ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี

สำหรับ 7 หลักคิดในเชิงบวก ที่สามารถหยิบมาเป็นยาชูกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยใน 7 หลักคิด มีข้อคิดดีๆ อีก 7 ข้อ เป็นพลังมหัศจรรย์ของ 7×7 ได้แก่

1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข แน่นอนว่าเมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า "โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม"

2. ปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์

3. ชีวิตของคนดี คือชีวิตที่มีความสุข ดังท่านว่า ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคน หากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลม ฟุ้งกระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา

4. ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข ซึ่งเป็นการเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภทคือ 1. ปาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาณมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง

5. ทำงานดีก็มีความสุข ท่านว่าไว้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์-อาทิตย์แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน จงเบิกบานขณะหายใจ

6. มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง"

7. ครอบครัวดีทวีความสุข ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต บุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์

ขอขอบคุณ ข้อคิดดีๆ จาก : พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี

ภาพประกอบจาก : อินเทอร์เน็ต




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2555   
Last Update : 1 กรกฎาคม 2555 18:39:16 น.   
Counter : 1730 Pageviews.  

PICCC อึ้งงง รูปกรุงเทพฯสมัยก่อน ไม่น่าเชื่อว่ามหานครแห่งนี้จะเปลี่ยนไปมาก

แยกมาบุญครอง มองไปทางพารากอน ปี2520

siam center สยามเซนเตอร์ ปี2531

ปัจจุบัีน

สวนลุม ปี2531

ปัจจุบัีน

ถนนสาทร

ปัจจุบัน


World Trade Center  ปี2545

ปัจจุบัน


สยามปี 2535   ด้านขวาคือโรงหนังสยาม ที่โดนไฟไหม้ไปเเล้ว

แยกราชประสงค์ปี 2535  ด้านซ้ายคือเอราวัณ

ถนนวิภาวดี รังสิต ปี2514


ช่วงการก่อสร้างดอนเมืองโทลเวย์ ปี2536
ด้านขวา คือ เซ็นทรัล ลาดพร้าว

ถนนกาญจนาภิเษก (สมัยที่ยังเป็ง 1 เลน วิ่งสวนกัน)  บริเวณนี้คือสามเเยกบางใหญ่
ส่วนทางแยกขวา คือ ถนนรัตนาธิเบศร์ ในปัจจุบัน
ปี2528                  25 ปีที่เเล้ว


หัวถนนรัตนาธิเบศร์  ปี2528

ถนนรัตนาธิเบต ปัจจุบัน 25ปีต่อมา


แยกแคราย ปี2528

ถนนสุขุมวิท  ปี2514


ที่มา //www.dek-d.com/board/view.php?id=2073031




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2555   
Last Update : 1 กรกฎาคม 2555 18:34:20 น.   
Counter : 5547 Pageviews.  

หวนคืนสู่ RMS Titanic 100 ปีโศกนาฏกรรมโลกไม่ลืม!

File:RMS Titanic 3.jpg

ซากเรือนอนสงบนิ่งในความมืดมิด เศษโลหะผุกร่อนกระจัดกระจายกินอาณาบริเวณสี่ตารางกิโลเมตรของ ก้นมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ รอเวลาให้เชื้อรากัดกิน นับตั้งแต่การค้นพบซากเรือเมื่อปี 1985 โดยโรเบิร์ต บัลลาร์ด นักสำรวจประจำสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และชอง-หลุย มีเชล นานๆ ทีจะมีหุ่นยนต์หรือยานดำน้ำที่มีมนุษย์ควบคุมลงไปโฉบเหนือพื้นผิวดำทะมึนของ ไททานิก


ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นักสำรวจอย่างเจมส์ แคเมรอน และปอล-อองรี นาชีโอเล ได้นำภาพถ่ายซากเรือที่ละเอียดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กลับขึ้นมา แต่โดยรวมแล้วเรายังเห็นรายละเอียดของจุดอับปางได้ไม่ชัดนัก และเราก็ยังไม่เคยเห็นภาพรวมของพื้นที่ที่เรืออับปางอย่างสมบูรณ์เลย 

กระทั่งบัดนี้ ในรถเทรลเลอร์ที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทค จอดอยู่หลังสถาบันสมุทรศาสตร์วูดส์โฮล (Woods Hole Oceanographic Institution: WHOI) วิลเลียม แลงก์ ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการทางการประมวลผลภาพและการสร้างภาพขั้นสูงของสถาบันสมุทรศาสตร์วูดส์โฮล ยืนอยู่เหนือแผนที่สำรวจด้วยระบบโซนาร์ของจุดที่ ไททานิกอับปาง ซึ่งเป็นภาพโมเสกที่ประกอบขึ้นจากภาพขนาดเล็กจำนวนมากและใช้เวลาทำนานหลายเดือน ครั้นพินิจพิจารณาใกล้ๆ เราจึงเห็นว่าจุดอับปางนั้นระเกะระกะไปด้วยเศษซากวัสดุที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ แลงก์ชี้ไปที่ส่วนหนึ่งของแผนที่ เขาขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ตอนนี้เราเห็นส่วนหัวของเรือไททานิก ชัดพอจนดูออกบ้างแล้ว เห็นช่องโหว่สีดำตรงที่ครั้งหนึ่งเคยมีปล่องควันด้านหน้าตั้งอยู่ ฝาปิดระวางบานหนึ่งที่หลุดกระเด็นออกมาจมอยู่ในโคลนห่างออกไปทางเหนือหลายร้อยเมตร เพียงลากเม้าส์คอมพิวเตอร์ เราก็เห็นซากเรือไททานิกทั้งลำ ไม่ว่าจะเป็นพุกผูกเรือ (bollard) เสาเดวิต (davit) หรือหม้อไอน้ำ (boiler) กองเศษซากซึ่งครั้งหนึ่งเคยแยกแยะไม่ออก กลายเป็นภาพถ่ายความละเอียดสูงของจุดเกิดเหตุ 

“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง หนึ่งร้อยปีผ่านไป ในที่สุดไฟก็สว่างครับ” แลงก์บอก เขาเป็นส่วนหนึ่งใน ทีมสำรวจชุดแรกของบัลลาร์ดที่ค้นพบซากเรือ และยังคงถ่ายภาพบริเวณอับปางด้วยกล้องที่มีศักยภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา 

ภาพโมเสกขนาดใหญ่ของซากเรือซึ่งเป็นผลจากการสำรวจครั้งใหญ่มูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ปี 2010 ถ่ายภาพโดยหุ่นยนต์หรือยานล้ำยุคสามลำซึ่ง “บิน” อยู่เหนือพื้นก้นสมุทร ณ ระดับความสูงแตกต่างกัน ยานที่เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องโซนาร์แบบสแกนข้างชนิดหลายลำคลื่น และกล้องบันทึกภาพความละเอียดสูงที่ถ่ายภาพได้หลายร้อยภาพต่อวินาที ปฏิบัติงานโดยวิธี “ไถสนาม” ซึ่งเป็นศัพท์เรียกเทคนิคดังกล่าว ยานทั้งสามวิ่งกลับไปกลับมาตัดบริเวณก้นสมุทรเป้าหมายเป็นพื้นที่ห้าคูณแปดกิโลเมตร แล้วจึงนำข้อมูลแต่ละแถบมาเชื่อมต่อกันด้วยระบบดิจิทัล เพื่อประกอบเป็นภาพความละเอียดสูงขนาดมหึมาหนึ่งภาพ ซึ่งทุกส่วนมีการทำแผนที่อย่างละเอียดและถูกต้องตามตำแหน่งอ้างอิงทางภูมิศาสตร์

ซากเรือ อาร์เอ็มเอส ไททานิก มีอะไรน่าดึงดูดนัก หนึ่งร้อยปีผ่านไป เหตุใดผู้คนจึงยังทุ่มเทกำลังสมองและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมหาศาลให้กับสุสานโลหะที่จมอยู่ใต้พื้นสมุทรลึกลงไปราวสี่กิโลเมตร


สำหรับบางคน เสน่ห์ชวนดึงดูดของ ไททานิก อยู่ที่อวสานอันยิ่งใหญ่ของมันนั่นเอง นี่คือเรื่องราวของความเป็นที่สุด นั่นคือเรือเดินสมุทรที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุด อับปางลงในน่านน้ำสุดลึกล้ำและแสนเยียบเย็น แต่สำหรับอีกหลายๆ คน ความน่าหลงใหลของ ไททานิก เริ่มต้นและจบลงด้วยเรื่องราวผู้คนบนเรือ กว่าที่ ไททานิก จะจมลงสู่ก้นสมุทร ก็กินเวลานานถึงสองชั่วโมงสี่สิบนาที เนิ่นนานพอที่จะทำให้เรื่องราวโศกนาฏกรรมขั้นมหากาพย์ 2,208 เรื่องได้โลดแล่นบนเวที นาทีสุดท้ายของชีวิตผู้คนที่อยู่บนเรือเป็นเช่นไร เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกสงสัยใคร่รู้ 

ปลายเดือนตุลาคม ผมเดินทางไปยังหาดแมนแฮตตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย และเข้าไปในโรงถ่ายภาพยนตร์ขนาดเท่าโรงเก็บเครื่องบิน เจมส์ แคเมรอน ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ซึ่งอยู่ท่ามกลางแบบจำลองและของประกอบฉากชวนตื่นตะลึงจากภาพยนตร์เรื่อง ไททานิก (1997) เชิญผู้รอบรู้ด้านการเดินเรือระดับแนวหน้าของโลกกลุ่มหนึ่งมาประชุมกัน นอกจากแคเมรอน, บิล ซอเดอร์ ผู้อำนวยการการศึกษาวิจัยเรือ ไททานิก และปอล-อองรี นาชีโอเล นักสำรวจจากอาร์เอ็มเอสที (RMS Titanic Inc. – ผู้มีสิทธิกู้ศิลปวัตถุจากซากเรือ ไททานิก อย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ปี 1994) แล้วยังมีดอน ลินช์ นักประวัติศาสตร์ เคน มาร์แชลล์ ศิลปินภาพวาด ไททานิก ผู้โด่งดัง วิศวกรเรือหนึ่งนาย นักสมุทรศาสตร์จากสถาบันวูดส์โฮลหนึ่งราย และสถาปนิกสังกัดกองทัพเรือสหรัฐฯอีกสองคน

แคเมรอนเป็นผู้นำการสำรวจเรือ ไททานิก มาแล้วสามครั้ง เขาเป็นผู้พัฒนาและควบคุมยานหรือหุ่นยนต์สำรวจตระกูลใหม่ที่ว่องไวปราดเปรียว ซึ่งดำลงไปถ่ายภาพด้านในของเรือที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ซึ่งรวมถึงห้องอาบน้ำตุรกีอันหรูหรา อีกทั้งห้องพักส่วนตัวชั้นหนึ่งอีกจำนวนหนึ่ง (ชมภาพและอ่านเรื่อง “ถอดวิญญาณเดินชม ไททานิก” ของเจมส์ แคเมรอน ได้ในเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดียวกันนี้)


ตามคำขอของแคเมรอน การประชุมซึ่งมีกำหนดสองวันจะมุ่งเน้นไปที่นิติวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว เป็นต้นว่า เพราะเหตุใด ไททานิก จึงหักสองท่อนอย่างที่เห็น ลำเรือฉีกขาดตรงไหนแน่ ส่วนประกอบมากมายมหาศาลของเรือตกกระแทกพื้นทะเลที่มุมกี่องศา จะว่าไปก็คงไม่ต่างจากการสอบสวนคดีเกือบ 100 ปีหลังเกิดเหตุ

“ที่คุณเห็นคือสถานที่เกิดเหตุครับ” แคเมรอนบอก “ถ้าเข้าใจแบบนั้นแล้ว คุณจะอยากรู้ที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ เช่น ทำไมมีดถึงมาอยู่ตรงนี้ แล้วปืนไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร”

แล้วก็เป็นไปตามคาด การประชุมเปิดฉากด้วยการถกเถียงเรื่องเทคนิคที่เข้าใจยากล้วนๆ ทั้งเรื่องอัตราการแล่น แรงเฉือน และการวิเคราะห์ค่าความขุ่น กระนั้น แม้แต่ผู้ฟังที่ไม่ได้มีความรู้เชิงวิศวกรรมก็ยังจับข้อสรุปชัดเจนข้อหนึ่งได้ว่า นาทีสุดท้ายของ ไททานิก นั้นรุนแรงน่าขนพองสยองเกล้าอย่างยิ่ง เรื่องเล่าจากหลายกระแสให้ภาพว่า เรือ “ค่อยๆ จมหายไปกับคลื่นมหาสมุทร” ราวกับจมสู่นิทรารมณ์อย่างสงบ แต่เรื่องจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ผู้เชี่ยวชาญบรรยายฉากสุดท้ายของ ไททานิก ว่าเกิดขึ้นอย่างรุนแรงน่าสยดสยอง โดยอาศัยผลการวิเคราะห์ซากเรืออย่างละเอียดตลอดระยะเวลาหลายปี แบบจำลองการไหลเข้าท่วมของน้ำที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุด ตลอดจนการสร้างภาพจำลองโดย 

“วิธีวิเคราะห์โครงสร้างทุกมิติ” ที่ใช้กันในอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางเรือยุคใหม่ เรือชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งตรงด้านข้างเมื่อเวลา 23.40 น. สร้างความเสียหายให้กราบเรือด้านขวาเป็นแนวยาว 90 เมตร และเกิดรอยรั่วในห้องผนึกน้ำหกห้องด้านหน้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เรือต้องอับปางลงอย่างแน่นอน แต่อวสานอาจมาถึงเร็วขึ้นเมื่อลูกเรือเปิดประตูสะพานลงเรือทางกราบซ้ายบานหนึ่งออก เพราะพยายามส่งผู้โดยสารลงเรือชูชีพจากชั้นที่อยู่ลงไป แต่ไม่สำเร็จ ขณะนั้นเรือเริ่มเอียงไปทางกราบซ้ายแล้ว ลูกเรือจึงไม่สามารถต้านแรงโน้มถ่วงเพื่อดึงประตูบานมหึมาให้กลับเข้ามาปิดได้ดังเดิม และพอถึงเวลา 01.50 น. หัวเรือก็จมลงมากพอจนน้ำทะเลไหลทะลักเข้าทางสะพานลงเรือดังกล่าว

พอถึงเวลา 02.18 น. หลังจากเรือชูชีพลำสุดท้ายแล่นออกไปเมื่อ 13 นาทีก่อน หัวเรือก็ถูกน้ำท่วมมิด ท้ายเรือ ยกลอยสูงขึ้นกลางอากาศจนเห็นใบพัด ส่งให้เกิดแรงเครียดมหาศาลที่กึ่งกลางลำเรือ แล้ว ไททานิก ก็หักกลางเป็นสองท่อนพอหลุดจากส่วนท้ายเรือ หัวเรือก็ดิ่งลงสู่ก้นทะเลโดยทำมุมเกือบตั้งฉาก ความเร็วที่เพิ่มขึ้นขณะจมทำให้ส่วนประกอบต่างๆ เริ่มหลุดออกจากหัวเรือ ปล่องไฟหักแยกออกมา ห้องถือท้ายแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากห้านาทีของการดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง หัวเรือก็ปักลงไปในโคลนด้วยแรงมหาศาล จนหลุมลึก (ejecta pattern) ซึ่งเนินดินรอบหลุมยังปรากฏให้เห็นบนพื้นสมุทรถึงทุกวันนี้


ท้ายเรือซึ่งไม่มีปลายตัดน้ำเหมือนส่วนหัวเรือ จมลงอย่าง “ทุรนทุราย” ยิ่งกว่า ทั้งตีลังกาและควงสว่านไปด้วย 

ส่วนหน้าขนาดใหญ่ซึ่งเปราะบางลงอยู่แล้วจากการร้าวหักที่ผิวน้ำ แตกเป็นชิ้นเล็กเศษน้อย ส่งชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ลงสู่ก้นบึ้งมหาสมุทร ห้องผนึกน้ำระเบิด ดาดฟ้ายุบลงมาประกบกัน แผ่นเหล็กตามลำเรือฉีกขาด บรรดาชิ้นส่วนที่ หนักกว่าอย่างหม้อไอน้ำจมดิ่งลง ขณะที่ชิ้นส่วนอื่นๆ พุ่งกระจายออกเหมือน “จานร่อน” ท้ายเรือดิ่งลงอย่างทุลักทุเลเป็นระยะทางกว่าสี่กิโลเมตร ทั้งฉีกขาด บิดงอ อัดบีบ และหลุดออกจากกันทีละน้อย ครั้นกระแทกกับพื้นสมุทร 

ส่วนท้ายเรือก็แหลกเหลวจนจำสภาพไม่ได้พอถึงตอนนี้ แคเมรอนก็พูดขึ้นว่า “เราไม่อยากให้ ไททานิก หักและแตกออกเป็นเสี่ยงๆแบบนี้หรอกครับ เราอยากให้มันจมลงในสภาพสมบูรณ์เหมือนตอนที่ลอยลำอยู่ยังไงยังงั้น” 

ขณะนั่งฟังอยู่นั้น ผมนึกสงสัยตลอดว่า เกิดอะไรขึ้นกับผู้คนที่ยังอยู่บนเรือขณะที่มันจมลง ในบรรดาผู้เคราะห์ร้าย 1,496 คน ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากภาวะตัวเย็นเกิน (hypothermia) ที่ผิวน้ำระหว่างลอยตัวเกาะกันเป็นแพด้วยเสื้อชูชีพบุไม้คอร์กข้างใน แต่อีกหลายร้อยคนอาจยังมีชีวิตอยู่ในเรือ ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวผู้อพยพในกลุ่มผู้โดยสารชั้นสามซึ่งหวังจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอเมริกา พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงโลหะที่บิดเบี้ยวและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขนาดไหนกัน จะได้ยินเสียงอะไรบ้างและรู้สึกอย่างไร ช่างเป็นประสบการณ์อันแสนโหดร้ายจนไม่อยากแม้แต่จะคิด ทั้งๆ ที่เวลาจะล่วงเลยมาถึง 100 ปีแล้วก็ตาม

ขอบคุณเรื่อง : แฮมป์ตัน ไซดส์ และ เนื้อหาจาก : 
National Geographic ฉบับภาษาไทย

File:RMS Titanic 2.jpg

File:Titanic.jpg

File:Titanic voyage map.png

File:Titanic-Cobh-Harbour-1912.JPG

File:Titanic wreck bow.jpg

File:Titanic Engineers' Memorial, Southampton.jpg




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2555   
Last Update : 30 มิถุนายน 2555 20:31:38 น.   
Counter : 3725 Pageviews.  

โพรมีธีอุส หนังไม่ดี จริงหรือ!?

ยาวนิดนึงนะ...

ผมได้ไปดูหนังเรื่องนี้มาสองรอบละ โพรมีธีอุส หนังที่เป็นจุดกำเนิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ปีศาจใน “Aliens” แต่ก็มีผู้คนอยู่ไม่น้อยเลยที่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ มีเพื่อนผมบอกว่า ไม่ชอบ ไม่หนุก ไม่รู้เรื่อง ซึ่งสำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีมาก แต่ไม่ทุกคนสามารถชื่นชมหนังเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ ผมว่า หนังเรื่องนี้เลือกคนดู เพราะถ้าจะดูให้สนุก ผู้ชมต้องมีความรู้ในด้านประวัติศาสตร์มนุษยชาติและตำนานโบราณทั้งหลายแหล่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำนานเมโสโปเตเมียของชนเผ่าสุเมเรียและไบเบิ้ลของศาสนาคริส พอดีผมบ้าศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโบราณต่างๆ ก็เลยพอมีความรู้บ้าง

วันนี้ผมขออนุญาติแบ่งปันความรู้เล็กๆน้อยๆให้ แล้วไปดูหนังเรื่องนี้กัน

เราจะย้อนกลับไปที่ต้นกำเนิดอารยธรรมของมนุษย์กัน ที่เมโสโปเตเมีย (ประเทศอิรักในปัจจุบัน) เมื่อสมัย 4,000 ปีก่อน

ชนเผ่าสุเมเรียถือว่าเป็นชนเผ่าแรกในโลกนี้ที่มีอารยธรรม เพราะพวกเขาอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่เป็นเมืองและเป็นที่แรกในโลกที่มีระบบน้ำประปาและท่อส่งน้ำ และได้ประดิษฐ์ภาษาเขียนขึ้นเป็นที่แรกเช่นกัน ภาษาเขียนนั้นเรียกว่า คิวนีฟอร์ม (Cuneiform) ซึ่งประกอปไปด้วยสามเหลี่ยมหลายๆอันวางซ้อนกันเป็นตัวอักษรและข้อความ

ข้อความของภาษานี้เดิมทีมีการขุดค้นสำรวจมามากแต่ทว่าไม่มีใครตีความจารึกเหล่านั้นได้ จนกระทั่งชาวอเมริกันเชื้อสายอัลเซอไบจันนามว่า Zecharia Sitchin (1920 – 2010) ได้ศึกษาค้นคว้าจนวันหนึ่งเขาและลูกทีมของเขาสามารถแปลภาษานี้ได้

ในภาพนี้ Sitchin ได้ถือแผ่นสลักของชนเผ่าสุเมเรียที่มี Cuneiform และภาพกลุ่มดาว

(คนโบราณนี้เก่งเนอะ เราโง่กันมาตั้งนานกว่าจะรู้ว่าโลกกลม และเราสังเกตุได้ ว่าในรูปนี้ระบบสุริยะเรามีดาว 12 ดวง)

เขาและทีมนักวิทยาศาสตร์ช่วยกันแปลจารึกโบราณทั้งหลายแหล่ และสิ่งที่พวกเขาค้นพบก็ทำให้พวกเขาตะลึง เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาได้แปลนั้น ที่จริงแล้วมันเป็นประวัติการสร้างโลกและการสร้างชนเผ่ามนุษย์!!

Sitchin ได้ใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาศึกษาและแปลจารึกโบราณเหล่านี้ และได้มีการจัดทำเป็นสิ่งตีพิมพ์ขึ้นมาชื่อว่า “The Earth Chronicles” ซึ่งเป็นซีรี่ที่มีทั้งหมดหกเล่ม (และผมก็ได้อ่านครบทั้งหกเล่มแล้ว 555) วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวอย่างย่อที่สุดให้ฟัง

ตามเรื่องราวที่ได้จารึกไว้ โลกเราไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่เป็นดาวเคราะห์ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากและมีแนวโน้มว่าจะสามารถอาศัยได้โดยสิ่งมีชีวิต วันนึง พระเจ้าลงมาบนโลกนี้ พวกสุเมเรียเรียกชนเผ่านี้ว่า Anunnaki

ในภาพนี้เราจะเห็นรูปสลักของ Anunnaki หรือพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ ลองสังเกตุดูนะ เขาใส่นาฬิกาอยู่!!

พวก Anunnaki มาจากดาวเคราะห์ที่เรียกว่า Nibiru

ตามที่จารึกไว้ ดาวดวงนี้มีวงโคจรที่แปลก นั่นคือ จะโคจรเป็นวงรีแนวเฉียง และจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ทุกๆ 3,600ปีโดยประมาณ และทุกๆ 3,600 ปีนั่นเองที่ Nibiru จะโคจรเข้าไกล้โลกเรามากที่สุด ซึ่งรอบต่อไปที่ดาวดวงนี้จะเข้าไกล้โลกมากที่สุดคือวันที่ 22 เดือน 12 ปี 2012 ตามที่ได้พยากรณ์ไว้โดยชาวมายันนั่นเอง (อยากรู้รายละเอียดก็ขอกันเข้ามาได้นะ แล้วจะบอกในกระทู้ถัดๆไป)

เหตุผลที่พระเจ้ามาที่โลกนี้ ตามที่ได้จารึกไว้นั้น ก็เพราะเหตุผลที่ว่าโลกเราอุดมไปด้วยทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขามาเพราะแร่ชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในโลกนี้ ซึ่งนั่นก็คือทองนั่นเอง เหตุที่พวกเขาต้องการแร่พวกนี้ ตามที่ได้จารึกไว้ ก็เพื่อนำไปสลายเป็นฝุ่นในชั้บรรยากาศที่ดาวของเขาเพื่อไว้เก็บความร้อนยามที่โคจรไปไกลจากดวงอาทิตย์ นั่นเอง

...เคยสงสัยใหมว่าทำไมมนุษย์บูชาและเสพติดทองมานานนับนาน?...

พวกพระเจ้ามากันไม่กี่คนเพื่อมาขุดทอง และวันนึงพวกเขาก็เหนื่อย และมีความคิดสร้างเครื่องจักรมาใช้งาน ซึ่งเครื่องจักรของเหล่าพระเจ้า ไม่เหมือนเครื่องจักรกลบ้านเรามากนัก เพราะพวกเขาสามารถผลิต “เรื่องจักรชีวะ” ซึ่งมีเนื้อหนัง เลือด และ รูปร่างหน้าตาเหมือนพระเจ้า แต่พระเจ้าได้พัฒนาเครือ่งจักรเหล่านี้ให้มีรูปร่างใหญ่ยักษ์และมีพละกำลังมหาศาลพอที่จะใช้ทำงานได้ ซึ่งพวกนี้มีชื่อว่า “Igigi” หรือที่ชาวกรีกโบราณเรียกกันว่า “Titan”

ภาพนี้ พระเจ้าสร้าง Igigi จาก DNA ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา

 Igigi เหล่านี้ตามจารึกแล้วมีลักษณะคล้ายมนุษย์ ตัวใหญ่ยักษ์ ผิวขาวซีด ตาดำทั้งดวงไม่มีตาขาวและเป็นเครื่องจักรที่ชอบทำงานและสร้างสิ่งประดิษใหม่ๆ Igigi จึงถูกขนานนามโดยพระเจ้าว่า วิศวะ (Engineers)

ตามที่ได้จารึกไว้ วันหนึ่ง Igigi กลุ่มนึงก่อการกบฏและไม่ยอมฟังคำสั่งพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงลงโทษโดยให้น้ำท่วมโลก ทำให้ Igigi กลุ่มนั้นตายไปในที่สุด หลังจากนั้น Igigi คนนึงนามว่า Geshtu ได้เสียสละชีวิตตนเองด้วยการละลาย DNA ตนเองในกระแสน้ำบนโลกเพื่อใช้ในการผลิตและสร้างทาสรุ่นใหม่ ที่ตัวไม่ใหญ่มาก ไม่มีพละกำลังมาก จะได้ไม่คิดกบฏต่อพระเจ้าอีก ซึ่งทาสรุ่นใหม่ก็คือ มนุษย์ นั่นเอง

มนุษย์ เมื่อก่อนเคยเดินร่วมโลกกับ Igigi และพวกเขาก็สอนมนุษย์ให้คิดเป็น สร้างเป็น ทำงานเป็น ซึ่งงานหลักของมนุษย์คือการขุดทอง มันถูกโปรแกรมไว้ใน DNA ของมนุษย์ให้ค้นหาทอง ยามที่มนุษย์ยืนเคียงข้าง Igigi พวกเขาจะดูเป็นยักษ์ขึ้นมาทันที น่าสังเกตุนะว่าในทุกอารธรรมบนโลกเรานี้ แม้แต่ในบ้านเราเองก็มีการพูดถึงชนเผ่ายักษ์ด้วย

ภาพเหล่ามนุษย์ทาส และ Igigi ผู้สร้างมนุษย์

มนุษย์และ Igigi อยู่ด้วยกัน ช่วยกันอย่างไม่มีปัญหา จนกระทั่งวันหนึ่ง พวก Igigi กลุ่มนึงเห็นมนุษย์ผู้หญิงสวยๆแล้วอดใจไม่ไหวจึงได้ร่วมเพศด้วยและในที่สุดมนุษย์ก็ให้กำเนิดเผ่าครึ่งคน-ครึ่งเทพ ในไบเบิ้ลของชาวคริสเรียกชนเผ่านี้ว่า “Nephilim” ชนเผ่านี้มีรูปร่างใหญ่ผิดมนุษย์ บ้างมีตาเดียว บ้างครึ่งสัตว์ครึ่งคน บ้างมีกำลังมหาศาล จนในที่สุด พระเจ้าก็ทนไม่ใหว และได้จมโลกนี้ไว้ในน้ำอีกครั้ง ทำให้ Igigi และ Nephilim เกือบทั้งหมดตาย และพระเจ้ากับ Igigi ที่ภักดีที่เหลือกลับดาวของตนเองไป แต่พระเจ้าได้ฝากโลกนี้และพวกมนุษย์ที่มีจิตใจบริสุทธิกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ (ตาลุงโนอาร์นั่นเอง) ไว้กับ Igigi คนนึงที่มีชื่อว่า “Enki” หลายๆคนคงคุ้นเคยกันดีในชื่อของ “Zeus” นั่นเอง

Enki เลยได้ขึ้นแท่นครองโลกนี้จากบัดนั้น...

 แต่ว่า... จากที่โลกจมน้ำครั้งล่าสุดนั้น ตามจารึกแล้ว ได้มี Igigi กบฏกลุ่มนึงนำทีมโดย Marduk หลบหนีจากโลกใบนี้ไปได้โดยทิ้งคำขู่ว่า วันหนึ่งพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับเหล่า Mushussu (สัตว์ประหลาดที่ Marduk สร้างขึ้น) เพื่อมาฆ่าหมุษย์ให้หมดสิ้น เพราะตามตำนานนั้น Marduk เกลียดพวกมนุษย์มากเพราะพวกเราคล้ายกับพระเจ้ากว่าพวกเขามาก

Mushussu เป็น xeno ประเภทหนี่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับ Aliens ได้เป็นอย่างดี

อ่ะ... พอละกับบทความอย่างย่อที่สุดที่คุณควรรู้ก่อนดูหนัง Prometheus

เพราะสำหรับผมแล้ว แค่เห็นฉากแรกก็ตะโกนลั่นโลงว่า เชร็ดดดดดด เข้!!!!!!

Adonai

(เขียนและเรียบเรียงโดย ขวัญ ประธานสมาพันธ์  กำ ตัง เหนี่ยว)


//board.postjung.com/621871.html




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2555   
Last Update : 30 มิถุนายน 2555 20:29:32 น.   
Counter : 3012 Pageviews.  

เลื่อนแล้ว! BB10 มาต้นปีหน้า

ข่าวล่าสุดรายงานว่า RIM ได้เลื่อนกำหนดวางจำหน่ายมือถือ BlackBerry 10 จากเดิมในปีนี้ไปเป็นต้นปีหน้า

     RIM ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการดังกล่าวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ ผ่านมาภายในงาน BlackBerry World โดยที่ตอนนั้น Thorsten Heins ซีอีโอของบริษัทได้กล่าวว่าโครงการพัฒนาดังกล่าวได้ดำเนินมาแล้วว่าหนึ่งปี ครึ่งและเราจะได้เห็นมือถือ BlackBerry 10 กันในปีนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าเอาเข้าจริง RIM อาจต้องการเวลามากกว่านั้น เพราะซีอีโอคนเดียวกันได้กล่าวในวันนี้ว่า กำหนดการเดิมที่จะวางจำหน่ายในปีนี้เป็นเรื่องที่ "เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป"

     แต่ข่าวดีคือ Heins ได้กล่าวว่า BlackBerry 10 ยังคงเป็นโฟกัสหลักของทางบริษัทอยู่ และการเลื่อนกำหนดวางจำหน่ายในครั้งนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการออกแบบหรือ ฟีเจอร์ต่างๆ ของซอฟแวร์

     แต่ที่แน่ๆ คือข่าวนี้ไม่เป็นผลดีต่อ RIM เลย เนื่องจากที่ผ่านมาทางบริษัทประสบปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง การเมืองในองค์กร ฯ ซึ่งล้วนเป็นผลให้ต้องปลดพนักงานจำนวนหนึ่ง

    ใครสาวก RIM คงต้องรอกันอีกหน่อยครับ

อ้างอิง : The Verge , i3.in.th




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2555   
Last Update : 29 มิถุนายน 2555 21:39:18 น.   
Counter : 1562 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  

zulander
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




หวยซอง เลขเด็ด
หวยซอง เลขเด็ด หวยซองแม่นๆ หวยซองดัง รวมหวยซอง






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add zulander's blog to your web]