เห็นชื่อ มิสสยาม ก็เหมาเอาเองว่าหมายถึง นางสาวศรีสยาม ในละครดัง แต่แท้จริงแล้ว มิสสยาม เป็นชื่อของสายพันธุ์ดอกบัวที่ชนะเลิศการประกวดดอกบัวมาจากต่างแดน แต่จะบอกว่าหมายถึง สาวสยาม ก็คงได้ และหนึ่งในเสน่ห์ของสาวสยามก็คือเสน่ห์ปลายจวักในเรื่องปรุงอาหารนี่แหละ จึงกลายเป็นที่มาของห้องอาหารนี้
เชฟไพโรจน์ ประไพรักษ์ เล่าถึงจุดเด่นของมิสสยามว่าอยู่ที่กลิ่นอายของอาหารไทยดั้งเดิมและอาหารตามฤดูกาล สมัยก่อนเมื่อจะปรุงอาหารคงไม่มีเชฟที่คิดไว้ก่อนว่าวันนี้จะทำอะไร แต่จะไปดูว่าวันนั้นมีวัตถุดิบอะไรในตลาด แล้วจึงคิดเมนูอาหาร อาหารของมิสสยามก็เช่นกันที่คัดเอาผักและเนื้อสัตว์ในฤดูกาลนั้นๆ มาใช้
อาหารไทยจานเด่นที่ขึ้นชื่อต้องยกให้ประทัดลม อาหารกินเล่นไทยๆ ในสมัยก่อนใช้ฟองเต้าหู้ห่อกุ้งทั้งตัวที่หมักมาแล้ว แต่สูตรนี้ใช้แผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะ พันด้วยมี่สั้วแล้วทอด สะเต๊ะสามอนงค์ อร่อยด้วยวิธีการหมักเฉพาะของมิสสยามจนเนื้อนุ่ม มีให้เลือกทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อไก่ น้ำพริกกะปิกับปลาทู รสจัดจ้าน ทั้งยังเติมความหอมหวานในน้ำพริกด้วยน้ำส้มเขียวหวานที่ให้รสเปรี้ยวอมหวานแทนน้ำมะนาว กะปิก็หอมด้วยการนำไปห่อใบตองแล้วย่าง
มากันที่จานหลัก พะแนงแกะกับลำไย ใช้ลำไยเพิ่มรสหวานตามธรรมชาติกับเนื้อแกะหมักเครื่องเทศ นอกจากนี้ยังนำผลไม้หลายอย่างปรุงกับอาหารไทยด้วย เช่น ยำเนื้อย่างองุ่น และปลากะพงทอดราดพริกสามรส ใช้น้ำและเนื้อสับปะรดมาเติมรสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ ในซอส จบด้วยขนมหวาน มะม่วงลอยแก้ว มะม่วงน้ำดอกไม้ดิบปอกเปลือกแช่น้ำเกลือแล้วล้างออก ก่อนใส่ในน้ำเชื่อมลอยดอกมะลิไว้ข้ามคืน เมนูนี้รสชาติแปลก แต่อร่อยเหมือนกินมะม่วงสุกที่ยังกรอบ รสไม่หวานจัด
พิเศษ! สำหรับลูกค้าจากนิตยสาร Gourmet & Cuisine ทางมิสสยามยินดีลดให้ 15% จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2556 นี้