Group Blog
All Blog
♦♦♦ ต้องอ่านกันนะจ๊ะ อย่าประมาทอาจถึงตาย ♦♦♦





เรื่องนี้ เขียนโดย ครูถือศีล ดิฐวัฒน์โยธิน 
 เธอถูกเรียกว่าคุณครูเพราะเธอเป็นครูโยคะ
คุณหมอได้นำข้อเขียนของเธอมาไว้ในหนังสือของคุณหมอเรื่อง
 "จับเข่าคุยกันเรื่อง ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบที่ป้องกันและรักษาได้"
เราจึงขอคัดมาให้ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจ และ
 จะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกยามเจ็บป่วยไงจ๊ะ เธอให้ชื่อเรื่องไว้ว่า

"ชีวิตต้องสู้ของพี่รหัสไวรัสบี"



เธอชื่อ "พี่เปี๊ยก" เป็นผู้หญิงค่ะ หญิงเหล็กด้วย
  เธอรู้ตัวว่าเป็นไวรัสบี เมื่อเข้าสู่ระยะตับแข็ง
ตั้งแต่ 2530 ปีที่เขียนอยู่นี้ ก็นับได้ 18 ปีแล้ว 
 ที่ครูยกให้พี่เธอเป็นพี่รหัสไวรัสบี
เนื่องจากพี่เขามีประสบการณ์ในการเป็นไวรัสบีมานานมาก
 พี่เขาผ่านการรักษามาตั้งแต่ยุคที่ไม่มียากดไวรัส รักษากันตามอาการ
พี่เขาผ่านมาทีละยุค เคยฉีดอินเตอร์เฟียรอน มาแล้ว
 เคยกินยามาแล้ว เจออาการต่างๆมาแล้ว 
  แต่ที่ครูยกให้เธอเป็นกิติมศักดิ์
เพราะเธอเป็นคนไข้ที่น่าดูเป็นแบบอย่าง 
  น่าเลื่อมใส เธอผ่านอะไรมาตั้งมากมาย
  เธอใช้ชีวิตอยู่กับตับแข็งมาตั้ง 18 ปี
และเล่าเรื่องราวต่างๆให้ครูฟังอย่างสดใส ร่าเริง
 ไม่มีทีท่าจะท้อใจใดๆเลย
  อย่าว่าแต่ไม่มีใครรู้ว่าเธอตับแข็งเลย
คุณๆดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าอายุเธอขึ้นด้วยเลข 6 แล้ว
(อ้าว....เขาเลยรู้กันหมดเลยทีนี้ แหะ แหะ )

ครูว่าเธอเหมือนกับแสงเทียนเล็กๆ
ที่มีความหมายสำหรับคนไข้รุ่นน้องที่เพิ่งเป็นไวรัสบี
 หรือเพิ่งรู้ว่าเป็น  บางคนมองไม่เห็นอนาคต มืดมน 
  มองไม่เห็นทางว่าเราจะเป็นอย่างไร
  บางคนหมองหม่น บางคนเศร้าบางคนกลัวจะเป็นนั่นเป็นนี่
  กลัวตาย กลัวลูกเป็นกำพร้า
 ต้องเอาลูกใส่ลังไปทิ้งหน้าบ้านคนอื่น
(ดูคนเขียนมันจินตนาการเข้า)
บางคนกลัวตับแข็ง กลัวนั่นกลัวนี่ 
  บางคนกลัวจนถอดใจและปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรม

หากได้อ่านเรื่องของพี่เปี๊ยก คุณจะรู้เลยว่า 
 คนไข้ที่ไปถึงระดับที่ต้องเปลี่ยนตับ
  ตับถูกทำลายจนแทบใช้ไม่ได้เธออยู่กับมันอย่างน่ารัก 
  อย่างไม่กลัว เธอบอกมียาก็กินไป
  เธอยังบอกว่ายาทำให้อาการต่างๆดีขึ้น
และเธอพร้อมที่จะเล่าประสบการณ์ให้ครูฟัง
  เพื่อที่จะนำมาเล่าให้รุ่นน้องฟัง
  ทำนองว่า น้องๆจ๋าอย่ากลัวไวรัสบีเลย
พี่เป็นมาตั้งนาน พี่ตับแข็งมานานขนาดนี้ 
 พี่ยังไม่เห็นว่าโรคนี้จะมีอะไรให้ต้องทรมาน
 ไม่มีเจ็บ ไม่มีปวดมีเต่อ่อนเพลียนิดหน่อย 
  และมีอาการข้างเคียงบ้าง
 แต่พี่ว่า มันไม่ใช่อะไรร้ายแรงเลย 
 โรคอื่นเขารุนแรงกว่านี้เยอะพี่เปี๊ยกเขาบอกอย่างนั้นจริงๆนะ
   การที่พี่เปี๊ยกอยู่กับตับแข็งได้ขนาดนี้
 ส่วนหนึ่งครูว่าเป็นเพราะวงการแพทย์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
มียาดีๆ ใหม่ๆ มาเรื่อย และสอง เธอมีหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็ง
 และมีสุขภาพจิตที่ดีมาก เธอมองโรคในแง่ดี และมองชีวิตในแง่ดี
ซึ่งหากคนไข้ทุกคนมองโลกและมองโรคได้อย่างพี่เปี๊ยกเขา
 ครูว่าไวรัสบีก็ไวรัสบีเหอะ มันจะทำอะไรเราได้นักหนา
เป็นโรคที่มีบทบาทน้อยจะตาย เจ็บก็ไม่มี ปวดก็ไม่มี 
  เป็นโรคที่ยังดีกว่าอีกหลายๆโรค


ตอนที่อาจารย์แนะนำให้ครูรู้จักกับพี่เปี๊ยก 
 อาจารย์บอกว่าพี่คนนี้ตับแข็งมา 18 ปี กำลังรอตับใหม่
ครูงงเหมือนกันนะ เพราะครูคิดว่าคนเป็นตับแข็งน่าจะเป็นมาก
  มีโทรม มีซูบ มีทรุดจนเห็นได้ชัด  บางคนทรุดจริง 
 ทรุดเพราะเครียด แต่ที่ครูเห็นเธอ
 สภาพไม่น่าจะเหมือนคนที่รอตับใหม่ 
 ทำไมเธอดูยิ้มแย้มแจ่มใส
รูปร่างหน้าตาท่าทางไม่เหมือนคนป่วยเลย 
 เธอยังให้ข้อคิดกับรุ่นน้องว่า
"โรคเนี่ยะ ถ้าเราไปกลัว ใจเราฝ่อเราไปคิดว่ามันหนัก
  เมื่อใจเราเป็นอย่างนั้น ร่างกายเรามันก็จะทรุดโทรม
  เรากลัวกันไปเอง ถ้าเราคิดว่ามันไม่มีอะไร
ทุกอย่างรักษาได้ ทุกอย่างแก้ไขได้ ม้นก็ไม่มีอะไร
  พี่อยู่ทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไร
  หมอให้ยามาก็กินยาตามที่หมอบอกหมอนัดไปตรวจอะไร 
 พี่ก็ไปตามที่หมอนัด
 พี่จะทำหน้าที่ของพี่ ไม่เห็นมันจะน่ากลัวเลย" พี่เปี๊ยกกล่าว
เธอดูไม่เหมือนผู้ป่วยจริงๆนะ พี่เปี๊ยกเธอรอตับใหม่มาได้ปีหนึ่งแล้ว
 คือตับแข็งมา 17 ปี หมอถึงวินิจฉัยให้เปลี่ยนตับ
แต่ยังไม่ได้ตับที่ถูกใจ เอ๊ยที่ใช้ได้ตอนนี้เธอเป็นคิวแรก
  ที่ตับเธอได้ช้าเพราะกรุ๊ปเลือด เอบี หายากหน่อย
การจะนำตับใครมาใช้มันต้องมีกรุ๊ปเลือดที่ตรงกันด้วย
  เห็นไม๊ว่าให้รักษาตับเก่าเราไว้ เพราะตับใหม่มันต้องรอนาน


เธอเล่าถึงสิ่งที่เธอประสบ เล่าถึงอาการต่างๆ 
 แชร์ประสบการณ์ ได้อย่างตลกขบขัน
เธอบอกว่า เธอไม่เห็นจะกลัวอะไร ไม่มีอะไรให้เธอกลัว
 เธอบอกครูว่า ยังมีคนที่โชคร้ายกว่านี้ เช่น คนที่พิการ
ตาบอด ขาขาดจากอุบัติเหตุ คนเป็นไวรัสบีไม่ได้พิการ
  แม้ว่าจะทำให้ความสามารถในการทำงานลดลงบ้าง
ในช่วงที่มีอาการอักเสบมาก เช่นอาการอ่อนเพลีย
 แต่ถ้าการอักเสบดีขึ้น หรือได้รับยาช่วยบรรเทา
 ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ
เท่าที่ครูดูก็เห็นว่าเธอดูปกติจริงๆด้วยแหละ
  "พี่น่ะตับแข็งมานานยังไม่เห็นมีอะไร 
 หลานชายพี่เขาเป็นผู้ชายอายุแค่สามสิบกว่านิดๆ 
 ไปหาหมอที่โรงพยาบาล..(สงวนนาม)
 แทนที่หมอจะอธิบายหรือตรวจอะไร ตรวจก็ยังไม่ทันตรวจ
แถมพาไปดูคนไข้อาการหนักๆแบบที่ต้องถือถุงปัสสะวะ
  คนไข้ระยะสุดท้ายใกล้ตาย
 หลานพี่เขาเลยหดหู่ใจกลับมาบ้านเจ็บตับทันที
  ใจมันไปแล้ว ใจกลัวไปก่อน
 เขาคิดว่าตัวเองเป็นอะไรเสียมากมาย ก็เลยเจ็บตับขึ้นมา"
พี่แกเล่ายิ้มๆต่อมาพี่เลยแนะนำให้แกมาหาอาจารย์
(อาจารย์ปิยะวัฒน์ ของเรา)
 อาจารย์แกก็จับตรวจและเจาะดูสภาพของตับ
ตรวจดูผลเลือด มีตับอักเสบเล็กน้อย 
 ไม่ได้จะตับแข็งหรือเป็นอะไรมากมายเลย
  แต่เขากลัวไปเองมันก็ทรุดเพราะความกลัว 
 พอเขารู้ว่าไม่เป็นอะไร เขาก็หายเจ็บตับ"


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใจคิดว่าเจ็บ มันก็เจ็บ
 (คนไข้ไม่ได้แกล้งเจ็บ หรือมารยา คือใจมันคิด
ร่างกายมันจะหลั่งสารออกมาตอบสนอง คนไข้จะรู้สึกเจ็บจริงๆ
 แต่ไม่ได้เจ็บจากโรค แต่เจ็บจากจิตเป็นตัวสั่ง)
หากใจคิดว่าหนัก กายก็หนัก ใจรู้ว่าไม่เป็นอะไร เราก็ไม่เป็นอะไร
  ดังนั้น คนไข้ไวรัสบีไม่ควรตีตนไปก่อนไข้
อย่ามัวแต่คิดมากเดี๋ยวเจ็บตับนะเอ้า แต่ถ้าท่านเจ็บตับ
และไม่แน่ใจว่าเจ็บเพราะโรคหรือเพราะกลัว 
 ไปตรวจจะดีที่สุดเพราะในบางระยะอาจมีเจ็บตับที่เกิดจากโรคจริง 
 เช่น มะเร็งตับที่มีเจ็บตับได้
 หรือตับอักเสบจนตับโตก็มีเจ็บตับได้
แต่ส่วนใหญ่จะเจ็บตับจากความเครียดมากกว่า
   ประสบการณ์ของพี่เปี๊ยกพี่เปี๊ยกพบว่าตัวเองเป็นไวรัสบี
เมื่อมีอาการมากแล้วพอเธอมาพบแพทย์
แพทย์ก็เจาะตัวอย่างชิ้นเนื้อตับ หรือที่เรียกสั้นๆว่า "เจาะตับ"
 พบว่าพี่เขาได้เข้าสู่ระยะตับแข็งแล้ว
จะว่าพี่เขาพบแพทย์ช้าไหม จริงๆแล้วก็เรียกว่าช้า
  แต่แพทย์ก็พยายามประคับประคองพี่เขาให้อยู่มาได้ตั้ง 18 ปี
และครูรู้ว่าพี่เขาจะยังอยู่อีกนาน 
 "สมัยแรกๆที่พี่เป็น เขายังไม่มียาเข้ามาเหมือนตอนนี้
 ตอนนั้นก็ไม่เรียกว่ารักษาคือมีอาการอะไรก็รักษากันไปตามอาการ
 เช่น เป็นไข้ก็กินยาลดไข้ ไม่ได้มียามาลดจำนวนไวรัสเหมือนสมัยนี้
การรักษาก็เป็นการเยียวยากันไป" 
  ต่อมาก็มียาใหม่ๆ มีวิวัฒนาการใหม่ๆเข้ามา
 พี่เขาก็ก้าวตามโดยเริ่มจากฉีดอินเตอร์เฟียรอน
  พี่เขาฉีดไปครบหกเดือนแรกแล้ว
อาการดีขึ้น หลายปีต่อมาก็มีอักเสบอีก
อาจารย์ก็แนะนำให้ฉีดอินเตอร์เฟียรอนอีกคอร์ส 
 แต่คอร์สที่สองต้องหยุดกลางคัน
 เพราะเม็ดเลือดขาวมันตกมากจนน่าเป็นห่วง
(หมอจะคอยเช็คเลือดเสมอ)
 อาจารย์จึงบอกว่าหยุดดีกว่า แล้วเปลี่ยนวิธีการรักษา
 โชคดีที่ตอนนั้่นมียากินเข้ามา
ยากินไม่มีผลข้างเคียง แล้วก็ช่วยควบคุมอาการให้ดีขึ้นตามลำดับ 
 จนใช้ชีวิตได้เป็นปกติ
แต่คนไข้ตับแข็งต้องเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือ
ความรู้สึกอ่อนเพลียเบื่ออาหาร และไม่มีเรี่ยวแรง
มีพลังร้อยเปอร์เซนต์เหมือนคนอื่นเขา พี่เขาก็ทำใจได้ 
 แต่ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานพี่เขาก็พอใจแล้ว
แม้พี่เขาต้องหยุดอินเตอร์เฟียรอนคอร์สที่สองกลางคัน
  พี่เขาก็ไม่เคยย่อท้อต่อการรักษา
ยากินสมัยใหม่นี้ดีกว่าอินเตอร์เฟียรอน
ในแง่ของผลข้างเคียงน้อยกว่า
 เธอก็ปรับมากินยา ตั้งแต่ลามิวูดีน กินไปเรื่อยๆ
พอเริ่มดื้อยาอาจารย์ก็ให้เธอเปลี่ยนยาตัวใหม่เป็นอเดโฟเวีย
  ยิ่งมีการคิดค้นยาใหม่ ก็ยิ่งมีพัฒนาการขึ้น
ยากินนี้ทำหน้าที่กดจำนวนไวรัส ไปตัดวงจร
ที่สายพันธุกรรมของไวรัส
ทำให้มันไม่สามารถเกิดใหม่หรือเพิ่มจำนวนได้
พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆคือ "ทำหมันไวรัส" พอมันถูกทำหมัน
 ไวรัสมันก็ออกลูกออกหลานไม่ได้
และตัวไวรัสเองมันก็มีอายุขัยของมัน มันก็จะตายไป 
 ตายไปโดยไม่ออกลูกหลาน
  ก็ทำให้ไวรัสในร่างกายลดจำนวนลง
นี่คือหน้าที่ของยากิน อย่าลืมว่าไวรัสมันไม่หมดไป 
 แต่การกินยาลดจำนวน
  ต้องการลดให้มันเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้่อยได้
พี่เปี๊ยกได้นับจำนวนไวรัสก่อนและหลังกินยา 
 ผลเลือดออกมาปรากฎว่า
  จำนวนไวรัสลดลงมากจนอยู่ในระดับที่อาจารย์ปิยะวัฒน์พอใจ 
 พี่เขาก็พอใจ ครูก็พอใจ
  ถ้าคุณหลวงทราบเรื่องก็คงจะพอใจ
แกบอกว่า ยาใหม่ทำให้แกอยู่อย่างสบายๆ
   หมายเหตุ คุณหลวงในที่นี้คือไอ้ตัวเล็ก(สุนัข)
ที่บ้านแกหน้าตาน่ารักมาก เธอตั้งชื่อเองค่ะ บอกแล้วพี่เขาน่ารัก
  แม้พี่เขาจะมีจำนวนไวรัสน้อยลงแต่ด้วยความที่พี่เขาเริ่มต้นรักษา
เมื่อเข้าสู่ระยะตับแข็งแล้ว 
 ทำให้บางครั้งต้องพบอาการข้างเคียงของตับแข็ง
กล่าวคือ มีท้องมานบ้างในบางโอกาส 
 และบางครั้งมีอาการทางสมอง
และมีบวมขาบ้าง ส่วนอาการทางสมองก็มีเป็นพักๆ
พอเป็นแล้วก็หายไป เพราะหมอเขามียาให้กินลดอาการ 
 พี่เขาบอกว่า ทุกอย่างมันมาแล้วมันก็ไป
พี่เขาไม่เคยไปกลุ้มกับมัน
 คำพูดแต่ละคำที่พี่เขาพูดน่านับถือยิ่งนัก
จริงเนอะ อะไรก็ตาม มันมาแล้วมันก็ไป











อาการทางสมองเป็นยังงี้ค่ะ 
  พี่เปี๊ยกเล่าเรื่องนี้อย่างสนุก น่ารัก ทั้งๆที่เรื่องมันไม่สนุกเลย
แกบอกว่าตอนที่มีอาการนั่้นมันไม่สนุก ไม่ตลก
  แต่พอผ่านมาแล้วมันตลก
 พี่เปี๊ยกมองโลกในแง่ดีเสมอเหลือเชื่อเขาเลย
  มิน่าทำไมคนรอบข้างถึงได้รักพี่เปี๊ยก
 คุณหลวงก็รักพี่เปี๊ยก จะมีเคืองๆกันบ้าง
ก็ตอนที่พี่เขาจับคุณหลวงแปรงฟันนั่นแหละ
 "เรื่องที่พี่เล่าน่ะไม่ละเอียดหรอกนะ เพราะมีบางครั้ง
ก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันต้องไปถามสามีพี่
  เขาคงพูดว่า...อ๋อ อาการของหล่อนน่ะเหรอชั้นไม่อยากจะพูด!"
อาการทางสมองเกิดจากการที่ตับขับของเสียออกไม่ได้ 
 เพราะตับไม่ทำงาน มันจึงไปคั่งค้างที่สมอง
ทำให้เกิดอาการสับสน
(ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวันหรอกนะ นานๆพี่เขาจะเป็นที)
"สับสนยังไงหรือพี่ หลงทาง หรือว่าบวกลบเลขไม่ได้" ครูถาม
"มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะซิ มันสับสนและน่ารำคาญ
และหงุดหงิดมาก" แล้วพี่ก็เล่าเป็นฉากๆ


อาการทางสมองของคนไข้ตับแข็งเป็นแบบนี้ 
 "บางครั้งเมื่ออาการของพี่หายไปแล้ว
 ญาติเล่าว่าพี่จะเหมือนตื่นตัวจะเที่ยวโทรหาคนนั้นคนนี้ 
 จะคุยกับคนนั้นคนนี้
 เอาสมุดโทรศัพท์เอาหมายเลขมาวางข้างหน้า
แต่ก็กดไม่ถูก กดผิดกดถูก ไปติดบ้านคนอื่นบ้าง บ่อยไป 
 พอมีคนกดโทร.ให้ พี่ก็พูดกับญาติใหญ่เลย
แต่ญาติบอกว่าพี่พูดไม่รู้เรื่อง คือทางปลายสายฟังไม่รู้เรื่อง
 จับประเด็นไม่ได้ เหมือนพูดไปอย่างนั้น
อยากคุยกับคนนั้นคนนี้ แต่สับสนไปหมด
  ไม่รู้เนื้อความทั้งเราทั้งเขา


"พี่เข้าห้องน้ำจะอาบน้ำ พี่ร้อน พี่เปิดน้ำไม่ได้
  ไม่รู้ว่าการเปิดน้ำมันเป็นอย่างไร
 เห็นอยู่ว่ามีก๊อกน้ำก๊อกที่เคยเปิดอยู่ทุกวี่วัน
  แต่วันนั้นไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้น้ำมันออกมา
 ไม่รู้ว่าจะบิดหัวก๊อกไปทางไหน ทำอะไรไม่ถูกเลย
พี่จะฉี่ พี่เห็นว่าโถมันอยู่ข้างหน้า แต่ไม่รู้จะฉี่ยังไง !
  ไม่รู้ว่าจะฉี่มันต้องทำยังไง
 พี่ก็ถามแฟนพี่ว่าจะฉี่ยังไงเขาก็คงหงุดหงิดพี่น่าดู" 
  พี่เขาเล่าแล้วหัวเราะสามีพี่เขานั่งอยู่ข้างๆ ก็นั่งอมยิ้ม
 (บางจังหวะก็แอบค้อนเล็กน้อยถึงปานกลาง)


พี่มองนาฬิกาเห็นว่าเข็มสั้นอยู่เลข 3 เข็มยาวอยู่เลข 12 
 ได้แต่ดูแต่ไม่รู้ว่ามันกี่โมง ต้องถามคนอื่นว่ากี่โมง
ทั้งๆที่ใส่นาฬิกาอยู่ต้องแกล้งบอกคนอื่นว่าตาไม่ดี 
 มองไม่เห็นคือถ้าพี่ปกติดี พี่ก็รู้ว่ามันคือบ่ายสามโมง
แต่เวลาที่พี่เป็น พี่ไม่รู้จริงๆว่ามันกี่โมง 
  พี่ร้อนพี่ก็บอกคนในบ้าน
  แต่พี่พูดว่า พี่หนาว คนในบ้านก็ไม่เข้าใจ
พี่ก็โมโหที่ทำไมคนรอบข้างไม่เข้าใจเขาเล่าว่าพี่บอกว่า
พี่หนาว  แต่พี่ถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็เป่าพัดลม
พอคนในบ้านไม่เข้าใจพี่ก็หงุดหงิดเมื่อก่อนสามีพี่เขาไม่เข้าใจ
 เขาก็พลอยหงุดหงิดตวาดพี่กลับมา ทำให้พี่น้อยใจมาก
เขาน่าจะเข้าใจนะว่าพี่ไม่รู้เรื่องจริงๆ พี่สับสนและเครียดมาก
 "บางทีพี่หงุดหงิดอยากจะถอดกำไลที่สวมอยู่
พี่ถอดมันไม่ออกเพราะพี่ไม่เข้าใจว่าจะถอดอย่างไร
  การถอดของออกจากตัวต้องทำอย่างไร
พี่เอามือดึงกำไลเข้าหาตัวกระชากแรงๆ
คนในบ้านก็ถามว่าพี่จะทำอะไร พี่บอกว่าพี่จะถอด
ในใจพี่ก็จะถอดจริงๆ แต่แทนที่พี่จะดึงไปทางด้านมือ
ให้ออกทางมือแต่พี่กลับดึงมันเข้าดึงขึ้นเข้าหาศอก
   พอถอดไม่ออกก็ยิ่งหงุดหงิด พอพี่จะแต่งตัวก็ไม่รู้ว่า
เสื้อตัวไหนมันต้องใส่กับกางเกงตัวไหน
  ไม่รู้ว่าอันไหนมันต้องใส่ด้วยกัน สามีพี่ก็ส่งกางเกงให้
พี่ก็บอกว่าไม่ใช่กางเกงของพี่ ทั้งๆที่มันเป็นกางเกงของพี่
 คือมันสับสนไปหมด สามีพี่ก็คงลำบากใจอยู่"


"บางครั้งพี่นอนแบบมาราธอน คือนอนติดต่อกัน 4 วัน
 ไม่กินอะไรแล้วก็ไม่เข้าห้องน้ำ ที่บ้านเรียกก็ไม่ลุก
เขาก็ไม่อยากรบกวน คิดว่าพี่คงต้องการพักผ่อน
  แต่พอพี่ตื่นขึ้นมาวันที่ 4 ก็หิวมาก
  คนมันไม่ได้กินข้าวมาตั้ง 4 วัน
ทีนี้พี่จะบอกคนที่บ้านว่าพี่หิว พี่ก็พูดคำว่าหิวไม่ถูก
  ไม่รู้จะพูดอย่างไร นึกคำว่าหิวไม่ออก
  ได้แต่หงุดหงิดเหมือนโวยวาย
คนที่บ้านก็ถามว่าจะเอาอะไร พี่ก็พูดไม่ถูก 
 แค่คำว่า "หิว" คำเดียวพี่พูดไม่ถูก
 รู้สึกแต่ว่ามันหิวมาก แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าหิว 
 ไม่สามารถกลั่นมันออกมาเป็นคำพูดได้
  มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากจริงๆ


ปกติพี่เป็นคนที่ใจดีนะ เวลาพี่ใจดี พี่ใจดีมาก 
 แต่พอมีอาการทางสมอง
พี่จะกลายเป็นอีกคนที่ญาติไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยซ้ำ
พี่จะโมโหร้ายควบคุมตัวเองไม่ได้ 
  ซึ่งพี่ก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้น แต่มันเครียดจริงๆ"

จากที่พี่เขาเล่ามา ใครอ่านก็คงเข้าใจพี่เขา 
 เป็นครูต่อให้ครูใจเย็นอย่างไร
 ใจดีอย่างไร ครูก็คงโมโหอยู่เหมือนกัน
การที่เราเคยทำอะไรได้แล้วอยู่ๆมันทำไม่ได้ มันสับสน 
 พูดก็ไม่ได้ ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร
  ต่อให้เขียนยังไม่ได้เลยเพราะไม่รู้ว่าหิวมันเรียกว่าหิว
 แค่ครูฟังอาการต่างๆของพี่เขาแล้ว ครูก็รู้สึกว่า
 "ถ้าเป็นฉัน ฉันก็โมโห"
คุณอ่านมาลองนึกดูซิ ว่าถ้าคุณมีอาการอย่างพี่เขา 
 คุณจะโมโหตัวเองมั๊ย


ครูจึงต้องฝากคำขอร้องมายังญาติผู้ป่วยทุกคน 
 ต้องเห็นใจเขานะคะ
 ถ้าได้อ่านเรื่องที่พี่เปี๊ยกเล่าคุณคงรู้ว่ามันน่าโมโห
  น่าหงุดหงิดขนาดไหนที่มีอาการทางสมองเช่นนี้ 
 อยากให้ญาติเข้าใจถึงความรู้สึก
ทุกข์ทรมานของผู้ป่วยมากๆ อย่าไปดุหรือตวาดผู้ป่วยเลย
 จริงอยู่ว่าผู้ป่วยแสดงสิ่งที่ก้าวร้าวรุนแรงหรือโวยวาย
ทำให้ท่านรำคาญใจหรือโมโหบ้าง แต่นั่นคืออาการป่วยของเขา
 และเกิดจากความทรมานของเขา เขาไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อของเสียที่คั่งค้างในสม่องหมดไป 
 เขาก็จะกลับมาเป็นคนเดิมเอง
  ช่วงที่เขามีปัญหา ญาติต้องไม่ดุเขา
อย่าไปตะคอกเขากลับเพราะ
นอกจากจะไม่ทำให้อาการเขาดีขึ้นแล้ว
 ยังทำให้เขาน้อยอกน้อยใจอีกต่างหาก


และมีปัญหาอีกอย่าง หากญาติไม่เข้าใจว่า
เป็นอาการของคนไข้ตับแข็ง
  ก็มักจะคิดว่าคน่ไข้ "เป็นบ้า" 
อาจจะส่งตัวไปโรงพยาบาลทางจิต
  มีบ้างที่หลุดไปแผนกจิตเวช สุดท้าย
ก็ถูกหมอตามกลับมาว่าเขาไม่ได้เป็นบ้า
แต่เป็นอาการทางสมองของผู้ป่วยตับแข็ง และที่เป็นห่วงก็คือ
 จิตแพทย์มือใหม่ที่ไม่รู้จักอาการของโรคนี้
เกิดคิดว่าเป็นโรคจิต จะทำให้หลงทางในการรักษา


หลายคนฟังเรื่องราวพี่เปี๊ยก คงไม่เข้าใจกับคำบางคำ
หรือบางสถานการณ์เช่น อินเตอร์เฟียรอน คืออะไร
อาการทางสมองเกิดจากอะไร ตับแข็งคืออะไร 
 ทำไมจึงเรียกว่าตับแข็ง
 และอ่านไปเรื่อยๆก็จะเจอศัพย์แปลกๆ
ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เดี๋ยวอาจารย์จะค่อยๆอธิบายเป็นคำๆไป
  เป็นเรื่องๆไป



#########################



เป็นไงกันบ้างคะ อ่านเรื่องจริงไม่ใช่อิงนิยายแล้ว
รู้สึกอย่างไรบ้าง เป็นหนทางเดียวที่เราจะพ้นจากโรคนี่้ได้คือ
ต้องหาหมอตรวจเลือดเช็คไวรัสซะ 
  ว่าเธอแอบหลบเข้ามาอาศัยอยู่ในตับเราหรือไม่
  ถ้ามีจะได้ช่วยกันกำจัดได้ทันท่วงที
อย่าทิ้งไว้จนเป็นมากสุดจะเยียวยานะ 
  เพราะอาจจะแก้ไขไม่ทันกาารณ์
 ท่านยมจะพาเราไปอยู่ด้วยก็ได้นะจ๊ะ

คนนำมาให้ท่านอ่านนี่ก็เถอะ 
 ยังไม่รู้ว่าวันใดจะโดนแจ๊คพ็อตเลย
  ไม่ว่ากันนะถ้าต่อไปอาจจะมีอาการเพี้ยนบ้าง
นึกว่าเมตตา อโหสิกันไปก็แล้วกันนะจ๊ะ 
 คนอ่านทีน่ารักทุกท่าน ฮ่าๆๆๆๆๆ
รักษาสุขภาพกันถ้วนหน้านะจ๊ะ








Create Date : 17 พฤษภาคม 2555
Last Update : 7 สิงหาคม 2557 16:40:57 น.
Counter : 1491 Pageviews.

5 comments
  
คงต้องบอกที่บ้านให้คอยสังเกตอาการผมไว้บ้างแระ
โดย: จักร์ IP: 58.9.236.15 วันที่: 21 พฤษภาคม 2555 เวลา:9:57:53 น.
  
ถ้าเป็นแล้วจะรักษาหายเปล่าครับ ไวรัสติดต่อได้อย่างไร ถ้าเราเป็นแล้วจะติดต่อคนรอบข้างเราได้ไหม
โดย: วินัย IP: 27.55.152.26 วันที่: 18 สิงหาคม 2556 เวลา:21:36:49 น.
  
เรียนคุณวินัย
ไวรัสเป็๋นแล้วมีโอกาสหายแต่ต้องคอยตรวจเช็คเลื่อดทุกหกเดือนตามแพทย์สั่ง เพื่อตรวจไวรัสว่ามีอีกหรือไม่
เท่าที่ทราบ ไวรัสบีติดต่อทางสายเลือด และการร่วมเพศเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่รู้ไว้จะถามหมอให้นะคะ
ถ้าเราเป็นจะต้องตรวจเลือดลูกทุกคน ถ้ายังไม่ได้ฉีดยาป้องกันไวรัส แต่ถ้าฉีดแล้วก็ไม่น่าจะเป็น

โดย: tangkay วันที่: 19 สิงหาคม 2556 เวลา:0:31:02 น.
  
ขอบคุณคับ เดียวมีอะไรสงสัยผมจะขอความรู้ใหม่ครับ
โดย: วินัย IP: 27.55.141.13 วันที่: 19 สิงหาคม 2556 เวลา:3:44:16 น.
  
เป็นไวรัสตับอักเสบซี รักษาหายไหมคะและเป็นเกล็ดเลือดต่ำด้วย
กลุ้มจริงๆคะ ต้องกินยาเพิ่มเกล็ดเลือดเกือบทุกเดือน ยาแพงมาก
เม็ดละ 750 บาท 14 เม็ด ไม่มีเงินคะ มีวิธีอื่นทำให้เกล็ดเลือดเพิ่มไหมคะ
โดย: คุณน้อย IP: 110.164.177.90 วันที่: 12 ธันวาคม 2557 เวลา:15:50:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ