+-+-+-+ผู้ชายคนที่ไม่มีความฝันกับวิหารที่"ยังคง"ว่างเปล่า+-+-+-+
ผมเกือบจำไม่ได้แล้วว่า สมัยก่อนผมเคยมีความฝันมากมายขนาดไหน เคยฝันอยากจะเป็นโน่นเป็นนี่ ฝันอยากเป็นไอ้มดแดง ฝันอยากเป็นครู ฝันอยากเป็นดารา ฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ เรียกได้ว่า นอกจากฝันอยากเป็นนางงามจักรวาล นอกนั้นผมเคยฝันอยากเป็นมาหมดแล้ว เมื่อโตขึ้นมาหน่อย เริ่มเรียนรู้อะไรมากขึ้น ผมก็เริ่มที่จะจับเอาความฝันบางอย่าง (ที่ดูแล้วพอเป็นไปได้ ไม่ฝันเฟื่องมากนัก) มาแปรรูปให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา ผมเคยผ่านขบวนการแปรรูปความฝันมาหลายอย่างมากครับ ทั้งเคยทำนิตยสารคณะ เคยช่วยเพื่อนแต่งเพลง เคยทำหนังสือทำมือออกวางขาย และอีกมากมายนับไม่ถ้วน นอกจากพลังแห่งรักใคร่ที่มีพลังบัญชาแล้ว ผมคิดว่าพลังแห่งความฝันก็มีอานุภาพรุนแรงไม่แพ้กัน จากปกติที่เป็นบุรุษผู้ไม่สังคมโลก เฉื่อยชา อะไรก็ได้ ใช้เวลาในการหลับตามากกว่าลืมตา แต่พอถึงเวลาแปรรูปความฝัน ไม่รู้เรี่ยวแรงมาจากไหน คึกยังกะกินยาบ้าเข้าไป 3 กระปุก คืนที่ผมนั่งปั่นหนังสือทำมือเพื่อให้เสร็จทันวางขายนั้น ผมจำได้ว่า ผมใช้เวลาขลุกอยู่กับมันสองวันสองคืน ไม่หลับไม่นอน (แต่อาจมีวูบเป็นพักๆ) จิตใจจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับของแค่ 3 สิ่ง คือ หนังสือ หนังสือ แล้วก็หนังสือ ขนาดงานที่ได้ค่าจ้างเป็นหมื่น ผมยังไม่ทำตัวขยันขนาดนี้เลย และในวันนั้น ที่ทำให้ผมรู้ว่า ถ้าจะจัดประเภทสารเสพติดออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทแล้ว ความฝันนี่ จัดอยู่ในประเภทความแรงสูงสุด รุนแรงกว่าจับเอายาบ้า ยาอี ยาไอซ์ ไวอากร้ามาผสมรวมกันซะอีก ตอนนั้น ไฟของผมลุกโชนท่วมตัว เหมือนโกฮังเบ่งพลังเป็นซูเปอร์ไซย่า ยิ่งกว่านาธาน โจนส์เบ่งพลังตอนกินส้มตำเสียอีก นอกจากช่วงอ่านหนังสือเตรียมเอนทรานส์แล้ว ก็มีช่วงนั้นนั่นแหละที่กราฟความขยันของผมขึ้นสูงที่สุดในชีวิต แล้วก็เป็นเช่นดั่งหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างในโลกนี้ สิ่งที่เคยมี สิ่งที่เคยอยู่กลับเรา แต่ครั้นเวลาผ่านไป สิ่งนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยเราไม่เคยล่วงรู้เลยว่า ทำไมมันถึงหายไปได้ และการหาคำตอบนั้น อาจกินเวลาไปจนตลอดชั่วชีวิตเลยก็ได้ จากการวิเคราะห์พยานหลักฐานโดยหน่วย CSI แล้ว ทำให้ทราบว่า สาเหตุการหายตัวของความฝันของผมนั้น อาจจะไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว อาจจะเกิดมาจาก พบเจอความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ อาจจะเกิดมาจาก ความสำเร็จที่พบเจอไม่หอมหวานอย่างที่คิดไว้ อาจจะเกิดจาก ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยน ทำให้ไฟมอดขึ้นมากะทันหัน อาจจะเกิดจากการพึ่งพาแรงบันดาลใจจากตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งมากเกินไป ตั้งเป้าแค่ว่า ที่เราทำไปนั้นทำไปเพื่อคนเพียงคนเดียว จนเมื่อคนคนนั้นจากเราไปไม่หวนคืนแล้ว สิ่งที่เราเคยเอาไปผูกติดกับเธอก็ได้จากไปโดยไม่มีวันหวนคืนเช่นเดียวกัน
หนังสือของอ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ผมชอบมากที่สุด คือ "วิหารที่ว่างเปล่า" ครับ อาจารย์เขียนอธิบายถึงแนวคิด "วิหารที่ว่างเปล่า" ไว้ว่า คนเราล้วนแต่มีวิหารคนละหลัง ซึ่งสิ่งที่เราเอาไว้ในนั้น แน่นอนว่า ไม่ใช่จะเอาของบ้าบออะไรใส่ลงไปก็ได้ แต่สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่เราบูชามันอยู่ ยอมมีชีวิตอยู่เพื่อมันได้ ยอมลำบากเพื่อมันได้ ยอมต่อสู้เพื่อปกป้องมันได้ หรือสำหรับบางคน ถ้าจำเป็นจริงๆ เขาก็ยอมตายเพื่อมันได้ การที่คนกัมพูชาเมื่อหลายศตวรรษก่อนลงทุนลงแรงก่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างนครวัด การที่คนอียิปต์โบราณเกณฑ์ไพร่พลมาเพื่อสร้างพีระมิด การที่โธมัสทดสอบหลอดไฟพันกว่าครั้ง กว่าจะได้หลอดไฟที่ใช้การได้จริง การที่กาลิเลโอ ยืนยันที่จะเสนอว่า โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล แม้จะถูกศาสนจักรลงโทษ ทั้งหมดที่กล่าวอ้างมา แน่นอนว่า ไม่มีใครได้ค่าตอบแทนเป็นอามิสสินจ้างเลย แต่สิ่งที่ผลักดันเขา เกิดเพราะ เขามองสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นดั่งเครื่องสังเวย ต่อสิ่งที่เขาบูชาอยู่ต่างหาก ในวิหารของแต่ละคน บรรจุสิ่งที่พวกเขาบูชาต่างกัน บางคนบูชาความยุติธรรม เสรีภาพ ความเท่าเทียม บางคนบูชา ความรัก มิตรภาพ ความหวังดีที่มีต่อกัน บางคนบูชาความสำเร็จ ชื่อเสียง การได้รับการยกย่อง บางคนบูชาเงินตรา กามารส หรือความตื่นเต้นในชีวิต บางคนบูชาความสุข ความสงบ ซึ่งการที่เราวางอะไรไว้ในวิหารของเรานั้น ย่อมส่งผลต่อ ความคิด มุมมอง การใช้ชีวิตของเราด้วย ถ้าเขามีเงินตราหรือกามารสบรรจุไว้ในวิหาร ย่อมส่งผลให้เขากลายเป็นคนที่แสวงหาสิ่งเหล่านี้ไม่มีที่สิ้นสุด หรือถ้าเขาเป็นคนจิตใจไม่หนักแน่น เขาก็อาจเผลอปล่อยให้สิ่งรอบตัว เช่น สิ่งหลอกลวงที่เห็นในทีวี โฆษณา ค่านิยมผิดๆ หรือสิ่งชั่วร้าย เข้ามาครอบงำเขาได้เหมือนกัน ตอนที่อ.เสกสรรค์ต้องจับปืน เข้าป่า เป็นฝ่ายซ้าย ยอมใช้ชีวิตที่ยากลำบากนั้น ก็เพราะอ.มีบางสิ่งบางอย่างที่ยึดถืออยู่ในใจ จุดเปลี่ยนของชีวิตอ. คือ เมื่ออ.ยอมแพ้ ออกจากป่า เข้ามามอบตัวกับรัฐบาลเพราะพบว่าพรรคคอมมิวนิสต์ที่ตัวเอง-มีปัญหาอยู่ และพบว่าการกระทำของตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างที่คิดซะแล้ว ความรู้สึกที่ขมขื่นมากกว่า การพ่ายแพ้ ก็คือ การที่ได้พบว่า สิ่งที่อยู่ในวิหารของเราหายไปแล้ว แม้อ.จะพยายามหาสิ่งอื่นมาทำ ไปเรียนต่อ เข้าป่า ตกปลา แต่ก็ไม่สามารถหาสิ่งที่มาใส่ในแท่นบูชาของวิหารนั้นให้เต็มได้อีกต่อไป บางที สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่า การไล่ล่าความฝันไม่สำเร็จ ก็คือ การที่พบว่า เราไม่เหลือสิ่งใดให้เราไล่ล่าเลยต่างหาก หนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมคิดถึงสภาวะปัจจุบันของตัวเอง ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตอย่างวันๆ จบวันนึงเพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อไปอีกวันนึง ถึงแม้จะรู้ดีว่า วันต่อไปต้องทำอย่างไร ปีหน้ามีโครงการจะไปไหนต่อ แต่ถ้าถามถึงภาพรวมใหญ่ หรือถ้ามีคนถามถึงความฝันที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตคืออะไร เขามักจะได้รอยยิ้มของผมแทนคำตอบ วิธีการที่จะหลุดพ้นไปจากสภาพนี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ เพราะการหาสิ่งที่มาใส่วิหาร ถึงเราจะเอาของอะไรมาใส่ให้เต็ม แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราคิดจะบูชาจริงๆ ผลสุดท้าย นอกจากจะเป็นการหลอกตัวเองแล้ว วิหารที่ใส่แต่สิ่งจอมปลอมย่อมส่งผลให้ความศักดิ์สิทธิ์ของมันลดลงไปเรื่อยๆ ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่รู้จะหลบเลี่ยงจากสภาวะนี้อย่างไร แต่ถ้าคิดให้ดี สภาวะนี้เป็นสภาวะที่ไม่ดีจริงๆ หรือ
"ความฝันน่ะตัวร้าย..." คำพูดของอ.ในหนังสือ วันที่ถอดหมวก หนังสือในยุคหลังๆ ของแกทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้ง บางที การทุ่มเทให้กับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไป ถ้าวันนึงเกิดเหตุสุดวิสัย ทำให้สิ่งที่เราบูชาเกิดหายไปจากวิหาร จนเราทำอะไรไม่ถูก กลายเป็นคนที่พร่ำเพ้อโหยหาแต่สิ่งในวิหารที่หายไป เที่ยวหาสิ่งดีบ้างแย่บ้างมาถมใส่วิหารเพื่อให้วิหารของเราเต็มไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน จนทำให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นคนหลงทางทางจิตวิญญาณ ซึ่งแทนที่การมีวิหารจะเป็นเรื่องดี มันกลับส่งผลให้คนคนนั้นกลับยิ่งทุกข์ตรมมากขึ้น ชีวิตคนเราจำเป็นต้องมี ความฝัน ถึงขนาดนั้นหรือ ใช่จะบอกว่า คนเราไม่ควรมีความฝัน แน่นอนว่า ความฝันคือสิ่งที่ทำให้โลกนี้หมุนต่อไปได้ แต่ถ้าเรามัวหมกมุ่นอยู่กับความฝันมากเกินไป คิดแต่ว่า ฉันจะต้องไล่ตามความฝันให้ได้จนหลงลืมทอดทิ้งสิ่งที่สำคัญในชีวิตอื่นๆ ล่ะก็ ความฝันก็ไม่ต่างกับดาบสองคม ที่หลายๆ ครั้ง ด้านคมของมันย้อนกลับมาบาดคอผู้ใช้อยู่บ่อยๆ บางทีการที่เราไม่มีความฝัน อาจจะเป็นเรื่องดีกว่าที่คิดไว้ก็ได้
7 ปีหลัง วิหารที่ว่างเปล่า อาจารย์ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มนึง ชื่อว่า "ผ่านพ้นจึงค้นพบ" ซึ่งในเล่มเป็นการรวมบทความที่อ.เขียนถึงผลงานเก่าๆ ของตัวเองและเป็นการมองผลงานเก่าๆ ในมุมมองปัจจุบันของแก ในบทความชื่อ "ความว่างเปล่าที่ลึกล้ำ" อ.เสกสรรค์ได้เขียนถึง แนวคิดวิหารที่ว่างเปล่า ว่า บางที เราคิดว่า วิหารของเรานั้น ว่างเปล่า แต่สิ่งที่มันว่างเปล่าจริงๆ คือ ตัววิหารเอง ต่างหาก
ธรรมชาติ ชีวิตคนเราเกิดมาเป็นอนัตตา การที่เราไปยึดมั่นถือมั่นกับอะไรบางอย่าง อาจจะทำให้ทุกข์โดยใช่เหตุ สู้ทำใจให้สบาย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ดีกว่าหรือ...
ถ่ายที่เมืองฮอยอัน เวียดนาม
25 ตค. 2551 ถ่ายโดยคุณ Calcium Kid
Free TextEditor
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2551 5:58:03 น. |
|
11 comments
|
Counter : 2919 Pageviews. |
|
|
คงน่าสนุกน่าดู