอีก 1 ปี และในปีนี้เองได้แนะนำศรัทธารื้อกุฏิอีก 2 หลัง ซึ่งทรุดโทรมมากเพื่อสร้างใหม่และสร้างเสร็จในปีต่อมา พ.ศ.2499 ก็ได้ทำการบูรณะฝาผนังพระอุโบสถที่ค้างไว้จนเสร็จและพร้อมกันนี้ได้ร่วมกับศรัทธาในหมู่บ้านทำการบูรณะหลังคาอุโบสถที่ชำรุดเป็นกระเบื้องไม้ โดยมีนายวงค์ เขื่อนธนะ มาทำการช่วยเหลือและเป็นนายช่างทำช่อฟ้า ใบระกา จนเสร็จเรียบร้อย และได้ทำการสมโภชเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2500 เรามาถึง วัดต้นแหลง แต่เช้ามากครับ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวซักคนเดียว อาจจะเป็นเพราะวัดต้นแหลงอยู่ไกลจากเส้นทางหลักและวันที่เจ้าของบล็อกไปวัดต้นแหลงเป็นวันธรรมดาด้วยครับ เลยยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากนักครับ วิหาร วัดต้นแหลง สวยงามแปลกตาไปกว่าวิหารทางภาคเหนือทั่วๆไป ด้วยเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทลื้อแท้ๆสร้างโดยช่างชาวไทยลื้อยุคแรกๆที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองน่าน และนับว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทลื้อที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มีลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมคือการวางรูปทรงวิหารให้เตี้ยแจ้เป็นทรงตะคุ่มหลังคาลาดต่ำ ซ้อน 3 ชั้น ตามลักษณะเดียวกับบ้านเรือนแบบเดิมของชาวไทยลื้อแถบสิบสองปันนาเรียกกันว่า “ฮ่างหงส์” ถ้าลองใส่จินตนาการเข้าไปหน่อยแล้วจะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนหงส์กางปีก คงได้รับวิวัฒนาการมาจากวิหารไม้หลังเดิม วิหารทรงโรง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของสถาปัตยกรรมล้านนา เป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปะไทยลื้อ มีการวางแปลนให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 7 ห้อง กว้าง 11.40 เมตร ยาว 19 เมตร ไม่มีมุขหน้าวิหาร ผนังวิหารสูงเท่ากันทุกด้าน วิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก พื้นอุโบสถยกสูงจากระดับพื้นดินประมาณ 1.20 เมตร มีเหตุผลที่ทำเช่นนี้เพราะบริเวณที่ตั้งวัดต้นแหลงนี้เป็นบริเวณที่ลุ่มเมื่อถึงฤดูฝนถ้ามีน้ำป่าหลากจะเกิดน้ำท่วมขังในบริเวณนี้ จึงมีการยกพื้นให้สูงขึ้น บริเวณฐานพระอุโบสถที่ยกสูงขึ้นทำเป็นฐานวิหารเป็นแบบบัวคว่ำบัวหงายซ้อนชั้นเหลื่อมกันแบบขั้นบันได ทอดแนวยาวต่อเนื่องระดับเดียวกันโดยรอบ ลดสอบเข้าหาผนังวิหาร พระวิหารมีทางเข้าออกด้านหน้า ด้านทิศเหนือ และด้านทิศใต้ ช่องประตูและหน้าต่างไม่มีซุ้มประดับ ที่ทางเข้าพระวิหารทีสิงห์เฝ้าอยู่ 1 คู่ เป็นสิงห์แบบพม่านะครับ มีการทาสีตกแต่งอย่างสวยงาม .... ไม่อยากจะบอกว่า ... ปั้นได้เหมือนจริงมากกกกกกก ฮ่าๆๆๆๆๆ หลังคาพระวิหารเป็นทรงหลังคาปีกนกทั้งสี่ด้าน เรียกว่า “หลังผัด” มุงด้วยไม้แป้นเกล็ด (ของเดิมเสื่อมสภาพไปหมดแล้ว ที่เห็นอยู่นี้เป็นของใหม่ที่ทำการมุงเมื่อ พ.ศ. 2499) หลังคาซ้อนกัน 3 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นหลังคาทรงจั่วเรียกว่า “หาน” เดิมช่อฟ้าเป็นรูปนกหัสดีลิงค์ ศีรษะเป็นช้าง ตัวหงส์ (ข้อมูลที่หามาบอกนะครับ แต่ว่าดูจากรูปเป็นช่อฟ้าแบบภาคกลางทำด้วยไม้ น่าจะมีการบูรณะเมื่อไม่นานมานี้) หางหงส์ชั้นบนสุดเป็นนาคเศียรเดียว ชั้นที่สองกับชั้นล่างเป็นนาคเบือนสามเศียรคล้ายๆกับการประดับตกแต่งโบสถ์ วิหาร ในประเทศลาว หน้าบัน หรือ หน้าแหนบ ใช้แผ่นไม้ยาวตีแนวเฉียงเลียนแบบรัศมีของดวงตะวัน มีรูปดอกไม้ครึ่งซีกอยู่ตรงกลาง ในตำแหน่งของคอสองหน้าแหนบตีไม้แบ่งช่องเลียนแบบช่องลูกฟัก แต่ละช่องประดับดอกไม้หนึ่งดอก ตกแต่งด้วยสีสันเรียบง่าย คือ เหลือง น้ำตาล ฟ้า และขาว รอบชายคาของหลังคาชั้นกลางและชั้นบนทำ แป้นน้ำย้อย เป็นแผ่นไม้แกะสลักรูปคล้ายใบหอก มีดอกไม้ติดอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเข้ามาด้านในพระวิหาร เมื่อมองขึ้นไปด้านบนจะเห็นโครงสร้างส่วนบนเป็นไม้ ใช้วิธีการเข้าไม้ หรือ ต่อไม้ ผนังวิหารก่ออิฐถือปูน ผนังทำหน้าที่รับน้ำหนักโครงสร้างหลังคาร่วมกับเสาหน้าต่างมีขนาดเล็กและแคบ แสงเข้าได้น้อยมาก ผนังเจาะช่องหน้าต่างเล็กๆ เพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็น บรรยากาศภายในจึงมือสลัว เมื่อเปิดหน้าต่างออกหมดถึงจะมีแสงสว่างเข้ามาอย่างเต็มที่ ด้านทิศตะวันตก (ด้านหลังพระประธาน) ไม่มีทางเข้าออก มีช่องหน้าต่าง 1 ช่องตรงกึ่งกลางผนัง ผนังด้านทิศเหนือมี 1 ช่องประตู ถ้าสังเกตดูดีๆจะเห็นว่าประตูทางทิศตะวันออกจะมีความสูงและความกว้างมากกว่าประตูทางทิศเหนือและทิศใต้ คาดว่าจะได้รับแนวคิดมาจากอินเดีย และคงเป็นเจตนาซ่อนเร้นของช่างที่หมายจะให้แสงแดดแรกในแต่ละวันพุ่งตรงไปยังพระประธานก่อน ภายในวิหาร เสาหลวงเป็นเสากลมสีแดงดำ ไม่มีลวดลาย ประดับปลายเสาด้วยบัวกลีบยาว แขวน “ผ้าเช็ดหลวง” ... (เช็ด แปลว่า ทอ , หลวงแปลว่ายิ่งใหญ่) ใช้ในพิธีกรรมการถวายทานเป็นพุทธบูชาเพื่ออุทิศให้แก่บรรพบุรุษ มีลักษณะคล้ายตุงของทางภาคเหนือ ด้านข้างทิศใต้ติดผนังเป็นอาสนสงฆ์ ยกพื้นสูงขึ้นมาจากพื้นวิหาร 20 เซนติเมตร ก่ออิฐลาดปูน พระประธานปางมารวิชัย พุทธลักษณะมีกลิ่นอายของพม่า ไทยใหญ่เล็กน้อย ประทับบนแท่นแก้ว (ฐานชุกชี) ประดับกระจก ตั้งลอยตัว เดินได้รอบ ทั้งสองข้างเป็นเครื่องสูงเพื่อเป็นพุทธบูชา ด้านหน้าพระประธาน เป็นขั้นไดแก้ว หรือ บันไดแก้ว - เชิงเทียนที่มีที่ปักเทียน 7 อัน เป็นสัตตภัณฑ์ของไทลื้อ ขวามือของพระประธาน เป็นธรรมมาสบุษบก ตอนล่างก่ออิฐถือปูนประดับกระจก ตอนบนเป็นไม้ประดับลวดลาดสีทอง และหีบพระธรรมลงรักปิดทอง ด้านหลังยังมีพระวิหารหลังเล็ก ไม่แน่ใจว่ากำลังบูรณะหรือสร้างใหม่นะครับ รูปร่างเหมือนกันทุกอย่าง ต่างกันที่แป้นน้ำย้อยครับ วัดต้นแหลง ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทยล้านนา ที่สมควรได้รับการเผยแพร่ ประปี 2552 ประเภทอาคารทางศานาจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนวัดต้นแหลงเป็นโบราณสถานเมื่อพ.ศ. 2533 ขอบคุณพี่ tuk-tuk@korat สำหรับข้อมูลดีๆด้วยครับ วิหารไทลื้อ ... วัดต้นแหลง อำเภอปัว จังหวัดน่าน https://pantip.com/topic/38045565 อีกช่องทางหนึ่งในการติดตาม “ทนายอ้วนพาเที่ยว” นะครับ Chubby Lawyer Tour - ทนายอ้วนพาเที่ยว https://www.facebook.com/ChubbyLawyerTour/ Chubby Lawyer Tour ………………….. เที่ยวไป ............. ตามใจฉัน งามมากครับ
หลงไหลในมนต์เสน่ห์สถาปัตยกรรมของภาคเหนือเช่นกันครับ โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 23 มีนาคม 2563 เวลา:16:28:14 น.
เรียบง่าย ดีงาม เป็นเอกลักษณ์
เก็บภาพได้ละเอียดดีจังค่ะ โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 23 มีนาคม 2563 เวลา:17:14:50 น.
55555555+++
แวะมาทักทายแต่โหวตหมดแย้ว แปะใจไว้ก่อนเด้อออ โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 23 มีนาคม 2563 เวลา:18:30:25 น.
เห็นโบสถ์หรือศาลาทรงแบบนั้น คงเป็นการสร้างสมัยหลายร้อยปี
คือทรงเตี้ย ผนังไม่สูงมาจาก แถวนั้นความหนาวเย็นเยอะ ไทยลื้อ...ที่ผมรู้จักก็มี คุณจินแห่งร้านเต้ยติ่มซำเชียงใหม่บ้านอยู่ อ.สะเมิงเชียงใหม่บ้านหลังเดิมของอุ้ยแม่หญิงเป็น แบบไทยลื้อ โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 23 มีนาคม 2563 เวลา:20:27:09 น.
สถาปัตยกรรมแบบไทลื้องดงามมากค่ะคุณบอล
ขอบคุณคุณบอลที่พาเที่ยวนะคะ ภาพสวยมากค่ะ โดย: Sweet_pills วันที่: 23 มีนาคม 2563 เวลา:23:43:04 น.
เคยไปน่าน ไม่เคยไปวัดนี้เลยค่ะ ภาพสวย ได้ชมเหมือนได้ไปเองเลย โดย: newyorknurse วันที่: 24 มีนาคม 2563 เวลา:3:26:04 น.
พี่ว่า ฝรั่งส่วนมาก จะเลือกทำอะไรโดยมีแพสชั่นนำเป็นหลักหละ
เราเลยเจอคนแบบนี้ได้ทั่วไปสำหรับฝรั่งที่ทำงานด้านใดด้านหนึ่ง โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 24 มีนาคม 2563 เวลา:11:02:11 น.
อ้อ ลืมไป โควต้าหมด ไว้พี่เข้าบล็อกอีกเมื่อไหร่มาโหวตให้เน้อ
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 24 มีนาคม 2563 เวลา:11:07:36 น.
น่านนะแหละ ก็น่านนะสิ ที่อยากไปเที่ยว ..อิอิ โดย: สันตะวาใบข้าว วันที่: 24 มีนาคม 2563 เวลา:16:22:54 น.
เพิ่งเห็นว่าบ้านนี้เข้าไปโหวตอาหารให้เค้า
เอิ๊กกก นี่กำลังพยายามจะอัพอีก เป็นเมนูอาหารรวบยอด แต่................... มันคือบล็อกลดน้ำหนักไง งง ใน งง กร๊ากกกกกกก โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 24 มีนาคม 2563 เวลา:17:09:45 น.
มาเรื่องสลัดซีซ่าร์ ปกติ ป้าอิ๋วชอบใช้ขนมปัง ciabatta ค่ะ ถ้าเวลาปกติก็จะแจ้นไปซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างเร็ว ถ้าจังหวะโควิทนี่ มีอะไรก็ใส่ไปก่อนแหละค่ะ ความกรอบมันไม่ได้ถึงใจนัก แต่ก็แก้ขัดค่ะ และถ้าได้เข้าเตาอบด้วยล่ะก็ อบเท่าไรก็ไม่พอค่ะ
โดย: Sai Eeuu วันที่: 24 มีนาคม 2563 เวลา:21:42:03 น.
สวยงามๆ
ไว้Covid19จาง และเรายังแข็งแรงดีอยู่ จะตามไปเที่ยวค่ะ โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 25 มีนาคม 2563 เวลา:5:04:51 น.
มาโหวตแระน้า เพิ่งจะได้เข้าบล็อกเนี่ย
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต **mp5** Dharma Blog ดู Blog nonnoiGiwGiw Photo Blog ดู Blog Sai Eeuu Food Blog ดู Blog ทนายอ้วน Travel Blog ดู Blog ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 30 มีนาคม 2563 เวลา:12:25:19 น.
|
ทนายอ้วน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?] Friends Blog
|
https://www.paiduaykan.com/province/north/nan/watbantonl
aeng.html
//nantourism.go.th/travel-detail.php?id=13
https://www.emagtravel.com/archive/wat-tonlang.html
https://pantip.com/topic/38045565
https://www.voicetv.co.th/read/535159
//www.zthailand.com/place/wat-ton-laeng-temple-nan/
//www.lannatouring.com/Nan/Interesting-article/Wat-
Tonlang-Nan.htm
https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1204726