เที่ยวไป..กินไป..ตามแต่ใจเราสองคน เป็นบล๊อกที่ทำขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องราวการเดินทางของเราทั้ง 2 คน และเป็นข้อมูลให้สำหรับผู้ที่สนใจจะเดินทางด้วยตัวเอง

Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add 's blog to your web]
Links
 

 
Good morning "Vietnam" #6 (วันที่สาม)


ออกจากการชมวัดทั้ง 2 วัด รถก็ได้มุ่งหน้าสู่เมือง Nin Binh อดีตเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของเวียดนาม ตัวเมืองไม่ใหญ่ เมืองนี้เป็นทางผ่านไปสู่เวียดนามกลาง - เวียดนามใต้ Tam Coc จะอยู่เลยตัวเมืองไปไม่ไกล ส่วนในรูปเป็นท่าเรือที่นักท่องเที่ยวจะมาลงเรือกันที่นี่


มาถึงท่าเรือเกือบเที่ยงรู้สึกว่าจะเป็นกรุ๊ปทัวร์แรก บรรยากาศที่ท่าเรือดูจะเงียบๆ ไกด์พาเราทั้ง 13 คนไปกินอาหารเที่ยง ไกด์เรียกภัตตาคาร แต่ความรู้สึกของผมเหมือนเป็นร้านอาหารทั่ว ๆ ไปในบ้านเรา เหมือนเมื่อเราไปเที่ยว ฮาลองเบย์ คือ ต้องไปนั่งกินอาหารรวมกับคนไม่รูจัก พอนั่งปุ๊บพนักงานก็เอาเมนูมาให้ผมตกใจคิดว่า ทัวร์นี้ดีให้เราสั่งอาหารกินเองได้ ที่ไหนได้ไกด์บอกว่าเค้าเสริฟ์แต่อาหารไม่รวม Soft Drink ดังนั้นเมนูที่ให้มาคือ ให้เราสั่งน้ำกินเองแล้วก็จ่ายเงินเองด้วย แปลกมากที่เวียดนามไม่มีน้ำกินฟรีแม้แต่ในห้องโรงแรมที่พักน้ำเปล่าสักขวดก็ยังไม่ฟรี (ก็เลยคิดว่าที่นี่น้ำเปล่าเค้าคงทำยากก็เลยแพง) รายการอาหารเหมือนเค้านัดกันทำกับที่ฮาลองเบย์แทบจะเหมือนกันแต่สู้อาหารที่ ฮาลองเบย์ไม่ได้ รายการมี ผัดถั่วงอกใส่หมู ผัดผักบุ้ง ผัดผักรวม หมูย่างคนละไม้ ปอเปี๊ยะทอด ทุกอย่างจืดหมด เรานั่งกินได้ไม่นานกรุ๊บทัวร์อื่นเข้ามาเต็มร้านไปหมด หลังจากกินอาหารเสร็จแล้วเราก็ไปลงเรือกัน


เรือมารอรับมีเป็นร้อยลำ เรือ 1 ลำสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ 2-3 คน คนพายถ้าเป็นคนมีอายุหน่อยก็จะ 2 คน เรือลำที่เราไปมีนักท่องเที่ยวกันแค่ 2 คน กับคนพายอีก 2 คน "Go to Tam Coc"


ได้นั่งเรือเป็นลำแรกของทัวร์ ก็ไม่รอช้าไปเลย อากาศตอนไปไม่ค่อยจะดี มืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตก (ก็ใจไม่ดีว่าวันนี้คงไม่ได้เก็บภาพสวย ๆ แน่เลย)


เรือพายไปไม่ไกลจะเจอพวก ช่างกล้องมารอถ่ายรูปนั่งท่องเที่ยว เพื่อไปอัดรูปเวลาเรากลับมาจะเอารูปที่ถ่ายเรามายัดเยียดขายให้เราในราคารูปละ $1 (ถ้าไม่ซื้อก็จะมีการต่อว่า) พอเรือเราผ่านไปเค้าเรียก เฮ้ย, Hello,... สารพัดจะเรียก ให้เราหันหน้าไปหาจะได้ถ่ายรูป แต่ไม่ได้กินเราหรอก เราก็เลยถ่ายรูปเค้าซะ ขอบอกว่านั่งเรือไปจะมีตลอดทาง (ถ้าไม่อยากเสียเงินให้ระวังด้วย)


เรือได้พายไปอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อน บรรยากาศ 2 ข้างทางช่วงแรก จะผ่านบ้านเรือนของคนเวียดนามจะต่างจากบ้านเราก็คือ เค้าจะใช้ปูนทำบ้าน ซึ่งไม่เหมือนกับบ้านริมน้ำของไทยเรานิยมใช้ไม้ทำบ้านกัน


พายไปประมาณ 20 นาที ก็จะเริ่มเข้าสู่ "ฮาลองบก" หรือ "Tam Coc" มองออกไปข้างหน้าของเรือ จะเห็นว่า 3 ข้างทางเป็นทุ่งหญ้า และทุ่งบัว โอบล้อมด้วยภูเขา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ Tam Coc แต่ตอนที่เรามาอาจเป็นฤดูที่ทุ่งหญ้าเริ่มลดน้อยลงทำให้ 2 ข้างทางดูสดชื่นน้อยลงกว่าภาพที่เราดูที่หน้าสำนักงานทัวร์


ถ่ายรูปกรุ๊ปทัวร์ที่มากับเรา 2 สาวจีนกับรัสเซีย


ต้องพายเรือลอดถ้ำทั้งหมด 3 ถ้ำ นี่เป็นถ้ำแรกที่เราต้องลอดผ่านเข้าไป อากาศในถ้ำจะหนาวสักหน่อย และก็มืดมาก ตอนเข้าไปจะไม่เห็นแสงด้านหน้า แต่พายเรือไปสักพักก็จะเห็นแสง คนพายเรือไม่ต้องใช้ไฟฉายนำทาง เพราะพายด้วยความชำนาญ


นี่เป็นกรุ๊ปทัวร์ของเราเหมือนกันเป็นชาวจีนทั้ง 2 คน คนพายที่นี่ส่วนใหญ่เค้าจะใช้มือพิเศษในการพาย (เจ๋งมาก ๆ เลย พาให้คิดต่อไปว่าเครื่องออกกำลังกายพวก "แอ๊บโดมิไนเซอร์" ที่ออกกำลังกายได้ทุกสัดส่วนนี่เค้าได้แรงบันดาลใจมาจากท่าพายเรือของชาวเวียดนามหรือเปล่าหนอ เพราะชาวเวียดนามทั้งชายหญิงเค้าจะหุ่นดีทุกคนเลย)


บรรยากาศ 2 ข้างจะเป็นภูเขาปูนยาวไปตลอด และข้าง ๆ ของลำน้ำจะเป็นทุ่งหญ้า ในตอนแรกทั้งผมเคยดูรูป หรือดูสารคดีของที่นี่คิดว่าเป็นการปลูกข้าว แต่พอมาเจอกับตาตัวเองจึงถึงบางอ้อ แต่มันก็เป็นความแปลกของธรรมชาติที่สร้างสรรค์มา


ทุ่งหญ้า 2 ข้างทางดูไม่สวยไม่เขียว แม้จะอยู่ในน้ำ จึงทำให้บรรยากาศดูจะแห้ง ๆ ไปหน่อย


ลอดถ้ำที่สองแล้วบรรยากาศเริ่มดีขั้น สวยขึ้นมาหน่อยมีแสงธรรมชาติพอให้ถ่ายรูปได้บ้าง


พายไปได้ไม่ไกลก็จะเข้าถ้ำที่สาม ป้ายสีน้ำเงินที่ปักอยู่หน้าทางเข้าถ้ำเค้าบอกว่าให้ระวังทรัพย์สินของท่านให้ดี (เหอ...เค้ามีขโมยขโจรกันในถ้ำด้วยหรือ)


ปากถ้ำมีเรือขายของจอดเต็มไปหมด ลืมตัวคิดว่ามาตลาดน้ำดำเนินสะดวก หรือ ตลาดน้ำอัมพวา เราสังเกตว่าเหมือนเค้าจอดต่อคิวกันรออะไร พอเรือนักท่องเที่ยวมาพายเข้าถ้ำมาเค้าจะพายประกบเป็นลำ ๆ ไปแล้วจะมาให้เราช่วยซื้อนั้นซื้อนี่ ของที่เค้าขายจะเป็นพวก น้ำ ผลไม้ เบียร์ ขนม เรา Say No อย่างเดียว เค้าก็จะตื้ออยู่นั้นแหละ บอกให้เราซื้อเองบ้างให้เราซื้อให้คนพายเรือก็ได้เป็นทิป เราก็ไม่ได้ซื้อเพราะเราคิดว่าทิปให้เค้าเป็นเงินน่าจะดีกว่า


เรือที่มาทุกลำจะจอดพักที่ถ้ำนี้ประมาณ 10 นาที ก็ได้เริ่มพายกลับ เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย (พยายามยิ้มหวานสุด ๆ แล้ว แต่ขากลับแดดร้อนมาก เลยได้แค่นี้)


ถ่ายรูปคู่กับคนพายเรือไว้เป็นที่ระลึกด้วย


ช่วงที่พายเรือกลับท้องฟ้าเริ่มเปิด ไม่มืด แดดแรงมาก คนพายเริ่มจะเสนอสินค้ากันบนเรือ ของที่เค้าเอามาขายจะเป็น เสื้อ หมวก กระเป๋าผ้า ผ้าคลุมโต๊ะ เค้ายกมาเป็ยลังใส่เรือมาด้วย ก็เข้าใจว่าเค้าพายเรืออย่างเดียวรายได้คงไม่เท่าไรจึงหาของมาขายเพื่อเสริมรายได้ เราก็เลยช่วยเค้าซื้อกระเป๋าผ้าใบเล็กมาเพราะเห็นว่าสวยน่ารักสำหรับเป็นของฝากเพื่อน ๆ ที่เมืองไทยได้


พอขายของเสร็จมีการย้ายลังสังกะสีไปขายต่อเรือลำอื่นอีก คนพายเรือบอกว่าเป็นเรือของน้องสาวเค้าเอง (เข้าใจทำกันดีนะเนี่ย)


เริ่มมีเรือนักท่องเที่ยวพายสวนเรามา เพราะว่าเรากลับ เค้ามาที่ Tam Coc ถือเป็นที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของคนต่างประเทศ และรวมถึงคนเวียดนามด้วย มาดูความแปลกของธรรมชาติ นั่งเรืออยู่กลางหุบเขา แถมเป็นเรือเหล็กอีกต่างหาก


เรือนักท่องเที่ยวพายสวนกับเราเยอะมาก ๆ ขอบอกว่ามาก ๆๆๆๆ เป็นชาวเวียดนามเองก็มาก


ที่กางร่ม ใส่หมวกแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ คงไม่ใช่คนเวียดนามแน่ ๆ ส่วนเรือลำหลังน่าจะเป็นญี่ปุ่น


ขากลับถึงท่าเรือเจอฝีพายรุ่นใหญ่ นั่งรอกรุ๊ปทัวร์อยู่ เลยถ่ายรูปมาไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย


วันนี้เรากลับมาถึงฮานอยประมาณ 5 โมงเย็น เร็วกว่าไปฮาลองเบย์ ก็เลยมีเวลาเดินเที่ยวเล่นอีก ไปเจอร้านขายอาหาร (เราเล็งกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน เพราะเห็นคนมานั่งกินกันเยอะมาก ๆ เข้าใจว่าน่าจะเป็นอาหารยอดนิยมอีกอย่างของที่นี่) ขายอยู่ใกล้ ๆ กับโรงละครหุ่นกระบอกน้ำ ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร หน้าคล้ายปอเปี๊ยะสด กับส้มตำบ้านเรา เลยลองสั่งมาชิมสักหน่อย ราคาจานละ 15000 ส่วนประกอบในปอเปี๊ยะเท่าที่เห็นก็จะมีแผ่นแป้งห่อด้วยเส้นมะละกอ (เค้าจะขูดมาเป็นเส้นเล็ก ๆ แต่ก็กรอบดีอยู่) ใบสะระแหน่ กับผักสีเขียว ๆ ที่ให้กลิ่นหอมคล้ายใบยี่หร่า ใส่แหนมหมูเส้นเล็ก ๆ และใส่ถั่วป่นเล็กน้อย เสริฟ์คู่กับน้ำจิ้มถ้วยเล็ก ๆ ถ้วยนึง ส่วนส้มตำ (ขอเรียกตามที่เข้าใจละกันนะ) ก็จะมีส่วนประกอบเป็นเส้นมะละกอและผักใบเขียวต่าง ๆ แบบเดียวกับที่ใส่ในปอเปี๊ยะ แต่ไม่ใส่แหนมแต่จะใส่เนื้อและเครื่องในวัวตากแห้งจืด ๆ ที่เคลือบสีแดง ๆ (สีเหมือนหมูแดงบ้านเรา) แล้วใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ราดด้วยน้ำเชื่อมใสหวาน ๆ (หวานอย่างเดียวจริง ๆ) โรยถั่วตบท้ายก่อนเสริฟ์ให้ลูกค้า แรก ๆ ก็กินแบบหวาน ๆ ปะแล่ม ๆ ไปแต่พอเหลียวไปแลมาเห็นคนที่นี่เค้าจะเหยาะซอสพริกในโหลลงไปเล็กน้อยคลุกเคล้าก่อน รสชาดรวม ๆ เลยออกเปรี้ยว หวาน เผ็ดนิด ๆ...โอ้โห...คราวนี้เลยอร่อยเด็ดเลย (ติดใจ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันอีกแน่ อิอิ)


แม่ค้าที่ขายปอเปี๊ยะสดกับส้มตำ เวลาขายของไม่เคยเห็นเจ๊เค้ายิ้มเลย แต่ไม่เฉพาะกับเรานะ ใคร ๆ เจ๊แกก็ไม่ยิ้มให้ (ไม่เป็นไรถึงเจ๊เค้าไม่ยิ้ม เราก็จะกินอยู่ดี หุ ๆ ๆ) แต่ลูกค้าก็มาอุดหนุนอยู่ไม่ขาด


ร้านส้มตำติดกับร้านขายของฝากก็เลยแวะดูสักหน่อย หาของไปฝากเพื่อน ๆ ดีกว่า


จบการเดินทางท่องเที่ยวในเวียดนามวันที่ 3 แต่ยังไม่จบเท่านี้ เพราะยังไม่ได้ไปเยี่ยมลุงโฮ (จิมิน) เลย จะไปกันยังไง เยี่ยมลุงโฮแล้วไปที่ไหนอีกบ้าง โปรดติดตามการเดินทางท่องเที่ยวเวียดนามวันที่ 4 ของพวกเราได้อีกไม่นานเกินรอจ้า




Create Date : 17 สิงหาคม 2550
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 16:14:32 น. 0 comments
Counter : 2473 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.