ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
1 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
+-+-+-+-+-+ ความหวั่นไหวต่อสิ่งรอบกายมากเกินไป คือ ความอ่อนแอของข้าพเจ้า+-+-+-+-+-+

ความหวั่นไหวต่อสิ่งรอบกายมากเกินไป คือ ความอ่อนแอของข้าพเจ้า





ฝนเริ่มซาลงแล้ว ผมจุดบุหรี่มวนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
ผมจำไม่ได้แล้วว่า เปิดเพลงนั้นฟังเป็นรอบที่เท่าไร
รู้แต่ว่า ผมเปิดมันทั้งวันทั้งคืน เปิดจนผมจำได้ทุกจังหวะการออกเสียง จังหวะดนตรีทุกตัวโน้ต
จนเหมือนว่าเพลงนั้นมันกลายไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวผมไปแล้ว
เป็นความรู้สึกเดียวกับที่เสื้อผ้าที่มนุษย์เราได้กลายเป็นหนึ่งอันเดียวกับร่างกายของเรา และเงินทองกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับจุดหมายในชีวิตของใครหลายๆ คนไปแล้ว

บทเพลงนั้น เป็นเพลงที่ดังขึ้นมาในช่วงวินาทีแรกที่ผมเจอกับเธอ

ช่วงขณะนั้น ผมนั่งกินเหล้าอยู่คนเดียวที่ตรงเคาน์เตอร์ของบาร์เงียบๆ ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่าการร่ำสุรากับมิตรสหายนั้น ทำให้สุรานั้นอร่อยขึ้นกว่าเดิมก็จริง
แต่ในบางบรรยากาศและบางอารมณ์ การร่ำสุราเงียบๆ คนเดียว กลับยิ่งอร่อยกว่าการที่ต้องมีคนอื่นมานั่งโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างๆ

"ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ" เสียงนั้น ทำให้ผมตื่นจากภวังค์แห่งจิตของตน
"เชิญครับ"
"ขอบคุณค่ะ"

หญิงสาวคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม แม้หน้าตาเธอจะไม่ถึงขั้นสวยจนทำให้คนที่เห็นเธอตะลึง แต่เธอกลับมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผมอยากมองเธอไม่หยุด และเลี่ยงสายตากลับมาไม่ได้แม้แต่ในช่วงเวลาที่เธอมองกลับมา

"มาคนเดียวหรือครับ"
"ใช่ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ"
"เหมือนจะใจตรงกับคุณครับ ผมมาคนเดียวเหมือนกัน"
"ถ้าคิดแบบนั้น คืนนี้ก็คงมีคนที่ใจตรงกับเราอีกหลายล้านชีวิตนะคะ"
"นั่นน่ะสิครับ จะว่าไป ผมขออนุญาตเลี้ยงเหล้าคุณได้ไหมครับ"
"เนื่องในโอกาสอะไรคะ"
"คุณเป็นผู้หญิงที่มีริมฝีปากที่สวยที่สุด เท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย มันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไร นอกเหนือจากสุราที่ผมพอมีอยู่ในตอนนี้เล็กน้อย"
"ฉันไม่ใช่หญิงสาวในนิยายของมูราคามินะคะ ที่จะมีผู้ชายคนไหนมาหลงไหลที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของฉัน แต่ถึงอย่างไร ก็ขอบคุณค่ะ"
"ยินดีครับ"
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
ผมละสายตาจากเธอ มองน้ำสีอำพันในแก้ว
ราตรีนี้ท่าจะนานกว่าที่คิด

ค่ำคืนนั้น
เธอกับผมกอดจูบลูบไล้กายกันอย่างยาวนาน
ราวกับว่าพรุ่งนี้โลกนี้จะถึงคราวสูญสลาย
ราวกับว่าผมกับเธอไม่เคยได้รับรู้ถึงรอยจูบมาก่อนในชีวิต
ราวกับว่าผมและเธอจะไม่สามารถรักใครได้มากกว่านี้อีกแล้ว...





สุราหมดไปแล้ว แต่ความผูกพันระหว่างเรายังไม่หมดสิ้น
เรามีมุมมองต่อโลก ต่อสังคม ต่อศิลปะ หนังสือ ภาพยนตร์ มนุษย์ และเรื่องอื่นๆ คล้ายกันอย่างเหลือเชื่อ และต่างก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกันอย่างไม่มีเบื่อ
ผมกับเธอนัดเจอกันทุกวัน เริ่มต้นจากในบาร์แล้วจบลงที่ห้องนอนของผม เป็นกิจวัตรที่หมุนเวียนไปซ้ำๆ แบบเหมือนเดิมและแน่นอน
จนบางครั้งก็ทำให้ผมทึกทักเอาว่า เหตุการณ์เหล่านี้ นี้คือ สัจธรรมที่แน่นอนของชีวิต ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ต่างกับที่ตะวันย่อมขึ้นตรงทิศตะวันออก และดวงจันทร์ย่อมมีข้างขึ้นและข้างแรมเสมอ

"ความหวั่นไหวต่อสิ่งรอบกายมากเกินไป คือ ความอ่อนแอของข้าพเจ้า"
เธอพลิกสมุดบันทึกของผมไปที่หน้าแรก แล้วเห็นลายมือของผมเขียนประโยคนี้เป็นตัวใหญ่ชัดเจนอยู่ที่หน้าแรกของสมุดเล่มนั้น
"แปลว่าอะไรหรือคะ"
"เป็นสิ่งที่มีคนเคยบอกเกี่ยวกับตัวผมมา แล้วมันก็มันติดค้างอยู่ในหัวผมอยู่เสมอ จนพอผมคิดจะเขียนนิยายสักเล่ม ผมจึงเอาคำคำนี้มาใช้เป็นชื่อนิยายเสียเลย"
"อยากอ่านจังเลยค่ะ มีให้ฉันยืมสักเล่มไหม"
"ไม่มีใครในโลกนี้มีครับ เพราะผ่านมาหลายปีแล้ว ผมยังไม่สามารถเขียนนิยายเล่มนี้ให้จบได้เลย"
"ช่างเป็นความน่าเศร้าเหลือทนของชีวิตจริงๆ" เธอรำพึงเบาๆ
"นั่นน่ะสิ"
"ความหวั่นไหวต่อสิ่งรอบกายมากเกินไป เป็นความอ่อนแอของคุณ เพียงอย่างเดียวหรือคะ แล้วอย่างอื่นล่ะ" เธอถามยิ้มๆ ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน
"ไม่รู้สิ" ผมหยุดคิด "อีกสิ่งหนึ่งที่คนอื่นมักจะบอกผม นั่นคือ ผมเป็นคนที่มีความเลินเล่อ หรือความหยาบกระด้างในการสานความสัมพันธ์อยู่สูง ด้วยเหตุนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับคนที่ผมรู้จักทุกคน ล้วนแต่เปราะบาง และแตกสลายง่ายกว่าที่คาดหวังไว้ทุกครั้ง"
"ความสัมพันธ์ก็เหมือนแก้ว หากคุณถือไม่ระวังมือ สักวันก็ย่อมแตกร้าว เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเรา ก็ใช่ว่าจะอยู่ยั่งยืนเสมอไป"
"งั้นผมสัญญา ว่าจะระวังไม่ให้มันตกแตกแล้วกัน"
"ระวังไว้ให้ดี เพราะส่วนใหญ่แก้วที่แตก มักไม่ได้เกิดจากมีใครทำตกแตกหรอก แต่แก้วมันโดนบีบให้ร้าวคามือมากกว่า"
"ช่างเป็นความน่าเศร้าเหลือทนของชีวิตจริงๆ" ผมตอบกลับไป

ทุกวัน ทุกคืน ไม่มีตอนไหนที่ผมไม่ได้เห็นหน้าเธอ
เป็นเพราะเธอทำให้ผมหยิบปากกาขึ้นอีกครั้ง หยิบมันมาเขียนนิยาย เขียนจดหมาย และเขียนทุกอย่างที่ผมเคยถอดใจทิ้งมันไปแล้วด้วยเหตุผลที่ไม่ไ้ด้มีอะไรมากไปกว่า ขี้เกียจเขียน
มีบางคนเคยกล่าวว่า การจะสร้างงานสร้างสรรค์ซักอย่าง จำเป็นต้องได้รับแรงบันดาลใจ ซึ่งสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดความงามขึ้นในจิตใจ ถือเป็นการเติม passion ให้การทำงาน
หากไม่เป็นเพราะเธอ ผมก็ไม่รู้ว่า จะสามารถหา passion นี้มาจากไหน

ผมดับบุหรี่ในขณะที่ผมเคาะแป้นพิมพ์ตัวสุดท้ายจบลง
เธอสังเกตเห็นสีหน้าของผมที่ดูผิดปกติไป จึงเอ่ยปากถามขึ้นมา
"เกิดอะไรขึ้นหรือคะ"
"ผมเพิ่งเขียนนิยายเล่มที่ค้างไว้เกิน 3 ปีจบลง ผมทำสำเร็จแล้ว ในที่สุดสิ่งที่จะติดค้างในใจเวลาผมตาย ก็หายไปอีกเรื่องแล้ว"
"ยินดีด้วยค่ะ ขอฉันอ่านมันเป็นคนแรกได้ไหม"
"ไม่ได้" ผมตอบ "เพราะผมอ่านจบเป็นคนแรกไปแล้ว งั้นคุณเป็นคนอ่านคนที่สองแทนก็แล้วกัน"
"ถ้าไม่สนุก ฉันไม่อ่านต่อนะ โยนทิ้งทันที"
"ได้เลย"
ผมผลอยหลับไปในเวลาไม่นานด้วยความอ่อนเพลีย
คืนนั้นผมจำความฝันตัวเองไม่ได้ จำได้เพียงว่า มันเป็นความฝันที่ดีที่สุดครั้งนึงในชีวิตเลยทีเดียว





เช้าวันนั้น ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ไม่พบอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า
อันที่จริงแล้ว รอบกายผมมีแต่ความว่างเปล่า
เธอคนนั้น สิ่งของของเธอ ร่องรอยที่บอกให้รู้ว่าเคยมีเธอ หายไปหมดสิ้น

ผมระเบิดความเศร้าอย่างรุนแรง อย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต

ผมทบทวนความทรงจำที่เกี่ยวกับตัวเธอ
เธอไม่เคยแนะนำให้ผมรู้จักเพื่อนหรือครอบครัวของเธอ ผมไม่รู้จักที่ทำงานเธอ บ้านเธอ พี่น้องเธอ แน่นอนว่า ชื่อที่เธอบอกผมก็เป็นชื่อปลอม
ถ้าผมไม่เคยสัมผัสตัวเธอมาก่อน ผมอาจจะคิดว่าเธอเป็นวิญญาณที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาแล้วจากไป เพราะไม่เหลือร่องรอยที่บอกว่าเธอมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ไว้เลย
ผมเฝ้าตามหาเธอ ในทุกที่ที่เราเคยไป ในทุกแห่งที่เราเคยมีความสุขด้วยกัน เหมือนเป็นคนที่ไล่เก็บความทรงจำของตัวเองมาปะติดปะต่อ

สุดท้าย สิ่งที่ผมพบเจอก็ยังคงเป็นความว่างเปล่า
แต่น่าแปลกที่ ความทรงจำที่ทำให้ผมนั้นปวดร้าว จากเลือนลางกลับแจ่มชัดขึ้น ภาพเธอนั้นชัดเจนราวกับมีตัวตน รอยจูบในอากาศยังคงได้รสชาติเหมือนดั่งจูบริมฝีปากคู่แดงคู่นั้นจริงๆ
เมื่อรู้สึกตัวว่า ตัวเองกลายเป็นคนหลงใหลในเงาจากอากาศธาตุไปแล้ว ผมจึงตัดสินใจหยุดค้นหาทุกอย่าง แล้วใช้สุราเ็ป็นเครื่องมือช่วยให้ลืมเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่บรรทัดแรกข้างบนสุดจนถึงบรรทัดนี้ไปให้หมดสิ้น





เวลาผ่านไป ในวันที่ความทรงจำหลายๆ อย่างจืดจางกลายเป็นสีซีดเทา ผมได้บังเอิญเดินสวนกับเธออีกครั้ง

“คุณ” ผมตะโกนเรียกเธอไป
"คะ" เธอเดินย้อนกลับมาหาผม
“ผอมลงนะคะ” เธอทักทายกลับมา สีหน้าแววตาของเธอยังคงนิ่งเฉย ราวกับว่า เราเพิ่งจากกันไปไม่กี่วัน
“คือ...” ผมถามทุกคำถามที่อยากรู้ บอกทุกคำที่อยากบอก
ผมบอกเธอว่าชีวิตผมหลังจากนั้นพังทลายอย่างไร
ผมบอกเธอว่า นานแค่ไหนที่ผมไม่ได้สานสัมพันธ์จริงจังกับใครอีกเลย
ผมบอกเธอว่า ผมเอานิยายที่ผมเขียนเสร็จคราวนั้น โยนลงบนกองไฟ เพราะรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เมื่อคนที่เป็นคนช่วยให้ผมเขียนมันเสร็จเพราะไม่อยู่ชื่นชม
ผมบอกเธอว่า หลังจากนั้น ผมไม่สามารถหยิบจับปากกา ขึ้นมาเขียนอะไรได้อีกเลย

เธอรับฟังด้วยอาการนิ่งเฉยเป็นเวลานาน
“สักวันคุณก็จะรู้คำตอบที่คุณอยากรู้เอง” เธอตอบมา 1 ประโยคหลังจากเงียบไปนาน
"สักวันที่คุณบอก มันอีกนานแค่ไหน"
“แล้วเจอกันนะคะ” เธอเดินจากไป
น่าแปลกที่ผมไม่ได้ทำแม้แต่เหนี่ยวรั้งหรือสะกดรอยตามเธอ
ถึงตอนนี้ ภาพของเธอเลือนหายไปกับฝูงชนแล้ว

ผมกลับมาที่ห้องนอน เปิดเพลงนั้นขึ้นมาฟังอีกครั้งซ้ำไปซ้ำมา เพลงนั้นดังคงก้องอยู่ในหู จนเหมือนว่าเพลงนั้นมันกลายไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวผมไปแล้ว
เป็นความรู้สึกเดียวกับที่เสื้อผ้าที่มนุษย์เราได้กลายเป็นหนึ่งอันเดียวกับร่างกายของเรา เงินทองกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับจุดหมายในชีวิตของใครหลายๆ คนไปแล้ว
และสัมผัสจากกายเธอก็ยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสัมผัสที่มือของผมอย่างไม่มีทางลบออก

ผมหลับตาลงอีกครั้ง





หมายเหตุ – ภาพทั้งหมดมาจากภาพยนตร์เรื่อง In the Mood for Love ของหว่องการ์ไว
ชื่อเรื่องสั้น และการใช้รูปภาพได้รับแรงบันดาลใจมาจากบลอกของคุณ etatdedroit ขอได้รับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้



Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 7:47:05 น. 12 comments
Counter : 3257 Pageviews.

 
อ่านจนจบ แต่สะดุดอยู่คำนึงแน่ๆ>>เปิดเพลงนั้นฟังเป็นรอบที่เท่าไร

555555555555

เราคงมีอาการเดียวกันอะ


โดย: หมาน้อยจุดเทา วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:7:25:48 น.  

 
ช่วงนี้ จขบ.งานเข้าค่อนข้างมาก
ทำให้บทความ 40 หนังแห่งทศวรรษ และเที่ยวเชียงราย ตอน 3 อาจจะต้องรอสักพัก (มีหลายคนเข้าใจว่า เลิกเขียนไปแล้ว)แต่ขอรับรองว่า ไม่นานเกินคอยครับ


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:7:39:47 น.  

 
อ่านจบแล้ว :)

บางครั้ง สองใจมันก็ไม่ตรงกัน สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในหนึ่งใจ อาจไม่ได้มีความหมายอะไรในอีกใจเลย...


โดย: TigerFaii IP: 150.135.210.24 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:24:15 น.  

 
อ่านแล้วเศร้าจัง


โดย: ซซ วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:04:37 น.  

 
เจ็บปวด T_T

แต่อีกแง่มันก็งดงามดีครับ


โดย: Seam - C IP: 203.144.144.164 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:02:35 น.  

 
ผมลุ้นไม่ให้หักมุม


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:28:31 น.  

 
หวังว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่ใช่จินตนาการถึงคุณคำ ผกานะครับ ^ ^

อีโรติค เอ๊ย โรแมนติคดีครับ อ่านแล้วทำให้ผมรู้สึกอยากเขียนอะไรแบบนี้บ้าง ไว้ลองดูดีกว่า


โดย: แฟนผมฯ IP: 142.103.23.32, 202.134.119.218 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:53:11 น.  

 
เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ ชื่อหัวข้อก็น่าสนใจ


โดย: sawkitty วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:21:40 น.  

 
“สักวันคุณก็จะรู้คำตอบที่คุณอยากรู้เอง” เป็นการทิ้งท้ายที่ชวนคิดต่อมากๆ

อยากรู้ว่าจินตนาการถึงเพลงอะไร เพลงที่เปิดซ้ำไปซ้ำมาเนี่ยครับ


โดย: เอกเช้า IP: 203.144.144.164 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:22:40:10 น.  

 
พ่อหนุ่มโรแมนติก


โดย: calcium_kid วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:2:27:21 น.  

 
^
^
น้องเอกสงสัยเหมือนผมเลย ตอนอ่านผมนึกไปถึงเพลงของเติ้งลี่เจวิน เพลงที่เปิดอยูในเถียนมี่มี่ตอนจบ


โดย: แฟนผมฯ IP: 142.103.23.32, 202.134.119.218 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:54:11 น.  

 
บล็อกนี้ก็ทำให้คนอ่านหวั่นไหวได้ง่ายๆ นะเนี่ย
^^


โดย: I am just fine^^ วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:31:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.