ขยายพรบ.มั่นคง-ควรหรือไม่? (รายงานพิเศษ)
ขยายพรบ.มั่นคง-ควรหรือไม่?
รายงานพิเศษ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) มีแนวโน้มยืดเยื้อ
คดีร้อน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกดีเอสไอตั้งข้อหาร้ายแรงจากเหตุสั่งสลายการชุมนุมปี"53 ที่อัยการนัดสั่งคดี 31 ต.ค.นี้
การผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และ 237
ศาลโลกนัดตัดสินคดี "เขาวิหาร" วันที่ 11 พ.ย.
หรือการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของฝ่ายค้าน
เหตุผลข้างต้นเพียงพอและเหมาะสมหรือไม่ ที่รัฐบาลจะขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ออกไปจนถึงวันที่ 30 พ.ย.
มีความเห็นจากนักวิชาการและภาคประชาชน
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
การประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เป็นเครื่องมือที่หลายรัฐบาลนำออกมาใช้ โดยกลุ่มผู้ปฏิบัติยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยกลุ่มเดิม
ดังนั้น วิธีคิดก็จะเป็นวิธีคิดแบบเดิมว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดการยึดสถานที่ราชการแบบที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวิธีเชิงปฏิบัติที่ยึดถือกันมา
ส่วนการขยายการประกาศใช้พ.ร.บ. ความมั่นคงยาวไปจนถึงสิ้นเดือนพ.ย.นั้น ประเด็นคือ วันที่ 11 พ.ย.นี้ ศาลโลก จะพิจารณาคดีข้อพิพาทพื้นที่ปราสาท พระวิหารระหว่างไทย-กัมพูชา
เป็นเรื่องที่ต่างก็รู้กันดีว่าฝ่ายผู้ชุมนุม ใช้ประเด็นนี้สร้างความรู้สึกชาตินิยม คลั่งชาติได้ ภายใต้สถานการณ์ในกลุ่มคน ที่มีอารมณ์รักชาติจำนวนมาก
สิ่งสำคัญคือรัฐบาลจะข้ามช่วงเวลาแบบนี้ได้อย่างไร การขยายเวลาพ.ร.บ. ความมั่นคง จึงมองเป็นความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการข้ามช่วงเวลาคับขันในเดือนพ.ย.นี้ไปให้ได้
แม้การชุมนุมจะมีกำลังคนไม่มาก แต่ก็รู้กันว่าผู้ชุมนุมมีความพยายามสร้างพื้นที่ข่าวสาร ด้วยเหตุนี้ความพยายามแบบนี้เสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางการเมืองจากน้ำผึ้งหยดเดียวได้
หมายถึงมีกลุ่มคนที่รักชาติแน่ๆ และกลุ่มคนที่อาจคิดว่าสูญเสียเขตแดน ประเด็นนี้เป็นประเด็นจิตวิทยา ซึ่งบางคนอาจลงทุนกระทำอะไรที่รุนแรงให้สังคมได้รับรู้
ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของเหตุผลมองว่ารัฐบาลทำได้
ส่วนคดีสั่งสลายการชุมนุมปี"53 ที่อัยการจะมีคำสั่งวันที่ 31 ต.ค. กับการผลักดันแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และ 237 จะเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้รัฐบาลขยายเวลาพ.ร.บ.มั่นคงหรือไม่นั้น มองว่าทุกปัจจัยย่อมมีผลต่อการเมือง
ดังนั้น ประเด็นว่าอัยการจะ สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องบุคคลสำคัญ ของฝ่ายค้าน ย่อมทำให้พวกเขาเคลื่อนไหว เพื่อสร้างแรงใจและกำลังใจให้พวกเขา ซึ่งอาจมีวิธีการ ที่หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลผ่าน ประเด็นต่างๆ ช่วงเดือนพ.ย.ได้ คิดว่าสังคมไทยจะเข้าสู่การยอมรับ การมีเหตุมีผลทางการเมืองมากขึ้น
การประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงเป็นการประกาศใช้ในพื้นที่จำกัด ไม่ได้จำกัดพื้นที่การใช้ชีวิตของประชาชนคนอื่น
สมบัติ บุญงามอนงค์
บ.ก.ลายจุด
การขยายเวลาประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงต่อถึง วันที่ 30 พ.ย. รัฐบาลคงประเมินสถาน การณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วเกรงว่าจะย้ายมาชุมนุมรอบทำเนียบรัฐบาล หรือสถานที่ราชการอย่างยืดเยื้อ
เชื่อว่าถ้ารัฐบาลไม่ขยายเวลาการใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง กลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนมายังทำเนียบ แน่นอน และถ้าผู้ชุมนุมมาถึงหน้าทำเนียบ ได้ก็เชื่อว่าจะยืดเยื้อ
ดังนั้น รัฐบาลคงพิจารณาแล้วว่าจะไม่ยอมให้ม็อบการเมืองแบบนี้มาปักหลักชุมนุมหน้าทำเนียบ เพราะ ไม่เหมาะสม ซึ่งต่างจากม็อบที่เป็นปัญหาปากท้อง ของชาวบ้าน
ที่ผ่านมาสังเกตว่ารัฐบาลปัจจุบันจะใช้วิธีป้องกันก่อนเกิดปัญหา หรือป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ
รัฐบาลไม่ได้วิตกกังวลมากเกินไป เพราะผู้ชุมนุมมีท่าทีชัดเจนว่ามีเป้าหมายสูงเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องยกการ์ดสูงขึ้น
การขยายเวลาใช้กฎหมายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีความกังวลต่อสถานการณ์ และเงื่อนไขทางการเมืองในห้วงเวลานี้ ซึ่งเข้าใจสถานการณ์ของรัฐบาล เข้าใจถึงเหตุผลที่ตัดสินใจแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมก็ยังมีสิทธิในการชุมนุม ขณะที่การประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่น คงจะใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะ จะเป็นการละ เมิดสิทธิของประชาชนในการแสดงออก
ทางออกคือ ควรเจรจากันเพื่อหาพื้นที่ที่ยอม รับได้ จะได้เป็น ทางที่ดีที่สุด ของหลักการประชาธิปไตย เพราะไม่ว่าจะชุมนุมแล้วมีการปิดถนนหรือประกาศใช้พ.ร.บ. ความมั่นคง ก็เท่ากับกระทบการดำรงชีวิตของประชาชนคนอื่นๆ
จะกลายเป็นว่าทั้งผู้ชุมนุมและรัฐบาลได้ก่อกรรมร่วมกัน
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
รัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ตังแต่ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง จนถึงการขยายระยะเวลาการใช้ เพื่อควบคุมการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล ทางรัฐบาลควรทบทวนและพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบ
เนื่องจากการขยายระยะเวลาใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ย่อมส่งผลกระทบ ต่อความชอบธรรมของรัฐบาลเอง
โดยเฉพาะรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มาจากการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อควบคุมมวลชน
รัฐบาลมองว่าสามารถใช้กฎหมายมาควบคุมมวลชนได้ แต่ตามรัฐธรรมนูญ ทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ในข้อเท็จจริงยังมีมาตรการอื่นอีกหลายช่องทางในการจัดการบริหารกลุ่มผู้ชุมนุม เช่น รัฐบาลควรเป็นผู้ประสานงานกับแกนนำหรือผู้ชุมนุม ว่าให้ชุมนุมในกรอบของกฎหมาย ไม่ไปละเมิดหลักรัฐธรรมนูญหรือสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
อย่างหนึ่งที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจคือการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งรัฐบาลควรเป็นผู้ดูแล ไม่ใช่ไปควบคุม
แน่นอนว่าหากรัฐบาลไม่ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ใช้แต่กฎหมายธรรมดาท่ามกลางสถานการณ์การชุมนุมทาง การเมือง ไม่มีอะไรที่จะรับประกันได้ว่า ผู้ชุมนุมจะชุมนุมโดยสงบ หรือไม่ละเมิดกฎหมาย
เพราะฉะนั้นขั้นตอนแรกจึงอยู่ที่การประสานงานระหว่างรัฐบาล และมวลชน ให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันที่เหลือก็ปล่อย ให้แกนนำเป็นผู้ดูแลกันเอง
เพราะหากผู้ชุมนุมเกิดก่อเหตุที่ละเมิดต่อกฎหมาย เช่น บุกยึดหรือทำลายสถานที่ราชการ หรือสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น ย่อมต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายได้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งภาพลักษณ์ของผู้ชุมนุมก็จะถูกมองในแง่ลบทันที
ส่วนที่รัฐบาลระบุต้องขยายเวลาใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ด้วยเหตุเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และ 237 คดีเขาพระวิหาร หรือการดำเนินการทางการเมืองต่างๆ ไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างได้
เพราะยังไม่มีอะไรมายืนยันว่าหากการเมืองเข้าสู่ช่วงเผือกร้อนแล้วจะเกิด เหตุวุ่นวาย บางทีการชุมนุมอาจจุดไม่ติดด้วยซ้ำ
เพราะอย่างไร ผู้ที่กระทำการละเมิด ต่อกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดก็ย่อมที่จะถูกดำเนินคดี ถูกลงโทษทางกฎหมาย
หากรัฐบาลต้องการที่จะเติบโตตามระบอบประชาธิปไตย ก็ควรคำนึงถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นหลัก
Create Date : 21 ตุลาคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 21 ตุลาคม 2556 1:10:11 น. |
Counter : 802 Pageviews. |
|
|
|