Good morning "Vietnam" #8 (วันที่สี่)
เที่ยววัดเสาเดียวเสร็จก็เดินไปเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกัน เดินได้สบายมาก เรามาถึงพิพิธภัณฑ์ฯ ประมาณเที่ยงกว่า ๆ เค้าปิดอยู่จะเปิดอีกครั้งเวลา บ่าย 2 โมง (ที่นี่เค้าพักกลางวันกันตั้ง 2 ชั่วโมงแน่ะ...ดีจัง) เราเลยต้องนั่งรอบริเวณนั้น มีคนนั่งรอรอบ ๆ เยอะมาก พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์เป็นที่เก็บสิ่งของ และเล่าเรื่องราวชีวิตของลุงโฮบ่าย 2 โมงตรง ประตูเปิด คนต่างชาติอย่างเราต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 10000 ดอง คนเวียดนามไม่ต้องเสีย ก่อนเข้ามีการตรวจอาวุธ (เดินผ่านประตูตรวจโลหะเหมือนที่ตรวจที่สนามบิน) ตรวจกระเป๋า และไม่ให้นำกระเป๋าเข้า เราไหวตัวไม่ทันเลยหยิบฉวยติดมือเข้าไปได้แค่กล้องถ่ายรูปเท่านั้น ขาตั้งกล้องอุตส่าห์พกมาโดนยึดไปอีกแล้วภายในเป็นอาคารติดแอร์ 2 ชั้น ชั้น 1 ส่วนที่ใช้เล่าเรื่องราวการทำงาน และเก็บสิ่งของเครื่องใช้ของลุงโฮไม่รู้ว่าเป็นโล่ หรือจาน มีภาพถ่ายร่วมกันเพื่อแสดงสัมพันธไมตรีระหว่าง 2 ประเทศ คือ ปรีดี พนมยงค์ (นายกรัฐมนตรีของไทยในสมัยนั้น) นั่งคุยกับลุงโฮ (ประธานาธิปดีของเวียดนาม)เดินชั้น 1 ไม่ค่อยมีอะไรมาก พอเดินขึ้นบันไดมาชั้น 2 เจอรูปปั้นลุงโฮใหญ่มาก เลยขอถ่ายรูปไว้หน่อยภายในชั้น 2 ตกแต่งในลักษณะศิลปะสมัยใหม่ที่คงไว้ซึ่งความเป็นชนชาติเวียดนามได้สวยงามมาก แสดงถึงความเป็นอยู่ และสงครามในเวียดนามอาวุธ และอุปกรณ์เครื่องใช้ยามเกิดศึกสงครามในยุคต่าง ๆ ของเวียดนามรถที่ยิยมใช้กันมากที่สุดในช่วงสงครามเวียดนามคือ "จักรยาน" พาหนะยอดนิยมที่สามารถบรรทุกอะไรได้เยอะมากอาวุธที่มีร่องรอยการผ่านสงครามมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถถัง ลูกระเบิด จรวด เครื่องยิงลูกระเบิด กับระเบิด มีการนำมาจัดโชว์ได้สวย และยังคงไว้ซึ่งความขลังของสงครามสมัยนั้นเป็นแผนที่จริงที่ใช้สำหรับวางแผน บุกยึดเมืองไซง่อน เวียดนามใต้ ดูยุทธศาสตร์การทหารของลุงโฮ แล้วทึ่งมาก กับแผนการบุก มีการวางแผนเป็นอย่างดี เป็นขั้นเป็นตอน โจมตีทุกด้านของเมือง โดยค่อย ๆ ยึดเมืองรอบ ๆ ก่อนบุกเข้าสู่ศูนย์กลางอุปกรณ์ในการทำสงคราม เช่น กับดักไม้ไผ่ กับดักเหล็กแหลม กิโยตินที่ใช้ตัดศีรษะข้าศึกหรือเชลย ซึ่งดูใกล้ ๆ น่ากลัวมาก เพราะทุกอย่างดูแล้วล้วนเป็นของจริงที่เคยผ่านการใช้งาน...บรึ๋ยยยใช้เวลาในการชมพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็ได้เดินตรงจากหน้าประตูพิพิธภัณฑ์ฯ ผ่าน 2 สี่แยก แล้วเลี้ยวขาว เพื่อมุ่งหน้าไปชมร่องรอยสงครามเวียดนามที่พิพิธภัณฑ์อีกแห่ง "พิพิธภัณท์สงครามเวียดนาม" เป็นที่จัดแสดงเรื่องราว เก็บรวบรวมอุปกรณ์ อาวุธต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นของเวียดนามเอง หรือฝ่ายกองทัพพันธมิตร ซึ่งนำโดยประเทศสหรัฐฯ เสียค่าเข้าชมคนละ 20000 ดอง และต้องฝากกระเป๋าอีกแล้วเดินเข้าอาคารพิพิธภัณฑ์มาเจอรูปปั้นลุงโฮ ประดับฉากหลังด้วยสัญลักษณ์ค้อน เคียว และดาว 5 แฉก บนผืนผ้ากำมะหยี่สีแดงสดทำให้รูปปั้นลุงโฮดูเด่นยิ่งขึ้น เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสักภาพก่อนเดินทางต่อไปห้องอื่น ๆ ซึ่งจะจัดแบ่งเป็นห้อง ๆ ไว้ถ้าจะเดินให้ทั่วทุกห้องโดยไม่หลงจะต้องดูไปตามแผนที่ที่เค้าแจกให้ตอนซื้อตั๋วเข้าชมห้องจัดแสดงอาวุธ และเรื่องราวของผู้นำในการรบเดินเข้าไปในห้องนี้ จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ของทหารฝรั่งเศส แสดงหลักฐาน และร่องรอยการต่อสู้ในค่ายเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นค่ายของทหารพันธมิตร ที่ถูกทหารเวียดนามตีแตก ทหารตายเป็นจำนวนมาก สังเกตหมวกเหล็กบนแท่นไม้ก็รู้ว่าทหารเจ้าของหมวดจะรอดหรือไม่ป้อมหอคอยสูง ที่เอาไว้ตรวจตราข้าศึกซากเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ที่ใช้ในสงคราม ก็มีการนำมาจัดแสดงให้ไว้เป็นที่ระลึกรถเอนกประสงค์ของชาวเวียดนาม ยามศึกสงคราม เอาปืนครก ไปติดตั้งบนรถจักรยาน ขับไปยิงข้าศึก นับเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่ง เพราะปืนชนิดนี้มีความแรงมาก จึงมีการถ่วงน้ำหนักที่จักรยานด้วยกระสอบใส่หินหรือทรายทั้ง 2 ข้างเพื่อไม่ให้รถกระเด็นถอยหลังนี่ก็นับเป็นภูมิปัญญาในการทำสงครามอีกอย่างของทหารเวียดนาม ที่ขุดอุโมงค์มีความยาวนับสิบ ๆ กิโลเมตร เพื่อพักอาศัยและหลบลูกระเบิด ข้างในจะแบ่งเป็นห้องมากมายหลายแบบ บ่งบอกถึงความอดทนของทหารเวียดนามเดินชมพิพิธภัณท์สงครามเวียดนามเสร็จ เราก็เดินข้ามถนนหน้าพิพิธภัณฑ์ไปฝั่งตรงข้ามเพื่อรถเมล์สาย 09 กลับไปที่ทะเลสาบคืนดาบ ระหว่างรอเห็นรถเมล์มีโฆษณาขนมยอดฮิตของที่เวียดนาม Choco-Pie เลยถ่ายมาให้ดูซะหน่อย ใครอยากชิมที่เมืองไทยก็มีมาขายแล้วเหมือนกันนะรถเมล์มาจอดบริเวณทะเลสาบคืนดาบ (เค้าจอดให้ลงที่ป้ายเดิมที่ขึ้นเมื่อตอนเช้านั่นแหละ) รู้สึกหิว ๆ แต่เรามีแผนจะกินอาหารในดวงใจอยู่แล้วเลยไม่รอช้ามุ่งหน้าไปร้านขายที่เราเรียกว่า "ส้มตำ" ที่กินเมื่อวานนี้ไง รีบเข้าไปสั่งอย่างชำนาญ ตั้งใจจะกินแค่จานเดียว เพราะกลัวจะกินไม่หมด แต่มีคนอยากกินอีกเลยสั่งเพิ่มอีก 1 ดูรูปเอาเองแล้วกันว่ารสชาดเป็นอย่างไร คนกินมีความสุขแค่ไหน สุดท้าย 2 จานก็ไม่เหลือ (นี่ยังเกรงใจนะเนี่ย ไม่งั้นยกซดแล้ว 555)กินส้มตำเสร็จเดินออกจากร้านไม่ถึง 100 เมตรเจอร้ายขายเฝอ เห็นคนขายสวยมาก แต่งสายเดี่ยวด้วย อดใจไม่ไหว เข้าไปสั่งเฝอไม่ใส่เครื่องใน 2 ชามชามใหญ่มากๆๆๆๆ อีกคนกินส้มตำมา 2 จานแล้วมาเจอเฝอชามเบ้อเร่อ คงกินไม่หมด ที่ไหนได้ ดูเอาเองแล้วกันกินเสร็จจ่ายตังค์ชามละ 15000 ดอง รวมเป็น 30000 ดอง แล้วเดินกลับโรงแรม เปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ให้รถไปส่งสนามบิน เพื่อรอขึ้นเครื่อง Air Asia FD3707 เวลา 21.30 น. ไปถึงสนามบินก่อนเวลาเยอะ เลยนอนพักผ่อนสักนิดนึง ไปเวียดนามได้ซื้อของส่วนตัว 1 อย่างคือ เป้ที่สามารถลากได้เพราะมีล้อ Semsonite สีดำแดง ของ copy ที่บ้านเราเคยถามราคา 1800 บาท ที่เวียดนามบอก 1200 ต่อเหลือ 650 บาท ตั้งใจจะเอาไว้ Back Pack ไปหลวงพระบาง 23.50 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นที่เรียบร้อย ขากลับเครื่องบิน ๆ เร็วมาก (สงสัยกัปตันง่วงเลยรีบขับจะได้กลับไปนอนไว ๆ อิอิ)สรุปค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวเวียดนามครั้งนี้เรา 2 ใช้เงินดังนี้ค่าเครื่องบิน ไป-กลับ 2 คน 7,300 บาทแลกเงิน us $300 ใช้ไป $269 x 33.8 = 9,093 บาทใช้เงินไทยในเวียดนาม 1,400 บาทค่า Taxi สุวรรณภูมิ ไป-กลับ 500 บาทรวม 18,293 บาท คุ้มจริง ๆ สำหรับประสบการณ์ชีวิตครั้งหนึ่งของคน 2 คนจบแล้ว...สำหรับเรื่องราวการท่องเที่ยวชุด "Good Morning Vietnam" ขอบคุณที่ติดตามชมกันนะจ๊ะ พบกันใหม่ Trip หน้าเดือนกันยายนปีนี้ สำหรับตอนนี้ บ๊าย บายจ้า
Good morning "Vietnam" #7 (วันที่สี่)
วันนี้เป็นวันที่ 4 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการท่องเที่ยวเวียดนามของเรา โปรแกรมวันนี้คือ ตลุยเมืองฮานอย ไปเยี่ยมลุงโฮ (โฮจิมินห์) เราตื่นสายกว่า 3 วันที่ผ่านมา ตื่น8 โมง กินอาหารเช้าโรงแรม 9 โมง เก็บข้าวของใส่กระเป๋าลงไป Check Out แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเพื่อที่เราจะไปเที่ยวกันก่อน ติดต่อกับโรงแรมว่าเราจะกลับมาที่โรงแรมอีกครั้งตอน 6 โมงเย็น ให้ช่วยเรียกรถ Taxi ไปส่งเราที่สนามบินด้วย ทางโรงแรมก็รับจองไว้ให้โดยแจ้งว่าค่า Taxi ราคา $10 หลังจากติดต่อเรื่องฝากกระเป๋ากับจองรถที่จะไปสนามบินเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินออกจากโรงแรมมาหน่อยมาเจอร้านรับทำตราประทับเราเลยทำบ้างไว้เป็นที่ระลึกเป็นสัญลักษณ์ของเราสองคนที่ได้มีโอกาศมาเยือนเวียดนาม โดยเป็นรูปสาวเวียดนามหาบของ แล้วใส่ชื่อเรา ORN & TAO ลงไปด้วย ช่างแกะสลักบอกว่านั่งรอรับได้เลยใช้เวลาประมาณทำ 15 นาที ราคา 50000 ดอง วันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยว สุสานโฮจิมินห์ ทำเนียบประธานาธิบดี บ้านพักของลุงโฮฯ วัดเสาเดียว พิพิธภัณท์โฮจิมินห์ พิพิธภัณท์สงครามเวียดนาม (หลายที่มาก ๆ ลองติดตามชมกันต่อนะ) เราลองนั่งรถเมล์ไปกัน ไปขึ้นรถตรงวงเวียนใกล้ ๆ กับทะเลสาบคืนดาบ เป็นท่ารถเมล์หลายสายที่แรกที่เราจะไปคือ "สุสานโฮจิมินห์" เราต้องขึ้นรถเมล์สาย 09 ขึ้นไปแล้วก็ยังไม่แน่ใจ (แต่ตามแผนที่บอกไว้ว่าเบอร์ 09 นี่นา แต่เพื่อกันวืด...ถามไว้ก่อนไม่เสียหลาย) ก็ได้ไปถามกระเป๋ารถเมล์บนรถอีกครั้ง ว่าไปสุสานโฮจิมินห์หรือไม่ กระเป๋ารถเมล์บอกกับเราว่า ไป (อืม...ค่อยใจชื้นขึ้นหน่อย) เราก็บอกว่าถ้าถึงแล้วช่วยเรียกด้วย บรรยากาศในรถเมล์ค่อนจัดว่าเป็นบริการสาธารณะที่ได้มาตรฐานดี เป็นรถเมล์ปรับอากาศทุกสาย ค่าโดยสารคนละ 3000 ดองตลอดสายถูกดี (ถ้าเป็นบ้านเราก็เริ่มต้นที่ 12 บาทแล้ว) แถมนั่งสบายอีกด้วยไปถึงสุสานลุงโฮฯ ก็ตกใจว่าทำไมคนเยอะมาก ๆ ขนาดนี้ มีทั้งคนเวียดนาม และต่างชาติก็มีอยู่บ้าง เค้าเปิดให้เข้าไปเคารพศพลุงโฮฯ ตั้งเวลา 9.00 - 11.00 เท่านั้น และไม่ให้พกพาทรัพย์สินอะไรเข้าไปเช่น กล้อง กระเป๋าสัมภาระ จะต้องฝากไว้ที่ที่รับฝากก่อนภาพนี้ยังเป็นภาพแถวของผู้ที่มารอเข้าไปเคารพศพลุงโฮฯ ภาพนี้ถ่ายอีกด้านนึงของสุสานนะ แถวยาวสุดตาเลย...โอ้ววววพอเราเห็นแถวยาวมากก็เกิดอาการถอดใจ เราเลยไม่ขอเข้าไปเคารพศพลุงโฮฯ แต่ขอถ่ายรูปกับหน้าสุสานของลงโฮฯ ไว้เป็นที่ระลึกก็พอ (ไม่อย่างนั้นวันนี้คงเที่ยวทั่วฮานอยไม่ครบเป็นแน่)ถ่ายภาพกันจนถึง 11 โมง สังเกตได้คือแถวผู้มารอเคารพศพลุงโฮฯ หมดไปแล้ว และพอถึงเวลานี้ทหารที่ควบคุมดูแลจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปต่อจากนี้ (เดินเฉียดยังไม่ได้เลย...เพราะเห็นนั่งท่องเที่ยวสาวผมทอง 2 คน เดินเฉียดไป โดนเป่านกหวีดไล่ทันควัน ประหนึ่งว่ากำลังเล่นฟุตบอลแล้วล้ำหน้า) ขออีกมุมที่หน้าสุสานลุงโฮฯ นะจ๊ะ แดดค่อนข้างแรงและอากาศร้อนมากเลยต้องมีอุปกรณ์เสริมซะหน่อยบรรยากาศอีกมุมของสุสานลุงโฮฯ พอหมดเวลาเค้าจะเก็บเต็นท์ที่กางไว้เป็นแนวทางเดินทันที ถ่ายรูปที่สุสานลุงโฮฯ เสร็จแล้วเราก็เลยวน ๆ เวียน ๆ อยู่แถว ๆ นั้นสักพัก พอดีใกล้เวลาที่จะปิดประตูเข้าไปชมทำเนียบประธานาธิบดี ผู้ดูแลเห็นเราสองคนเดินอยู่ก็เลยเป่านกหวีดแล้วกวักมือเรียก เราก็เลยรีบวิ่งกันผ่านเข้าประตูได้อย่างหวุดหวิด เพราะเค้าจะปิดประตูเข้าเวลา 11.30น. เสียค่าเข้าชมคนละ 10000 ดอง ทำเนียบประธานาธิบดีเป็นตึกสีเหลืองศิลปะฝรั่งเศสขอถ่ายรูปคู่กับตึกหน่อยนะ กดไปได้ 1 ภาพ ก็ได้ยินเสียงนกหวีดเป่าไล่ (ในใจคิด...เป่าอีกแล้ว...ฉันทำฟาวล์อีกแล้วหรือ จริง ๆ แล้วเค้าจะเป่าไล่ให้รีบเดินไปตามเส้นทางที่กำหนด ห้ามเดินแตกแถวหรือเดินแยกไปตรงโน้นตรงนี้ตามใจชอบ ต้องเดินตามเส้นทางที่กำหนด และตามเวลาที่กำหนดด้วย...อะจ้า ๆ หนูจะรีบไปเดี๋ยวนี้หละค่ะ เลยไม่ได้ถ่ายภาพให้พี่เต่าเลยเสียดายจัง)ไปเยี่ยมชมบ้านลุงโฮ กันต่ออยู่ใกล้ ๆ กับทำเนียบฯ นี่เป็นห้องรับประทานอาหารของลุงเค้าเค้าจัดทางเดินให้นักท่องเที่ยว เป็น One Way ห้ามออกนอกเส้นทาง ถ้าใครออกเค้าจะเป่านกหวีดไล่ ส่วนภาพนี้บ้านลุงโฮฯ ถ่ายจากด้านข้าง ถ่ายได้ภาพเดียวเพราะโดนนกหวีดเป่าไล่มาแล้วบ้านพักของลุงโฮฯ ถ่ายจากด้านหน้า เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น มีใต้ถุนสูงใต้ถุนของบ้านจะมีโต๊ะประชุม เข้าใจว่าเก้าอี้หัวโต๊ะน่าจะเป็นเก้าอี้ของลุงโฮฯนักท่องเที่ยวสนใจขึ้นไปดูบ้านลุงโฮฯ กันมากมาย ซึ่งชั้นบนของบ้านพักหลังนี้ประกอบด้วย 2 ห้องคือ ห้องทำงาน และห้องนอนจะอยู่ถัดไป แต่ไม่มีรูปให้ดู เพราะมืดมาก ภาพเลยไม่ชัดออกจากบ้านพักของลุงโฮฯ แล้วเจ้าหน้าที่เค้าบังคับให้เดินรอบสระน้ำหน้าบ้าน เลยขอแวะถ่ายรูปกับบ้านพักลุงโฮฯ ในมุมไกล ๆ สักหน่อย หลังจากเดินชมบ้านลุงแล้วมาถึงทางออก จะมีที่ขายน้ำ และร้านขายของที่ระลึก (เหนื่อยไม่เหนื่อย ร้อนไม่ร้อน ดูท่ากินน้ำของคนเสื้อสีชมพูก็รู้) ออกจากบ้านลุงโฮ เดินมาไม่ไกลก็จะเป็นสถานที่เที่ยวอีกแห่ง คือ วัดเสาเดียว เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแห่ง เพราะเห็นได้จากเป็นมีชาวเวียดนามจะมากราบไหว้กันอยู่เนือง ๆ ภาพนี้เป็นด้านหน้าของวัดมีบันไดทางขึ้นเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินกับตัววัดภาพของวัดเสาเดียวด้านข้าง สังเกตได้ว่าตัววัดตั้งอยู่บนเสาเพียงต้นเดียวเท่านั้น ก็เลยเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมจึงได้ชื่อว่า "วัดเสาเดียว"ขอถ่ายรูปกับวัดไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยนะตอนต่อไปเป็นตอนสุดท้ายเราจะพาไปชมร่องรอยจากสงครามเวียดนามกัน โปรดติดตามชมกันต่อนะจ๊ะ
Good morning "Vietnam" #6 (วันที่สาม)
ออกจากการชมวัดทั้ง 2 วัด รถก็ได้มุ่งหน้าสู่เมือง Nin Binh อดีตเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของเวียดนาม ตัวเมืองไม่ใหญ่ เมืองนี้เป็นทางผ่านไปสู่เวียดนามกลาง - เวียดนามใต้ Tam Coc จะอยู่เลยตัวเมืองไปไม่ไกล ส่วนในรูปเป็นท่าเรือที่นักท่องเที่ยวจะมาลงเรือกันที่นี่มาถึงท่าเรือเกือบเที่ยงรู้สึกว่าจะเป็นกรุ๊ปทัวร์แรก บรรยากาศที่ท่าเรือดูจะเงียบๆ ไกด์พาเราทั้ง 13 คนไปกินอาหารเที่ยง ไกด์เรียกภัตตาคาร แต่ความรู้สึกของผมเหมือนเป็นร้านอาหารทั่ว ๆ ไปในบ้านเรา เหมือนเมื่อเราไปเที่ยว ฮาลองเบย์ คือ ต้องไปนั่งกินอาหารรวมกับคนไม่รูจัก พอนั่งปุ๊บพนักงานก็เอาเมนูมาให้ผมตกใจคิดว่า ทัวร์นี้ดีให้เราสั่งอาหารกินเองได้ ที่ไหนได้ไกด์บอกว่าเค้าเสริฟ์แต่อาหารไม่รวม Soft Drink ดังนั้นเมนูที่ให้มาคือ ให้เราสั่งน้ำกินเองแล้วก็จ่ายเงินเองด้วย แปลกมากที่เวียดนามไม่มีน้ำกินฟรีแม้แต่ในห้องโรงแรมที่พักน้ำเปล่าสักขวดก็ยังไม่ฟรี (ก็เลยคิดว่าที่นี่น้ำเปล่าเค้าคงทำยากก็เลยแพง) รายการอาหารเหมือนเค้านัดกันทำกับที่ฮาลองเบย์แทบจะเหมือนกันแต่สู้อาหารที่ ฮาลองเบย์ไม่ได้ รายการมี ผัดถั่วงอกใส่หมู ผัดผักบุ้ง ผัดผักรวม หมูย่างคนละไม้ ปอเปี๊ยะทอด ทุกอย่างจืดหมด เรานั่งกินได้ไม่นานกรุ๊บทัวร์อื่นเข้ามาเต็มร้านไปหมด หลังจากกินอาหารเสร็จแล้วเราก็ไปลงเรือกัน เรือมารอรับมีเป็นร้อยลำ เรือ 1 ลำสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ 2-3 คน คนพายถ้าเป็นคนมีอายุหน่อยก็จะ 2 คน เรือลำที่เราไปมีนักท่องเที่ยวกันแค่ 2 คน กับคนพายอีก 2 คน "Go to Tam Coc" ได้นั่งเรือเป็นลำแรกของทัวร์ ก็ไม่รอช้าไปเลย อากาศตอนไปไม่ค่อยจะดี มืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตก (ก็ใจไม่ดีว่าวันนี้คงไม่ได้เก็บภาพสวย ๆ แน่เลย)เรือพายไปไม่ไกลจะเจอพวก ช่างกล้องมารอถ่ายรูปนั่งท่องเที่ยว เพื่อไปอัดรูปเวลาเรากลับมาจะเอารูปที่ถ่ายเรามายัดเยียดขายให้เราในราคารูปละ $1 (ถ้าไม่ซื้อก็จะมีการต่อว่า) พอเรือเราผ่านไปเค้าเรียก เฮ้ย, Hello,... สารพัดจะเรียก ให้เราหันหน้าไปหาจะได้ถ่ายรูป แต่ไม่ได้กินเราหรอก เราก็เลยถ่ายรูปเค้าซะ ขอบอกว่านั่งเรือไปจะมีตลอดทาง (ถ้าไม่อยากเสียเงินให้ระวังด้วย)เรือได้พายไปอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อน บรรยากาศ 2 ข้างทางช่วงแรก จะผ่านบ้านเรือนของคนเวียดนามจะต่างจากบ้านเราก็คือ เค้าจะใช้ปูนทำบ้าน ซึ่งไม่เหมือนกับบ้านริมน้ำของไทยเรานิยมใช้ไม้ทำบ้านกันพายไปประมาณ 20 นาที ก็จะเริ่มเข้าสู่ "ฮาลองบก" หรือ "Tam Coc" มองออกไปข้างหน้าของเรือ จะเห็นว่า 3 ข้างทางเป็นทุ่งหญ้า และทุ่งบัว โอบล้อมด้วยภูเขา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ Tam Coc แต่ตอนที่เรามาอาจเป็นฤดูที่ทุ่งหญ้าเริ่มลดน้อยลงทำให้ 2 ข้างทางดูสดชื่นน้อยลงกว่าภาพที่เราดูที่หน้าสำนักงานทัวร์ถ่ายรูปกรุ๊ปทัวร์ที่มากับเรา 2 สาวจีนกับรัสเซียต้องพายเรือลอดถ้ำทั้งหมด 3 ถ้ำ นี่เป็นถ้ำแรกที่เราต้องลอดผ่านเข้าไป อากาศในถ้ำจะหนาวสักหน่อย และก็มืดมาก ตอนเข้าไปจะไม่เห็นแสงด้านหน้า แต่พายเรือไปสักพักก็จะเห็นแสง คนพายเรือไม่ต้องใช้ไฟฉายนำทาง เพราะพายด้วยความชำนาญนี่เป็นกรุ๊ปทัวร์ของเราเหมือนกันเป็นชาวจีนทั้ง 2 คน คนพายที่นี่ส่วนใหญ่เค้าจะใช้มือพิเศษในการพาย (เจ๋งมาก ๆ เลย พาให้คิดต่อไปว่าเครื่องออกกำลังกายพวก "แอ๊บโดมิไนเซอร์" ที่ออกกำลังกายได้ทุกสัดส่วนนี่เค้าได้แรงบันดาลใจมาจากท่าพายเรือของชาวเวียดนามหรือเปล่าหนอ เพราะชาวเวียดนามทั้งชายหญิงเค้าจะหุ่นดีทุกคนเลย)บรรยากาศ 2 ข้างจะเป็นภูเขาปูนยาวไปตลอด และข้าง ๆ ของลำน้ำจะเป็นทุ่งหญ้า ในตอนแรกทั้งผมเคยดูรูป หรือดูสารคดีของที่นี่คิดว่าเป็นการปลูกข้าว แต่พอมาเจอกับตาตัวเองจึงถึงบางอ้อ แต่มันก็เป็นความแปลกของธรรมชาติที่สร้างสรรค์มา ทุ่งหญ้า 2 ข้างทางดูไม่สวยไม่เขียว แม้จะอยู่ในน้ำ จึงทำให้บรรยากาศดูจะแห้ง ๆ ไปหน่อยลอดถ้ำที่สองแล้วบรรยากาศเริ่มดีขั้น สวยขึ้นมาหน่อยมีแสงธรรมชาติพอให้ถ่ายรูปได้บ้างพายไปได้ไม่ไกลก็จะเข้าถ้ำที่สาม ป้ายสีน้ำเงินที่ปักอยู่หน้าทางเข้าถ้ำเค้าบอกว่าให้ระวังทรัพย์สินของท่านให้ดี (เหอ...เค้ามีขโมยขโจรกันในถ้ำด้วยหรือ)ปากถ้ำมีเรือขายของจอดเต็มไปหมด ลืมตัวคิดว่ามาตลาดน้ำดำเนินสะดวก หรือ ตลาดน้ำอัมพวา เราสังเกตว่าเหมือนเค้าจอดต่อคิวกันรออะไร พอเรือนักท่องเที่ยวมาพายเข้าถ้ำมาเค้าจะพายประกบเป็นลำ ๆ ไปแล้วจะมาให้เราช่วยซื้อนั้นซื้อนี่ ของที่เค้าขายจะเป็นพวก น้ำ ผลไม้ เบียร์ ขนม เรา Say No อย่างเดียว เค้าก็จะตื้ออยู่นั้นแหละ บอกให้เราซื้อเองบ้างให้เราซื้อให้คนพายเรือก็ได้เป็นทิป เราก็ไม่ได้ซื้อเพราะเราคิดว่าทิปให้เค้าเป็นเงินน่าจะดีกว่าเรือที่มาทุกลำจะจอดพักที่ถ้ำนี้ประมาณ 10 นาที ก็ได้เริ่มพายกลับ เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย (พยายามยิ้มหวานสุด ๆ แล้ว แต่ขากลับแดดร้อนมาก เลยได้แค่นี้)ถ่ายรูปคู่กับคนพายเรือไว้เป็นที่ระลึกด้วยช่วงที่พายเรือกลับท้องฟ้าเริ่มเปิด ไม่มืด แดดแรงมาก คนพายเริ่มจะเสนอสินค้ากันบนเรือ ของที่เค้าเอามาขายจะเป็น เสื้อ หมวก กระเป๋าผ้า ผ้าคลุมโต๊ะ เค้ายกมาเป็ยลังใส่เรือมาด้วย ก็เข้าใจว่าเค้าพายเรืออย่างเดียวรายได้คงไม่เท่าไรจึงหาของมาขายเพื่อเสริมรายได้ เราก็เลยช่วยเค้าซื้อกระเป๋าผ้าใบเล็กมาเพราะเห็นว่าสวยน่ารักสำหรับเป็นของฝากเพื่อน ๆ ที่เมืองไทยได้พอขายของเสร็จมีการย้ายลังสังกะสีไปขายต่อเรือลำอื่นอีก คนพายเรือบอกว่าเป็นเรือของน้องสาวเค้าเอง (เข้าใจทำกันดีนะเนี่ย) เริ่มมีเรือนักท่องเที่ยวพายสวนเรามา เพราะว่าเรากลับ เค้ามาที่ Tam Coc ถือเป็นที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของคนต่างประเทศ และรวมถึงคนเวียดนามด้วย มาดูความแปลกของธรรมชาติ นั่งเรืออยู่กลางหุบเขา แถมเป็นเรือเหล็กอีกต่างหากเรือนักท่องเที่ยวพายสวนกับเราเยอะมาก ๆ ขอบอกว่ามาก ๆๆๆๆ เป็นชาวเวียดนามเองก็มากที่กางร่ม ใส่หมวกแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ คงไม่ใช่คนเวียดนามแน่ ๆ ส่วนเรือลำหลังน่าจะเป็นญี่ปุ่นขากลับถึงท่าเรือเจอฝีพายรุ่นใหญ่ นั่งรอกรุ๊ปทัวร์อยู่ เลยถ่ายรูปมาไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยวันนี้เรากลับมาถึงฮานอยประมาณ 5 โมงเย็น เร็วกว่าไปฮาลองเบย์ ก็เลยมีเวลาเดินเที่ยวเล่นอีก ไปเจอร้านขายอาหาร (เราเล็งกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน เพราะเห็นคนมานั่งกินกันเยอะมาก ๆ เข้าใจว่าน่าจะเป็นอาหารยอดนิยมอีกอย่างของที่นี่) ขายอยู่ใกล้ ๆ กับโรงละครหุ่นกระบอกน้ำ ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร หน้าคล้ายปอเปี๊ยะสด กับส้มตำบ้านเรา เลยลองสั่งมาชิมสักหน่อย ราคาจานละ 15000 ส่วนประกอบในปอเปี๊ยะเท่าที่เห็นก็จะมีแผ่นแป้งห่อด้วยเส้นมะละกอ (เค้าจะขูดมาเป็นเส้นเล็ก ๆ แต่ก็กรอบดีอยู่) ใบสะระแหน่ กับผักสีเขียว ๆ ที่ให้กลิ่นหอมคล้ายใบยี่หร่า ใส่แหนมหมูเส้นเล็ก ๆ และใส่ถั่วป่นเล็กน้อย เสริฟ์คู่กับน้ำจิ้มถ้วยเล็ก ๆ ถ้วยนึง ส่วนส้มตำ (ขอเรียกตามที่เข้าใจละกันนะ) ก็จะมีส่วนประกอบเป็นเส้นมะละกอและผักใบเขียวต่าง ๆ แบบเดียวกับที่ใส่ในปอเปี๊ยะ แต่ไม่ใส่แหนมแต่จะใส่เนื้อและเครื่องในวัวตากแห้งจืด ๆ ที่เคลือบสีแดง ๆ (สีเหมือนหมูแดงบ้านเรา) แล้วใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ราดด้วยน้ำเชื่อมใสหวาน ๆ (หวานอย่างเดียวจริง ๆ) โรยถั่วตบท้ายก่อนเสริฟ์ให้ลูกค้า แรก ๆ ก็กินแบบหวาน ๆ ปะแล่ม ๆ ไปแต่พอเหลียวไปแลมาเห็นคนที่นี่เค้าจะเหยาะซอสพริกในโหลลงไปเล็กน้อยคลุกเคล้าก่อน รสชาดรวม ๆ เลยออกเปรี้ยว หวาน เผ็ดนิด ๆ...โอ้โห...คราวนี้เลยอร่อยเด็ดเลย (ติดใจ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันอีกแน่ อิอิ)แม่ค้าที่ขายปอเปี๊ยะสดกับส้มตำ เวลาขายของไม่เคยเห็นเจ๊เค้ายิ้มเลย แต่ไม่เฉพาะกับเรานะ ใคร ๆ เจ๊แกก็ไม่ยิ้มให้ (ไม่เป็นไรถึงเจ๊เค้าไม่ยิ้ม เราก็จะกินอยู่ดี หุ ๆ ๆ) แต่ลูกค้าก็มาอุดหนุนอยู่ไม่ขาดร้านส้มตำติดกับร้านขายของฝากก็เลยแวะดูสักหน่อย หาของไปฝากเพื่อน ๆ ดีกว่าจบการเดินทางท่องเที่ยวในเวียดนามวันที่ 3 แต่ยังไม่จบเท่านี้ เพราะยังไม่ได้ไปเยี่ยมลุงโฮ (จิมิน) เลย จะไปกันยังไง เยี่ยมลุงโฮแล้วไปที่ไหนอีกบ้าง โปรดติดตามการเดินทางท่องเที่ยวเวียดนามวันที่ 4 ของพวกเราได้อีกไม่นานเกินรอจ้า
Good morning "Vietnam" #5 (วันที่สาม)
วันนี้เป็นวันที่สาม ที่เรา 2 คนอยู่ในเวียดนาม โปรแกรมเที่ยวของเราวันนี้คือ one day trip to "Tam Coc" ซึ่งอยู่ที่เมือง Nin Binh ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของเวียดนาม อยู่ทางตอนใต้ของฮานอย ห่างจากฮานอย 110 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ค่าใช้จ่ายในการซื้อทัวร์ $18 ต่อคน รถตู้มารับที่หน้าโรงแรม 8 โมงเช้าเวลาเดิม แต่คราวนี้เราไม่ได้เป็นกลุ่มแรก รถตู้ได้รับนักท่องเที่ยวชาวจีนชายหญิง 2 คนมาก่อนแล้วแล้วรถตู้ก็ขับตระเวนรับนักท่องเที่ยวจนเต็มรถ มีทั้งหมด 13 คน เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน 3, ไทย 2, ฝรั่งเศส 4, ไอส์แลนด์ 3 และ รัสเซีย 1 คน จากนั้นรถก็แล่นออกไปสู่ถนนสายหลักเพื่อมุ่งสู่เมือง "Nin Binh" สองข้างทางที่รถแล่นผ่านเราจะพบสุสานได้เป็นช่วง ๆ ชาวเวียดนามนิยมฝั่งศพบรรพบุรุษไว้ในพื้นที่ดินทำกินของตนเอง ซึ่งจะเห็นได้ตลอดเส้นทางที่ผ่านเป็นจนภาพชินตาเมื่อเดินทางมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมง เค้าก็จอดแวะที่ "Tam Viet" (ลักษณะคล้ายศูนย์หัตถกรรมที่ไปมาเมื่อวันที่ 2) ให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนอริยาบถ เข้าห้องน้ำ ซื้อน้ำ ซื้อขนม และชมสินค้าหัตถกรรมตามอัธยาศัย ประมาณ 15 นาที จึงออกเดินทางต่อมีสินค้าหัตถกรรมเป็นภาพงานปักบนผื่นผ้าแล้วใส่กรอบพร้อมจำหน่าย ทั้งมีการสาธิตการปักภาพให้นักท่องเที่ยวได้ชมอีกเช่นเคยเดินไปรอบ ๆ จะพบสินค้าอื่น ๆ อีกมากมายวางขายอยู่ แต่มาสะดุดตาอยู่ที่ขวดอะไรหนอ วางเรียงอยู่บนโต๊ะ (ข้างหน้าผู้ชายใส่หมวก) รูปร่างเหมือนขวดเหล้า ว่าแล้วพี่เต่าก็ชักชวนให้ดู...ตุ๊กแกดองเหล้า...งูเห่าดองเหล่าขณะยังแผ่แม่เบี้ย...โอ้แม่เจ้า...เดินมาดี ๆ เกิดอาการเข่าอ่อน วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม (ก็รู้ว่าคนกลัวตุ๊กแก ยังจะมาชี้ชวนให้ดูอีก...แน่ะแถมยังมาหัวเราะขำเราซะอีกนั่น )จากนั้นรถตู้ก็นำพวกเราออกเดินทางต่อเพื่อมาที่วัดแห่งหนึ่ง ไกด์แนะนำว่าเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์องค์แรกของเวียดนามได้สร้างขึ้น เข้าใจว่าเป็นอารามหลวงในสมัยนั้น เนื่องจากจะมีประตูเข้าวัดอยู่ 3 ประตู โดยประตูซ้าย-ขวา สำหรับประชาชนทั่วไปผ่านเข้าไป ส่วนประตูกลางสำหรับพระมหากษัตริย์ แต่ปัจจุบันเค้าไม่หวงห้ามแล้ว เดินเข้าได้ทุกประตูเลยเมื่อเดินผ่านเข้าประตูวัดมาแล้วมองย้อนกลับไปที่ประตู 3 บานเมื่อสักครู่ จะเห็นความร่มรื่นภายในวัดที่มีการปลูกต้นไม้อยู่ทั้งสองข้างทางหันกลับมาเดินเข้าสู่ภายในตัววัดก็ยังคงอยู่ที่ทางเดินที่ทอดตัวยาวไปสู่วิหารที่อยู่ใจกลางวัด ก็เลยขอถ่ายภาพคู่กันไว้สักหน่อย จะเห็นว่าด้านหลังของวัดก็เป็นภูเขาล้อมรอบอยู่เดินลึกเข้าไป จะพบเส้นทางเดินเฉพาะสำหรับให้พระมหากษัตริย์ใช้ทำพิธีทางศาสนาเป็นบันลังก์หินสลักอย่างสวยงาม ไกด์แนะนำว่าบันลังก์หินนี้สำหรับพระมหากษัตริย์มาประทับนั่งและเมื่อเดินเข้ามาในวิหารของวัดจะพบว่าเวียดนามมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดไม่ถูกดูแลให้ดีพอ เนื่องจากจะพบฝุ่นและใยแมงมุมเกาะอยู่เป็นจำนวนมากเดินดูวัดแรกเสร็จออกมาหน้าวัด เจอพระของเวียดนามมาเที่ยว เลยถ่ายรูปให้ดูการแต่งตัวของพระเวียดนามหลังจากออกมาจากวัดแรก ก็เดินต่อไปดูวัดที่สอง อยู่ติดๆกัน เป็นวัดที่สร้างให้กับกษัตริย์องค์ต่อมาลักษณะของวัดทั้ง2 เหมือนกันมาก ประตูทางเข้าวัดที่สองบริเวณในวัดก็เหมือนกับวัดแรกแท่นบูชาก็คล้ายๆกันแต่วัดนี้มีเกี้ยวให้พระกษัตริย์นั่ง หลายรูปแบบชมวัดในประวัติศาสตร์ของเวียดนามแล้วตั้ง 2 วัด ใช้เวลาไม่นาประมาณชั่วโมงกว่าๆ วันนี้เป็นวันสบาย ๆ ไม่บู๊บุกตะลุยมากนัก ภาคต่อไปจะนำทุกท่านไปชมทัศนียภาพของ "ฮาลองบก" ว่าจะสวยงามเพียงใด และจะมีเหตุการณ์ตื่นเต้นอะไรอีกบ้าง โปรดติดตามชมกันในภาคต่อไป...อีกไม่นานเกินรอจ้า
Good morning "Vietnam" #4 (วันที่สอง)
เรือเริ่มเคลื่อนตัวออกจากท่าเทียบเรือช้า ๆ มุ่งหน้าสู่อ่าวฮาลอง ระยะทางไม่ไกลประมาณ 15 กม. ใช้เวลาในการเดินทางถึงอ่าวฮาลองประมาณ 30 นาที เมื่อมองย้อนกลับมาที่ท่าเรือยังคงมีเรือจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่อีกมากมายมองออกไปข้างหน้าจะเห็นเกาะเต็มไปหมด นั้นแหละคืออ่าวฮาลอง เห็นเรือนำนักท่องเที่ยวมุ่งหน้าไปแล้วหลายลำมองไปยังที่ท่าเทียบเรืออีกครั้ง เห็นมีเรือออกตามเรามาอีกหลายลำมาก สงสัยอ่าวฮาลองแตกแน่งานนี้ เรือที่นี่จะมีหัวเรือเป็นรูปหัวมังกรทุกลำ ตอนนี้แล่นมาได้ครึ่งทางแล้วช่องระหว่างเกาะข้างหน้าคือ ทางเข้าอ่าวฮาลองพอใกล้จะเข้าอ่าวฯ มีคนโผล่หัวมาสูดอากาศ...เอ้า..ฟืดดดดดเริ่มเข้าสู่ อ่าวฮาลอง แล้ววววววววววว ต้องขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือสักหน่อยเข้ามาในอ่าวมองไปทางด้านขวา มีเรือนักท่องเที่ยวจอดเทียบกับกระชังขาย กุ้ง ปู ปลา ในอ่าวฮาลองจะมีกระชังขายสัตว์ทะเลเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา เค้าขายกันเป็นกิโล เรื่องราคาไม่ได้ถาม (รอจะกินบนเรือ เพราะไกด์บอกว่ามีซีฟู้ดให้กินด้วย...หวานเรา ๆ) เรือที่เข้ามาจะไปจอดที่กระชังทุกลำ เพื่อให้นักท่องเที่ยว ลงไปซื้อ หรือพักผ่อนดูสัตว์ทะเลที่เลี้ยงไว้ในกระชัง เจอปลาเก๋าตัวใหญ่มากกกก เห็นแล้วนึกถึง ต้มยำหัวปลาเก๋า ปลาเก๋าราดพริก ปลาเก๋าผัดพริกไทดำ มีเรือเล็กพายมาขายผลไม้ให้นักท่องเที่ยวด้วยหละ...แต่เราไม่ซื้อ อิอิก่อนเรือออกจากกระชังขอเต๊ะท่าถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย (ป.ล. โปรดดูให้หล่อนิดนึงนะ นี่ตั้งใจเก๊กสุดใจเลยนะเนี่ย...)ออกจากกระชังมุ่งหน้าสู่ด้านในของ อ่าวฮาลอง ต่อไปเรือออกจากกระชัง ก็เริ่มมีการเสิร์ฟ อาหารเที่ยง พออาหารมาไม่ได้ถ่ายรูปเลย เพราะมัวแต่กิน...หิวมาก ในการกินอาหารเค้าจะเสิร์ฟเป็นโต๊ะ ๆ ละ 6 คน จับเรา 2 คนไปนั่งกับฝรั่งผู้ชาย 3 คน แล้วจับแหม่ม มานั่งด้วย 1 คนเป็น 6 คนพอดี เริ่มโดยเสิร์ฟน้ำจิ้มก่อนเป็น ซีอิ๊วเค็ม 1 ถ้วยเล็ก ๆ กับเกลือป่นดำ ๆ 1 ถ้วยเล็ก ๆ และมะนาว 1 ซีกเล็ก ๆ ทั้งหมดต่อคน 6 คนนะ...มันจะพอมั๊ยเนี่ย เมนูเป็นอาหารเวียดนามทั้งหมดอาหาร มีรายการตามลำดับดังนี้1. มันฝรั่งทอดจืด ๆ (ไม่อยากจะเรียกว่าเฟรนด์ฟรายหรอก เพราะเค้าหั่นใหญ่ ๆ เท่ามันทอดบ้านเราที่ขายคู่กับกล้วยแขกอ่ะ) จากแรกวางมา หมดเกลี้ยงภายใน 2 นาที ฝรั่งเค้าก็งง ๆ ว่าจะจิ้มกับอะไร และแล้วก็มีคนนึงเปิดงานโดยจิ้มกับ...ซีอิ๊วเค็ม (ไม่ยักกะเลือกจิ้มกับเกลือดำ ๆ แฮะ...อิอิ กลัวอะจิ) สงสัยที่เวียดนามเค้ากินเป็นกับข้าว เราก็เนียน ๆ กินตามเค้าไป2. ผ้ดเต้าหู้เค็มปะแล่ม ๆ เป็นเต้าหู้อ่อนหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋านำไปทอดก่อนแล้วมาผัดกับใบตั้งโอ๋ ต้นหอมนิดหน่อย ขอย้ำนิดหน่อยจริง ๆ นะ อันนี้หมดช้าหน่อยเพราะฝรั่งกินไม่เป็น...เราก็ค่อย ๆ กินกันสบาย ๆ3. ผัดผักรวมใส่ปลาหมึกจืดสนิท (เนี่ยหละซีฟู้ดของเจ๊ไกด์เค้าหละ...โห..เจ๊...หลอกให้เราวาดฝัน แต่คิดไปคิดมาเราคงตีความภาษาอังกฤษของเจ๊เค้าผิดไปเองหละ เพราะก่อนที่จะมาเจ๊เค้าบอกว่าบนเรือมี "Little seafood" อืม...มัน Little จริง ๆ เจ๊จ๋า) 4. ผัดผักบุ้งนารสชาดเค็มปะแล่ม ๆ ..ย้ำเค็มอย่างเดียวนะ ไม่มีหวานปนเลย เค้าไม่ใช้ผักบุ้งจีนเหมือนที่บ้านเราทำผักบุ้งไฟแดงนะ ส่วนผสมก็มีผักบุ้งและกระเทียมผัดกับน้ำมัน 5. ปลากะพงนึ่งใส่อะไรไม่รู้จืดอย่างเดียว 6. เส้นมาม่าลวกน้ำใส่ผักต้มจืด ๆ ขอย้ำ จืด ๆ รสชาดคือแค่ลวกน้ำก็มาเสิร์ฟเลยอ่ะ 7. ข้าว 1 กล่องพลาสติก ขนาดประมาณขันอาบน้ำมาตรฐานบ้านเรา (คุณพ่อครัวแกเล่นเสิร์ฟข้าวตอนกับข้าวใกล้จะหมดแล้ว...จะกินกับอะไรดีเนี่ย)8. สุดท้ายมีผลไม้ด้วย แตงโม 6 ชิ้น (นึกถึงเวลาเราไปซื้อแตงโมชิ้นละ 10 บาทตามรถเข็นนะ พ่อค้าเค้าจะหั่น ๆ ๆ เป็นรูป 3 เหลี่ยมใส่ถุงให้ นั่นแหละจะบอกว่า 6 ชิ้นที่เค้าเอามาให้คือขนาดเท่าแตงโมที่หั่น 3 เหลี่ยมแล้วอ่ะ...เอ้อ ที่นี่เค้ากินผลไม้กันจิ้มลิ้มจริง ๆ) ขอบอกอีกอย่างว่าเค้าไม่มีน้ำให้ดื่มนะ ต้องซื้อกินเองต่างหาก (หวงจังที่นี่ น้ำก็ไม่มีให้กิน) ด้วยความหิวเรา 2 คนกินเรียบ ฝรั่งมัวแต่คุยกัน ได้ที่พี่ไทยอย่างเรา 55555 สงสารแต่สาวฝรั่งกินได้แค่มันฝรั่งทอด กับแตงโมพอเรากินเสร็จก็ได้เริ่มคุยกับฝรั่งที่ร่วมโต๊ะเรื่องเมืองไทย กับเวียดนาม ฝรั่งบอกว่าเมืองไทยอาหาร บริการดีกว่า และน่าอยู่ น่าเที่ยวกว่า (ได้ยินแล้วชื่นใจจัง)เรือล่องไปเราก็กินไป หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ เรือมาจอดส่งเราที่หน้าทางเข้าถ่ำ ชื่ออะไรสักอย่างจำไม่ได้อีกแล้ว คนเยอะมาก ๆ ต้องเดินไต่บันไดขึ้นไปเข้าถ้ำ (ลำบากแท้...ที่ลำบากนี่ไม่ได้ขึ้นถ้ำลำบากนะ ลำบากที่ต้องสูดกลิ่นจั๊กกะแร้ใครก็ไม่รู้น่ะสิ...เวียนกระหม่อมไปหมด...แต่ก็พยายามเข้าใจนะว่าวันนี้อากาศร้อนมาก ๆ เหงื่อไหลไคลย้อยไปตาม ๆ กัน)ภายในถ้ำ จะมีไฟแสงสีตามที่เห็นตอนแรกเราคิดว่าดิสโกเทค เค้าเอาแสงสีไฟมาประดับในถ้ำ ดูแล้วไม่ได้บรรยากาศธรรมชาติไกด์ทัวร์ของเรา (สาวเสื้อดำ) กำลังอธิบายเกี่ยวกับรูปต่าง ๆ ภายในถ่ำ บักท่องเที่ยวที่กำลังยืนฟังคือกรุ๊ปทัวร์ของเราเอง ฝรั่งเสื้อฟ้าคนอังกฤษ ส่วนผู้หญิงเสื้อขาวกางเกงขาสั้นคนสิงคโปร์ (ชื่อหลิน สัมภาษณ์มาแล้ว เค้าชอบกินอาหารไทย คือ ข้าวคลุกกะปิ...น่ารักจัง)ถ่ายรูปคู่กันสักหน่อยกับหินรูปเต่าที่ด้านหลังอากาศในถ้ำร้อนมากกกก เพราะคนเยอะ กำลังจะออกจากถ้ำเลยถ่ายรูปส่งท้ายออกมาถึงปากถ้ำมองลงไปจะเห็นเรือที่เรานั่งมา จอดรอรับกลับ เพราะเรือทุกลำต้องมาจอดรอรับนักท่องเที่ยวของตัวเองที่นี่ออกเดินทางจาก ฮาลองเบย์ ประมาณ 17.30 น. ถึงฮานอย เวลา 20.00 น. เราได้มาเดินตลาด "Night Market" หรือ ตลาดกลางคืน จะมีเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เท่านั้น เค้าจะปิดถนนทั้งสาย ของที่ขายส่วนมากเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ประมาณตลาดนัดบ้านเรา แต่เยอะมากจริง ๆ วัยรุ่นเดินกันเยอะมาก ๆ เดินไปต้องระวังกระเป๋าไป เค้าบอกว่าคนล้วงกระเป๋าเยอะมาก ๆ เดินตลาดจนเมื่อยไม่ได้อะไร เดินสำรวจของฝาก กะว่าพรุ่งนี้จะมาซื้อ เกิดหิวขึ้นมาเลยเดินไปหาของกินซะหน่อย เจอร้านอาหารเห็นคนเวียดนามกินเยอะมาก ท่าทางจะอร่อย ของลองบ้างดีกว่า สั่งกระดูกหมูทอดกระเทียมตะไคร้ (จริง ๆ ไม่รู้หรอกว่าที่นี่เค้าเรียกว่าอะไร พอดีเห็นโต๊ะข้าง ๆ เค้ากินอยู่ เลยบอกเค้าว่าเอาอย่างนี้จานนึง..อิอิ) รสชาดอร่อยดี คล้าย ๆ บ้านเรา สั่งผัดผักใส่เส้นหมี่เหลืองออกจะแข็ง ๆ สักนิด (จานนี้ไม่อร่อย) สั่งข้าวผัดใส่เนื้อ พอกินต้องถามเพื่อความมั่นใจว่า Beef or Dog คนขายหัวเราะยอกเราว่า Dog not Beef แต่จริง ๆ แล้วคือเนื้อวัวแหละ จ่ายค่าอาหารไป 65000 ดอง ร้านอาหารที่เวียดนามส่วนมาก จะเป็นร้านอาหารที่อยู่ริมฟุตบาท นั่งเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ เวลาเค้ากินเสร็จไม่ว่าจะเป็นเศษกระดูก หรือกระดาษทิชชู เค้าจะทิ้งลงพื้นทันที สังเกตจากรูปจะมีสีขาว ๆ เต็มพื้น นั่นคือกระดาษทิชชูจ้ากินเสร็จเดินกลับโรงแรม ผ่านร้านขายหวานเย็น แวะซื้อล้างปากสักถ้วยดีกว่า ว่าแล้วก็ใช้ดัชนีนิ้วชี้จิ้มไปที่ฟรุตสลัดกับเฉาก๊วย แม่ค้าตัก ๆ ๆ ส่งให้ ราคาถ้วยละ 5000 ดอง...กินมาทั้งหมดวันนี้หวานเย็นเจ๊คนนี้รสชาดถูกใจที่ซู๊ดดดดเลยจบแล้วกับ One Day Trip ฮาลองเบย์ ยังไม่จบง่าย ๆ หรอกพรุ่งนี้วันที่สามของการตลุยเที่ยวของเรา 2 คน จะไป "ฮาลองบก" (Tam Coc) จะสวยกว่า ฮาลองเบย์ หรือไม่โปรดติดตามชมกันต่อไปนะจ๊ะ