ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
7 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
+-+-+-+บันทึกเรื่องราวไร้สาระของชีวิต-สิ่งที่ทำให้ใจ(ข้าพเจ้า)เต้นแรง+-+-+-+

update- 9 มีค. 2551
(ขออนุญาตตัดจบนะครับ
เนื้อหาส่วนที่เหลือ จะทยอยเอามาลงในโอกาสต่อไป)



สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังนะครับ


อาจจะช้าไป(ไม่)หน่อย
แต่ผมเชื่อว่า ไม่มีคำว่าสายสำหรับความปรารถนาดี
(อ่านแล้วอย่าเพิ่งคลื่นไส้นะครับ)


ปกติช่วงปีใหม่ มักจะเป็นช่วงเวลาที่มีไว้เพื่อให้คนเรานั่งทบทวนสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
ทบทวนว่าสิ่งไหนที่เราทำพลาด
หรือทำถูกแล้วแต่ผลที่ตอบกลับมาไม่ดีเท่าที่ควร
ศึกษาไว้เป็นบทเรียน เพื่อเอามาปรับปรุงตัวเองต่อไป


สงสัยช่วงปีใหม่ผมเลี้ยงฉลองเยอะไปหน่อย ยังไม่หายเมาเบียร์
กว่าจะมีเวลาว่างมานั่งนิ่งๆ ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านไป
ก็ปาเข้าไปเดือนที่สองแล้ว


ทบทวนไป นอนเกาพุงไป
สุดท้ายสรุปผลการทบทวนชีวิตตัวเองได้ความว่า


ช่วงหลังๆมานี่ เริ่มรู้สึกว่า ชีวิตของผมนิ่งขึ้น
แต่ความนิ่งก็มิใช่จะบอกว่า ไว้ใจได้
ก่อนมรสุมจะเข้า ทะเลก็มักจะสงบราบเรียบเช่นนี้มิใช่หรือ


ท่ามกลางความนิ่งเรียบเงียบงัน
ยังมีคลื่นบางลูกที่ไม่ยอมสงบ กลับยิ่งโหมกระทบฝั่ง
คลื่นพวกนี้ ถ้ามองดีๆ มันก็ไม่ใช่คลื่นที่มีพิษมีภัยอะไร
กลับเป็นผลดีต่อตัวเราอีกด้วย
ความดีของคลื่นพวกนี้ คือ ทำให้เรายังรู้สึกว่า
แม้เราจะเป็นคนเฉยเมยขนาดไหน
แต่ชีวิตนี้ก็ยังมีสิ่งที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ ชวนให้สนใจอยู่เสมอ
แถมสิ่งเหล่านั้น บางทีเราไม่ต้องออกไปตามหาพวกมัน
แต่มันมักจะแอบเข้ามาหาเราเอง ในเวลาที่เราไม่ได้ตั้งตัว
การที่มีคลื่นเหล่านี้มากระทบใจเราบ่อยๆ จนทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น
น่าจะเป็นเหตุผลหลักอีกเหตุผลหนึ่ง
ที่ทำให้เราสามารถทนอยู่ในโลกที่แสนน่าเบื่อต่อไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง

และสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ คือ คลื่นลูกใหญ่บางลูกที่เข้ามากระทบใจผมครับ
ซึ่งทุกข้อนั่นล้วนแต่เป็นที่ทำให้ใจผมเต้นแรง(ยืมคำนี้มาจากชื่อหนังสือของคุณกระบี่ไม้ไผ่ครับ)
เช่นเดียวกับบลอกอันก่อนๆ คือ ถ้าใครอ่านแล้วสงสัย
หรืออยากถกเถียงตรงส่วนไหน
ก็มาเขียนคอมเมนต์กันได้นะครับ


ขอบคุณคร้าบ



**************************************





1.เพื่อนมหาลัย เพื่อนที่ทำงาน และเพื่อนทางเน็ท


ทุกวันนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเจอเพื่อนเก่าๆน้อยลง


ด้วยภาระหน้าที่และความห่างไกลทำให้ทุกวันนี้คุยกับเพื่อนทางตัวอักษรมากกว่าทางปาก
และเห็นหน้าเพื่อนทาง hi5 และเวบบอร์ดชั้นปีมากกว่าเห็นตัวจริง
ด้วยสถานการณ์พาไป แม้ใจจะไม่อยากห่าง แต่จะให้ขวนขวายเพื่อให้ได้เจอเพื่อนในปริมาณความถี่เท่าเดิมมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน
หนทางสุดท้ายที่ทำได้และควรจะทำ นั่นคือ ยอมรับในความเปลี่ยนแปลง

มีคนเคยบอกผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
ก่อนที่จะมานึกเสียใจว่า ทำไมถึงไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเลย
หรือทำไมเพื่อนหายไปจากชีวิตเราทีละคนสองคน


ทำไมเราถึงไม่นึกในมุมกลับกันว่า
ทำไมเราถึงต้องไปยึดติดกับเพื่อนคนเก่าๆ ด้วยล่ะ
เพื่อนใหม่ๆ นั่นหาไม่ยากอย่างที่คิดหรอกครับ
เพื่อนในที่ทำงาน เพื่อนบ้านของเรา เพื่อนทางอินเตอร์เนท
หรือคนบางคนที่เคยบังเอิญสวนกันในเส้นทางชีวิตของเรา
เราก็สามารถคบเขาเป็นเพื่อนได้

ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง เราอาจจะเห็นว่า
คนกลุ่มนี้บางคนอาจจะหยิบยื่นความเป็นเพื่อนและความปรารถนาดี
ในปริมาณที่มากกว่าที่เราเคยได้รับจากเพื่อนที่เราคบมาเป็นสิบๆ ปีเลยก็ได้

มีคนเคยมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผมอีกว่า
ทำไมเราต้องแยกด้วยว่า นี่คือเพื่อนที่ทำงาน เพื่อนมหาลัย เพื่อนมัธยม เพื่อนแถวบ้าน
และการที่เราจัดแยกประเภทเพื่อนนั้น มักจะนำมาสู่การปฏิบัติกับเพื่อนแต่ละกลุ่มแตกต่างกันไป
อย่างเช่น กับเพื่อนมัธยมเราอาจจะแสดงความบ้าออกมาได้เต็มที่
แต่กับเพื่อนที่ทำงานเราอาจจะสร้างกำแพงกั้นไว้เยอะหน่อย

ทำไมเราไม่แยกประเภทเพื่อนตามที่เขาเป็นจริงๆ ไปเลยว่า
นี่คือเพื่อนที่ดี เพื่อนที่เราสามารถเปิดใจได้
หรือเป็นเพื่อนที่มีไว้คุยเล่นได้อย่างเดียว
จริงอยู่ที่ว่า กับเพื่อนบางคนเราก็จำเป็นต้องมีกำแพง
และบางครั้งด้วยสภาพแวดล้อมของการแข่งขัน ทำให้เราไม่สามารถเทใจให้กับเพื่อนที่ทำงานได้หมดทั้งใจเหมือนเพื่อนสมัยเรียนที่บรรยากาศการแข่งขันยังไม่เข้มข้นเท่าไร

แต่ในทุกสังคมย่อมมีเพื่อนที่ดีปะปนไปกับเพื่อนที่ไม่ดี
เพื่อนที่เรากล้าคุยด้วยที่สุด อาจจะเป็นเพื่อนที่เราไม่เคยเจอหน้ามาก่อน ได้แค่คุยผ่านอินเตอร์เน็ท
หรือเพื่อนที่ทำร้ายเราเจ็บปวดที่สุด อาจจะเป้นเพื่อนที่เราคบเขามาตลอดชีวิตก็ได้

การที่เรามัวแต่คร่ำครวญว่าไม่เคยเจอเพื่อนเก่าเลย
แต่ไม่ยอมเปิดใจให้กับเพื่อนใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเลย
อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสในการพบสิ่งที่มีค่าบางสิ่งไปก็ได้

ที่เกริ่นมาตั้งนานไม่ใช่อะไรหรอกครับ
แค่อยากจะบอกว่า ช่วงที่ผ่านมาผมได้เจอเพื่อนใหม่ๆ เยอะมาก
บางคนรู้จักกันทาง bloggang
เพื่อนบางคนรู้จักกันเพราะเคยไปอุดหนุนสินค้าที่ร้านของเขาประจำ
บางคนรู้จักกันเพราะพื่อนแนะนำให้รู้จัก แต่ทำไปทำมาผมกลับสนิทกับเพื่อนของเพื่อนมากกว่าเพื่อนของผมเองเสียอีก

เพื่อนทางเนทบางคนของผม คุยกันรู้เรื่องมากกว่าเพื่อนที่ผมเห็นหน้าทุกวัน
สาเหตุน่าจะมาจากการที่ผมไม่เคยเห็นหน้าเขา ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นต่อกันมาก่อน
ทำให้สามารถออกความเห็น วิวาทะ แลกเปลี่ยนทัศนะคติได้อย่างเต็มที่ 100%
ไม่ต้องรู้สึกเกรงใจ รู้สึกกลัวว่าเขาจะโกรธเวลาเราไปหักล้างเหตุผลของเขาอย่างรุนแรง

เพื่อนของเพื่อนผมบางคน จากที่เคยไม่คิดว่าจะสนิทด้วยเลย
พอเวลาผ่านไป ผมไม่ได้เจอเพื่อนผมมานานมากแล้ว และคงโอกาสที่จะได้เจอกันอีกเหลือน้อยเต็มที
แต่เพื่อนของเพื่อนผมคนนี้กลับเป็นคนที่ผมสนิทด้วย จนเวลามีอะไรก็มักจะโทรไปเล่าให้เขาฟังเสมอ

โลกนี้ไม่มีกฏเกณฑ์อะไรตายตัวหรอกครับ แม้กระทั่งเรื่องของมิตรภาพ
แต่อย่างน้อยในความคิดของผม สิ่งที่แน่นอนและตายตัวเสมอก็คือ คำพูดที่ว่า
"มิตรภาพคือสิ่งที่ทำให้การเดินทางในเส้นทางชีวิตที่แสนโดดเดี่ยว ไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก"







ภาพนี้ถ่ายที่วังเวียง ประเทศลาว






2.Hi5และสิ่งไร้สาระอื่นๆ ในชีวิต


ช่วงนี้ผมติด Hi5 งอมแงมเลยครับ
ทั้งที่สมัยก่อน ครั้งมันยังไม่ดังเท่านี้ ผมยังเคยคิดเลยว่า
เวบบ้าอะไรเนี่ย ไร้สาระสุดๆ
แถมน่าเบื่อสุดๆ ตรงชอบส่งเมลล์มารกอีเมลล์เรา ทำให้เมลล์จากเพื่อนเราต้องถูกดันตกไปอยู่หน้าท้ายๆ
เวบไร้สาระแบบนี้ อีกไม่นานคนเขาก็คงเลิกเห่อกันเองแหละ

แต่ทำไปทำมา กลายเป็นว่า ผมติดเวบนี้งอมแงมเลยครับ
มีอยู่ช่วงนึงต้องเข้าไปดูเวบนี้อย่างน้อยวันละครั้ง
มิเช่นนั้นจะเกิดอาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย (ว่าไปนั่น)
เข้าไปอ่านคอมเมนต์ ดูรูปคนโน้นคนนี้ เจอเพื่อนก็แอด แต่ยังคงนโยบาย ไม่รับแอดคนไม่รู้จักเหมือนเดิม (ยกเว้นคนสวย ถึงไม่รู้จักก็รับแอด 555)

แม้จะชอบเล่นเวบนี้ แต่ในใจก็ยังคงคิดว่า เวบนี้ไร้สาระ อยู่เหมือนเดิม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ
ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีส่วนผสมของความไร้สาระมากขึ้น

อาจจะเนื่องจากที่ผ่านมาผมทำตัวมีสาระมากเกินไป
พอเจอสิ่งที่มีสิ่งมีสาระมากๆ เข้า ก็อดคิดไม่ได้ว่า
ทำไมเราต้องทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับสิ่งที่มีสาระตลอดเวลาด้วย
จะผิดตรงไหน ถ้าเราจะปล่อยให้ชีวิตของเรา มีสิ่งไร้สาระมาเจือปนบ้าง

การที่ปล่อยให้ชีวิตมีเรื่องไม่มีสาระมาเจือปน ไม่ใช่เรื่องผิด
ที่ผิดคือ การปล่อยให้ชีวิตนี้มีแต่เรื่องไร้สาระจนไม่เผื่อใจให้กับความมีสาระ
หรือการนำเรื่องไร้สาระออกมาในสถานการณ์ที่ต้องการสาระต่างหาก
จะผิดตรงไหน ถ้าประธานบริษัทจะชอบเล่นวินนิ่งในเวลาว่าง
หรือรัฐมนตรีบางคนชอบดูละครเจ็ดสี
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นวิธีหาความสุขทางใจ ไม่ต่างกับที่แม่ค้าชอบแทงหวยหรือคนรวยชอบเล่นกอล์ฟเลย

การที่เรามัวแต่หมกมุ่นกับสิ่งมีสาระ
ชวนให้คิดว่า การจะพิจารณาว่า สิ่งใดมีสาระหรือไร้สาระนั้น
มาตรฐานอยู่ที่ไหน
เราอาจจะมองว่า ทุกสิ่งมีสาระในตัวของมันเองหมดก็ได้
หรือถ้าจะมองอีกมุมว่า ทุกสิ่งในโลกนี้อาจจะไม่มีสิ่งใดมีสาระเลยก็ได้
เงิน ทอง อำนาจ การชิงดีชิงเด่น ความรัก ความเกลียด
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่พวกเราคิดขึ้นมาเองทั้งนั้น
แก้วแหวนเงินทองหรืออำนาจที่เราแย่งกันแทบเป็นแทบตาย
อาจจะถูกมองจากคนที่หลุดพ้นแล้วว่า
"ไอ้พวกนี้ ทำอะไรกัน ไร้สาระสุดๆ" ก็ได้
เพราะต่อให้เรารักกันเกลียดกันมากแค่ไหน รวยจนเท่าไร
สุดท้ายเมื่อชีวิตเราจบลง สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า
ตายแล้วเราไม่สามารถเอาไปได้
การที่เรามัวแต่ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น จนหลงลืมสิ่งสำคัญที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่แล้วล่ะก็
เทียบแล้วการเล่นไฮไฟว์ อาจจะกลายเป็นสิ่งไร้สาระระดับเด็กๆ ไปเลยก็ได้

ตอนแรกว่าจะเขียนเรื่อง hi5 ฮาๆ วิธีแอดสาวๆ ให้ได้มากที่สุด
แต่ทำไปทำมา ยิ่งเขียนยิ่งเครียด ยิ่งพยายามใส่สาระลงไปอีกแล้ว
บางทีการพยายามทำตัวให้มีสาระจนเกินเหตุ
ก็อาจจะถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระแบบหนึ่งก็ได้ (เขียนเองงงเอง 555)







ภาพนี้ ถ่ายที่อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
ถ่ายโดยคุณ Calcium Kid





3.Nodame Cantabile และสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต


นอกจาก Hi5 แล้ว
ช่วงนี้ผมยังบ้าของอีกหลายอย่างที่เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดจะสนใจมันเลยครับ

เช่น ช่วงนี้ผมกำลังบ้าอ่านหนังสือของสตีเฟ่น คิง (ฉบับภาษาไทย) งอมแงม
หลังจากอ่านหนังสือ On Writing และ Pet Cemetery แล้วติดใจสำนวนห่ามๆ ของเขา

บ้าฟังเพลงของศุ บุญเลี้ยงหลังจากมีเพื่อนเอามาให้ยืมประมาณ 4-5 แผ่น
ต้องฟังทุกเช้า ไม่งั้นเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง

และยังมีอีกอย่างที่ผมติดงอมแงม
แต่อย่างหลังนี่ เวลาบอกใคร มีแต่คนส่ายหน้า
แถมตอบกลับมาว่า ไม่เข้ากับหน้าตาของแกเลย
ช่วงนี้ผมกำลังบ้าซีรี่ย์ญี่ปุ่น เรื่อง Nodame Cantabile อยู่ครับ

ผมเคยปฏิเสธซีรี่ย์ญี่ปุ่น+เกาหลีที่เคยมีคนเอามาให้ยืมหลายครั้งแล้ว
ทั้งแดจังกึม, Full House, Love Story in Harvard, Coffee Prince และอีกมากมาย
ที่ปฏิเสธไป จะบอกว่าเพราะไม่มีเวลาก็ใช่ หรือขี้เกียจดูก็ได้
แต่สาเหตุหลักจริงๆ ไม่ใช่อะไรหรอก
กลัวว่าดูแล้วจะติดน่ะครับ

เพราะดูจากอาการเพื่อนผมที่แต่ละคนติดกันแบบงอมแงม
ดูกันไม่ยอมหลับยอมนอนแล้ว
ตัวผมซึ่งเป็นคนภูมิต้านทานต่ำมาแต่ไหนแต่ไร เจอแบบนี้ก็คงไม่เหลือรอดอย่างแน่นอน

จนมาถึงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
มีคนเอาซีดีหนังชุดนี้มาให้ผมยืม พร้อมบอกว่า เรื่องนี้ดีมากๆ ต้องดู
ไม่งั้นถือว่า คุณได้พลาดอะไรดีๆ ในชีวิตคุณไปแล้ว 1 อย่าง (ใช้คำพูดได้จี้ใจดำผมมากครับ)
แถมเขารับรองมาว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นซีรีย์แนวรักๆ ใคร่ๆ แน่นอน
แถมแปลดี ซับตรงอีกด้วยเพราะแฟนคลับของซีรีย์นี้แปลเองด้วย

ไม่รู้ด้วยคำพูดเชิญชวนที่ได้ผล อารมณ์อยากลองของใหม่หรือเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ
ทำให้ผมตกลงใจหยิบซีรีย์เรื่องนี้มาดู

ผลสรุปคือ
ผมดูซีรี่ย์เรื่องนี้แบบรวดเดียว 11 ตอนจบ
ภายในเวลา 3 วันเท่านั้น
ซึ่งผิดวิสัยผม คนที่ทำอะไรยืดยาดขนาดเคยยืมหนังเพื่อนมากว่าดูจบแล้วคืนก็ปาไปปีกว่ามาแล้ว เป็นอันมาก

ตอนดูก็นั่งดูไม่เป็นอันทำการทำงาน
แถมพอดูจบแล้ว อารมณ์ก็ยังไม่จบตาม
บ้าขนาดตามไป search ข้อมูลและกระทู้ทุกอย่างเกี่ยวกับซีรีย์เรื่องนี้ในอินเตอร์เน็ท
และเกิดอาการอยากหาดนตรีคลาสสิคมาฟังบ้าง
(ผมเคยมีอาการแบบนี้หลังจากดูหนังเรื่อง Amadeusจบ แต่พอฟังได้ 2-3 วันก็เลิกฟัง หันกลับไปฟังหินเหล็กไฟเหมือนเดิม)

เหตุผลที่ผมชื่นชอบซีรี่ย์เรื่องนี้ไม่น่าจะต่างกับคนอื่นๆ สักเท่าไร
คือ ถึงแม้ซีรีย์จะเป็นแนวการ์ตูน ดูเว่อร์ๆ
แต่การถ่ายทำ ฉากเล่นดนตรี การเขียนบท การดำเนินเรื่อง นักแสดงนั้น
ดูรู้เลยว่า ผู้สร้างตั้งใจทำอย่างมาก ไม่ทำชุ่ยๆ ไม่ดูถูกคนดู

แถมเนื้อหาหลักยังเน้นไปที่มิตรภาพ ความใฝ่ฝัน ความพยายาม และอีกหลายๆ อย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องชิงรักหักสวาท (หากเรื่องนี้จะมีก็มีไว้แค่ขำๆ ไม่เอามาเป็นเนื้อเรื่องหลัก)
แถมด้วยความน่ารักของนางเอกและเนื้อเรื่องที่ชวนให้ติดตามแบบนี้ทำให้ 11 ชม.ของซีรีย์เรื่องนี้ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และเกิดแรงกระตุ้นในการหาซีรีย์ดีๆ เรื่องอื่นมาดูต่อ
(แต่ยังถือคติขอยืมมาดูฟรี ไม่เสียตังค์เหมือนเดิม)

และยังแอบฝัน (ซึ่งไม่น่าเป็นจริงในเร็วๆ นี้) ว่าอยากเห็นละครไทยทำละครเนื้อหาดีๆ โดยไม่ต้องมีฉากตบกันแบบนี้เยอะๆ


หลังจากสนุกสนานหรรษากับซีรีย์เสร็จแล้ว พอมานั่งทบทวนตัวเองดู
ก็พบว่า
ผมไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับซีรีย์ญี่ปุ่น+เกาหลีอะไทอกๆ นี้มาก่อนเลย
ใครมาชวนคุยว่า เรื่องนั้นดี คนนี้เคยเป็นนางเอกเรื่องนี้มาก่อน ผมได้แต่ยิ้มแหะๆ
เพราะความรู้ของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้มีค่าใกล้เคียงศูนย์

และไม่ใช่แค่เรื่องซีรีย์พวกนี้เท่านั้น
ยังมีดินแดนอีกหลายแห่งในชีวิตที่ผมยังไม่เคยเข้าไปสำรวจมันมาก่อนเลย
โดยนอกจากผมจะไม่เคยดูซีรีย์ญี่ปุ่น+เกาหลีมาก่อนแล้ว

ผมยังไม่เคยเล่นเกมออนไลน์ทั้งที่เพื่อนผมหลายคนติดมันงอมแงม

ผมเป็นคนไม่เล่นกีฬาประเภทไหนทั้งสิ้น
และไม่เคยสนุกกับการดูกีฬาประเภทไหนเลย

ผมเป็นคนไม่ฟังเพลงฝรั่ง (ด้วยเหตุผลแย่ๆ ว่า ฟังไม่รู้เรื่อง)
โดยจะฟังแต่เพลงที่ดังจริงๆ
ทำให้พลาดการได้ฟังเพลงดีๆ ไปหลายเพลงมาก

ผมไม่เคยทำอาหาร
และไม่รู้เรื่องการทำอาหารเลย
(ผัดกระเพราเขาต้องใส่อะไรบ้าง ผมยังไม่รู้เลย)

เชื่อว่าลักษณะแบบนี้ไม่น่าจะเป็นเฉพาะกับผมคนเดียว
เพื่อนๆ ลองนั่งคิดดูเล่นๆ สิครับ แล้วจะพบว่า
ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราไม่เคยเข้าไปเฉียดใกล้มันเลย (ดาราศาสตร์, การดูดวง, ประวัติศาสตร์, นิยายจีน เป็นต้น)

เพราะชีวิตของคนเรานั้นแสนสั้น แถมยังต้องเจียดเอาเวลาไปนอนอีก
ซึ่งการที่เรามีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกหลายเรื่องนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก
ใครที่รู้ไปหมดทุกเรื่อง นั่นสิแปลก

แต่การที่เราเลือกที่จะอยู่ในดินแดนที่เราคุ้นเคยตลอดเวลา
ไม่เคยกล้าที่จะออกไปสำรวจดินแดนใหม่ๆ เลยแม้สักครั้ง
แม้ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอะไร
แต่นั่นก็หมายความว่า เราอาจพลาดอะไรดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย

อาจจะด้วยผมเป็นคนขี้เบื่อด้วย
ทำให้ผมมีความเชื่อส่วนตัวที่ว่า
การที่เราเรียนรู้ในด้านกว้าง น่าจะดีกว่าการเรียนรู้ในด้านลึก

ในความคิดผม ถ้าผมจะไปเรียนต่อ
ผมจะไม่เรียนต่อเป็นปริญญาโท ปริญญาเอกอะไรแบบนี้
แต่ผมอยากจะเรียนต่อในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับที่ผมเคยเรียนเลย
อย่างเช่น เรียนดนตรี เรียนถ่ายภาพ เรียนปรัชญา เรียนชงชา เรียนเขียนพู่กันจีน
ซึ่งแน่นอนว่า การเรียนแบบหลังนี้ นอกจากจะถูกมองว่าไร้สาระแล้ว
ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองสู้การเรียนแบบแรกไม่ได้
แต่อย่างน้อยการทำแบบนั้น ก็มีคุณค่าต่อเราอยู่
ตรงที่ว่า ทำให้เรารู้ว่า โลกนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย

โอเค เพื่อนๆ ไม่ต้องคิดแบบสุดขั้วเหมือนผมก็ได้ครับ
อาจเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ก่อนก็ได้
อย่างเวลาเข้าร้านเช่าวีซีดี ลองเช่าหนังที่เราไม่เคยรู้จักเลย(แน่จริงห้ามอ่านเนื้อเรื่องย่อตรงปกหลังด้วย) มาสักหนึ่งเรื่อง
ลองฟังเพลงในอัลบั้มที่ไม่ใช่เพลงโปรโมต
ลองชวนเพื่อนคุยเรื่องแปลกๆ ที่เราไม่เคยสนใจ
ลองสั่งอาหารแปลกๆ ที่เราไม่เคยกล้ากิน (เช่น ลิ้นวัวย่าง เป็นต้น)

แล้วเพื่อนๆ จะได้รู้ว่า
ท่ามกลางความน่าเบื่อเหลือทนของชีวิต
ยังมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นซ่อนอยู่ รอให้เราทุกคนออกไปค้นหาอยู่ครับ












4.พลาสเตอร์สีสวยกับอาการ nostalgia


ปกติผมเป็นคนชอบคิดอะไรฟุ้งซ่าน ชอบคิดอะไรแบบจับแพะชนแกะ
บางทีปากกำลังพูดถึงเรื่องเรื่องนึง แต่ใจกลับไพล่คิดโยงไปถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกันเลยซะนี่
ซึ่งเพื่อนๆ หลายๆ คนน่าจะเคยมีอาการแบบเดียวกันกับผม นั่นคือ

เวลาเราได้อ่านหนังสือบางเล่ม
ดูหนังบางเรื่อง
คุยกับเพื่อนในเรื่องบางเรื่อง
หรือได้ไปเห็นบางอย่างเข้า
ใจเรากลับโยงสิ่งที่เห็นเข้ากับเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งเรื่องนั้นอาจจะเกี่ยวพันกันแค่บางๆหรือไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้
ตัวอย่างเช่น ขณะดูข่าวเรื่อง คนไปขูดต้นกล้วยขอหวย
ใจก็ดันคิดไปถึงเรื่อง วันนี้อยากกินกล้วยบวชชี
ขณะนั่งดูสารคดีทางทีวี เห็นหมาไฮยีน่ากัดกัน แล้วมีหมาตัวอื่นแย่งเหยื่อไปกินเอง
ใจก็ดันคิดไปถึงการเมืองไทย ยังไงก็ไม่รู้

ที่พูดถึงเรื่องนี้ มิใช่อะไร
พอดีผมมีโอกาสได้อ่านสัมภาษณ์อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
แล้วผมเกิดสะดุดใจประโยคของอ.ที่ว่า

"GM : วิธีคิดแบบนี้ เพื่อนๆ อาจารย์เขารับได้ไหม หรือว่ามันเป็นที่มาว่าต้องโดดเดี่ยว ไม่มีพวกพ้อง

สมศักดิ์ : ผมโดดเดี่ยวมานานแล้ว (หัวเราะ) การออกมาวิจารณ์ เรื่องเหล่านี้ยิ่งทำให้โดดเดียวไปกันใหญ่ อย่างหนึ่งที่มีปัญหาคือเรื่องความรู้สึก ผมว่าคนเคลื่อนไหวไม่ซีเรียสเรื่อง 14 ตุลาฯ 6 ตุลาฯ เท่าไร ในขณะที่ผมอาจเป็นพวก nostalgia ผมไปอยู่เมืองนอก 8-9 ปี พอกลับมา รู้สึกว่าในหมู่เพื่อนฝูงทุกคนเปลี่ยนไป หลายเรื่องที่เราต่างเคยถือว่าซีเรียส เขามองว่าไม่ซีเรียสอีกต่อไป
ปัญหาเรื่องหลักการหลายๆ อย่างบิดเบี้ยวไป พูดยาก คงเป็น mood ของคน ปัญหาเรื่องวงการวิชาการไม่มีการถกเถียงอย่างซีเรียส ภาพทุกวันนี้กลายเป็นว่าพอนักวิชาการใหญ่ๆ หรือราษฎรอาวุโสพูดอะไรออกมา ก็ถูกหมด คนอื่นเงียบหมด เงียบทั้งที่บางทีก็ไม่เห็นด้วย เหล่านี้ผมว่าประหลาดมาก ผมจำได้ว่าสมัยก่อน เกิดมีใครแสดงความคิดอะไรไม่เข้าท่า เขาจะนำมาถกเถียงกัน วิพากษ์วิจารณ์ อย่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ผมเกือบหาคนที่เห็นด้วยกับผมไม่ได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้อ้างความเป็นประชาชนไม่ได้ เพราะทุกคนเอาด้วยหมด"
นิตยสาร GM ฉบับเดือนสิงหาคม 2001




บทสัมภาษณ์นี้ดีและมีคุณค่ามาก แต่ขณะที่อ่านประโยคนี้
แทนที่ผมจะคิดถึงเรื่องการเมืองและความคิดของประชากรในสังคม
ใจผมกลับคิดถึงอยู่ 2 อย่าง คือ

-Nostalgia เป็นศัพท์ที่แปลก ไม่ค่อยเหมือนใครดี เช่นเดียวกับคำว่า Quiz, One (อันนี้ไม่ค่อยมีสาระเท่าไร)
-จริงๆ แล้ว ผมเป็นคน Nostalgia หรือคนที่ชอบรำลึกถึงความหลังหรือเปล่าหนอ

สมัยก่อนผมมักจะมองตัวเองว่า
แม้จะชอบฟังเพลงเก่าๆ (เพลงพวกหินเหล็กไฟ สำหรับผมถือว่าเก่าแล้ว) ชอบฟังเรื่องราวเก่าๆ
ชอบคุยถึงเรื่องเก่าๆ ชอบดูหนังหรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเก่าๆ
แต่ผมไม่ใช่คนประเภท Nostalgia

ผมไม่ใช่คนชอบละเมียดอยู่กับความหลัง หรือคิดถึงเรื่องเก่าๆ จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เวลาที่ใครมาปรึกษาเรื่องอกหัก ผมมักจะบอกเขาไปว่า
เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก้ต้องผ่านไป เรื่องใหม่ๆยังรอเราอยู่
การที่เราเอาเวลาไปนั่งคิดคำนึงถึงแต่ความหลัง
มันก็เหมือนกับการที่เราเสียเวลาไปกับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว

อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลเคยเขียนไว้ในหนังสือของเขาเล่มหนึ่ง ว่า

เราควรใช้เวลาที่เหลือ เพื่อเดินต่อไปข้างหน้า
ดีกว่ามัวแต่เสียเวลาหาพลาสเตอร์ที่สวยที่สุดมาแปะทับแผลของเรา
ซึ่งนอกจากความสวยงามกิ๊บเก๋แล้ว สิ่งที่เราจะได้จากการกระทำนี้คือ ความว่างเปล่า

แต่พออายุมากขึ้น มีความหลังให้มองกลับไปมากขึ้นเรื่อยๆ
พอเอามาตรฐานเดิมมาวัดตัวผมตอนนี้ ผมเริ่มวิเคราะห์ตัวเองได้แล้วว่า
จริงๆ แล้วผมเป็นคนประเภท nostalgiaแบบหลบใน
คือ ภายนอกทำเก๊กไปงั้นเอง แต่ในใจแอบซ่อนความ nostalgia ไว้ลึกสุดใจ ไม่อยากให้ใครเห็น
เพราะคิด (ไปเอง) ว่านั่นคือการแสดงถึงความอ่อนแอ
ผมเริ่มสังเกตุพฤติกรรมตัวเองในตอนนี้ และได้เห็นว่า

เวลาได้ไปเยือนที่เก่าๆ หรือผ่านสถานที่ที่เคยมีความหมายต่อผม
ผมมักจะหยุดนิ่ง หรือพยายามอ้อยอิ่งไม่ให้ผ่านสถานที่นั้นเร็วเกินไปนัก

เวลาชวนคุยกับเพื่อน ถ้าในวงสนทนาเริ่มหมดเรื่องคุย เริ่มมีบรรยากาศมาคุ
ผมมักจะเปิดประเด็นด้วยเรื่องเก่าๆ ที่ทุกคนน่าจะจำกันได้เสมอ

เวลาที่เพื่อนเก่าๆ นัดคุย นัดเจอ นัดเที่ยว นัดกินข้าว
ถ้าไม่ติดธุระประเภทคอขาดบาดตาย ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ ผมจะหาทางไปให้ได้ทุกครั้งทุกครั้ง
และช่วงหลังๆ ทุกครั้งที่ผมไปตามนัดหมาย ผมมักจะพบว่า เพื่อนๆ มักจะไปน้อยกว่าที่ผมคิดเสมอ
และเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อทราบเหตุผลของการไม่มา คือ ขี้เกียจ เหนื่อย ช่วงนี้เซ็งๆ หรือไม่อยากเสียเงิน
แม้จะเข้าใจว่า คนเราล้วนแต่มีเหตุผลของตัวเองและเราไม่ควรจะเอาตัวเองไปตัดสินเหตุผลของคนอื่น
แต่บางครั้งก็อดเอาเก็บมาคิดตามประสาคนคิดมาก ไม่ได้ว่า
"หรือจะไม่มีใครซาบซึ้งกับอดีตช่วงนั้นเท่ากับที่เรารู้สึกอีกแล้ว"
ซึ่งความเจ็บปวดประเภทนี้
สิ่งที่เราควรตอบสนองต่อมันไม่ควรจะเป็นการการร้องแร่แห่กระเฌอ
การหลบไปทำใจเงียบๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

อาการ nostalgia ของผมยังไม่หมด
อย่างเวลาผมเจอสิ่งเก่าๆ แต่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นเหมือนเดิมแล้ว
เช่น สถานที่ที่ผมเคยมีอดีต หรือสิ่งของที่เปี่ยมด้วยความทรงจำของผมถูกทำลาย
ผมเลือกที่จะมองภาพสิ่งนั้นในภาพอดีตมากกว่าจะมองในสิ่งที่มันเป็นในภาวะปัจจุบัน

บางครั้ง เวลาผมเจอคนที่เรารัก หรือเคยมีความรู้สึกดีๆ ให้กันอย่างลึกซึ้ง
แต่ปัจจุบันเขากลับไม่ได้เป็นเหมือนเดิม เปลี่ยนความรู้สึกต่อเราจากเดิมเป็นคนละขั้ว
ผมจะคิดว่า คนเดิมคนนั้นตายไปจากโลกนี้แล้ว คนนี้เป็นคนอื่นที่มาสวมร่างแทน
และคนเดิมคนนั้น (ที่ผมคิดไปเองว่าตายไปแล้ว)ยังคงรู้สึกเช่นเดิมกับผมเสมอ

เนื่องจากโตพอที่จะรู้อะไรดีแล้ว ทำให้ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์ดีว่า
นี่คือการหลอกตัวเองอย่างน่าเกลียดที่สุด

คนที่อยู่ในโลกความฝัน อาจจะดูมีความสุขแค่ช่วงแรกๆ
แต่ในระยะยาวแล้ว ถือเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
ควรต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ พยายามเข้าใจถึงความเป็นจริงของโลกมนุษย์
ที่ว่า ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าจะช้า จะเร็ว อีก 1 นาที หรือ 50 ปี
แต่ที่แน่ๆ คือ สิ่งที่คุณเคยรู้จัก คุ้นเคย ยึดมั่นถือมั่นนั้น ย่อมมีสักวันที่มันจะต้องเปลี่ยนไป
ดั่งคำพูดที่ว่า ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน

วิธีรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุด คือ มองมันอย่างเข้าใจ
ไม่ใช่ห้ามรักใคร ให้รักได้ ตักตวงความสุขให้เต็มอิ่มได้
แต่ไม่ควรลืมเผื่อใจไว้สักเล็กน้อยว่า
คนที่เรารักสักวันก็ต้องจากเราไป
เพื่อที่เวลาที่เขาจากเราไปจริงๆ ความเศร้านั้นจะได้ไม่ทับถมทวีคูณเกินไปนัก

การแยกจากกัน เป็นของโลกธรรมดา
สมัยก่อน การที่เราอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน สภาวะแวดล้อมตรงกัน
สถานที่เดียวกัน ช่วงเวลาเดียวกัน
มุมมองตรงกัน มีความฝันคล้ายกัน หรืออุดมการณ์ไปในทางเดียวกัน
นั่นทำให้เราสามารถเดินร่วมทางไปกับเขาได้อย่างมีความสุข

แต่เวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนตามไปด้วย
เช่น เวลาเราเรียนจบ เงื่อนไขด้านสถานที่ที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันมันจบไปแล้ว
ถึงเราอยากจะเรียนต่อไปแต่ก็คงไม่มีใครเอาด้วยกับเรา

การที่เราหมดรักกัน เนื่องจาก สิ่งที่เคยทำให้เรารักกันได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
และเมื่อมันเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เรายังอยู่กับเขา มันเกิดมาจากช่วงเวลาดีๆที่มีในอดีตมากกว่า สิ่งที่เกิดในปัจจุบัน
ในเมื่อปัจจุบัน เราไม่ได้รักกันแล้ว เราก็ควรเอาสถานการณ์ปัจจุบันมาคิดมากกว่าเหตุการณืในอดีต
นั่นคือเลิอกที่จากกันไปคนละทาง

ขอเพียงเราเข้าใจและยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้
ผมว่าโลกนี้จะมีคนเศร้าเสียใจน้อยลงกว่านี้หลายสิบเท่าเลยทีเดียว

ขออนุญาตทุกคนที่อุตส่าห์อ่านมาจนถึงตอนนี้ หักมุมตอนจบนะครับ
เพราะที่อุตส่าห์เขียนทฤษฎี วิธีแก้ปัญหา วิธีทำใจมาให้อ่านถึงขนาดนี้
แต่ถึงเวลาจริง ผมยังทำไม่ได้อย่างที่เขียนสักข้อเลย
จริงอย่างที่เขาว่า ระหว่างพูดกับทำจริงนี่ ความยากมันต่างกันเยอะจริงๆ

แม้จะเข้าใจว่า การอยู่แต่ในโลกแห่งความฝันและครุ่นคิดถึงแต่เรื่องอดีตนั้น ทำให้เราเสียเวลาขนาดไหน
แต่ผมยังพอใจที่จะอยู่กับความหลังอย่างนี้ต่อไปก่อน
ยืนยันว่า ยังไงก็ต้องก้าวต่อไปแน่ แต่ตอนนี้ ขอนั่งพัก หาพลาสเตอร์แปะแผลอยู่ในโลกแห่งความฝันอย่างนี้ไปก่อน

ช่วยไม่ได้นี่
ก็ใครอยากให้โลกแห่งความจริงโหดร้ายมากกว่าโลกแห่งความฝันทำไมล่ะ







ภาพนี้ถ่ายที่ จ.หนองคาย




*********************************************


Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 9 มีนาคม 2551 4:24:24 น. 40 comments
Counter : 3646 Pageviews.

 


โดย: นายแจม วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:6:54:53 น.  

 
ใช่ค่ะ อย่าไปยึดติดกับกฎเกณฑ์


โดย: grappa IP: 58.9.187.73 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:7:30:40 น.  

 
ใช่แล้วค่ะคุณฟ้าดิน
เพื่อนสมัยเด็กๆ มอต้น มอปลาย มหาลัย
ได้ทยอยกันห่างหายไปจากชีวิต

อาจจะเป็นเพราะภาระหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต้องรับผิดชอบ เลยทำให้ห่างๆกันมากขึ้น

สวัสดีปีใหม่จีนค่ะ เฮงๆๆ รวยๆๆ นะคะ



โดย: fonrin วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:7:39:08 น.  

 
บางทีคิดว่าเพื่อนค่อยๆ ห่างจากเราออกไปทุกที แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน เราก็ห่างออกจากเพื่อนเราทุกทีเหมือนกันนะคะ เค้าอาจจะเหงานะ ว่างๆ นานทีหยิบมือถือมาดูเห็นชื่อเพื่อนที่เมมเบอร์ไว้ ก็คิดถึงเหมือนกันนะ โทรหาเพื่อนมั้งดีกว่า


โดย: SIMAKHA วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:7:58:33 น.  

 
แหะๆ
เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า
"เพื่อนที่เรากล้าคุยด้วยที่สุด
อาจจะเป็นเพื่อนที่เราไม่เคยเจอหน้ามาก่อน
ได้แค่คุยผ่านอินเตอร์เน็ท
หรือเพื่อนที่ทำร้ายเราเจ็บปวดที่สุด
อาจจะเป็นเพื่อนที่เราคบเขามาตลอดชีวิตก็ได้"



ปล. กำลังมีนัด เจอเพื่อนสมัยเด็กๆ ค่ะ
เพื่อนเพิ่งกลับจากเมกา... นึกๆ ดูก็แปลกใจ ต่างคนต่างยังไม่เลิกคบกันอีก(ฮา)


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:44:11 น.  

 
ผมคิดว่า ยิ่งเราโตขึ้น เพื่อนเราจะยิ่งน้อยลง นั้นป็นเรื่องจริง ในที่นี้หมายถึง เพื่อนเก่าที่ทยอยหายหน้าไป ส่วนปริมาณเพื่อนใหม่ที่เข้ามาในชีวิตก็ยิ่งน้อยลง จนเกิดการขาดดุล ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

มันอาจจะไม่ได้เกิดจากเหตุผลที่ว่า เราไม่ยอมเปิดใจรับเพื่อนใหม่ๆเข้ามาในชีวิต บางทีการเริ่มต้นรับใครสักคนเข้ามาในชีวิตเรา (อย่างใกล้ชิด) ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนรัก มันก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้กัน จาก ศูนย์ จากไม่รู้อะไรเลย บางทีก็รู้สึกเบื่อเหมือนกันที่ต้องมาเริ่มต้นอธิบายอะไรใหม่ๆ เรียนรู้กันใหม่ ผมเป็นแบบนี้ นิสัยแบบนี้ ชอบแบบนี้ รสนิยมแบบนี้ คุณจะคบกับผมได้ไหม ถ้าไม่ได้ ก็ ...เอ้า เริ่มใหม่กับคนใหม่ ผมเป็นคนแบบนี้ นิสัยแบบนี้ ..........................

พักนี้เลยเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองมีเพื่อนใหม่น้อยลง ไม่ใช่อะไรหรอก ก็แค่ขี้เกียจ

สำหรับเพื่อนเก่า อาจมีเก่ามากเก่าน้อย เพื่อนสมัยเรียนมัธยม ก็ยังติดต่อพูดคุย เจอกัน ตามเทศกาล แต่พักหลังรู้สึกว่า สิ่งที่คุยกันรู้เรื่อง คือ เรื่องราวเก่าๆแต่หนหลัง การที่ไม่ได้เจอกันนาน แยกย้ายกันไปตามวิถีชีวิตของตัวเอง มันอาจทำให้ความคิด ความอ่าน เปลี่ยนแปลงกันไป คุยกันคนละเรื่อง แต่ยังไงมาเจอกัน ก็คุยกันได้ แต่ก็ไม่อาจลึกซึ้ง

กลุ่มเพื่อนมหาลัย ผมคิดว่าเป็นเพื่อนที่เข้าใจเรามากที่สุด เพราะ เขาอยู่กับเราในช่วงที่เราเติบโตทางความคิด เพื่อนที่เราคบคือคนที่เราสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยน และให้คำแนะนำหลายอย่างในช่วงสำคัญชีวิต แต่ก็นั่นแหละ ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น

ผมมีเพื่อนน้อย แต่สิ่งสำคัญที่ผมคิดคือ ปริมาณ ไม่สำคัญ เท่าคุณภาพ ผมยอมมีเพื่อนน้อยที่เข้าใจ และรู้ใจ มากกว่าจะนั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนมากมาย แต่รู้สึกเหมือนไม่มีใครเลย

สุดท้าย ผมว่า หาเพื่อนคู่ใจ ดีกว่า 5555

ไว้ว่างๆจะมาเขียนต่อ

ป.ล. นั่นรูปผมหรือเปล่า...


โดย: calcium_kid วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:18:41 น.  

 
เมื่อเร็วๆ นี้ผมขับรถพาพ่อกับแม่ไปงานเลี้ยงรุ่น
แล้วผมก็ได้เข้าไปร่วมแจมในงานเลี้ยงนั้นด้วย

ผมได้เห็นเพื่อนฝูงวัยเกษียณเฮฮาหยอกเย้ากันเล่น
เหมือนช่วงเวลาได้ย้อนกลับไปทำให้ทุกคนเป็นหนุ่มๆ สาวๆ อีกครั้ง
ทุกคนพูดคุยยิงมุขกันสนุกสนาน
ผมเห็นว่านัยน์ตาของทุกคนมีแววซุกซนของเด็กเล็กๆ ซ่อนอยู่

ผมอดคิดไม่ได้ว่า ตอนที่ผมอายุ 60 ผมจะได้สนุกแบบนี้มั้ยนะ


โดย: พลทหารไรอัน วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:2:18:56 น.  

 
สวัสดีค่ะ แวะมาทักทายส่งความรักให้กันในวันแห่งความรักค่ะ ^_^

"14 กุมภาฯ วันวาเลนไทน์
มีความหมายมากกว่าส่งมอบความรัก
มากกว่าถ้อยคำเอ่ยมากมายนัก
มากกว่ารักหรือของขวัญสิ่งอันใด

หากแต่คือการเรียนรู้จักแบ่งปัน
คือของขวัญเลิศล้ำกว่าสิ่งไหน
แบ่งความรักแบ่งความหวังกำลังใจ
ให้ทุกคนจากใจมีให้กัน"


โดย: Beee (Beee_bu ) วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:32:23 น.  

 
พี่เขียนได้ดีอีกแล้วค่ะ หนูชอบบทความของพี่มากเลย เขียนให้เสร็จไวๆนะคะ (หึหึหึ...ช่วยเพิ่มเรทติ้ง)


โดย: louknam IP: 125.24.240.86 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:27:38 น.  

 



โดย: Pie~ IP: 125.27.74.254 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:13:30 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: nj_pinky IP: 61.7.175.245 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:50:11 น.  

 
hi5 นี่ ผมไม่เคยเข้าไปดูเลยสักครั้งเดียว ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรด้วยซ้ำไป ไว้ต้องหาเวลาเข้าไปดูบ้าง สงสัยว่าทำไมถึงฮิตจัง

เชยน่าดูเลยแฮะ...


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:38:07 น.  

 
เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ก็จะเริ่มย้อนมองตัวเองมากขึ้น...

แต่...จนบัดนี้ ผมก็ยังเล่น Hi5 ไม่เป็น..


โดย: KMS&หมาป่าสำราญ วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:10:48:43 น.  

 
ไม่ได้เลยนะคุยเรื่องเพื่อนเนี่ย


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:3:21:58 น.  

 

รูปที่ถ่ายที่ปาย ตอนแรกนึกว่าหนังเรื่อง Silent Hill 5555


โดย: merveillesxx วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:3:24:07 น.  

 
วันนี้ไปหา the mist ฉบับหนังสือแต่ไม่เจออ่ะค่ะ อ่านที่บอกไว้ที่บล็อกว่าจบคนละอย่างกับหนังเลยยิ่งอยากอ่านมากกว่าเดิมอีกง่ะ


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:20:57:31 น.  

 
แวะมาเยี่ยมเยือนBlog+รออ่านตอนต่อไปอยู่


โดย: Brooklyn-fah IP: 64.80.129.251 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:14:17:27 น.  

 

-คุณ grappa
ผมเห็นว่า เราควรทำตามกฏเกณฑ์แต่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นกับกฏเกณฑ์มากจนเกินไป

-คุณfonrin
ขอบคุณครับ

-คุณ Simakha
การโทรหาเพื่อนเก่า ทำให้เรารู้ว่า บางที คนที่เรานึกว่า เขาจะลืมเราไปแล้ว
แต่ที่จริงเขาไม่เคยลืมเราและยังมองเราเป็นเพื่อนเขาอยู่เสมอครับ

-คุณแพนด้ามหาภัย
ไม่แปลกครับ เพื่อนผมบางคนคบกับผมตั้งแต่อนุบาล ปัจจุบันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกคบผม (หรือว่าเลิกไปแล้ว แต่ผมไม่รู้ตัว 555)

-คุณ calcium kid
ขี้เกียจผูกมิตรไมตรีกับใครใหม่เหมือนกัน อยากได้แบบสำเร็จรูป เจอปุ๊บ สนิทปั๊บ
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ และดูจะเป็นการทำลายสุนทรียภาพของการสร้างความสัมพันธ์ไปหน่อย
แถมช่วงหลังๆ ข้าพเจ้ายิ่งอยู่ในอารมณ์ so what?
คือ ชอบคิดว่า ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ ไม่ชอบฉันก็เรื่องของคุณ
เลยยิ่งทำให้ เพื่อนยิ่งน้อยลงไปอีก
แต่ข้าพเจ้ายึดหลักที่ว่า คุณภาพย่อมดีกว่าปริมาณ จึงไม่ค่อยเดือดร้อนกับตรงนี้สักเท่าไร
ปล.เรื่องรูป แม่นแล้ว โทษทีที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้เครดิตท่าน เพราะตอนเอารูปลงไม่รู้ว่า ใครเป็นคนถ่ายภาพนี้กันแน่

-คุณพลทหารไรอัน
มีคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร ลูกก็ยังเป็นเด็กในสายตาของพ่อแม่เสมอ
สำหรับเพื่อนก็เช่นกัน คือ
ไม่ว่าเพื่อนเราจะเป็นอย่างไร สำเร็จ ล้มเหลว ยากดีมีจน ขนาดไหน
แต่เขาก็ยังเป้นเพื่อนในสายตาของเราเสมอ

-คุณ Beeee
ขอบคุณครับ

-คุณ louknam
เขียนดีมากครับ มารับเงิน 20 บาทได้เลย (ค่าหน้าม้า)

-คุณนายแจม,คุณ pie, คุณ nj_pinky
:)

-คุณคนทับแก้ว+คุณ KMS
อย่าลองเลยครับ ไม่งั้นจะติดแบบถอนตัวไม่ขึ้น จนไม่มีเวลามาอัพบลอกเหมือนผม

-คุณเจ้าชายไร้เงา
ส่วนใหญ่ เรื่องจี๊ดในชีวิตคน มีไม่กี่อย่างหรอกครับ
นอกจากเรื่องหัวใจแล้ว เรื่องเพื่อนก็เป็นเรื่องจี๊ดอีกอย่างนึงล่ะ

-คุณ merveillesxx
ผมคิดถึง The Mist มากกว่านะ
กลัวเดินๆ อยู่ เจอสัตว์ประหลาด 555

-คุณแพนด้ามหาภัย
ลองอ่านในพันทิปดูนะครับ เห็นมีคนเอาตอนจบในหนังสือ the mist มาลงอยู่

-คุณBrooklyn-fah
Thank you for always being here...


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:2:08:06 น.  

 
ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนในบลอกแกงค์ กลับกลายเป้นเพื่อนของเพื่อน

เพื่อนของน้อง

น้องของเพื่อน

เพื่อนของเเฟนน้อง

5555

โลกกลม


ปล. อัพบลอกเเระ ไปดูได้ค่า


โดย: This road is mine วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:3:14:14 น.  

 
หวัดดียามเช้าครับพี่


สงสัยเพราะข้อ 1. ที่พี่เขียน
เลยฟังเพลงเพื่อนไปตั้ง 5 รอบ

ผมก็ฟังอยู่ครับ
ฟังเสียงตัวเองแกล้มเสียงสายฝน 5555


..................


ข้อเขียนพี่ร่าอ่านนะครับ
เขียนได้ไหลลื่นมากๆ
ผมอ่านจนจบไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

และเพลงผมก็จบลงตรงประโยคนี้พอดี




โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:7:30:33 น.  

 
วันนี้มี oT กลับมาแล้วจะมาร่วม comment ให้มันส์ไปเลย รอรับละ


โดย: Portrait of a Lady IP: 118.172.156.163 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:8:17:02 น.  

 
แวะมาดู

อ่านได้นิดหน่อย
อ่านผ่านๆ
ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ อิอิ

ประเด็นที่จับมาได้ก็คือ
โนดาเมะ นางเอกน่ารักจัง


โดย: เล่งฮู้ IP: 58.9.169.206 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:15:25:41 น.  

 
เป็นผู้ชายที่อ่อนไหว มากกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย


โดย: สาวเมืองกรุง(เทพ) IP: 125.24.200.212 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:19:15:51 น.  

 
เห็นด้วยกับการไม่ยึดติด โลกนี้อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้น...
หนังเรื่องที่บอกมา ยังไม่เคยดูอะ
-เราเป็นคนนึงละ ที่ไม่ค่อยดูเรื่องย่อ ชอบใช้สัญชาตญาณในการเลือกเช่าหนังมากกว่า...แล้วก็พบว่าดีกว่าการพลิกไปอ่านเรื่องย่อก่อน
-อาหารแปลกๆ...ลองประจำ อันนี้ยกความดีให้ท่านแม่เลย
-เห็นด้วยกับการเรียนอะไรที่เราชอบ มันมีความสุขทุกทีที่ได้ทำลงไป...แม้บางครั้งจะเหนื่อยก็ตาม
และอะไรๆอีกหลายอย่างที่เราได้ค้นพบมากขึ้นตั้งแต่เรียนปีสุดท้าย+จบมาทำงาน...
- การติด Hi-5 เราก็กลัวๆเหมือนกัน แต่จะว่าไป เพราะมันนี่แหละทำให้เราได้เจอเพื่อนเก่าๆมากขึ้น และได้รู้จักกันมากขึ้นด้วย ดังนั้นส่วนนึงเราขอยกความดีให้มันละกันนะ


โดย: Portrait of a Lady IP: 118.172.156.182 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:23:07:01 น.  

 
เข้ามาแล้ว หลังจากที่หายไปจากบล๊อกนี้นานมาก เข้ามาก็ไม่ผิดหวังตามเคย (สมแล้วที่อู้งานเข้ามาอ่านบล๊อก "-__-)
- Nodame Cantabile สุดยอดดดดดดดด
- เพื่อน ไม่ว่าจะเก่า ใหม่ เพื่อนทำงาน เพื่อนสมัยเรียน เพื่อน Hi5 เพื่อนMSN อาจสำคัญไม่เท่ากัน แต่อย่างน้อยก็มีช่วงเวลานึง ที่เพื่อนนั้นๆก็สำคัญที่สุดดด เช่นเวลานี้ที่อยากอู้งาน ก็ยังมีเพื่อน Hi5 ที่มาเม้นกวนๆให้หายเครียด

เพื่อน ...ข้อยยฮักเจ้าหลายย


โดย: BeeHaPpy IP: 203.157.185.2 วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:11:17:12 น.  

 
แฮ่... รูปสุดท้ายยย ริมโขงโพนพิสัย บ้านจอมนาง เอามาลงในบล๊อกแปลว่าถ่ายได้โอเคช่ายมะ ฮิ้วววววว


โดย: BeeHaPpy IP: 203.157.185.2 วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:11:19:42 น.  

 
นาย....เราUp bogแล้วนะ...สิมิลัน...ตามไปดูด้วย นางแบบสวยมากกกกกกกก...eiei


โดย: ดอกไม้ดวงดาวและผีเสื้อ วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:19:07:17 น.  

 
อุ้ย!!...เขียนคำว่าBlog ผิด หุหุหุ


โดย: ดอกไม้ดวงดาวและผีเสื้อ วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:19:13:57 น.  

 
คุณเขียนเป็นลักษณะ self confession ที่ตรงไปตรงมาดี ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ สำนวนอ่านแล้วชวนติดตามครับ ผมไม่เคยชอบไฮไฟว์เลย กลัวโดนสาวหลอกครับ


โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 13 มีนาคม 2551 เวลา:16:15:18 น.  

 
ในที่สุดก็ได้เวลาคอมเมนท์เสียที หลังจากที่รอมาซะนาน 555+

1. เพื่อนมหาลัย เพื่อนที่ทำงาน และเพื่อนทางเน็ท
- ช่วงนี้ผมก็ค่อนข้างจะเปิดใจกับเพื่อนทางเน็ทมากกว่าครับ เพราะมีหลายเรื่องที่เราไม่สามารถแน่ใจว่าเขาจะรับเราได้มั้ย ในขณะที่คนที่ยังไม่รู้จักกันมากนัก และไม่ได้เป็นคนใกล้ตัวเท่าไหร่ มีแนวโน้มที่จะช่วยเราได้มากกว่าโดยที่ไม่ทำหน้าตาหรือน้ำเสียงแปลกๆใส่เรา

แปลกดีเหมือนกันแฮะ~


2. Hi5 และสิ่งไร้สาระอื่นๆในชีวิต
- Hi5 ผมไม่ได้ติดอะไรมากมาย แต่ก็เข้าไปเกือบทุกวัน (เพียงแต่ไม่ได้อัพเดตอะไรมากมาย หรือตามไปคอมเมนท์ทุกคนที่อยู่ใน list)

ส่วนเรื่องไร้สาระในชีวิต ผมว่าชีวิตผมก็ไร้สาระอยู่แล้ว กร๊ากๆๆ


3. Nodame Cantabile และสิ่งใหม่ๆในชีวิต

ผมเป็นคนที่ไม่ถูกกับซีรี่ส์ เพราะก็อย่างที่รู้ว่าชีวิตผมส่วนใหญ่สิงอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ (ไม่น่าเอาอย่างเลยแม้แต่น้อย 55+)

แต่เพื่อนผมคนหนึ่งที่ติดซีรี่ส์ญี่ปุ่นมาก และคลั่งดาราญี่ปุ่น(ชาย)คนหนึ่งมากพอๆกัน วันหนึ่งเขามาเล่าว่าไปสั่งหนังของดาราชายคนนี้มาดู และปรากฎว่าดูไม่รู้เรื่องเลย

หนังเรื่องนั้นกำกับโดย ทาคาชิ มิอิเกะ ครับ...
แรงขับจากดาราวัยรุ่นคนหนึ่ง ทำให้เขารู้จักมิอิเกะจนได้ในที่สุด 555555


พลาสเตอร์สีสวยกับอาการ Nostalgia
- สั้นๆว่าผมก็เป็นแบบพี่นั่นแหละครับ หุหุ - -


โดย: nanoguy IP: 125.24.72.226 วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:17:31:13 น.  

 
"การที่เรามัวแต่หมกมุ่นกับสิ่งมีสาระ
ชวนให้คิดว่า การจะพิจารณาว่า สิ่งใดมีสาระหรือไร้สาระนั้น
มาตรฐานอยู่ที่ไหน"
<< เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ นอกจากไม่มีมาตรวัดที่แท้แล้ว ยังอยู่ที่อารมณ์ด้วยเนอะคะ อย่างบางเวลาก็รู้สึกว่าการมานั้งปวดตาหน้าคอมฯเล่นบล็อกนี่มันไร้สาระ แต่บางเวลาก็ซึ้งเลยว่ามันช่วยให้ความสนุกและก็อบอุ่นได้อย่างประหลาด

อ่านเอนทรีนี้แล้วรู้จักคุณฟ้าดินได้ดีขึ้นอีกค่ะ
เราชอบอ่านความคิดของใครสักคน มากกว่าได้เจอกันในวงสังสรรค์ค่ะ (เพราะปกติก็ไม่เคยไปงานสังสรรค์กะใครอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าไม่ได้อะไรขึ้นมา สำหรับเราอะนะคะ)

ป.ล. โนดาเมะ เราอ่านการ์ตูนเอาค่ะ ตอนแรกไม่คิดว่าจะชอบได้เลย ลายเส้นก็ไม่ใช่แบบที่ชอบ แถมเป็นเรื่องดนตรีคลาสสิกที่เราไม่รู้เรื่อง ปรากฎว่า อ่านรวดเดียวถึงเช้าเลยค่ะ
หนุกมาก ทำเอาอยากไปเรียนดนตรีมั่งเลย


โดย: walk in dream (walkin ) วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:19:06:35 น.  

 
เหนื่อยอ่านแฮะ...คิดอะไรมากเมื่อยตุ้ม
มีคนเค้าบอกว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลนักบางอย่างยิ่งวิ่งหายิ่งไกลตัวออกไป หยุดแล้วมองเข้ามาในตัว แล้วจะพบว่าคำตอบมีในตัวมัน


โดย: jean-aeng IP: 124.157.229.240 วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:19:14:46 น.  

 
แวะมาเยี่ยมอีกรอบ

ตัดจบเสียแล้ว


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:23:10:18 น.  

 
สวัสดีครับพี่


สมแล้วที่เป็นปีกาสโซ่นะครับ
คมซะ






โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:7:49:54 น.  

 
สวัสดีครับผม...


โดย: กายแก้ว วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:11:46:34 น.  

 



สวัสดีปีใหม่ไม่ช้าหรอกค่ะ
สวัสดีได้ถึงปลายเดือนธันวาค่ะ



โดย: โสดในซอย วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:11:47:24 น.  

 
อีกไม่กี่วันก็ปีใหม่ไทยแล้วนะคะคุณฟ้าดิน

แวะมาทักทายยามบ่ายของวันหยุดค่ะ

มีความสุขนะจ้า


โดย: fonrin วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:13:27:27 น.  

 
อย่ามัวแต่เล่น hi5 จนลืม up blog ล่ะ รออ่านอยู


โดย: jean-aeng IP: 124.157.228.143 วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:22:00:03 น.  

 
ดีใจครับที่ได้เจอคนชอบเรื่องเดียวกัน


โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:8:41:38 น.  

 

คุณฟ้าดินกลับมาแล้วหรือคะ หายไปนานเลยสบายดีหรือเปล่า


โดย: แซนด์ซี วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:12:29:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.