พออายุมากขึ้นสิ่งหนึ่งที่เริ่มมีปัญหาและเริ่มเสื่อมสภาพไปตามอายุขัย นั่นคือ สายตา เริ่มมองอะไรไม่ค่อยชัดเหมือนเช่นเคย ตาข้างซ้ายของผมมันพิการมาตั้งแต่ผมเป็นเด็กๆ คือมันเป็นตาขี้เกียจ (Lazy Eye) ตามที่หมอตาเขาบอกผม มันขี้เกียจยังไง คือมันไม่ยอมมองอะไรๆ เกี่ยงให้ตาข้างขวามองอยู่ข้างเดียว แต่เราจะไม่รู้ตัวหรอก เพราะมันไม่มีอาการอะไรที่จะบอกให้เรารู้
ต่อมาตาข้างขวาก็เริ่มเป็นต้อกระจก โรคต้อที่เกิดกับตามีอยู่สามประเภทคือ ต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม เบาที่สุดคือต้อกระจก รักษาง่าย สมัยนี้เขาใช้แสงเลเซ่อร์ลอกฝ้าที่จับอยู่บนผิวตาดำออก ใช้เวลาเพียง 10 ไม่เกิน 15 นาทีก็เรียบร้อย
ผมลอกมาแล้วเมื่อ พ.ศ. 2553 ที่แผนกจักษุ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตอนที่ไปลอกต้อกระจกนี่แหละจึงรู้ว่าตาข้างซ้ายเป็นตาขี้เกียจ เพราะหมอตาเขาบอกว่าตาข้างซ้ายนี้ทำอะไรไม่ได้เลย ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน จนกว่าผมจะสิ้นชีวิต หมอบอกว่าขณะนี้หากเราปิดตาข้างขวาแล้วมองด้วยตาข้างซ้าย มันจะมัวพร่าแทบจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะมันขี้เกียจมองมานานแล้ว
ที่พูดร่ายยาวมาเยอะแยะข้างต้นนี้ ก็เพื่อจะบอกเหตุผลว่าทำไมผมจึงไม่ค่อยได้เข้ามาที่ห้องหนังสือนี้นั่นเอง
เพราะเข้ามาแล้วก็อ่านหนังสืออะไรไม่สะดวก อ่านได้ระยะสั้นๆ เลยทำให้งานอดิเรกที่ผมรักที่สุดในชีวิตขาดหายไปอย่างหนึ่งคือ การอ่านหนังสือ
แต่ด้วยความที่รักหนังสือมานาน เวลาผ่านแผงขายหนังสือหรือร้านหนังสือ ก็ยังอดที่จะหยุดดูไม่ได้นะ
งานแสดงสัปดาห์แห่งชาติก็งดไม่ได้ไปเยี่ยมชมนานหลายปีแล้ว
เกรงว่าไปแล้วอดที่จะซื้อหนังสือกลับมาไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตามจะเข้ามาที่ห้องหนังสือนี้บ่อยๆ อาจจะมาเขียนอะไรๆเกี่ยวกับหนังสือไว้บ้าง
คงได้เวลากลับไปใช้แว่นตาอีกครั้ง