อาจจะคุ้นเคยกับเตาโรบาทา ที่ใช้ปิ้งย่างตามแบบอาหารญี่ปุ่น แต่สำหรับร้านอาหารสไตล์โรบาทายากิแล้วก็คงต้องยกให้ Akanoya Robatayaki หรือ ร้านปิ้งย่างในบ้านสีแดง ซึ่งให้บริการเป็นร้านแรกในเมืองไทย
ทำความรู้จักกับ เตาโรบาทา ซึ่งมีต้นกำเนิดจากชาวประมงแถบฮอกไกโด ที่ใช้เตาไฟชุมชนอิรอริ (Irori) สำหรับปรุงอาหารและให้ความอบอุ่น โดยชาวประมงจะนำปลาและอาหารทะเลที่จับได้มาย่างบนเตาไฟด้วยไม้พาย ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ร้านโรบาทายากินิยมใช้เพื่อเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า
Akanoya เองก็จำลองบรรยากาศของร้านสไตล์นี้มาจนน่านั่ง ภายในร้านตกแต่งง่ายๆ ด้วยเคาน์เตอร์ไม้ล้อมรอบตัวเชฟ ซึ่งคอยปรุงรสและย่างอาหารบนเตาโรบาทาก่อนเสิร์ฟอาหารด้วยไม้พายให้ลูกค้า ส่วนด้านหน้าของลูกค้าก็มีวัตถุดิบตามฤดูกาลที่หมุนเวียนให้เลือกว่าต้องการกินอะไร ความสนุกอยู่ที่การเดาใจเชฟว่าจะปรุงอะไรให้เรากิน เนื่องจากที่นี่ไม่มีเมนูอาหาร
เชฟยั่วน้ำลายด้วย Mizuna Salad สลัดจานนี้กินแล้วสดชื่น เพราะแทบไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวของมิสึนะ (ผักใบเขียวคล้ายผักร็อกเก็ต) แถมได้รสเปรี้ยวหวานของมะเขือเทศโอโรชิจากฮอกไกโด ราดด้วยน้ำสลัดรสเปรี้ยวอีกที
จากนั้นเชฟก็เริ่มยื่นไม้พายเสิร์ฟอาหารกระหน่ำมาเรื่อยๆ Tsukune ไก่บดปั้นย่างแล้วกินกับไข่ออนเซ็น Butabara หมูสามชั้นย่าง Omigyu เนื้อโอมิวากิวแทรกด้วยไขมัน กินแกล้มกับหน่อไม้ฝรั่งฮอกไกโดต้นอวบย่าง โรยด้วยเกลือ และห้ามพลาด Kinki ปลาคินกิ หรือปลาแดงทะเลน้ำลึก ย่างสุกพอมีมันชุ่มๆ เนื้อปลาหวานตัดกับรสเค็มของเกลือ ปิดท้ายด้วย Jyagaimo มันฝรั่งนึ่งแล้วย่าง วางด้วยเนย ทั้งอร่อย ทั้งหอมมัน
มาถึงจานสุดท้ายที่คนญี่ปุ่นมักจะสั่งหลังกินอาหารปิ้งย่าง ก็คือ Kani Seromushi ข้าวอบหน้าปูทาราบะ อร่อยจนลืมอิ่มด้วยรสหวานของเหล้าและซอสที่ทำจากน้ำสต๊อกปลา
อยากรู้ว่า โรบาทายากิ เป็นอย่างไร คงต้องไปลองชิมด้วยตัวเองที่สุขุมวิท ซอย 49 เปิดบริการตั้งแต่เวลา 18.00-24.00 น. ราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 300-3,000 บาท แล้วแต่ความชื่นชอบของแต่ละคน สามารถติดต่อจองโต๊ะล่วงหน้าที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2662-4237