เป็นร้านที่รวมบรรยากาศหลากหลายอารมณ์ของทุกมุมโลก แต่ทว่ากลับผสมอยู่กันอย่างกลมกล่อมเก๋ไก๋..!! เมื่อตอนตะวันสาดแสงแดดลงไป บรรยากาศร้านก็สว่างสวยสดใสทันที พอตอนตะวันหมดแรงซ่า แสงสีที่ออกมาก็วูบไหวให้อารมณ์งดงาม เคลิบเคลิ้มไปอีกแบบ

คู่มือคนเมืองไทยรัฐออนไลน์สัปดาห์นี้พาไป Park 9 Serviced Residence ถนนศรีนครินทร์ หลัง พาราไดซ์พาร์ค ใกล้สวนหลวง ร.9 พิสูจน์ความเจ๋ง 'Eat Drink Love' ร้านที่ถ้ารู้จัก เชื่อว่าจะตกหลุมรักเหมือนกับเราทันที คอนเฟิร์ม

จุดเริ่มต้นของ Eat Drink Love...!

บอย ชัชวาลย์ ชนิกานันท์ ซอมเมริเย่ หรือนักชิมไวน์ อีกทั้งยังเป็นนักทำอาหารผู้มีประสบการณ์ทางร้านอาหารมาหลายสิบปี หนึ่งในหุ้นส่วนร้านแห่งนี้ บอกว่า เป็นการร่วมตัวของหุ้น 4 คนได้แก่ กิตติ นฤขัตพิชัย ทวีศักดิ์ เลาห์ขจร ปริณดา นฤขัตพิชัย และบอย ชัชวาลย์ ชนิกานันท์ ที่นอกจากจะประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วยังเป็นนักเดินทางตัวจริงที่เที่ยวตระเวนไปต่างประเทศเพื่อไปหาของอร่อยๆ ไปเที่ยวชม Art Gallery ไปสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกมากมาย เพราะคิดว่า

"การท่องเที่ยวที่ให้ความสุขที่สุด คือตอนที่เราใช้ชีวิตได้มากที่สุด เดินทางไปตอนที่เราเดินได้ไกลที่สุด ตอนที่เราสายตาดีที่สุด" จึงนำประสบการณ์ต่างๆ ที่ไปเห็น ไปลองมารวมเป็น Eat Drink Love  โดยนำเสนออาหารตามแนว ความคิด “Modern comfort bistro’’ ซึ่งเป็นนิยามของการปรุงอาหารโดยใช้วัตถุดิบและเทคนิคใหม่ๆ ผสมผสานกับอาหารพื้นบ้านจานโปรดของแต่ละต้นกำเนิดที่ถูกคัดสรรเข้ามาอยู่บนจานอาหารของเราในแบบร้านอาหารในกรุงปารีสที่แสนจะเก๋ โดยเน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก

“Eat Drink Love ชื่อนี้มาจากตอนที่เราเจอแล้วมีเด็กคนหนึ่งใส่เสื้อยืดเก๋มาก สกีนคำว่า eat drink and be merry คือ ได้กินได้ดื่มแล้วมีความสุข เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำคือการให้ความสุขในการดื่ม ในการกิน เพราะฉะนั้นเราจะเน้นเรื่องการดื่มและการกินเป็นพิเศษ แน่นอนแล้วเรื่องความรักมันจะตามมาเอง เป็นความรักที่ไม่ใช่รักชู้สาว รักในมิตรภาพของเพื่อน ผู้ร่วมงาน และครอบครัว ให้พวกเขาได้มีความสุขในการกินกับดื่มสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา มันจะเป็นที่มาที่ไปของคำว่า eat drink love  หนึ่งในหุ้นส่วนร้านระบุ

เก๋ไก๋ การตกแต่งร้าน

รู้ที่มาแล้วก่อนจะทดสอบความอร่อยของอาหารจาดเด็ด มาดูอีกหนึ่งไฮไลต์ในการตกแต่งร้านที่แสนเก๋ของ Eat Drink Love โดยเริ่มจากความเท่ตั้งแต่เลี้ยวรถเข้ามา อดนึกไม่ว่าที่นี่เป็นรีสอร์ตแสนหรู แถวเขาใหญ่ เพราะความเขียวของแมกไม้นานาพรรณให้ความร่มรื่น บอย เล่าว่า ร้านนี้ ดีไซเนอร์ที่ออกแบบใช้เวลา 6 เดือน และก่อสร้างอีก 8 เดือน โดยคอนเซปต์อยากให้มีแต่ละมุมของร้านมีบรรยากาศของทั่วโลกมาอยู่รวมกัน ซึ่งมาลงตัวที่สไตล์ “คอปเพทโทรารี่” มีไม้มาครอบคลุม เนื่องจากการมีหินมากๆ จะทำร้านดูแข็ง ไม้จึงมาเบรกพร้อมให้ความอบอุ่น ที่สำคัญด้านนอกเราเน้นให้มีพื้นที่สีเขียวรอบๆ ดังนั้นตัวร้านจึงจำเป็นต้องใส่กระจกเพื่อที่จะให้มันโปร่งที่สุดและเห็นความเขียวได้ทุกมุม

"หลายคนก็บอกว่าหลุดเขามาที่นี่นึกว่าอยู่รีสอร์ตต่างจังหวัด..." บอยยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า Eat Drink Love แบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 โซน 1.เอาต์ดอร์ สามารถพาสุนัขเข้ามานั่งพักผ่อนได้ โซน 2 และโซน 3 เป็น The Dining Room หรือห้องรับประทานอาหาร มีการเล่นดนตรีสบายๆ

"สำหรับเรื่องของสไตล์อาหาร ผมจำกัดความให้กับลูกค้าใหม่เลย เรียกว่า“Modern comfort bistro’’ เป็นนิยามของการปรุงอาหารโดยใช้วัตถุดิบและเทคนิคใหม่ ๆ ผสมผสานกับอาหารพื้นบ้านจานโปรดของแต่ละต้นกำเนิดที่ถูกคัดสรรเข้ามาอยู่บนจานอาหารของเราในแบบร้านอาหารในกรุงปารีสที่แสนจะเก๋ โดยเน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก โดยอาหารประยุกต์จากพื้นๆ มาเป็นแนวร่วมทันสมัย เมนูต่างๆ เราจะครีเอตมาจากความต้องการบวกความชื่นชอบของแต่ละคนว่าเป็นแบบไหน เช่น คุณอยู่ปารีส คุณชอบอาหารอาหารอะไรแล้วเอามารวมๆ กัน เริ่มแรกเขียนออกมาแล้วก็กว่า 100 เมนูจาก 3 ชาติ ได้แก่ไทย อิตาลี ฝรั่งเศส โดยตัดให้เพียงเหลือ 50 เมนู โดยจะมีการเปลี่ยนเมนู 20% ทุก 4 เดือนเพื่อความหลายหลาก อีกทั้งเรายังมีเมนูครัวหลังอีกเป็นอาหารไทยแท้ๆ ที่รสชาติจัดจ้านไว้เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ด้วย"

ทดสอบความอร่อย : สุดยอดเมนูแกล้มไวน์

ได้เวลาททดสอบเมนูร้านแห่งนี้ว่าหน้าตาสวย รสชาติอร่อยจริงสมคำร่ำลือหรือเปล่า

เมนู : กะเพราเนื้อ Australian ริบอาย ส่วนประกอบ เนื้อริบอาย 200 กรัม หั่นหนาประมาณ ½ นิ้ว ผัดกับกระเทียม พริกขี้หนูให้เนื้อสุกแค่ปานกลาง (medium) แล้วใส่ใบกะเพรากับเหล้าจีน

ทดสอบ : ดูจากชื่อแล้วหลายคนอาจจะเฉยๆ แต่สำหรับคนชอบกินผัดกะเพราหรือเป็นกะเพราเลิฟเวอร์ เมนูนี้เรียกได้ว่าอร่อยแบบเซียนเหยียบเมฆเลยทีเดียว ด้วยรสชาติที่เผ็ดได้มาตรฐานอมหวานที่ไม่ได้มาจากส่วนผสมที่ลงตัว แถมยังได้รสชาติของเนื้อริบอายที่ติดมันนิดๆ (สวรรค์สำหรับคนกินเนื้อ ส่วนคนไม่กินเนื้อกะเพราะหมู ไก่ หรือแนะนำให้ลองกะเพาทะเลก็เจ๋งมากมาย) พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเหล้าจีน ที่สำคัญเนื้อที่ผัดออกมามันจะแห้งนิดๆ และเนื้อหนานุ่ม เป็นอีกหนึ่งเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา อยากให้ลองชิม

เมนู : ซีซ่าร์สลัด กับผักปลอดสารพิษ

ทดสอบ : เห็นหน้าตาสีสันสดใส ชนิดให้หน้าตาผ่านอย่างไม่ต้องเข้าสภาเพื่อขอเสียงโหวตอะไร ที่สำคัญพอรู้ว่าผักสดที่เรียงรายอยู่ในจานนั้น เป็นผักปลอดสารพิษจากจังหวัดนครนายก โดยทุกๆ เช้าจะมีคนมาส่งให้วันเว้นวัน นอกจากนี้ความพิเศษยังอยู่ที่การทำน้ำสลัดที่ทำสดใหม่ทุกวัน โดยมีส่วนผสมของไข่, ชีส, แอนโชวี่ มะนาวเหลือง และฝึกการตีน้ำสลัด เป็นอีกเมนูหนึ่งที่คนรักสุขภาพต้องสั่งเพราะไม่เช่นนั้นจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องนะเออ...

เมนู : พิซซ่าหน้าแหนมและไส้อั่ว

ทดสอบ : ฟังชื่อแล้วหลายคนงงว่า ทั้ง 2 วัฒนธรรมคือ แหนม ไส้อั่ว กับพิซซ่ามาเจอกันได้อย่างไร อย่างที่บอกก็เป็นการมิ๊กแอนด์แมตช์ของเจ้าของร้านเครางาม โดยกรรมวิธีที่ทำด้วยแป้งบางๆ ใช้ชีส มอซซาเรลล่า (Mozarella) 2 ชนิด มาผสมผสนากับไส้อั่วที่สั่งตรงจาก จ.เชียงใหม่ มาทำเป็นโบโลเนส และใช้แหนมหั่นบางวางทั่วหน้าพิซซ่า โรยด้วยพริกขี้หนู, กระเทียม, และเครื่องปรุงต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของไส้อั่ว รสชาติจะออกเปรี้ยว ผสมกับชีสออกมาได้อย่างกลมกล่อม ทำให้ได้รสชาติความเป็นอิตาลีอย่างแท้จริง เป็นความแปลกที่แนะนำว่าห้ามพลาดเลยทีเดียว

เมนู : สเต็กปลาทูน่าพริกไทยดำ

ทดสอบ : ฟังวัสดุดิบแล้วคุณจะต้องกลืนน้ำลาย ที่นี่เขาใช้ทูน่าเกรดซูชิ หั่นประมาณ 1/3 นิ้ว หมักกับพริกไทยดำและงาดำ คลุกพริกไทยดำนำไปจี่กับกระทะให้สุขปานกลาง เสิร์ฟพร้อมกับ Ginger Balsamic Sauce และ Mixed Berries Compote เมนูนี้ก็ไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง

เมนู : Lobster Spaghetti

ทดสอบ : Lobster ธรรมดาซะที่ไหน เพราะใช้กุ้งมังกรนำเข้าจากรัฐ Maine ประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้นเรื่องความใหญ่ ของขนาดและรสชาติหอมหวานเจ๋งเหนือคำบรรยาย ทั้งนี้ ซอสที่นำมาผัดปรุงโดยนำเปลือกและหัวของกุ้งมังกรมาผัดกับเนยและผักชนิดต่าง ๆ จนสุกหอมปั่นจนละเอียด กรองเอาแต่น้ำ Stock จากนั้นเคี่ยวบนไฟอ่อน ๆ ใส่ทาร์รากอน (Tarragon) แล้วปรุงรส โดยวิธีทำเขาจะทำซอส Lobster ไว้เพื่อเอาไปทอดกับเนย หลังจากนั้นก็นำ Lobster ไปผัดกับเส้นสปาเก็ตตี้พร้อมก็น้ำของมันและมีทาร์รากอนเข้าไปอยู่ด้วยให้ได้กลิ่นความหอมที่ไม่ฉุน และหอมอร่อยสุดๆ ถ้าได้ลองรับประกันว่าคุณจะสั่งซ้ำแบบเราอย่างแน่นอน

เมนู :  Lamb Stew

ทดสอบ : ขึ้นหัวเมนูห้วนๆ ไม่มีสร้อยท้าย เพราะอยากให้มาฟังเสียงผู้ทดสอบที่ตกหลุมรักเมนูนี้มากมาย ชอบขนาดต้องแอบถามสูตรมาเลยเอามาบอกต่อเลยที่เดียว เมนูนี้เขาใช้ Lamb Shank โดยเคี่ยวประมาณ 8 ชั่วโมงกับหอมใหญ่, แครอท, Rosemary และไวน์ Sangiorese, เสิร์ฟบน Black Iron Pan พร้อมมันฝรั่งและแครอท ทำให้รสชาติออกมาหอมกลมกล่อม เมนูนี้รีบกินหน่อยเพราะว่าร้อนๆ จะอร่อยแบบไม่รู้ลืม

เมนู : ข้าวผัดน้ำพริก แกงไตปลา

ปิดท้ายด้วยเมนูเด็ด สำหรับคนที่ชอบรสชาติจัดจ้านแบบพอดี เป็นการผสมผสานเมนูอาหารที่จัดเอาไว้เป็นคอนเซปต์อาหารประจำภาค เมนูนี้เชื่อว่าถ้าลองแล้วจะรักทันที ฟันธง

ทิ้งท้าย กิน ดริ๊งก์ รัก และก็มีที่พักให้หลับสบาย...!

ท้ายที่สุด ที่ลืมไม่ได้ และก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ 'กิมมิก' ร้าน เนื่องจากอาหาร บรรยากาศและไวน์ ซึ่งบอย หนึ่งในหุ้นส่วนเป็นนักชิมไวน์มือฉมัง พร้อมกับนำมามิกซ์กับอาหารอย่างยอดเยี่ยมแล้ว เพื่อให้เจ้าของร้านและนักดื่มได้สบายใจ สบายตัวขณะกิน ดื่มของอร่อยๆ  Eat Drink Love ยังเปิดบริการให้เช่าห้องนอนด้วย เป็นความใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ

"ผมเป็นนักชิมไวน์ เวลาลูกค้ามาดื่มผมก็พูดเรื่องไวน์ต่างๆ ให้ฟังเรื่อยๆ จนทำให้ลูกค้าพร้อมที่จะเรียนรู้ไปกับเรา แน่นอนว่าเราจะได้กำไรน้อยมากๆ แต่เชื่อว่าเขาจะได้ดื่มไวน์ดีที่ราคาไม่แพง ดังนั้นที่นี่ก็มีบริการห้องพักอยู่แล้ว เราเลยคิดด้วยความเป็นห่วงว่าถ้ามีห้องพักในราคาไม่แพงให้เขาค้างที่นี่จะดีไหมเพราะเราก็สบายใจเขาก็สบายใจในการดื่มด้วย" เจ้าของไอเดียกล่าวในที่สุด

และทั้งหมดนี้คือ Eat Drink Love ร้านอาหารอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ มีที่ดื่มไวน์ที่รับประกันได้ว่าเมื่อมาแล้วคุณจะตกหลุมรักที่นี่เหมือนกับเรารักอย่างแน่นอน.

**รู้ไว้ใช่ว่า**

1.“Eat Drink Love” มีโต๊ะทั้งสิ้น 32 โต๊ะและรับรองลูกค้าได้ทั้งสิ้น 120 คน ตั้งอยู่ใน Park 9 Serviced Residence ซึ่งโอบล้อมด้วยต้นไม้สีเขียวและสายน้ำ ร้านได้รับการตกแต่งแบบยุโรป สไตล์ทันสมัย โดยเน้นการใช้วัสดุแบบธรรมชาติ เพื่อให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม เช่น เก้าอี้หลากสไตล์ที่เลือกสรรมาแล้วเพื่อความสบายในการนั่งรับประทานอาหาร และสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและคนที่คุณรัก ผนังจากพื้นถึงเพดานรอบร้านเป็นกระจกเพื่อชมทัศนียภาพที่ร่มรื่นรอบตัวอาคาร

2.สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2707-8873