Group Blog
|
ทนายอ้วนชวนเที่ยวเมืองอ่างทอง - วัดเขียน วิเศษชัยชาญ อ่างทอง สถานที่ท่องเที่ยว : วัดเขียน วิเศษชัยชาญ อ่างทอง, อ่างทอง Thailand พิกัด GPS : 14° 36' 9.19" N 100° 21' 0.29" E วัดเขียน วิเศษชัยชาญ อ่างทอง วัดเขียน อ่างทอง ตั้งอยู่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย เลขที่ 50 หมู่ 8 บ้านคลกะพัน ตำบลศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ห่างจากตัวอำเภอเมืองอ่างทองประมาณ 12 กิโลเมตร จากตัวเมืองอ่างทองใช้ทางหลวงหมายเลข 3195 (ถนนสายอ่างทอง-วิเศษชัยชาญ-สุพรรณบุรี ) มุ่งหน้ามายังอำเภอวิเศษชัยชาญ ผ่านตลาดศาลเจ้าโรงทองถึงสี่แยกคลองชลประทานที่เชื่อมถึงอำเภอโพธิ์ทอง เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3454 ตรงไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็น วัดเขียน อ่างทอง ตั้งอยู่ทางขวามือ วัดเขียน อ่างทอง เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย มีพื้นที่โดยรอบรวม 19 ไร่ วัดเขียน อ่างทอง สร้างขึ้นสมัยใดไม่ปรากฎ แต่มีข้อมูลว่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2270 สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาถูกปล่อยให้รกร้างอยู่นาน เมื่อมีผู้คนมาอาศัยอยู่มากขึ้นกลายเป็นชุมชน จึงได้มีการบูรณะ วัดเขียน อ่างทอง ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมของชุมชน สำหรับชื่อ วัดเขียน มีผู้รู้ให้กรุณาให้ความเห็นไว้ 2 กรณี กรณีแรก เนื่องจากภายในพระอุโบสถมีภาพเขียนที่สวยงามจึงเรียกว่า วัดเขียน ตามอย่างโบสถ์เขียนหรือวิหารเขียนที่วัดป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ตามแนวคิดของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ อีกกรณีหนึ่งคือ เดิมวัดนี้ชื่อ วัดเขียน อยู่แล้ว แต่เพื่อให้สมกับชื่อจึงมีการเขียนภาพไว้ในพระอุโบสถ จากหลักฐานทางด้านโบราณสถาน เช่น อุโบสถ (เก่า) ใบเสมา เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง พออนุมานได้ว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย รวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถก็เป็นภาพที่เขียนขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายเช่นเดียวกัน พระอุโบสถหลังเดิม หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีขนาดย่อม ก่ออิฐถือปูน มีประตูทางเข้าทางเดียวทางด้านหน้าพระประธาน ผนังด้านข้างมีหน้าต่างข้างละ 3 บาน เป็นหน้าต่างสี่เหลี่ยมเล็กๆ 2 บาน ที่เหลืออีกบานหนึ่งเป็นหน้าต่างหลอก เสาภายในอาคารเป็นเสาเหลี่ยมติดผนัง บัวหัวเสาเป็นหัวกลีบยาวซึ่งเป็นลักษณะของบัวหัวเสาในสมัยอยุธยาตอนปลาย หน้าบันเป็นไม้ขนาดเล็กแกะสลักลวดลายเป็นลายเทพนมและลายกระจังรวน สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสกุลเมืองวิเศษชัยชาญสมัยอยุธยาตอนปลาย ในปี พ.ศ. 2516 สมเด็จพระกณิษฐาธิราชเจ้ากรมพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เสด็จมาพระราชทานกฐิน ณ วัดเขียน อ่างทอง เมื่อทรงทอดพระเนตรสภาพความทรุดโทรมของอุโบสถจนทำให้น้ำฝนไหลชะภาพเขียนภายในเสียหายเป็นอันมาก รับสั่งให้บูรณปฏิสังขรณ์อุโบสถขึ้นใหม่โดยการรักษาสภาพเดิมไว้ส่วนใหญ่แต่รื้อหลังคาเดิมออกเนื่องจากชำรุดมาก จากนั้นได้ก่อผนังขนาบภายนอกเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดกว้าง 7.40 เมตร ยาว 9.60 เมตร ให้คร่อมทับอุโบสถเดิม เปลี่ยนโครงเครื่องบนใหม่ทั้งหมดทำเป็นหลังคาชั้นเดียวแต่มีชั้นลดเพิ่มเป็น 2 ชั้น มุงหลังคาด้วยกระเบื้องแผ่นตามแบบปัจจุบัน แต่ยังคงลักษณะของอาคารหลังเดิมคือมีทางเข้าทางเดียว ใบเสมา ใบเสมาทำจากหินทรายสีขาวที่ตั้งอยู่รอบพระอุโบสถทั้ง 8 ทิศ สันนิษฐานว่าเป็นใบเสมาเก่าสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งลักษณะพิเศษของใบเสมาสมัยนี้คือ ใบเสมาจะทำด้วยหินทรายขาวทั้งหมดเป็นชนิดใบเสมานั่งแท่น ซึ่งตั้งอยู่บนฐานสิงห์และฐานบัวกลุ่ม เนื่องจากใบเสมามีขนาดเล็กและแบบบาง จึงต้องมีการก่ออิฐถือปูนเป็นฐานรองรับ มีแถบเส้นกลางขนาดใหญ่เท่าขอบเสมา ตรงกลางแถบจะมีนมเสมาซึ่งทำเป็นลายประจำยามลักษณะคล้ายทับทรวง ส่วนอกเสมาเหนือนมเสมาเป็นรูปดอกไม้กลมทั้งสองข้าง เรียกว่า ตาเสมา ยอดเสมาทำเป็นรูปมงกุฎครอบท้องเสมาเป็นลายประจำยามครึ่งเดียว และมีกระหนกตัวเหงาอยู่ที่เอวเสมา จากลักษณะและรายละเอียดทีปรากฏบนใบเสมาเป็นศิลปะช่วงระยะต้นของปลายสมัยอยุธยา เนื่องจากการสร้างพระอุโบสถจะต้องมีการกำหนดพัทธสีมาในคราวเดียวกัน ดังนั้นจึงชื่อว่าพระอุโบสถหลังเก่านี้สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายในพระอุโบสถมี ภาพจิตรกรรมฝาผนัง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือช่างในสมัยปลายอยุธยา ใช้สีสด เช่น แดง น้ำเงิน และดำ เป็นพื้น เพื่อจะตัดเส้นสีทองให้สุกใสขึ้น “ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในสมัยอยุธยาตอนปลายใช้สีเรียบแบนระบายบางๆ โทนสีส่วนใหญ่เป็นแดงเขียนแบบคตินิยมทั่วไป จิตรกรสมัยโบราณท่านนิยมใช้สีแดงสดเป็นพื้น เพื่อจะคัดทองคำของพระพุทธรูปในอาคารให้ดูแจ่มใสมลังเมลืองขึ้น จึงนิยมต่อๆ กันมาว่าจะต้องระบายสีท้องฟ้าของปราสาท ภาพไตรภูมิ ภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ให้เป็นสีแดงเชื่อมกันหมด เพื่อที่จะให้เนื้อหาของโครงสร้างภาพเขียนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอด จากนี้ในที่อื่นๆ เช่นที่ภายในช่องปราสาทก็เป็นสีแดงด้วย หรือภาพบางอย่าง เช่น ภาพวิวภูเขาต้นไม้ บางทีก็ระบายเป็นท้องฟ้าสีแดงเสียด้วย ในสมัยรัตนโกสินทร์จะหันมานิยมเขียนแบบธรรมชาติ คือระบายสีท้องฟ้าด้วยสีเทาดำๆ และเมฆสีขาว เป็นแบบธรรมชาตินิยม (Realism) มากขึ้น ดังนั้น ในบางตอนก็เขียนรูปเป็นไปในแบบธรรมชาติ แต่บางตอนก็ยังคงแบบฉบับไอเดียลิสม์ (Idealism) แบบเดิมไว้” (น. ณ ปากน้ำ) “จิตรกรรมไทยโบราณนั้น มักจะเขียนบนแผ่นผนังที่เตรียมการลงพื้นและทาสีขาวเป็นสีพื้นเรียบร้อยแล้วด้วยสีฝุ่นผสมกาว สีฝุ่นนั้นเป็นสีจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ดินแดง สีดินขาว สีดำจากเขม่าไฟ ซึ่งการจะนำสีต่างๆ มาเขียนก็จะต้องบดสีด้วยโกร่งอันทำด้วยดินเผาหรือดินเผาเคลือบ ใช้เวลาบดสีประมาณ ๑-๔ ชั่วโมง หากว่าก้อนสีจับตัวแข็งก็จะต้องแช่น้ำไว้สัก ๑ หรือ ๒ ชั่วโมง บางทีจิตรกรผู้เขียนจะนำเอาแอลกอฮอล์เทลงไปด้วย เพื่อให้สีละลายเร็วขึ้น สีขาวนั้นจะใช้ปูนขาว เมื่อจะเอามาทาพื้นเป็นการลงพื้นก็จะเอาสีขาวที่บดแล้วมาผสมกับกาวยางไม้ เช่น กาวกระถิน กาวยางสน หรือกาวจากยางบง ในตำราของช่างเขียนบางคน ท่านใช้ดินขาวหรือดินสอพองมาบดละเอียดกับน้ำ แล้วเอากาวจากเม็ดมะขามต้มจนเหนียวเป็นกาวใส่ลงไปด้วย เรียกว่า "ฝุ่น" สีดำน้้นเอาเขม่าจากก้นหม้อ ก้นกระทะในครัว เอามาบดปนไปกับน้ำและกาวธรรมชาติ เสร็จแล้วเป็นสีผสมกาวเรียกกันว่า "เขม่า" ส่วนสีจากดินธรรมชาติอื่นๆ เช่น สีเหลือง สีน้ำตาล สีน้ำตาลเข้มจนแดงจัด หรือสีน้ำตาลไหม้ น้ำตาลเหลือง ก็เรียกตามสีของดินสีนั้นๆ บางทีก็เอาสีจากดินผุหรือหินผุนำมาบดเช่นเดียวกัน แต่จำต้องบดนานเป็นพิเศษ แล้วเอาสีที่บดแล้วแต่ละสีแยกออก เทใส่ภาชนะที่มีฝาปิดได้ เช่น กระปุกหรือโกร่งขนาดย่อม เติมน้ำเล็กน้อยกันสีแห้ง แล้วปิดฝาทิ้งไว้ เมื่อจะใช้ก็เอามาบด แล้วตักเอาปริมาณที่ต้องการมาใส่ภาชนะเป็นจานเขียนสีก็จะมีสีต่างๆ นำมาใช้ได้ทันท่วงที สีบางอย่างจะใช้ในการย้อมผ้า เป็นสีที่ใช้แช่เปลือกไม้หรือแท่งไม้อันเป็นสีค่อนข้างใส ไม่นิยมเอามาเขียนในงานจิตรกรรม หรือสีที่นำมาใช้ในการทำขนม เช่น สีของดอกอัญชัน สีแดงจากไม้ฝาง ฯลฯ นิยมใช้ในการย้อมผ้ามากกว่า สีที่ใช้ในการเขียนรูปจิตรกรรมไทย มักเป็นสีประเภททำจากวัตถุธาตุ เช่น ดินสีต่างๆ หรือหินผุ จะทำให้สีอ่อนแก่ก็โดยการบดสีกับกาวผสมไว้แล้วในโกร่งที่เรียกว่า "น้ำยา" จิตรกรรมที่เขียนตามผนังพระอุโบสถสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาหรือสมัยอยุธยาตอนต้นนั้นจำกัดในเรื่องการใช้สี เพราะมีสีที่ใช้จากสีวัตถุธาตุธรรมชาติในบ้านเมืองเรา เช่น ฝุ่นขาว เขม่าดำ สีดินแดง สีดินเหลือง มีอยู่เพียง ๔ สีเท่านั้น ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนกลางมีสีแปลกๆ ทำจากวัถุธาตุพวกสีฝุ่นจากหินผุ เช่น สีเขียว สีคราม ยิ่งสมัยอยุธยาตอนปลายก็มีสีสดใสอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกคือ สีเสน สีคราม สีเขียวสด ดังเช่นภาพเขียนในสมุดข่อยวัดหัวกระบือ บางขุนเทียน สมัยอยุธยาตอนปลาย ในสมัยอยุธยาตอนปลายสุดหรือรัตนโกสินทร์มีสีสดใสจากจีนเข้ามาขาย เช่น สีแดงแสด สีแดงเสน สีชาด สีเหลืองสด สีเขียวแจ่มใส สีฟ้า ได้แยกผสมเป็นน้ำยาไว้พิเศษ เช่น สีดินแดง ทำจากดินแดงบด เมื่อมาผสมกับสีชาดหรือสีแดงเสนก็จะมีสีแดงสด มีรสสีแดงฉ่ำ ถ้าจะใช้เป็นสีแดงทึบ เช่น สีน้ำตาลเข้ม ก็เอาเขม่าดำมาผสม หรือจะใช้เป็นสีแดงอ่อน เช่น สีดอกกุหลาบ ก็ผสมกับดินเหลืองและฝุ่นขาวเรียกว่า หงสบาท คือสีของเท้าหงส์กับนกต่างๆ สีเขียวเมื่อนำมาผสมกับดินผุหรือผสมกับฝุ่นขาวกลายเป็นสีเขียวอ่อนก็เรียกว่า สีก้านดอกมะลิ เมื่อแซมเหลืองเข้าไปก็กลายเป็น สีตองอ่อน เป็นสีเหมือนกับธรรมชาติที่เคยชิน ในภาษาช่างสมัยก่อนจึงมีชื่อสีต่างๆ เช่น สีขาบ คือสีน้ำเงินเหมือนสีนกตะขาบ สีกรมท่า คือสีน้ำเงินเข้ม เป็นสีผ้านุ่งของข้าราชการกรมท่า สีกลาโหม ก็คือสีน้ำตาลแดง สีดอกบัวโรย สีดอกอัญชัน สีเขียวหัวเป็ด เป็นต้น” น. ณ ปากน้ำ บริเวณเหนือหน้าต่างของผนังทั้งซ้ายขวาเขียนลายหน้ากระดานรองรับภาพเทพชุมนุมชั้นเดียว ภายในเส้นสินเทา พื้นทาแดงชาด เหนือขึ้นไปเป็นภาพนักสิทธิ์ วิทยาธร เขียนได้สนุกสนานยิ่ง บ้างก็แต่งกายแบบจีนแมนจู ผมเปีย บ้างก็ดำทะมึน บ้างอุ้มมักกะลีผล บ้างก็ยิ้มเริงร่า ห้อยคอด้วยปลัดขิก บ้างก็ยกขวดเหล้าเท ด้านหลังพระประธานเขียนลายดอกไม้ร่วงบนพื้นสีดำ ตอนบนสุดเป็นลายเฟื่องอุบะ ด้านตรงข้ามพระประธานเขียนเรื่องสุธนชาดก ผนังด้านซ้าย - ขวา พระประธานเขียนเป็นเรื่องทศชาติ เท่าที่ปรากฏมีมหาชนก สุวรรณสาม มโหสถ จันทกุมาร วิทูรบัณฑิต และเวสสันดร เข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประตูวัดเปิด 06.00-18.00 น. ประตูโบสถ์เปิด 09.00-10.00 น. และ 13.00-15.30 น. ขอขอบคุณท่านผู้มีอุปการะคุณข้อมูลด้วยครับ วัดเขียน – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอ่างทอง วัดเขียน – วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี วัดเขียน – หนังสือพิมพ์เอกราชนิวส์ วัดเขียน – ที่เที่ยว.คอม วัดเขียน - สุขใจ.คอม วัดเขียน - Abstract การศึกษาจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถวัดเขียน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดย จารุณี ภาคเจริญ วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (ประวัติศาสตร์ศิลปะ)) สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ --มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2533 วัดเขียน - FB เรือนหลวง วัดเขียน - gplace.com วัดเขียน - nina.az ตามตามตามไปเที่ยว
โดย: อุ้มสี วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:13:35:46 น.
ภาพจิตรกรรมบนฝาผนังดูสวย ขลัง มากเลยนะครับ
จากบล็อก ก๊วนที่ผมตีอยู่ก็นั่งเมาท์ และพากันไปกินเหมือนกันครับ ผมหลังจากดื่มเบียร์น้อยลง กับกินน้อยลง น้ำหนัก็ลดลงมาครับ แต่ก่อนนี่ยิ่งตียิ่งอ้วนครับ เพราะกินเยอะมาก กินอะไรก็อร่อยไปหมด 555 พรุ่งนี้มาใหม่ครับ โดย: The Kop Civil วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:13:43:17 น.
อุโบสถใหม่หลังจากบูรณะปฏิสังขรณ์แล้ว
สวยงามราวกับเงาะถอดรูปเลยค่ะ โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:13:54:10 น.
เห็นภาพเขียนน่าจะวินเทจ หรือกว่านั้นลอกชำรุดเสียหายไปตามการเวลา
เสียดาย ... เห็นภาพแบบข้างบนทำให้นึกถึง ตอนที่ผมสอบเข้าเรียน รร.เพาะช่าง สอบวาดภาพ สองสามอย่างผ่าน สอบวิจารณ์ศิลป.. เขาให้ดูภาพพวกนี้ความที่แหะ ๆ ปากจัด(และไม่ค่อย รู้เรื่องอะไร) ก็เขียนวิจารณว่า เป็นภาพแบน ๆ ไม่ค่อยมีมุมลึก เป็นภาพตัวละครสมัยโบราณไม่เหมือนของจริง ผลคือ อาจารย์คงเขม่นที่ปากจัดมั้งให้ สอบผ่านไปก่อน แต่ยังหรอก ต้องสัมภาษณ์ เจออาจารย์สามท่านต้อนซะ เอาเราจนมุมพูดไม่เป็น เพราะปกติไม่ค่อยพูดกับใครอยู่แล้ว ได้แต่เขียนหนังสือบรรยายท้อง ทุ่งสายลมแสงแดด สรุปท่านคงรู้ว่า หมอนี่ไม่รู้อะไรจริง สอบตกเลยไม่ได้เรียน รร.เพาะช่าง 555 โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:14:43:16 น.
ก่อนบูรณะทรุดโทรมอย่างเห็นได้จัดเลย พบูรณะแล้วสวยงามครับ พวกภาพตามฝาผนังผมเคยเห็นแนวคิดใหม่อย่างหนึ่งคือ ทำภาพจิตรกรรมลงผ้าแล้วเอาผ้าไปแขวนแทน เห็นว่าแบบนั้นซ่อมบำรุงง่ายกว่าอายุยืนนานกว่าวาดลงไปที่ผนังเลย บางวัดเริ่มใช้แนวยคิดนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะแพร่หลายได้มากสักแค่ไหนเหมือนกัน
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:15:45:21 น.
สวัสดีค่ะ..
เห็นภาพผนังที่ทรุดโทรมแล้ว..น่าสงสารจัง.. คงจะอยู่ในระหว่างการดำเนินการบูรณะนะคะ.. โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:15:58:32 น.
ทรงโบสถ์ของวัดในภาคกลาง
มักจะสูงโปร่ง มีความชลูดนะครับ ภาพวาดสวยงามมากครับคุณบอล แม้มีบางส่วนเริ่มทรุดโทรมหลุดลอกบางแล้วก็ตาม ผมยังชอบอ่านหนังสือเล่มมากว่าครับ เมื่อวานก็เอาหนังสือเก่าๆมาอ่านอีก 10 กว่าเล่ม โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:19:49:14 น.
ตามมาเที่ยว ไหว้พระ ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังด้วยครับ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังงามมากครับ โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:22:26:06 น.
กราบพระค่ะคุณบอล
ภาพจิตรกรรมฝาผนังงดงามทรงคุณค่ามากค่ะ โดย: Sweet_pills วันที่: 1 พฤศจิกายน 2565 เวลา:0:53:08 น.
สวัสดีครับคุณบอล
ตามมาเป็นลูกทัวร์วัดเขียนอีกคนครับ บูรณะเสร็จแล้วงดงามมากเลย ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคร้าบ โดย: มาช้ายังดีกว่าไม่มา วันที่: 1 พฤศจิกายน 2565 เวลา:6:58:48 น.
ไม่รู้ว่าน้ำท่วมถึงหรือเปล่าเนาะ
เคยไปราวปี 2553 ค่ะ โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 1 พฤศจิกายน 2565 เวลา:13:50:01 น.
วันก่อนกรมอุตุฯ
บอกว่า 29 ตุลาเป็นต้นไป อากาศจะหนาวมาก จนถึงวันนี้เชียงใหม่ร้อนทุกวันครับ ไม่มีวันไหนหนาวเลย 5555 เจ็บขนาดต้องกายภาพ ไปเที่ยวก็คงลำบากเลย ขอให้หายเร็วๆนะครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤศจิกายน 2565 เวลา:15:29:41 น.
สวัสดีค่ะคุณบอล ขอบคุณที่ไปให้กำลังใจบล็อกหมูย่างนะคะ
ตามมาชมวัดเขียนที่อ่างทองค่ะ จังหวัดอ่างทองยังไม่เคยแวะไปเลยค่ะ ได้เห็นภาพวิจิตรสวยงามบนฝาผนังแล้วชอบมากค่ะแต่น่าเสียดายภาพบางส่วนหลุดลอกออกไปคงเพราะกาลเวลาที่ยาวนานหากมีการซ่อมแซมคงสวยงามน่าดูชมนะคะ โหวต Travel Blog โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 1 พฤศจิกายน 2565 เวลา:22:05:55 น.
เห็นจิตกรรมฝาผนังแล้วขนลุกเลยค่ะ เก่ามาก ดูขลังมาก
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:07:09 น.
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
Best of the blog ทนายอ้วน โดย: **mp5** วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:30:31 น.
ช่วงนี้เรารู้สึกว่าแต้มบุญหายไปเยอะเลย
เริ่มอยากเข้าวัดเข้าวาให้สบายใจมั่งแล้ว โควิดก็เป็นไปแล้ว หลังๆ เริ่มไม่กลัวเท่าไรแล้วแหละ อ่างทอง จริงๆ ก็ไม่ไกลจากบ้านเราเนอะ แต่เรายังไม่เคยไปเที่ยวเลยอ่ะ ไปแถวนั้นทีไรก็อยู่แค่กินกุ้งยุดยาทุกทีเลย โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:15:00:58 น.
สวัสดีครับ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังสวยมากๆเลยครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ โดย: Sleepless Sea วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:16:55:59 น.
อยากให้คุณลุงของคุณบอลเป็นผู้นำครับ
ผมก็ชอบผู้นำหรือผู้ใหญ่ที่สงบ ใจดี ไม่โกรธคนง่าย ไม่ขี้โมโห ไม่โทษคนอื่น โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:43:45 น.
|
ทนายอ้วน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?] Friends Blog
|