“ข้าวหมาก” กับคุณค่า “โปรไบโอติก” คุณประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด
หลาย ๆ คนคงรู้จัก และหลาย ๆ คนคงไม่รู้จักอาหารชนิดนี้มาก่อน แต่สำหรับผมผมเคยทานแล้วรู้สึกอร่อยดีวันนี้เลยหาเรื่องราวดีดีมาแชร์ถึงประโยชน์ของ "ข้าวหมาก" ให้ทราบกัน “ข้าวหมาก” กับคุณค่า “โปรไบโอติก” สไตล์ไทย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข้าวอยู่คู่กับวิถีการดำรงชีวิตคนไทยมาอย่างช้านาน ไม่เพียงแค่นำข้าวมาเป็นอาหารเท่านั้น แต่ด้วยคุณสมบัติพิเศษเกินตัวของข้าวจึงทำให้คนโบราณนำข้าวมาต่อยอดทางภูมิปัญญาเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการแปรสภาพข้าวให้เป็น “ข้าวหมาก” อาหารไทยโบราณที่ตอนนี้นับวันยิ่งจางหายไป
** รู้จัก “โปรไบโอติก” แบบไทย เมื่อเอ่ยถึง ข้าวหมาก จะว่าไปแล้วตั้งแต่เหนือจรดใต้ ในงานสำคัญ งานมงคลต่างๆ ต้องมีสิ่งนี้อยู่แทบจะทุกวาระสำคัญ แต่กับเด็กยุคปัจจุบันคงส่ายหน้าหากถามถึง และเพื่อความกระจ่างในข้อมูลที่น่าทึ่งเกี่ยวกับข้าวหมากนั้น
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาภูมิปัญญาไทย มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ข้อมูลว่า ข้าวของไทยสามารถนำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ซึ่งข้าวหมากก็เป็นภูมิปัญญาไทยในการแปรสภาพข้าวให้มีรสหวาน นำมาเป็นเครื่องปรุงรสกับอาหารหลายประเภท และด้วยความหลากหลายของสรรพคุณทำให้ในปัจจุบันมีการค้นพบ “โปรไบโอติก (Probiotics)” ในข้าวหมากขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาหารเสริมซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต สามารถก่อประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ โดยการปรับกลไกจุลินทรีย์ในร่างกายให้มีความสมดุล ทำให้ร่างกายสามารถสร้างเชื้อธรรมชาติในกระเพาะและลำไส้ที่ช่วยให้การย่อยดีขึ้น สร้างวิตามินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นตัวต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่างๆแก่ร่างกาย ทั้งยังช่วยป้องกันมะเร็งอีกด้วย
“ปัจจุบันมีการนำโปรไบโอติกบรรจุแคปซูลขายเพื่อส่งเสริมแก่ผู้รักสุขภาพ แต่ก็ต้องแลกด้วยราคาที่แพงไม่ใช่เล่น ซึ่งความเป็นจริงแล้วบ้านเราเองได้รับสารโปรไบโอติกมาอย่างช้านานจากข้าวหมากนั่นเอง ซึ่งคนโบราณอาจมีการนำแป้งข้าวหมากใส่เติมลงไปในยา หรือเป็นเครื่องปรุงในอาหารหลากหลายประเภท ดังนั้นคนไทยจึงมีการกินโปรไบโอติกมาตั้งแต่อดีต ซึ่งในต่างประเทศก็เช่นกัน อย่าง ญี่ปุ่น ก็จะอยู่ในรูปของถั่วเน่า หรือ นัตโตะ, เกาหลีก็อยู่ในกิมจิ หรือแม้กระทั่งอินเดียก็มีโยเกิร์ต โดยทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็คือโปรไบโอติกที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ”
** เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี ภญ.ดร.สุภาภรณ์ อธิบายต่อว่า ในอดีตเชื่อว่า ข้าวหมากจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการการเจริญเติบโตในเด็กให้ดีขึ้น จึงต้องกินตอนเช้าเพื่อเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่น และกระตุ้นให้แบคทีเรียภายในร่างกายทำงาน โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่แข็งแรง เหงื่อออกง่าย อ่อนเพลีย ตัวสั่น ก็มักจะให้กินข้าวหมาก และในผู้ใหญ่ที่เป็นไข้ ไม่มีแรง ผอมแห้ง หมอยาพื้นบ้านก็จะแนะนำให้คนไข้กินข้าวหมากกับน้ำต้มเคี่ยวของแก่นขี้เหล็ก ซึ่งหากมองในปัจจุบันก็จะพบว่าสิ่งเหล่านี้แทบจะไม่ถูกพูดถึง เนื่องจากแป้งข้าวหมากหายาก คนที่จะทำแป้งข้าวหมากก็ไม่มี
สำหรับวิธีการทำแป้งข้าวหมากนั้นอาจมีขั้นตอนที่ยุ่งยากแต่ก็สามารถทำได้ภายในครอบครัวโดยการ นำข้าวเจ้าไปแช่น้ำและตำให้ละเอียด แล้วนำมาคลุกกับเชื้อยีสต์ จากนั้นนำสมุนไพรที่มีทั้ง ข่า, ขิง, ชะเอม, อบเชย และ ดีปลี บดให้ละเอียดนำมาคลุกกับข้าวที่เตรียมไว้ จากนั้นบ่มทิ้งไว้ 2 วัน ขณะเดียวกันก็นำข้าวเหนียวมานึ่งแล้วมาล้างน้ำให้สะอาด นำแป้งผสมหัวเชื้อที่บ่มไว้คลุกลงในข้าวเหนียวที่นึ่งปิดฝาทิ้งไว้ระยะหนึ่งเชื้อยีสต์ก็จะเจริญเติบโตในข้าวเหนียวที่นำไปคลุก และจะได้มาเป็นข้าวหมากในที่สุด
“ตอนนี้อาหารการกินได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง อาหารที่ได้มาจากธรรมชาติหมดไป แทนที่ด้วยอาหารสำเร็จรูปที่อุดมไปด้วยสารเร่งต่างๆ ซึ่งเด็ก เยาวชนเองก็เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของอาหารเหล่านี้ ที่ทำให้พวกเขาต้องกินข้าว และให้เวลากับการดูแลสุขภาพน้อยลง อีกทั้งการที่เด็กได้รับแต่ของหวานจากอาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวทั้งหลายเป็นประจำ จะส่งผลให้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวขึ้น ซึ่งยืนยันได้จากผลการวิจัยในต่างประเทศที่พบข้อมูลที่สำคัญนี้ ดังนั้น ทุกคนควรหันกลับมากินข้าวให้มากขึ้น เพราะข้าวนั้นยังมีสาร GABA ที่ทำให้เกิดการผ่อนคลาย นอนหลับ ป้องกันอัลไซเมอร์ และยังช่วยกระชับริ้วรอยต่างๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เราจะได้รับเมื่อเราหันมากินข้าวไทย”
** อนุรักษ์ของไทยก่อนเลือนหายไป ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ให้ภาพเพิ่มเติมว่า ณ เวลานี้ข้าวหมากมีขายตามร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือตามตลาดสดอนุรักษ์ทั่วไป แต่ปัจจุบันจะมีการแต่งสี กลิ่น เพื่อให้รสชาติดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้หาข้าวหมากสูตรโบราณได้ยาก โดยกลุ่มคนที่ยังกินและรู้จักข้าวหมากจะอยู่ที่วัยกลางคนขึ้นไป แตกต่างจากเด็กรุ่นใหม่ที่แทบจะกินไม่เป็น อีกทั้งการที่มีการรณรงค์ให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้าวหมากก็พลอยได้รับผลนั้นตามไปด้วย เพราะในกระบวนการทำข้าวหมากนั้นจะมียีสต์ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลทำให้มีบางส่วนเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์บ้างเล็กน้อย
“จะเห็นได้ว่า ข้าวนั้นใช่ว่าจะมีคุณค่าในมิติของอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตเพียงอย่างเดียว แต่ข้าว ยังประกอบด้วย วิตามิน เกลือแร่ต่างๆ และเมื่อมองไปยังมิติด้านสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ก็จะมีข้าวเป็นส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น และไทยเราก็มีข้าวที่หลากหลายสายพันธุ์จึงอยากให้คนรุ่นหลังเห็นความสำคัญและช่วยกันอนุรักษ์ ซึ่งจะกลายเป็นมรดกของชาติสืบต่อไป ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : //women.thaiza.com/detail_112989.html เนื้อหาเพิ่มเติมครับ ข้าวหมากและคุณประโยชน์มากกว่าที่คิด ไม่นานมานี้มีข่าวการค้นพบคุณประโยชน์ในข้าวหมากว่ามีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือด ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แก้ปัญหาสิวฟ้าได้ และจัดเป็นอาหารโปรไบโอติก ทำให้ใครหลายคน โดยเฉพาะสาว ๆ หันมาให้ความสนใจกับอาหารชนิดนี้มากขึ้น แต่ก่อนที่จะไปรู้ว่าข้าวหมากนั้นช่วยบำรุงสุขภาพของคุณผู้หญิงได้อย่างไร เรามารู้จักกับคำว่า โปรไบโอติกกันก่อน โปรไบโอติกคืออะไร โปรไบโอติก คืออาหารที่บรรจุจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ช่วยการสร้างความสมดุลให้กับลำไส้ โดยจุลินทรีย์เหล่านี้จะมีอยู่ร่างกายเราอยู่แล้ว และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หากอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมเป็นมากขึ้น โดยนำจุลินทรีย์เหล่านี้มาบรรจุในเครื่องดื่มเพื่อช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น โปรไบโอติก พบที่ไหนบ้าง โดยปกติ อาหารที่เหมาะสมกับการย่อยสลายของจุลินทรีย์โปรไบโอติกนั้น มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น อาหารเส้นใย ผักและผลไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กล้วยหอม แอปเปิ้ล มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ซึ่งจะเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรียในลำไส้นั่นเอง โปรไบโอติกดีอย่างไร จุลินทรีย์ที่เป็นโปรไบโอติกหรือแบคทีเรียชนิดดีจะผลิตกรดอินทรีย์ช่วยในการขับถ่าย ทำให้กระดูกและเม็ดเลือดแข็งแรง ปรับความสมดุลให้กับแบคทีเรียในร่างกาย ช่วยให้การเผาผลาญปกติ นอกจากนี้ยังช่วยในการกำจัดสารก่อมะเร็ง ไวรัส อนุมูลอิสระต่างๆ ลดอาการอักเสบท้องเสีย กระเพาะอาหาร โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภูมิแพ้ โรคตับอักเสบ โรคตับ แผลสด แผลพุพอง แผลเน่าเปื่อยอีกด้วย ข้าวหมาก กับอาหารโปรไบโอติก จริงๆแล้วอาหารประเภทโปรไบโอติก ไม่ใช่มีแค่ในอาหารไทยเท่านั้น แต่ในอาหารประเภทอื่นๆก็มีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์อยู่อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นกิมจิของเกาหลี นัตโตะหรือถั่วหมักของญี่ปุ่น แม้แต่โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่เรารู้จักกันดี ก็มีส่วนผสมของโปรไบโอติกเช่นเดียวกัน ส่วนข้าวหมากอาหารไทย ๆ ของเรานั้นจะมียีสต์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์ มีธาตุสังกะสีมาก ซึ่งคุณประโยชน์ของสังกะสีนั้น จะช่วยในการบำรุงเลือด ผิวพรรณสดใส ไม่เป็นสิวหรือฝ้า ทั้งยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตให้กับเด็กอีกด้วย เห็นมั้ยว่าอาหารดีมีประโยชน์นั้นอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ราคาถูกและยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่ต้องไปเสียเงินซื้ออาหารราคาแพงๆแต่ได้คุณประโยชน์เท่ากันให้เสียเวลาอีกแล้วล่ะ วิธีการทำข้าวหมากนั้นมีหลากหลายสูตรเฉพาะแต่ละพื้นที่ แต่สำหรับตนเองได้ทำและออกขายก็ได้ผลตอบรับที่ดี เผื่อใครอยากทำข้าวหมาก กินเอง มีวิธีทำดังนี้ 1.ข้าวเหนียวดิบ (ปริมาณจะขึ้นกับลูกแป้งข้าวหมาก) ใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงูใหม่อย่างดีไม่มีเมล็ดข้าวอื่นปนมามาก ประมาณข้าวกลางปี ข้าวเหนียวนี้สำคัญมาก ไม่ใช้ข้าวเหนียวเก่าเพราะสีของเมล็ดข้าวจะเหลืองไม่สวย ข้าวเหนียวใหม่มากก็ไม่ดี ทำออกมาแล้วเม็ดจะเละ (ข้่าวเหนียวสันป่าตอง หรือ ข้าวเหนียว กข 6 ก็ใช้ได้ แต่ต้องดูว่าไม่มีเมล็ดข้าวอื่นปนมามาก) 2.ล้างข้าวเหนียวให้สะอาด เพื่อเอาฝุ่นและสิ่งสกปรกออก ล้างประมาณ 2-5 ครั้ง 3.เมื่อล้างเสร็จแล้วเอาข้าวเหนียวแช่น้ำ ใช้น้ำสะอาดที่ผ่านจากเครื่องกรองน้ำ แช่ทิ้งไว้ 6 ชั่วโมง เคยแช่ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงแล้วเวลาหุ่งแล้วเม็ดข้าวจะสุกไม่ค่อยพร้อมกัน แต่การแช่ข้าวอีกวิธีหนึ่งคือใช้น้ำอุ่นก็ย่นระยะเวลาลงไปอีก แต่ยังไม่เคยลอง 4.ตั้งน้ำให้เดือด นำข้าวเหนียวที่แช่ทิ้งไว้ใส่ซึ้ง หรือหวด ใช้เวลาประมาณ 20 -30 นาที ดูว่าให้สุกทั่วกัน และไม่เป็นไตแข็ง 5.นำข้าวเหนียวที่สุกแล้วใส่ภาชนะ เช่น ถาด ผึ่งให้เย็น หรือพลิกข้าวเหนียวกลับไปกลับมา สังเกตจากไอของข้าวเหนียวว่าไม่มีแล้ว 6.นำข้าวเหนียวสุกที่เย็นแล้วไปล้างให้หมดยางข้าว ประมาณ 2 - 4 ครั้ง โดยใช้น้ำสะอาดผ่านการบำับัดคลอรีนและเชื้อโรค หรือน้ำที่ผ่านจากเครื่องกรองน้ำ (น้ำที่มีคลอรีนอาจทำให้เชื้อยีสต์จากลูกแป้งทำงานได้ไม่เต็มที) น้ำปูนใสก็ล้างยางข้าวดีเพราะว่าเป็นด่าง แต่ว่าข้าวจะมีสีเหลืองดูแล้วไม่สวย 7.นำข้าวเหนียวสุกที่ล้างจดหมดยางข้าวขึ้นสะเด็ดน้ำ 8.บดลูกแป้งข้าวหมากให้ละเอียด (ควรทราบว่าลูกแป้งข้าวหมาก 1 ลูก ใช้กับข้าวเหนียวดิบปริมาณเื้ท่าไหร่) 9.นำข้าวเหนียวสุกที่สะเด็ดน้ำแล้วไปคลุกลูกแป้งข้าวหมากที่บดละเอียด (ค่อย ๆ โรยลูกแป้งข้าวหมากที่ละนิดให้ทั่วแล้วคลุกเคล้า อย่าโรยหมดในทีเดียว) ลูกแป้งนี้สำคัญมากที่จะให้รสชาติที่ดี การคลุกโดยทั่วไปก็ใช้มือ หรือไม้พาย คลุกไปคลุกมาให้ทั่ว 10.เมื่อคลุกเคล้าให้ทั่วแล้ว ก็เตรียมบรรจุลงภาชนะ ตามต้องการ หม้อ ถ้วย ใบตอง แต่ของเรานำใส่กระปุกปิดฝามิดชิด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของยีสต์ซึ่งจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล ซึ่งเรียกว่าน้ำต้อย ใช้เวลา 3 วัน แต่ถ้าอากาศเย็นอาจใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน ก็ได้ข้าวหมากที่น่ากิน หวาน หอม (หลังจากข้าวหมากได้ที่แล้วนำใส่ตู้เย็นสามารถเก็บได้เป็นเดือน การใส่ในตู้เย็นเพื่อลดการทำงานของยีสต์ไม่ให้เป็นแอลกอฮอล์มากเกินไป) เคล็ดลับการทำข้าวหมาก - ความสะอาดสำคัญมากเพราะมีผลต่อรสชาติของข้าวหมาก ถ้ามีสิ่งปนเปื้อนจะทำให้ข้าวหมากมีรส เปรี้ยวปนหวาน - ข้าวเหนียวควรเลือกอย่างดี คือไม่มีเมล็ดข้าวอื่นปนมาเยอะ เพราะจะทำให้ข้าวเหนียวสุกไม่ทั่วถึง ทำให้ข้าวเหนียวบางเมล็ดเป็นไต - ลูกแป้งข้าวหมากที่คุณภาพดีก็มีผลต่อรสชาติของข้าวหมาก ข้าวหมากจะหวานมากหรือหวานน้อย รวม ทั้งไม่มีรสเปรี้ยว ก็ขึ้นอยู่กับลูกแป้งข้าวหมากด้วย - อุปกรณ์ที่ใช้ทำข้าวหมาก ควรแยกต่างหากจากอุปกรณ์ที่ใช้ประจำทั่วไป - น้ำต้อยข้าวหมากออกมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเมล็ดข้าวที่คลุกเคล้า เมล็ดข้าวที่คลุกเคล้าลูกแป้งข้าว หมากแล้วค่อนข้างมีเมล็ดติดกันน้ำต้อยจะออกมามาก แต่ถ้าเมล็ดข้าวที่คลุกเคล้าลูกแป้งข้าวหมาก ค่อนแล้วข้างแห้งเมล็ดไม่ติดกันน้ำต้อยจะออกมาพอดี
Create Date : 09 กรกฎาคม 2555 |
| |
|
Last Update : 9 กรกฎาคม 2555 20:23:54 น. |
| |
Counter : 3624 Pageviews. |
| |
|
|