เที่ยวไป..กินไป..ตามแต่ใจเราสองคน เป็นบล๊อกที่ทำขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องราวการเดินทางของเราทั้ง 2 คน และเป็นข้อมูลให้สำหรับผู้ที่สนใจจะเดินทางด้วยตัวเอง

Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add 's blog to your web]
Links
 

 

Good morning "Vietnam" #3 (วันที่สอง)

วันนี้เป็นวันที่สอง ของการท่องเวียดนามของเราสองคน จุดมุ่งหมายในวันนี้ก็คือการไปเที่ยว "อ่าวฮาลองเบย์ " หรือที่ใคร ๆ รู้จักในนามของ ฮาลองเบย์ (Ha Long Bay) เป็นมรดกโลกอีกแห่ง ใครที่ไปเวียดนามแล้วไม่ได้ไปฮาลองเบย์ เหมือนว่าไปไม่ถึงเวียดนาม ในการไปครั้งนี้เราได้ซื้อทัวร์ One Day Trip ซึ่งมีขายอยู่ทั่วไปในเมืองฮานอย แต่เราให้โรงแรมจองให้ ราคา $18 ต่อคน มีรถรับส่ง และอาหารกลางวันบนเรือ (แต่ไม่มีน้ำดื่ม ต้องซื้อเอง...เฮ้อ กินข้าวแล้วไม่มีแม้กระทั่งน้ำเปล่าให้กินเนี่ยนะ) ค่าเข้าชม เรา 2 คนต้องใช้สูตร 6 7 8 (ตื่น 6 โมง - กินข้าว 7 โมง - ยืนรอรถตู้ 8 โมง) เพราะรถตู้จะมารับเราที่โรงแรม 8.00 น. รถตู้มารับเราเป็นกลุ่มแรก แล้วตระเวนรับลูกทัวร์กลุ่มอื่น ๆ บริเวณในตัวเมืองฮานอยจนเต็มรถ จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปถนนสายหลัก

คนนี้ถูกแซะให้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า หน้าตาเลยยังบวม ๆ อยู่ (ย้ำ..เพิ่งตื่นนอนนะ ไม่ได้ถูกต่อย)


ระหว่างที่นั่งรถไปเรื่อย ๆ ก็เห็นแม่ค้านั่งขายขนมปังฝรั่งเศส อาหารเช้าอย่างหนึ่งของคนเวียดนาม (จริง ๆ เห็นขายตลอดตั้งแต่เช้า - ค่ำ เค้าวางขายกันทั่วไปหมดข้างทางอย่างนี้เลย) ข้าง ๆ จะมีเตาอบขนมปัง (พี่เต่าไม่ได้ลองกิน เพราะเคยกินแล้วเมื่อไปลาว คิดว่าน่าจะเหมือนกัน ส่วนอรก็ไม่ร้องกิน เพราะกินจากโรงแรมมาเต็มที่แล้ว..หุ หุ) เห็นจากป้ายราคา 1000 ดอง ก็ประมาณอันละ 2 บาท


รับลูกทัวร์ครบหมดแล้ว มีทั้งหมด 12 คน เป็นชาวมาเลย์เซีย 3 คน สิงค์โปร์ 4 คน ญี่ปุ่น 1 คน ฝรั่งเศส 2 คน และเราชาวไทย 2 คน ไกด์ผู้หญิงชาวเวียดนาม 1 คน ไกด์คนนี้เป็นคนพูดอังกฤษชัดเจนดีมากเลย (น่าเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปกรุ๊ปทัวร์กับไกค์มาให้ดู) รถเริ่มออกจากตัวเมืองฮานอย นั่งมองบ้านเมืองสองข้างทางไปเรื่อย ๆ ก็สังเกตเห็นสิ่งแตกต่างจากเมืองไทย คือ บ้านที่นี่จะเป็นตึกสูง 3 - 5 ชั้น (ไม่ว่าจะมีพื้นที่ด้านข้างเหลือเยอะแค่ไหน เค้าก็นิยมสร้างบ้านทรงนี้กัน) และจะทาสีเฉพาะด้านหน้า ด้านข้าง และหลังจะไม่ทา สีที่นิยมใช้กันส่วนมากจะเป็นสีเหลือง




สองข้างทางส่วนใหญ่จะเป็นท้องนา กำลังเขียวชอุ่มเลย (ได้ข่าวว่าเค้าส่งออกข้าวเยอะอยู่เหมือนกันนะ)


ระยะทางจากฮานอยไป ฮาลองเบย์ 150 กม. ใช้เวลาในการเดินทาง 3 ชั่วโมง (ประมาณกรุงเทพฯ ไประยอง) พอรถวิ่งได้ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ เค้าก็แวะหยุดพักที่ "ศูนย์หัตถกรรมของผู้ที่ถูกผลกระทบจากสงครามและฝนเหลือง" ทัวร์ที่ไปฮาลองเบย์ทุกคันจะแวะที่นี่ เพื่อเข้าห้องน้ำ พักซื้อของกิน อุดหนุนสินค้าหัตถกรรมก็มีบ้าง






หัตกรรมที่นี่จะเป็นการปักลวดลายรูปต่าง ๆ ด้วยมือ เป็นของใช้ต่าง ๆ เช่น กระเป๋า ถุงผ้า รูปภาพต่าง ๆ และยังมีเครื่องเซรามิคอีกด้วย

ลีลาการปักผ้าของสาวเวียดนาม คล่องแคล่ว ว่องไว...ชึบ ๆ ๆ ๆ ๆ


หนุ่มเวียดนามก็ Paint ผ้าให้มีลวดลายวิบวับ ได้อย่างสวยงาม ล่อตาล่อตังค์ออกจากกระเป๋าของคุณลูกค้าดีนักแล


ภาพที่เห็นใส่กรอบแปะ ๆ อยู่บนฝาผนังนี้ ไม่ได้วาดนะขอบอก เค้าใช้ปักด้วยไหมสีต่าง ๆ ทั้งนั้นเลย


กระเป๋า ๆ ๆ ปักด้วยไหมสีเป็นรูปดอกไม้ บางใบปักเลื่อมด้วย แต่ซื้อไม่ลงเพราะเค้าแปะราคาไว้ใบละ $22 เป็นอย่างต่ำ (เดี๋ยวตอนเย็นไปดูเทียบกับตลาดในเมืองดีกว่า)


ส่วนคนนี้ ดูโน่น ดูนี่ แต่ไม่ซื้ออะไรเลย


อีกมุมหนึ่งของศูนย์ฯ ที่จัดแสดงภาพที่ปักด้วยเส้นไหมสีต่าง ๆ และสินค้าพวกผ้าปูโต๊ะ ที่รองจานชามแก้วน้ำ


หลังจากแวะพัก 20 นาที ก็ได้เดินทางต่อใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ไปถึงท่าเรือที่ฮาลองเบย์ ก็เริ่มพบกับความชุลมุนวุ่นวาย นักท่องเที่ยวจากไหนไม่รู้เดินทางมากันเยอะแยะไปหมด


ไกด์บอกให้กลุ่มของพวกเรามายืนรออยู่ข้างหน้า ระหว่างนี้ก็มีชาวเวียดนามเดินมาเสนอขายสินค้าให้พวกเราอยู่ตลอดเวลามีทั้งพัด ร่ม หมวก ไปรษณียบัตร ของชำร่วยอื่น ๆ เยอะแยะจนงงไปหมด


พอไกด์ซื้อบัตรเข้าชมอุทยานมาได้แล้ว ก็แจกให้ถือไว้คนละ 1 ใบราคา 30000 ดอง (รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว) แล้วกำชับบอกให้ถือไว้ดี ๆ อย่าให้หายนะ (อะจ้า..)



พอได้รับตั๋วกันครบทุกคนแล้ว ไกด์ก็นำทางพากลุ่มของพวกเราไปลงเรือ ก็เลยขอถ่ายภาพเก็บบรรยากาศก่อนลงเรือไว้ซักหน่อย มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวกันเต็มไปหมด

คนมาเที่ยวเยอะไม่เยอะก็ดูจากจำนวนเรือที่มารอรับนักท่องเที่ยวก็แล้วกัน สังเกตจากเสากระโดงเรือได้ มองดูคร่าว ๆ ต้องมีไม่ต่ำกว่าร้อยลำแน่ ๆ


วันนี้ฟ้าเปิด สว่างโล่งแจ้งเชียว แต่อากาศก็ร้อนอยู่เหมือนกัน


ตอนนี้กำลังเดินแถวตามไกด์ (ร่มแดง...เค้ากำชับนักหนาว่าให้เดินตาม My umbralla อย่าแตกแถวนะ) ไปลงเรือกัน


เรือที่เรานั่งไปอ่าวฮาลองเบย์ชื่อเรือ "HUY HOANG" เบอร์ 9 เป็นเรือไม้ทั้งลำ มี 2 ชั้น (จริง ๆ แล้วเรือที่นี่ทุกลำก็เป็นเรือไม้ทั้งลำหมดหละ แต่จะต่างกันตรงความสวยงาม ใหม่ หรือเก่า) เรือที่เรานั่งเป็นเรือระดับ 2 ดาวเชียวนะ (ที่เค้าจะมีดาวบอกเกรดของเรือไว้ด้วยหละ เหมือนโรงแรมเลย)


พอได้ขึ้นเรือก็นั่งเต๊ะจุ๊ยถ่ายรูปก่อนเลย (ระหว่างรอไกด์ไปเดินตามหาญี่ปุ่นหายไประหว่างเดินทาง 1 หน่วย อากาศวันนั้นร้อนมาก ๆ สงสารไกด์เหมือนกัน เดินตากแดดไปตามหาลูกทัวร์จนเหงื่อท่วมตัวเลย) คนที่เห็นรอบ ๆ นี้ไม่ใช่คนไทยเลยนะ เป็นชาวเวียดนามทั้งนั้นเลย คนเวียดนามเค้าก็นิยมพาครอบครัวมาล่องเรือไปเที่ยวฮาลองเบย์อยู่เหมือนกัน


หลังจากลูกทัวร์ลงเรือครบแล้ว เรือก็เริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทางสู่อ่าว "ฮาลอง เบย์"


การเดินทางไปสู่ฮาลองเบย์เพิ่งจะเริ่มต้น ยังมีอะไรอีกมากรอเราไปพบเจอข้างหน้า...โปรดติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ




 

Create Date : 08 สิงหาคม 2550    
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 16:17:08 น.
Counter : 1367 Pageviews.  

Good morning "Vietnam" #2 (วันแรก)

หลังจากเดินชมสิ่งต่าง ๆ ที่บริเวณทะเลคืนดาบ จนท้องเริ่มส่งเสียงร้องจ๊อก ๆ แล้ว ก็เลยต้องหาอะไรกินสักหน่อย แล้วจะกินอะไรดีล่ะ..เริ่มต้นที่ "เฝอ" แล้วกัน อาหารยอดฮิตของคนเวียดนาม (สามารถกินได้ทุกมื้อ) เอาหละลองกินแบบรสชาดต้นตำรับสักหน่อยดีกว่า ว่าแล้วก็เดินไปเจอร้านข้างทางอยู่ร้านนึง คนกินเยอะอยู่เหมือนกัน..ต้องอร่อยแน่ ว่าแล้วก็เดินไปที่แม่ค้า แล้วชู 2 นิ้ว เสร็จแล้วเดินมาหาที่นั่ง เก้าอี้ที่ร้านเค้าใช้เก้าอี้เล็ก ๆ แบบเก้าอี้ซักผ้าตามบ้านน่ะ ส่วนโต๊ะก็สูงไม่พ้นเข่าเมื่อนั่งบนเก้าอี้แล้ว





สักพัก "เฝอ" 2 ชามก็มาวางบนโต๊ะ โอ้โห้..ทำไมชามจึงใหญ่ขนาดนี้ เรียกว่า 1 ชามกินกัน 2 คนก็จุกเลยนะ นี่สั่งมาตั้ง 2 ชามจะหมดมั๊ยเนี่ย





ไม่เป็นไรเราคนไทยใจสู้อยู่แล้ว ชิมสักหน่อยซิว่าจะแซ่บหรือเปล่า..รสชาดไม่เหมือนเฝอที่ขายที่ไทยนะ ที่ไทยจะออกนุ่ม ๆ เหมือนน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว แต่ที่นี่รสชาดเค้าจะเข้มข้นออกเค็มนำแบบมีกลิ่นกะปิหน่อย ๆ (ไม่รู้ว่าอุปาทานไปหรือเปล่านะว่าเค้าใส่กะปิ) เครื่องเคราเยอะแยะมากมาย มีทั้ง เต้าหู้ทอดกรอบเหลือง หมูยอเส้น ขาหมูหันบาง ๆ ตามขวาง ลูกชิ้นลูกโต เลือดหมู (มั๊ง) เส้นก็ให้มาเยอะมาก ผักอีก 1 กระจาด (แต่ไม่กล้าใส่ เพราะกลัวจุกซะก่อน) ร้านนี้ไม่มีเครื่องปรุงใด ๆ กินกันได้เลย

สรุปว่า..กินไม่หมด เพราะเยอะมากจริง ๆ งานนี้ 2 ชาม รวมเป็นเงิน 30000 ดอง


กินอาหารคาวเสร็จแล้ว ต้องหาอาหารหวานมาล้างปากซะหน่อย...คิดขึ้นได้ว่าอยู่ใกล้ ๆ มีร้านไอติมยอดนิยมที่คนเวียดนามชอบมากินกัน ก็เลยเดินเล่น ๆ ไป ผ่านห้างสรรพสินค้าชื่ออะไรไม่รู้ ก็ลองเดินผ่านเข้าไปดู (จริง ๆ แล้วเดินเข้าไปตากแอร์อ่ะ..อิอิ) เหมือน ๆ เซ็นทรัลบ้านเรา สินค้าที่วางขายอยู่เห็นก็มีพวก นาฬิกา เสื้อผ้า เครื่องประดับต่าง ๆ แต่ดูแล้วค่อนข้างจะแพง และไม่ค่อยมีคนเวียดนามเดินกันสักเท่าไร





เดินผ่านออกจากห้างมาด้านข้างอีกฝั่งถนน เป็นทิวแถวของร้านขายโทรศัพท์มือถือก็เลยส่องดูซะหน่อยว่าที่นี่เค้าขายกันเท่าไร ราคา Nokia N95 11,450,000 ดอง คิดเป็นเงินไทยประมาณ 24,000 บาท ราคาไม่หนีเมืองไทยมาก



เดินกันเรียบ ๆ ข้างห้างฯ ไปทาง Opera House ก่อนถึงสี่แยกจะเป็นร้านขายไอติม ถ้ากลางวันต้องเข้าไปซื้อข้างใน แต่ถ้าเป็นกลางคืน ให้ซื้อที่ข้างถนนได้เลย คนซื้อเยอะมา ยืนกินกันเต็มไปหมด อร่อยดี เหมือนไอติมแท่งบ้านเรา ราคาก็ตามป้าย



ไม่รู้ว่ามีรสอะไรบ้าง และไม่รู้ว่าจะสั่งเค้าว่ายังไง พอดีเหลือบเห็นที่ป้ายมีอยู่เมนูนึงเขียน "Kem KaKao" เดาว่าเป็นรสโกโก้ ก็มั่วนิ่มไปสั่งเค้าเลยบอก "KaKao" แล้วชู 2 นิ้ว ... ว่าแล้วเจ๊คนขายก็เปิดตู้หยิบรส "KaKao" มา 2 อัน แล้ววางแหมะบนถาดหน้าตู้ ให้เราหยิบไปได้เลยไม่ต้องใส่ถุงให้เปลือง จ่ายเงินไป 5000 ดอง (2 แท่ง 10 บาท)

ชิมซะหน่อยดีกว่าว่ารสอะไรกันแน่..อืม..รสโกโก้จริง ๆ "Verb to เดา" ใช้ได้ผลแฮะ รสชาดก็อร่อยดีนะ

(ไม้ไอติมที่นี่เค้าไม่ทำแบน ๆ แบบบ้านเรา แต่จะเป็นไม้เนื้อขาว ๆ ที่กลึงให้กลมเรียบไม่มีเสี้ยนเลย ขนาดตะเกียบที่กินเฝอตะกี้อ่ะ)



กินไอติมกันแล้วเดินออกจากตรอก มองไปไกล ๆ สุดถนนจะเห็น Opera House เป็นโรงละครของเวียดนาม สถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส


เดินต่อมาชมเมืองย่าน ร้านค้าต่าง ๆ ต้องเดินย้อนกลับมาทาง ทะเลคืนดาบ แวะถ่ายรูปเล่น ๆ ซักนิด เพื่อรอเวลาดูการแสดงหุ่นกระบอกน้ำรอบ 18.30 น.

เดินหลายชั่วโมงแล้ว หน้าเริ่มมันเยิ้มเชียว และอีกนานกว่าจะถึงเวลา ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรอบ ๆ ทะเลสาบแล้ว เดี๋ยวคงต้องกลับไปอาบน้ำที่โรงแรมให้สบายตัวก่อนมาดูหุ่นกระบอกน้ำดีกว่า



เดินไปเดินมาหมดแรง ช่างภาพก็เริ่มตาลาย ๆ ...เอ้ยยย...ไม่ใช่ นี่เป็นมุมกล้องนะตั้งใจโฟกัสไปที่ "เจดีย์กลางน้ำ" เป็นของคู่เมืองเวียดนามอีกอย่างหนึ่ง


ภาพนี้ตั้งใจโฟกัสที่คน เจดีย์เลยเบลอ ๆ หายไปเลย


ขอถ่ายภาพคู่กับสะพานสีแดง แบบมุมไกลอีกสักภาพก่อนดีกว่า


ทางเดินรอบ ๆ ทะเลสาบคืนดาบ จะมีผู้คนมาเดินเที่ยว นั่งพักผ่อน วิ่งออกกำลังกายอยู่มากพอสมควร


นักท่องเที่ยวกลุ่มทัวร์ญี่ปุ่นนั่งรถสามล้อชมเมืองเป็นทิวแถว พูดถึงรถสามล้อ...เวลาเดินไปตามถนนมักจะเจอคนปั่นสามล้อถามว่า One Hours 40000 ดอง เค้าหมายความว่า "สนใจจะนั่งรถชมเมือง 1 ชั่วโมงคิด 40000 ดอง เอามั๊ย" เราก็ตอบเค้าไปประมาณว่า "ไม่หละขอบคุณ เราอยากจะเดินดูไปรอบ ๆ ก่อน" (จริง ๆ เมื่อยขาจะแย่แล้วหละ แต่กลัวจะกลับมาไม่ทันดูหุ่นกระบอกน้ำน่ะสิ อากาศวันนั้นร้อนพอสมควรเหมือนฝนใกล้จะตก ก็เลยอบอ้าวจนเนื้อตัวรู้สึกเหนียวหนึบหนับไปหมด...ไม่ไหวแล้ว ไปอาบน้ำก่อนมาดูละครดีกว่า)


อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกจากโรงแรมที่พักไม่ไกลนักก็ถึงโรงแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ถ้าจำไม่ผิดการแสดงจะมีเป็นรอบ ๆ คือ 17.00 น., 18.30 น., 20.00 น. และ 21.30 น. ทัวร์จากที่ต่าง ๆ มาชมกันเยอะมาก เมื่อเดินมาถึงหน้าโรงละครก็แทบไม่มีที่จะยืน เพราะคนมายืนรอกันแน่นไปหมด


ก่อนถึงเวลา 18.30 น. รอบก่อนหน้านี้ก็เริ่มทยอยออกจากโรงละคร พอคนออกหมด เค้าก็ให้คนรอบต่อไปเข้าไปชม ถ้าเอากล้องเข้าไปจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 5000 ดอง


ทดสอบถ่ายภาพในโรงละครซักหน่อย ก็ได้ภาพ "สาวตาเหลือก" กับ "หนุ่มตาโรย" ไปคนละภาพ


เวลา 18.30 น. การแสดงก็ได้เริ่มขึ้น มีนักดนตรีมาบรรเลงเพลง และขับร้องเพลงเวียดนามให้ฟังก่อน และตามด้วยการแสดงของหุ่นกระบอกน้ำ


นักดนตรีผู้หญิงเสื้อสีแดง ไม่รู้เล่นเครื่องดนตรีชื่ออะไร เป็นสายเสียงเพราะมาก ๆ (ลักษณะเหมือนใช้มือซ้ายเล่นซอด้วง ผสมมือขวาเล่นจะเข้) ส่วนเสื้อสีเหลืองเป็นนักร้องเค้าจะมีอุปกรณ์เหมือนกรับเล่นประกอบระหว่างการร้องของเค้าด้วย


ลีลาการเล่นดนตรี


เนื้อหาของละครหุ่นที่เล่นเริ่มต้นก็จะแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเวียดนาม เช่น มีการเพาะปลูก จับปลา ทำสวน ทำไร่ ปลูกข้าว ฯลฯ จากนั้นก็จะเล่าถึงประวัติเกี่ยวกับ "ทะเลคืนดาบ" หุ่นที่นำมาแสดงมีหลายแบบมาก ทั้งคน พืช สัตว์ สิ่งของ ตลอดการบรรยายภาพรวมเป็นภาษาอังกฤษ แต่เวลาตัวละครสนทนากันจะเป็นภาษาเวียดนาม




ถึงฉากนี้เป็นฉากที่พระจักรพรรดิ์ถือดาบมาที่ทะเลสาบ


เต่าศักดิ์สิทธิ์ มาคาบดาบคืนจากพระจักรรพรรดิ์


เมื่อการแสดงจบลง คนเชิดหุ่นกระบอกน้ำก็ออกมาโชว์ตัว ใช้เวลาในการแสดงทั้งหมด ประมาณ 1 ชั่วโมง




ออกจากโรงละครหุ่นกระบอกน้ำ ก็เริ่มจะหิวนิด ๆ (อีกแล้ว) แต่ไม่อยากกินเยอะ เลยเดินมองหาอะไรเบา ๆ กิน ย่านที่เดินมีร้านขายอาหารเยอะมาก ส่วนมากจะเป็น Sea Food เดินหาอะไรเบา ๆ อยู่นานก็ไม่เจอ ไปเจอร้านขายบะหมี่คล้าย ๆ บ้านเรา เอ้า...ลองสักหน่อยดีกว่า ไปถึงสั่งเลย ชี้ไปที่เส้นบะหมี่ในตู้ แล้วยกนิ้วขึ้น 2 นิ้ว (มุขเดิม) คนขายผู้ชายพยักหน้า เป็นอันเข้าใจ แต่เราเกิดเปลี่ยนใจ อยากกินน้ำชาม แห้งชาม เลยไปสั่งใหม่ ชี้ไปที่หม้อต้มน้ำชุบ แล้วยก 1 นิ้ว คนขายพยักหน้าแล้วเอาชามมาให้ดู 1 ชาม กับ เอาจานมาให้ดู 1 จาน ตอนแรกก็ไม่เข้าใจคิดว่าเขาจะเอาจานมารองชาม จึงยกนิ้วชู 2 นิ้ว เพื่อจะบอกเค้าว่า เอา 2 ชาม เค้าพยักหน้าอีก เค้าเข้าใจ...แต่เราไม่เข้าใจ เค้าก็เลยพูดว่า Soup One, No Soup One โอ้ว..ใช่เลย เราก็ได้แต่หัวเราะแล้วคิดในใจ..เออ เราไม่ดีเอง พูดกับเค้าแต่ทีแรกก็ไม่ต้องเมื่อยมือแล้ว


เป็นสิ่งที่แปลกจากบ้านเราอีกอย่าง คือ บะหมี่แห้งที่นี่จะใส่จาน ไม่ใส่ชามเหมือน บ้านเรา แล้วเครื่องปรุงจะมี 3 อย่าง คือ ซอสพริก น้ำส้มใส ๆ และเกลือ ไม่มีน้ำตาลเหมือนที่บ้านเรา (ถึงว่าสิคนที่นี่หุ่นดีจัง)


บะหมี่น้ำก็น่ากิน รสชาดดีเหมือนกัน เครื่องก็คล้าย ๆ บะหมี่บ้านเรา แต่เค้าเพิ่มไข่ต้มมาให้ 1 ชิ้น (ขนาดประมาณเศษ 1 ส่วน 8 ฟอง) แล้วก็มีตับหมูต้ม (เป็นบะหมี่หมูแดงที่ใส่ตับด้วย จะเป็นตับหมูต้มกับเกลือแล้วหั่นบาง ๆ แต่ก็อร่อยดีนะ)


บะหมี่แห้งยิ่งน่ากินเข้าไปใหญ่ เครื่องที่ใส่มาเหมือนบะหมี่น้ำเปี๊ยบแล้วไม่เติมน้ำในชาม แต่ใส่น้ำซอสรสชาดเหมือนน้ำที่ราดข้าวหน้าเป็ด แล้วเค้าจะมีน้ำซุปให้ มีเกี๊ยวใส่มาให้ด้วย (โห..สั่งแห้ง 1 แต่ได้กินทั้งแบบแห้งและแบบน้ำเลย...ตกลงนี้อาหารเบา ๆ มากเลยนะเนี่ย)


อิ่มท้องแล้วกลับโรงแรมดีกว่า รีบนอนออมแรงไว้ผจญภัยพรุ่งนี้ต่อ



ภาคต่อไปเป็นการใช้ชีวิตอยู่ในเวียดนามเป็นวันที่ 2 ต้องเดินทางไกลไปเที่ยว "ฮาลอง เบย์ " ชมความสวยงามของธรรมชาติ ผสมความวุ่นวายอะไรบ้าง...โปรดติดตามกันต่อไปนะจ๊ะ




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2550    
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 16:20:35 น.
Counter : 1643 Pageviews.  

Good morning "Vietnam" #1 (วันแรก)

วันที่ 2-5 สิงหาคม 2550 (4 วัน 3 คืน) มีโอกาสไปเที่ยวเวียดนาม ไปกัน 2 คนกับคนที่รู้ใจ อาศัย Air Asia ตั๋วค่อนข้างถูกกว่าปกติ รวมทุกอย่าง tax ภาษีสนามบิน ไป-กลับ คนละ 3300 บาท (ปกติประมาณ 5000 บาท) ไปเช้ามากรอบแรก Flight 7.00 น. ต้องตื่นไปเช็คอินให้ทันตี 5 ครึ่งแน่ะ


เครื่องบินใช้เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที ถึงสนามบินนอยใบ ซึ่งเป็นสนามบินของ เมืองฮานอย ลงจากเครื่องบิน ไม่ได้ถ่ายรูปเลยเพราะตัวผมมีปัญหาเรื่องของ ตม. ตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนาม เค้าให้ผมรอ แล้วเค้าเอาพาสปอร์ตผมไป อีก 20 นาทีก็กลับมาแล้วให้ผ่านไปได้ ผมถามเค้า ๆ ก็ไม่ตอบได้แต่ยิ้ม ส่วนภรรยาผ่านฉลุย งง ๆ เหมือนกัน



รถ Taxi มารับ ทางออก ค่า Taxi เป็นเงิน $10 ระยะทางประมาณ 35 กม. แต่ใช้เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมง (ที่นั่นรถวิ่งได้เร็วสุด 60 กม./ชม.) โรงแรมที่พักชื่อ Viet Anh Hotel (โรงแรม 2 ดาว) ผมจองผ่าน Web site ของโรงแรม (//www.viteanhhotel.com) ห้อง Deluxe ราคา $29 ต่อคืน รวมอาหารเช้า โรงแรมตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ใกล้กับทะเลคืนดาบ โรงหุ่นกระบอกน้ำ วัดหงอกเซิน






ภายในห้องไม่ใหม่มาก แต่ไม่เก่า แอร์เย็นดี น้ำอุ่น (ถึงร้อน บางจังหวะ -.-'') เคเบิลทีวี ถือว่าดีใช้ได้


หลังจาก Check in ที่โรงแรมเสร็จแล้ว ก็เดินไปจองตั๋ว ดูหุ่นกระบอกน้ำ ค่าเข้าชมมี 2 ราคา 20,000 และ 40,000 ดอง ผมจองได้รอบ 18.30 น. ใครไปเวียดนามต้องไปดู เพราะว่าเป็นเหมือนของคู่บ้าน เรื่องเงินผมคิดง่าย 10000 ดอง เท่ากับประมาณ 25 บาท



โรงแสดงหุ่นกระบอกน้ำอยู่ใกล้ ๆ กับทะเลคืนดาบ


หลังจากซื้อตั๋วหุ่นกระบอกน้ำได้แล้ว ก็เดินข้ามทางม้าลายไปยังวัดหงอกเซิน ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณทะเลสาบคืนดาบ (Hoan Kiem Lake)


วัด และทะเลสาบ แห่งนี้ เป็นสถานที่ยอดนิยม ของทั้งคนเวียดนาม และนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อมาฮานอย ต้องมาที่นี่ หน้าวัดจึงเต็มไปด้วย ช่างกล้องที่มารอรับจ้างถ่ายรูปนักท่องเที่ยว และ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และรถ Taxi


จ่ายค่าเข้าชมวัดหงอกเซิน คนละ 3000 ดอง (ประมาณ 7 บาท)


เมื่อผ่านเข้าประตูวัดจะต้องข้ามสะพานสีแดง นับเป็นสะพานยอดฮิต สัญลักษณ์ของฮานอยอีกแห่ง


ขอถ่ายรูปคู่กับสะพาน ไว้เป็นที่ระลึก แต่ต้องผลัดกันถ่าย ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไป








ประตูทางเข้าวัดจะมีคนรอเก็บบัตรอยู่ (เสื้อขาวโน่นนะจ๊ะ)



บรรยากาศภายในวัน จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไหว้เจ้า และนั่งเล่นกันเป็นประจำ วัดหงอกเซิน เป็นเกาะอยู่กลางทะเลสาบ


ขอถ่ายรูปคู่กับประตูในวัดหน่อยนะ


เต่าศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดนำมาสต๊าบไว้ ตัวใหญ่มาก เป็นตำนานโบรานคือเป็นเต่าที่มาคาบดาบจากพระจักรพรรดิ์ที่สามารถขับไล่ศัตรูได้ (ข้อมูลไม่มั่นใจ คราว ๆ น่าจะเป็นอย่างนี้ ละครหุ่นกระบอกน้ำก็เล่าเรื่องของเต่าตัวนี้หละ)


ในตู้นั้น "เต่าศักดิ์สิทธิ์" ส่วนคนหน้าตู้นี้ "เต่า ศักดา" เลยขอถ่ายรูปคู่กันไว้สักหน่อย


บรรยากาศในวัดอีกมุมหนึ่ง เมื่อเดินไปถึงบริเวณที่มีคนยืนอยู่นั้น สามารถมองเห็นวิวฝั่งเมืองได้


บรรยากาศบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบ (เมื่อมองมาจากวัดหงอกเซิน)


เจดีย์กลางทะเลสาบคืนดาบ เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองฮานอย




การเริ่มต้นของการตะลอนเที่ยวเวียดนามของเราสองคนเพิ่งเริ่มต้น
โปรดติดตามตอนต่อไป..อีกไม่นานเกินรอจ้า




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2550    
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 16:22:44 น.
Counter : 1984 Pageviews.  

1  2  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.