1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30 31
ASEAN-China FTA ครบ 1 ปี : ไทยใช้สิทธิขอลดภาษีเก่งแค่ไหน
//www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/aksornsri/20110127/373512/ASEAN-China-FTA-ครบ-1-ปี-:-ไทยใช้สิทธิขอลดภาษีเก่งแค่ไหน.html โดย ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "มองจีนมองไทย" กรุงเทพธุรกิจ //www.bangkokbiznews.com/home/news/politics/opinion/aksornsri/news-list-1.php ในขณะนี้ ความตกลงการค้าเสรี ASEAN-China FTA หรือ ACFTA ระหว่างอาเซียนและจีนเพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ระหว่างกันลงเหลือร้อยละ 0 ได้ผ่านมาครบ 1 ปีเต็มแล้วค่ะ หลายท่านอาจจะอยากทราบว่า แล้วประเทศไทยในฐานะหนึ่งในอาเซียนได้เคยใช้สิทธิขอลดภาษีฯ จากจีนในกรอบ ASEAN-China FTA มากน้อยแค่ไหน อย่างไร บทความในวันนี้มีคำตอบให้ท่านแล้ว และเป็นข้อมูลสดๆ ร้อนๆ ส่งตรงมาจากกรุงปักกิ่งเลยค่ะ เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ดิฉันและคณะวิจัยจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับข้าราชการจากกรมการค้าต่างประเทศได้บินไปกรุงปักกิ่ง เพื่อตระเวนสัมภาษณ์หน่วยงานต่างๆ ของจีนที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ โดยได้รับความอนุเคราะห์อย่างดีเยี่ยมจากสำนักงานพาณิชย์ของไทย ณ กรุงปักกิ่ง ดิฉันตั้งใจจะวิเคราะห์ประเด็นนี้โดยใช้ข้อมูลที่ฝ่ายจีนเป็นผู้รวบรวมไว้เป็นหลัก เพื่อจะได้สามารถเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ประเทศอื่นในอาเซียนได้เคยยื่นใช้สิทธิขอลดภาษีฯ จากจีนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (ทั้งนี้ เฉพาะอาเซียนใหม่ 4 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม จะลดภาษีฯเหลือร้อยละ 0 ภายใต้กรอบ ACFTA ในปี 2015) คณะวิจัยของเราได้ไปสัมภาษณ์กระทรวงพาณิชย์จีน หรือ MOFCOM หน่วยงานหลักดูแลการค้าระหว่างประเทศของจีนจึงเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในด้านการค้าจีน-อาเซียน และการค้าจีน-ไทย และสัมภาษณ์หน่วยงานศุลกากรของจีน ซึ่งจะลดภาษีนำเข้าให้กับสินค้าที่มาจากอาเซียนและไทย ตามกรอบ ACFTA หากมี เอกสาร Form E แนบมากับสินค้าด้วย เอกสาร Form E จึงนับเป็นเครื่องชี้วัดสำคัญในการประเมินการใช้สิทธิขอลดภาษีฯ ภายใต้กรอบ FTA ฉบับนี้ กรณีของไทยมีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบในการออก Form E โดยจะคิดค่าธรรมเนียมการออก Form E ใบละ 30 บาท ส่วนหน่วยงานจีนที่รับผิดชอบในการออก Form E คือ AQSIQ ซึ่งมีสำนักงานในสังกัดที่เรียกว่า CIQ อยู่ตามมณฑลต่างๆ เป็นหน่วยงานปฏิบัติ และจะคิดค่าธรรมเนียมการออก Form E ใบละ 40 หยวน หรือประมาณ 200 บาทค่ะ ดิฉันได้สรุปข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการไปลงพื้นที่ในประเทศจีนครั้งนี้ไว้ในตารางแล้วค่ะ และเป็นข้อมูลล่าสุด ปี 2010 ครบทั้ง 12 เดือน ทั้งๆ ที่ตอนบินไปสัมภาษณ์ เพิ่งจะผ่านปี 2010 มาได้แค่ 17 วัน งานนี้ต้องขอชมว่า หน่วยราชการจีนทำงานได้รวดเร็วทันใจ (ในขณะที่ รายงานทำนองเดียวกันจากจากกระทรวงพาณิชย์ไทยเมื่อ 20 มกราคมที่ผ่านมา มีตัวเลขถึงแค่ 11 เดือนของปี 2010 ) ในภาพรวมของผลการจัดทำความตกลง ACFTA พบว่า FTA ฉบับนี้ได้เป็นปัจจัยเอื้อสำคัญที่ทำให้การค้าจีน-อาเซียนขยายตัวเป็นอย่างมาก และส่งผลให้อาเซียนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของจีน (รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น) และส่งผลให้การค้ากับอาเซียนมีสัดส่วนร้อยละ 9.85 ของการค้าทั้งหมดของจีน ในปี 2010 ทั้งปี การค้าจีน-อาเซียนมีมูลค่ารวม 292,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.5 ในจำนวนนี้เป็นส่วนของการค้าจีน-ไทย มูลค่า 52,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.6 (ในขณะที่ กระทรวงพาณิชย์ไทยรายงานตัวเลขการค้าไทย-จีน ช่วงมกราคม-พฤศจิกายนปี 2010 มีมูลค่าราว 41,498 ล้านเหรียญสหรัฐ) หากพิจารณาเฉพาะส่วนของการค้าที่มีการใช้สิทธิเพื่อขอลดภาษีฯ จากรายงานของศุลกากรจีน พบว่า มีข้อมูลที่น่าภูมิใจมากค่ะ เพราะไทยเป็นประเทศที่มีการยื่นขอใช้สิทธิในการลดภาษีนำเข้าจากจีนภายใต้กรอบ ACFTA เก่งที่สุดในอาเซียน โดยวัดจากมูลค่าและจำนวน Form E ที่แนบมากับสินค้าจากไทยไปจีน ซึ่งมีมากถึงประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าและจำนวน Form E จากอาเซียนทั้งหมดที่ยื่นกับหน่วยงานศุลกากรจีน และอัตราการใช้สิทธิขอลดภาษีฯ ของไทยดังกล่าวในปี 2010 เพิ่มถึงร้อยละ 69 ในส่วนนี้ทำให้ไทยสามารถประหยัดภาษีนำเข้าที่เคยจะต้องเสียให้ศุลกากรจีนได้ถึง 3,700 ล้านหยวน (คำนวณโดยศุลกากรจีน) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 77 แต่ต้องไม่ลืมว่า ฝ่ายจีนก็สามารถได้รับสิทธิการขอลดภาษีฯ ในการส่งออกมาอาเซียนและไทยเช่นกัน หากเจาะวิเคราะห์เน้นเฉพาะส่วนที่จีนส่งออกมาไทย พบว่า ในปี 2010 ผู้ส่งออกจีนมีการขอ Form E เพื่อส่งออกมาไทยในแง่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 และในแง่จำนวน Form E เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 อย่างไรก็ดี แม้ว่าไทยจะมีการขอใช้สิทธิลดภาษีฯ จากจีนภายใต้กรอบ ACFTA เก่งที่สุดในบรรดาประเทศอาเซียนทั้งหมด แต่ไทยก็ยังมิได้เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับต้นของจีนนะคะ (อยู่ที่ประมาณอันดับ 14 ของจีน) และเมื่อเปรียบเทียบเฉพาะในอาเซียน ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของจีน ยังเป็นรองมาเลเซียและสิงคโปร์ตามลำดับ แต่ในทางกลับกัน จีนได้กลายเป็นคู่ค้าสำคัญยิ่งยวดสำหรับไทยไปเรียบร้อย (โรงเรียนจีน) แล้วค่ะ ในปี 2010 จีนสามารถแซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย และยังเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญอันดับ 2 ของไทยอีกด้วย ก่อนจบ หวังว่าจะไม่มีผู้ใดนำข้อมูลในบทความนี้ของดิฉันไปใช้โยงใยหรือใช้อ้างเป็นเหตุผลเพื่อผลักดันโครงการตั้งศูนย์ China City Complex แถวบางนาของกลุ่ม นักธุรกิจจีน นะคะ เพราะมิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันเลย และโดยส่วนตัว ดิฉันคิดว่า โครงการดังกล่าวน่าจะทำให้ประเทศไทยของเราได้ไม่คุ้มเสีย ค่ะ ตารางแสดงมูลค่าการค้าและการใช้สิทธิลดภาษีศุลกากรภายใต้กรอบ ASEAN-China FTA ปี 2010 ที่มา : รวบรวมจากหน่วยงานต่างๆ ของจีน โดยอักษรศรี พานิชสาส์น, 2554
Create Date : 31 มกราคม 2554
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2554 11:37:01 น.
3 comments
Counter : 1417 Pageviews.
โดย: นู๋หญิงจ๋า วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:19:19:11 น.
โดย: is_ninja วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:22:09:19 น.
โดย: ชะเอมหวาน วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:11:41:09 น.
Location :
Dalian(China),Guildford(UK),กทม.,สกลนคร United Kingdom
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [? ]
Edutainment International Business Bossa Nova& Easy Listening ถ้าถามอะไรในนี้ไม่ได้ตอบ กรุณาส่งไปทางเฟซบุ๊คเลยนะคะ ไม่ค่อยได้เช็คบล็อกค่ะ ขอบคุณค่ะ ยินดีต้อนรับ ณ บ้านชะเอมหวานค่ะ ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนกันเสมอนะคะ จขบ.เป็นอาจารย์เล็กๆค่ะ ฟรีแลนซ์ พิธีกรงานแต่งงาน สะสมโปสการ์ดค่ะ ฟังเพลงสบายๆ ชอบแต่งหน้าแต่งตัว แต่งกลอน ขีดๆเขียนๆ ท่องเที่ยว ก็เป็นกำลังใจให้กันด้วยค่ะ จุ๊บๆ
บ้านนี้จขบ.ต้องการสร้างสรรค์ให้เบา สบายๆค่ะ เอนทรี่เก่าๆเกี่ยวกับอาหารและการท่องเที่ยวจะย้ายบ้านไปที่ Amiley lala(ท่องเที่ยวและอาหาร) POSTCARD & International Business ถ้าจะโหวตขอหมวดการศึกษา และหมวดดนตรีค่ะ ขอบคุณมากค่ะ credit:::: photo by พี่เป็ดสวรรค์) Head blog กับของตกแต่งจาก pk12th และ คุณกุ้ง Kungguenter
แวะมาทักทาย ตอนใกล้ค่ำค่ะ