"หลังรัฐบาลประกาศลดราคารับจำนำจาก 15,000 บาท ต่อตันเหลือ 12,000 บาท พบว่า ค่าใช้จ่ายของชาวนาก่อนจะมีการรับจำนำ 15,000 บาท ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 4,500 บาทต่อไร่  แต่ขณะนี้ ต้นทุนการผลิตของชาวนาพุ่งเพิ่มขึ้นไปเกือบ 9,000 บาทต่อไร่ ปัจจัยที่เพิ่มขึ้น คือ ค่าเช่าจาก 1,000 เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อไร่ ปุ๋ยคอกจาก 8 บาทเป็น 30 บาท ต่อถุง ค่าแรงพ่นยากำจัดศัตรูพืช 100 บาทเป็น 250 บาทต่อถัง  ค่ารถเกี่ยวข้าวและบรรทุกไปจำนำจาก 400 บาท เพิ่มเป็น 600 บาทต่อไร่ ฯลฯ  เฉลี่ยค่าใช้จ่ายของชาวนา เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว" กับคำพูดของ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์  ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมา ตอกย้ำ ความผิดพลาดโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อปรากฏข่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร สั่งฟัน โรงสี ที่ตรวจสอบและพบว่า มีการฉ้อโกงชาวนากว่า 300  ราย ข้าวกว่า 8 พันตัน มูลค่า 133 ล้าน ล่องหน ซึ่งก็ชัดเจนว่า  มีการทุจริตในโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลอยู่ทั่วไป ถึงแม้ฝ่ายรัฐ จะส่งคนลงพื้นที่ มาตรวจสอบข้อเท็จจริง จนพบว่า มีการทุจริตเกิดขึ้น และสั่งจัดการขั้นเด็ดขาดก็ตาม

แต่คำถามที่เกิดขึ้นกับสังคมในขณะนี้ ข้องใจว่า เหตุใดรัฐบาลโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงเพิ่งมาออก"แอ๊กชั่น" อย่างจริงจัง ในช่วงเวลานี้ ดูแล้วมันสายเกินไปหรือไม่ แต่นั่นก็เป็นการมองในแง่การบริหารงานผิดพลาดของรัฐบาล

แต่หากมามองภาพการเมืองแล้ว ต้องยอมรับว่า เข้าตำรา "ศึกนอกว่าหนักแล้ว แต่หันมาดูศึกภายในน่าจะหนักกว่า" เนื่องจากต้องยอมรับว่า ปัญหาจำนำข้าว ได้ส่งผลให้เกิด รอยปริร้าวในรัฐบาลเพื่อไทย อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จุดใหญ่น่าเกิดจาก กลุ่ม ส.ส.อีสาน ซึ่งต้องถือว่า เป็นฐานเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจการทำหน้าที่ของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ที่ชี้แจง ตัวเลขจำนำข้าวไม่ได้

ทำให้คะแนนเสียงพรรค ในภาคอีสานตกลงแบบฮวบฮาบ อย่างน่าใจหาย พิสูจน์ได้จาก สารพัดโพล ที่แข่งกันสำรวจออกมาในช่วงนี้ ถึงขนาดมีกระแสกดดันจาก ส.ส.อีสาน ให้เปลี่ยนตัว นายบุญทรง ออก แล้วหันไปสนับสนุนให้ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มาดำรงตำแหน่งแทน

"ถือเป็นสิทธิ์ที่กลุ่ม ส.ส.จะคิดเปลี่ยนได้ กลุ่ม ส.ส.อีสาน ของพรรคเพื่อไทย ไม่มีปัญหา หาก นายมิ่งขวัญ จะมานั่งตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ แทน นายบุญทรง เหตุเพราะ นายมิ่งขวัญ เคยมีประสบการณ์ทำงาน เชื่อว่า สามารถดำเนินโครงการจำนำข้าว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะมีการปรับ ครม.หรือไม่  หากให้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ เห็นว่า สถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่รัฐ ยังไม่ควรที่จะปรับ ครม. เหตุเพราะมีความสุ่มเสี่ยงจากปัจจัยหลายๆ ด้าน ทั้งกรณีมีกลุ่มการเมืองที่จ้องจะล้มรัฐบาลด้วยวิธีการอื่นค่อนข้างมาก การที่รัฐบาลคิดจะเปลี่ยนม้ากลางศึกจึงเป็นเรื่องที่ต้องดูความเหมาะสม" นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม กล่าว...

แล้วก็มาถึงที่พรรคเพื่อไทย น่าจะหนักใจที่สุด เพราะกระทบกับฐานคะแนนเสียงของพรรคแบบเต็มๆ เมื่อกลุ่มพี่น้องชาวนาจากทั่วประเทศ ที่ไม่พอใจนโยบายสั่งลดราคาจำนำข้าว จากตันละ 1.5 หมื่นบาท เหลือตันละ 1.2 หมื่นบาทของรัฐบาลปู ที่ทำให้กลุ่มพี่น้องชาวนาทั่วประเทศ มีการนัดแนะ ยกพลซึ่งคาดกันว่า อย่างน้อยหลายพันคน เตรียมบุกเข้ากรุง เห็นว่าเป็นวันอังคาร 25 มิ.ย.นี้ เพื่อประท้วงแกมบังคับ ให้รัฐบาลขยายเวลารับจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่น ออกไปอีกซักระยะ

กับประเด็นร้อนนี้ นายโนรี ศรีสมุทรนาค นายกสมาคมส่งเสริมชาวนาไทย กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า  ที่ผ่านมา รัฐบาลกำหนดราคาจำนำข้าวที่ราคา 1.5 หมื่น/ตัน  ชาวนาก็ไม่เคยได้ ในราคา 1.5 หมื่นบาท/ตัน อยู่แล้ว  บางคนได้ไม่ถึงหมื่นสอง ด้วยซ้ำ  ผมขายข้าวมา 3 รอบ ได้แค่ 11,600 -11,500 บาท มันไม่ถึงอยู่แล้ว แล้วมาตั้งราคา มาตรฐานไว้ที่ 1.2 หมื่น/ตัน หักลงมาแล้ว มันอาจจะหลุดต่ำ ประมาณ 9,000 ลองประเมินดูซิว่า จาก 1.5 หมื่น เหลือ 1.2 หมื่น หายไปกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าตั้งราคาที่ หมื่น 2 มันหลุดเหลือ 9 พันไหม? แล้วชาวนาก็ประสบกับความหายนะ

รัฐบาลขาดทุน มันเสียหายเงินงบประมาณประเทศ แต่ชาวนาขาดทุน ต้องขายสมบัติเก่ากิน ไม่เหลืออะไรเลย  แต่ไม่ว่ารัฐบาลยุคไหนก็ตาม ที่มาบริหารขาดทุนทั้งนั้น รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เป็นการขาดทุนในลักษณะที่ถูกกฎหมายหรือไม่ ถูกกฎหมาย อย่างไร ? ตรงนี้ น่าจะระวังเพื่อที่จะไม่ให้มันขาดทุน 1 แสน 3 หมื่นล้าน เมื่อขาดทุนมากแบบนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็โจมตี พอโจมตี ปุ๊บ รัฐบาลกลับลำปั๊บเลย (ก็ยิ่งแสดงว่า ยอมรับว่าขาดทุนเยอะเกิน)

แต่ไม่ได้นึกถึงว่า ชาวนา จะเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างไร ? ชาวนาตกใจมาก ที่รัฐลดลงมาเหลือ 1.2 หมื่น ชาวนาใจหายใจคว่ำกันหมดแล้ว เตรียมที่จะไปยื่นขอราคาเก่ากัน (คิดว่า มีแน่มาชุมนุมที่ทำเนียบฯ)

-ถ้าเกิดชาวนา ดึงดันต้อง 1.5 หมื่นบาท คนอื่นจะมองได้ไหม? ว่า ประเทศจะรับไม่ได้ ถ้า 1.5 หมื่นฯ แล้วขาดทุนไปเรื่อยๆ 5-10 ปี ประเทศเจ๊ง จะทำยังไง?

จะไปยื่นหนังสือร้องรัฐบาลว่า จะให้รัฐบาลเอาราคาเก่ากลับมาสักระยะหนึ่ง แต่ชาวนารายใหญ่ ไม่ต้องให้เขาได้ไหม? ให้ตัดไปเลย อย่าไปช่วยเขาชาวนารายใหญ่ เอาราคาเดิมมาใช้กับชาวนารายย่อย ที่เขากำลังโวยวายกันอยู่  ฉะนั้น  ยืนยันว่าให้รัฐคืนราคาเดิมให้เขาระยะหนึ่ง แล้วตัดปัญหาชาวนารายใหญ่ออกไป จะช่วยเขายังไงก็แล้วแต่ ถ้าจะไม่ช่วยเลย เดี๋ยวเหล่าชาวนารายใหญ่ เขาก็น้อยใจเหมือนกัน

คิดดู  ชาวนารายย่อย อาจจะมี 50% รายใหญ่ที่เข้าโครงการจำนำได้ มี 50% ถ้าตัด 50% ชาวนารายใหญ่ ก็เหลือ 50%  ผมบอกได้เลยว่า ต้องไปทำใบประทวนอีกใบหนึ่งต่างหาก ที่เกินวงเงิน 5 แสนบาท ต้องไปทำใบประทวน ให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เซ็นในการรับรอง

-คิดหรือไม่ ถ้าสมมติ ชาวนา ไปเรียกร้องรัฐมากๆ จนไปเข้าทางฝั่งตรงข้าม ก็เลยไปกดดันรัฐบาลชุดนี้จนอยู่ไม่ได้ ยุบสภาฯ ไป แล้วถ้าอีกฝั่งหนึ่งขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทน แล้วบอกว่า เขาจะประกันราคา ไม่รับจำนำ ละ จะทำอย่างไร ?

2 พรรคใหญ่ เล่นการเมืองกันคนที่อยู่ตรงกลาง คือ "ชาวนา" มันเจ็บปวด ที่ผ่านมารัฐต้องยอมเสียคำพูด เหมือนโบราณที่บอกว่า "ตลบหลังตลบลิ้น" เพราะ ฝ่ายตรงข้ามโจมตีหนัก จนรัฐก็ต้องยอมเสียรูปแบบ ต้องลดราคาลงมา เหลือ 1.2 หมื่นบาท/ตัน ฝ่ายตรงข้าม ก็ทำให้ชาวนาเจ็บปวดเหมือนกันไปขุดคุ้ยว่า ข้าวในโกดังเน่า มันจะเน่าได้ไง เพราะข้าวเขาอบความชื่นให้แห้ง ต่ำกว่า 15% แล้วถ้าขายไม่ออก 2 ปี มันก็ไม่เน่า แต่มันเป็นข้าวเก่า รัฐบาลที่ผ่านมา มันก็มีค้างสต๊อกอยู่ แต่ปริมาณไม่เยอะขนาดนี้

"ทำไม รัฐไม่คิดช่วยกันอย่างยั่งยืน แนะให้เลยว่า ให้ชาวนารับสุทธิ 1.2  หมื่นบาท คือ ราคาที่ชาวนาอยู่ได้ใน พ.ศ. นี้ ปล่อยให้โรงสีมาซื้อ แล้วให้รัฐบาลมาเติมส่วนที่เหลือตรงนี้ ให้เป็น 1.2 หมื่น/ตัน อย่างเช่น ราคาในตลาดอยู่ที่ ตันละ 9,000 บาท รัฐประกาศราคาจำนำ 1.2 หมื่นบาท ก็ให้จ่ายส่วนต่างราคา 3,000 บาท ที่เหลือ รัฐบาลก็ใช้งบประมาณน้อย ไม่ขาดทุนมาก ส่วนที่มีคนทักมาว่า หากใช้วิธีนี้ มันก็คือ วิธีประกันราคาข้าว ของ พรรค ปชป.นั้น ก็อย่าไปใช้ชื่อนั้นสิ... เปลี่ยนเป็นชื่อโครงการอื่นก็ได้" นายโนรี กล่าว...

ท้ายสุด ปมร้อน ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พี่น้องกลุ่มชาวนา จากทั่วประเทศ ที่ต้องถือกันว่า เป็นผู้มีอุปการคุณหลัก เปรียบเสมือน เสาที่ค้ำจุนรัฐบาลชุดนี้ จะลงเอยอย่างไร จึงเป็นที่น่าจับตา สังคมอย่าลืมว่า "น้ำสามารถพยุงเรือให้ลอยไปได้ฉันใด น้ำนั้นก็สามารถล่มเรือให้จมลงได้ฉันนั้น".