It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๑๑

บทที่ ๑๑ ๖.๑๐ น.
ปีนี่โรงเรียนขอบฉันเข้าประกวดโรงเรียนดีเด่นของภาคเหนือ ครูมาบอกพวกเราว่าการเรียนการสอนจะเป็นแบบให้นักเรียนจับกลุ่มพูดจากัน เหมือนๆ ว่าจะให้นักเรียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนในแต่ละเรื่อง

กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกฉันสิคะก็เพราะก่อนที่ครูจะสอนเรื่องต่อไปพวกเราต้องไปอ่านกันก่อนที่จะมาเรียน และต้องไปห้องสมุดเพื่อนค้นคว้าข้อมูลในเรื่องเหล่านั้น พวกฉันก็งงเป็นไก่ตาแตก แล้วนี่เราจะไปหาเรื่องเหล่านั้นได้จากที่ไหน

แค่ให้อ่านจากหนังสือเรียนก็มึนหัวกันตึบตั๊บแล้วนี่ยังจะให้มาหาข้อมูลอะไรก็ไม่รู้จากห้องสมุดอีก แถมต้องหาข่าวที่เด่นๆ ทุกวันเพื่อเอามาพูดคุยกันในห้องเรียน

จากการที่เรานั่งเรียนแบบแถวหน้ากระดานก็ต้องมาจัดโต๊ะใหม่หันหน้าเข้าหากัน คนที่หันหลังด้านข้างให้กระดานก็เอี้ยวคอกันจนแทบจะเคล็ด ฉันก็คนหนึ่งหละที่ไม่ยอมหันข้างให้แน่นอนเพราะฉันจะจองโต๊ะติดประตูหลังอยู่แล้ว ใครจะยอมย้ายง่ายๆ

บนโต๊ะที่เราหันหน้ามาชนกันก็ต้องมีแจกันกระถางต้นพลูด่างทุกกลุ่ม และเจ้าต้นพลูด่างนี้เองเจ้าปัญหาไม่มีใครยอมเอามาวางไว้บนโต๊ะของตัวเองหรอกคะ

“ฉันไม่เอามาวางไว้ที่โต๊ะฉันนะมันจะหกเลอะ” ภรณีที่ตอนนี้ต้องมานั่งอยู่ตรงข้ามกับฉันบอก เพราะแค่เธอต้องหันหน้าออกไปนอกห้องสู้แสงแล้วเธอยังโดนพวกฉันเอาต้นพลูด่างในกระถางไปวางไว้ที่โต๊ะของเธอด้วย

“เอาน่าวางไว้ก่อนแล้วพรุ่งนี้จะเวียนวางไปโต๊ะอื่น” ฉันบอกเพราะหากมาวางไว้ที่โต๊ะของฉันมันก็สร้างความลำบากให้กับฉันเช่นกัน

ฉันว่าทุกคนก็คงลำบากไม่น้อยกว่ากันเพราะโต๊ะของพวกเราเป็นโต๊ะที่ต้องเปิดฝาโต๊ะด้านบนขึ้นก่อนถึงจะเอารองเท้าหรือสิ่งของเข้าไปวางไว้ในลิ้นชักได้ จะว่าดีก็ดีคะสำหรับโต๊ะลักษณะนี้ เพราะว่าทุกอย่างเก็บมิดชิด ไม่มีอะไรแพลมออกมาจากลิ้นชักให้ได้กีดขวาง

แต่กับไอ้เจ้าต้นพลูด่างนี้มันช่างทำให้การเปิดฝาโต๊ะลำบากกว่าก่อนเพราะกระถางที่กินเนื้อที่วางเกยมาจนถึงตัวบางพับของฝาโต๊ะมันทำให้เกิดความลำบากในการเปิดปิดและหยิบหนังสือหรือรองเท้าของพวกเรา

พวกเรามักจะไม่ค่อยชอบที่จะเอาหนังสือกลับบ้านหากว่าวันไหนทำการบ้านในวิชานั้นๆ เสร็จแล้ว เพราะความหนักของกระเป๋าที่ต้องหิ้วกันจนตัวเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง

ไหนจะเป้ที่ต้องสะพายมาด้วยไหนจะรองเท้า หลายๆ อย่างทำให้เราไม่อยากเอาหนังสือกลับบ้าน แต่เมื่อต้องมาเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์รวม ยิ่งต้องหอบหนังสือมากกว่าเดิม

สำหรับฉันการแบกอะไรหนักๆ มันก็สร้างความเคยชินมาแล้วจากการต้องแบกเบสก็ไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับคนตัวเล็กๆ บางคนก็ทำให้ไหล่แทบหลุด

การแบกหนังสือมากมายบางทีก็ทำกันเพราะความเท่ห์ เมื่อน้องๆ หรือรุ่นพี่เห็นหนังสือ มากมายในมือก็ทำเท่ห์ ถืออวดแบบนักศึกษาคงแก่เรียนกัน อวดกันไปมาแต่จะอ่านหรือไม่อ่านก็เป็นอีกเรื่องนึง เรียกว่าเท่ห์ไว้ก่อนเถอะ

เมื่อครูมาถามก็พอกล้อมแกล้มตอบได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วแต่ความไหลลื่นของแต่ละคน บางคนก็อ่านปากเพื่อนผิดๆ ถูกๆ เมื่อมีคนรู้จริงคอยตอบให้ แต่บางคนก็ลุกออกมาสารภาพอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “ไม่รู้เรื่องค่ะ”

บางทีฉันเองก็ต้องสารภาพไปเช่นกัน โดนตีนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดีกว่าโดนทำโทษทั้งห้อง แต่สำหรับเรื่องหนังสืออ่านนอกเวลา “ข้างหลังภาพ” ฉันอธิบายได้เป็นฉากๆ และรู้เรื่องดีจนครูชมเปาะว่าเก่งให้ได้แบบนี้ทุกเรื่องเถอะนะอาคิรา ฉันก็ได้แต่ทำหน้าเหรอหราไปตามระเบียบและนั่งลงพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ

วิชาไหนก็ไม่ยากเย็นเท่าภาษาอังกฤษหรอกคะ เพราะว่าที่เราเรียนๆ กันอยู่ก็แทบจะไม่ยอมพูดอะไรกันในห้องอยู่แล้ว ครูถามอะไรก็เออออห่อหมกไปกับครูด้วย แต่นี่ต้องมานั่งอธิบายและพูดคุยกัน แล้วมันจะได้เรื่องอะไรเล่า

“Pleass stand up” เสียงของเกวลีบอกให้นักเรียนทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพครู

“Good morning teacher” นักรียนทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ครู

“Sit down”

พอนั่งลงเรียบร้อย ครูก็ให้พวกเราเปิดหนังสือเรื่อง Past Perfect Tense ทำเอาฉันหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อครูให้ยกตัวอย่างและชี้มือมาที่ฉัน

“I had studied English. I had not studied Thai.” ฉันที่อ่านปากของขวัญหทัยตอบครูไปแบบนั้น พรายกระซิบฉันนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ

“Very good”

หุหุ จะไม่ให้กู๊ดได้อย่างไหรหละครูขา ก็คนที่บอกหนูนะเก่งภาษาอังกฤษที่สุดในห้องแล้วนี่คะครู

กว่าจะผ่านพ้นชั่วโมหฤโหดของวิชาภาษาอังกฤษไปได้ก็เล่นเอาพวกฉันนั่งไม่ติดเก้าอี้ เรียกว่าเก้าอี้ร้อนกันเป็นแถว

วิชาต่อมาที่ทำให้หนาวๆ ร้อนๆ ก็วิชาสังคม ที่ครูชไมพรชอบนักให้พวกเราออกชี้แผนที่ของประเทศต่างๆ

วันนี้ฉันโดนแจ๊คพ๊อตคะสามวิชาซ้อน

“อาคิราไหนออกมาชี้สิว่าลุ่มแม่น้ำอเมซอนอยู่ตรงไหน”

“อะไรวะนี่ตรู โดนตั้งแต่เช้าแล้วทำไม๊เมื่อเช้าไม่ได้ไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนออกจากบ้านแน่เลยตรู” ฉันไปยืนจ้องๆ มองๆ อยู่ที่แผนที่ที่แขวนไว้ที่กระดาน มองเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นว่าแม่น้ำอเมซอนที่ครูว่านี่อยู่ตรงไหน

“ว่าไงอาคิราอยู่ตรงไหน” ครูถามย้ำอีกครั้ง ทำเอาฉันร้อนรนไปหมด มือของฉันเริ่มเย็นเฉียบ

“อเมริกาใต้” เสียงพรายกระซิบบอก

“อเมริกาใต้ค่ะครู” ฉันตอบไปตามที่พรายกระซิบบอก

“แล้วอยู่ตรงไหนชี้สิ”

ตอนนี้มีเพียงทางเดียวหาอเมริกาใต้ให้พบและชี้มั่ว แถวๆ ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ตรงประเทศเปรู

“ถูกต้อง เพื่อนๆ ปรบมือให้อาคิราหน่อย” ครูบอกเพื่อนๆ

ฉันทำตัวไม่ถูกและบอกไม่ได้ว่าการมั่วครั้งนี้ทำไมถึงถูก แต่ที่แน่ๆ วันนี้ฉันมึนแล้ว กับการออกไปยืนอยู่หน้าห้องและการโดนครูเรียกถาม ต่อไปนี้ฉันคงต้องอ่านหนังสือหนักว่าเก่าไม่เอาแต่หิ้วหนังสือเท่ห์ไปเท่ห์มาอีกแล้วอาคิราเอ๋ย

...................

พี่ภาดูจะงงที่ฉันกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้งหลังจากที่ฉันห่างหายไปจากการอ่านหนังสือเรียนมาหลายวันเพราะฉันติดนวนิยายที่ยืมมาจากห้องสมุดประชาชน

“วันนี้อ่านหนังสือเรียนได้นะอา ไม่อ่านนิยายแล้วเหรอ” พี่ภาแขวะฉันเข้าให้แล้วสินี่

“ไม่อ่านไม่ได้แล้วพี่ วันนี้โดนไปสามวิชา แทบจะสลบเหมือดไปหน้าห้อง ดีนะที่พรายกระซิบของอายังดีอยู่ ไม่งั้นอาตายแน่เลย”

“เอ๊าก็นึกว่าไม่กลัว ที่ไหนได้กลัวเป็นด้วย”

“ใครว่าไม่กลัวหละพี่ภา ตอนนี้นะกลัวจนหัวหดกลับไปอยู่ในกระดองแล้ว” ฉันทำท่าเต่าหดหัวให้พี่ภาประกอบคำพูดไปด้วย

“เอาให้จริงเถอะแม่อาเดี๋ยวอาก็ไม่ยอมอ่านอีก พี่หละกลัวใจเธอจริงๆ”

“คราวนี้ของแท้พี่ภา อาไม่ยอมไปหน้าแตกหน้าห้องอีกหรอพี่ เชื่ออาสิ” ฉันยืนยันหนักแน่น

“แล้วจะคอยดู แต่วันนี้พี่ไม่ดูแล้วนะ นอนดีกว่าง่วง แล้วพรุ่งนี้ก็ตื่นเองหละพี่ไปเรียนพิเศษแต่เช้า ฝันดีน้อง” พี่ภาคลุมโปงนอนไปแล้ว

เหลือแต่ฉันที่ยังเปิดโคมไฟนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ ฉันว่าบางทีการอ่านหนังสือบางเรื่องก็สนุกแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกันนะ โดยเฉพาะสารานุกรมที่ฉันกำลังเปิดอ่านอยู่ตอนนี้ทำเอาฉันอยากรู้อยากเห็นจนนอนไม่หลับหากว่ายังอ่านไม่จบเล่ม

......................................

“เฮ้ยพวกเราครูมาถามว่าใครจะเล่นรีวิประกอบเพลงบ้าง” ภรณีศูนย์กระจายข่าวเจ้าเดิมมาอีกแล้ว

“รีวิวอะไรเหรอณี” ศสิมาที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันถามภรณีผ่านต้นพลุด่างที่ตอนนี้ไปตั้งอยู่บนโต๊ะของเธอ

“ก็รีวิวงานฉายหนังของโรงเรียนเราไง ปีนี้จะฉายหนังอีกแล้ว”

“ว่าแต่หนังเรื่องอะไรหละ” รมลจอมอยากรู้ก็ถามเสริมขึ้นมาอีกรอบ

“เห็นครูว่าขุมทรัพย์อะไรนี่แหละไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าวข่าวอะไรของเธอนี่ณี มาก็ไม่เคยครบ ขาดๆ เกินๆ” ฉันบ่นบ้าง

“เอ้าก็ครูให้มาถามแค่เรื่องเล่นรีวิวประกอบเพลงไม่ได้ให้มาบอกนี่ว่าหนังเรื่องอะไร” ภรณีก็ยังแก้ตัวไปได้อย่างสบายๆ

“เออก็ถูกของณี แล้วรีวิวอะไรหละ” คราวนี้ศสิมาเริ่มอยากรู้อยากเห็นถูกเรื่องถูกราวกับเขาบ้างแล้ว

“หลายเพลงป่าลั่น หงส์เหิร รำถวายพระพร รำฉุยฉาย ระบำฮาวาย โอ๊ยเยอะไปหมด จำไม่ได้ถ้าใครอยากเล่นไปหาครูเหนอที่ห้องประชุมตอนเที่ยง” ท่าทางของภรณีที่พูมาคงจะเยอะจริง อย่างที่เธอว่า

“แล้วณีจะเล่นอะไร” ขวัญหทัยที่นั่งฟังอยู่ที่โต๊ะอีกกลุ่มหนึ่งหันมาถาม

“ไม่เล่น”

“เอ๊าแล้วคาบข่าวมาทำไมหละ” ฉันโวยวายขึ้นมาบ้างเพราะหมั่นไส้ภรณีขึ้นมาตะหงิดๆ

“ก็เผื่อจะมีใครบางคนในที่นี้สนใจ เพราะมีใครบางคนเล่นรีวิวหงส์เหิรไง”

“ใครอยากเล่นหละ” ฉันพูดไปพร้อมกับทำท่าทางเฉยเมยแบะปากไปด้วย

“ก็คนที่ชื่อเป็นแสงๆ อะไรน้า” ภรณีเล่นคำแต่เหมือนไม่ได้เล่นเพราะแค่ที่พูดมานี่ก็ชื่อของเธอคนนั้นของฉันเต็มๆ

เพื่อนทั้งกลุ่มหันมามองหน้าฉันอยู่คนเดียว

“แล้วมามองหน้าเราทำไมหละพวกเธอนี่ เราไม่ได้ไปเล่นอะไรกับเค้าสักหน่อย”

“ก็นึกว่าอยากไปเป็นหงส์เหิรกับเค้าบ้างไง เห็นว่าได้แตะเนื้อต้องตัวกันด้วยนะ อย่างพี่เก็จไงที่เป็นแฟนกับพี่สายเค้าก็เล่นรีวิวเพลงเดียวกัน เมื่อปีที่แล้วอาไม่เห็นเหรอ กรี๊ดกร๊าดกันจะตายไป ไม่หวงแฟนตัวเองเหรอถึงให้คนอื่นมาจับมือจับเองแฟนของตัวเองได้” ภรณียังคงค่อยๆ อธิบายรื่องให้ฉันฟังไปเรื่อยๆ

“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” ฉันบอกไปแบบนั้นเพราะว่าฉันคิดว่าแค่การแสดงคงไม่มีอะไร ฉันเคยเห็นรีวิวหงส์เหิรนี้แล้วหรอกน่า แต่นิดเดียวเอง อีกอย่างให้ฉันไปใส่กระโปรงบานๆ แล้วเต้นเหมือนบัลเล่แบบนั้นก็คงไม่ไหวหรอกนะ

“ก็ตามใจไว้ขึ้นไปดูแล้วจะรู้เอง” ภรณีบอกตอกย้ำฉันอีกรอบ

แล้วเรื่องที่ภรณีเตือนก็เห็นจะเป็นจริงด้วยว่าปีนี้ครูเปลี่ยนท่าเต้นใหม่ทั้งหมด ให้มีนักแสดงที่เล่นเป็นบทเจ้าชายมาปนกับบทของเจ้าหญิงหงส์ด้วยและต้องมีการอุ้มกระโดดกันไปมา ทำเอาฉันเห็นแล้วเลือดขึ้นหน้า

ก็จะไม่ให้เป็นได้อย่างไรคะ คนที่จะมาแสดงเป็นเจ้าชายก็คือพี่ปู คู่แข่งของตุ๊กตาน้อย และพี่ปูก็ใช่จะย่อยกับเค้าที่ไหน ออกจะฮ็อตที่สุดในบรรดาพี่ๆ ชั้นมอสามเป็นพี่ที่หากไล่ลำดับขั้นของการมีการรวมตระกูลของพี่สาวน้องสาวในโรงเรียนก็คงจะร่วมๆ ครึ่งหนึ่งของนักเรียนทั้งหมดก็ว่าได้

ร้อนแล้วสิอาคิรา

“ครูขาหนูเล่นเป็นเจ้าชายได้หรือเปลาคะ” ฉันเข้าไปหาครูเสนอพรบอกเอาดื้อๆ ว่าจะเล่นรีวิวประกอบเพลงนี้

“ครูให้ปูเค้าเล่นไปแล้วนะอาคิราคงไปบอกเค้าไม่ได้หรอกว่าจะให้เธอเล่นอีกอย่างเธอก็คงไม่แข็งแรงเท่าปูเค้าจะมาแบกษาขึ้นๆ ลงๆ คงไม่ไหว เธอพอจะเล่นยืดหยุ่นได้หรือเปล่าหละอาคิรา ถ้าได้ก็ลองมาทดสอบดู” ครูชไมพรตอบมาแบบนี้ฉันก็แทบทรุด

ก็จริงอย่างที่ครูบอกฉันไม่ค่อยจะแข็งแรงและพื้นฐานของวิชายืดหยุ่นของฉันก็คงสู้พี่ปูไม่ได้อย่างแน่นอน

“ไม่ได้คะครูหนูไม่เก่งยืดหยุ่นแล้วหนูก็ไม่แข็งแรงด้วยคงสู้พี่ปูไม่ได้” ฉันยอมรับความจริง

“แต่ครูมีอีกเพลงให้เธอเล่นนะอาคิราสนใจหรือเปล่า”

“ไม่สนใจคะ”

“อืมไม่เป็นไร ครูนึกว่าเธอจะสนใจเพลงป่าลั่นซะอีก บุคลิกเธอให้แต่งตัวเป็นชาวนา”

“เหรอคะ ก็ได้คะครูเล่นเพลงนั้นก็ได้” ฉันตอบตกลงไปแบบซังกะตายเพราะตอนนี้สายตาของฉันสองไปที่พี่ปูและพี่ษาโอบเอวกันกระโดดไปมาเพื่อซ้อมท่าหงส์เหิร

“งั้นตกลงตามนี้นะ อ้าวเด็กๆ มารวมตัวกันตรงนี้หน่อย” ครูปรบมือเรียกนักเรียนที่จะแสดงรีวิวให้มารวมตัวกันที่หน้า

“ตามตารางที่เราได้วางเอาไว้ เราจะเริ่มต้นด้วยชุดรำเบิกโรง รำฉุยฉาย ป่าลั่นและจบที่หงส์เหิร” ครูเว้นระยะไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อว่า

“ทุกคนต้องซ้อมการแสดงให้พร้อมเพราะอีกสองอาทิตย์หลังจากนี้ เราจะต้องเริ่มแสดงบนเวทีที่โรงหนัง และคิดว่าต้องซ้อมกันหนักมาก หากใครมีปัญหาอะไรหรือว่าไม่มีเวลาพอที่จะซ้อม ก็ให้มาบอกในตอนนี้ ส่วนใครที่เป็นนักดนตรีครูได้คุยกับครูคุมวงแล้วครูเค้าบอกว่าสามารถมาซ้อมตอนเที่ยงได้ และค่อยไปซ้อมดนตรีในตอนเย็นๆ คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม งั้นไปซ้อมต่อได้ เดี๋ยวครูจะไปต่อท่าให้ อ่อหนูที่รำฉุยฉายกับรำเบิกโรงไปหาครูศินีนาทได้เลยนะ แยกย้ายกันไปได้”

พวกเรามานั่งดูครูต่อท่าเต้นให้กับกลุ่มหงส์เหิรก่อนจากนั้นถึงได้มาต่อท่าเต้นให้กับกลุ่มพวกฉัน ท่าของพวกฉันดูง่ายๆ เป็นการแสดงของกลุ่มชาวนาที่ออกไปทำนาในตอนเช้า และเต้นประกอบเพลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร

กว่าจะจำท่าเต้นได้ฉันก็แทบมึนไปหมดทั้งก้มๆ เงยๆ ฉันว่าคนเราไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง สำหรับคนอย่างฉันไม่เคยมีพรสวรรค์ทางด้านการแสดงเหมือนพี่แสงอุษา หรือพี่ๆ น้องๆ คนอื่นๆ เพราะฉันเอวไม่อ่อน ก้มๆ เงยๆ มากๆ ก็เล่นเอาเอวเคล็ดไปบ้างเหมือนกัน

............................

พวกฉันต้องไปตัดชุดเพราะในการแสดงของพวกฉันต้องใช้ชุดแสดง แต่ชุดของพวกฉันก็ไม่มีอะไรมากนักนอกจากเสื้อม่อฮ่อมกับเตี่ยวสะดอ (ชุดหากินของฉันแล้วมังนี่-_-“) และผ้าขาวม้าสำหรับพันโผกศีรษะแค่นั้น แต่สำหรับพี่แสงอุษานั้นต้องเอาชุดเก่าๆ ของรุ่นพี่มาแก้ไขและทำใหม่ ดูยุ่งยากเหมือนกัน ครูบอกว่าตัดใหม่ก็เปลืองเงินเอาชุดเก่ามาใช้ใหม่ได้ ไม่เปลืองเงินมากมายเพราะแค่พวกเราเปลืองเวลาเปลืองแรงในการมาฝึกซ้อมก็ดีแล้ว

ฉันเก็บเอาความปลื้มใจในตัวพี่แสงอุษามาเล่าให้พี่ภาฟังทุกวัน ฉันว่าพี่ภาก็คงจะเบื่อๆ ฉันอยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องทนฟังที่ฉันพูดอยู่เรื่อยๆ เพราะเรานอนห้องเดียวกัน จะให้พี่ภาหนีไปนอนที่ไหนอีกก็ไม่ได้

“พี่ภา นี่ๆ พี่ษานะเต้นหมุนๆๆ ไปรอบเลยนะ แถมยังโดนยกให้สูงๆ แบบที่เค้าเต้นบัลเล่กันด้วยหละพี่ภา นี่นะแบบนี้” ฉันลุกจากเก้าอี้ไปจับเอวพี่ภาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสืออีกตัวให้ทำตามฉัน

“ว๊ายไอ้อาบ้า พี่จั๊กจี้” พี่ภาร้องดิ้นไปดิ้นมาขลุกขลัก

“เอ๊าก็จะทำให้ดูไงว่าพี่ษาเค้าเต้นแบบไหน”

“ไม่เอาไม่เล่นจะทำอะไรก็ทำให้พี่ดูเองแล้วกันไม่ต้องมายุ่งกันฉานเข้าไจ๋บ่ออินางน้อยเหย” พี่ภาปฏิเสธจนลิ้นพันกัน

“งั้นดูนี่นะพี่” ฉันนั่งลงที่เก้าอี้อ่านหนังสือ แล้วหมุนตัวไปพร้อมกัยเก้าอี้ ยกแขนขึ้นโชว์แบบบัลเล่ และหมุนเก้าอี้ล้อเลื่อนไปตามแต่ใจที่ฉันต้องการ แรกๆ ก็เรียกเสียงหัวเราะจากพี่ภาได้อยู่หรอกคะสักพักเท่านั้นแหละ

“โคร่ม” เสียงเก้าอี้ที่ฉันเล่นหมุนไปหมุนมาอยู่นั้นล้มลงไปกับพื้น พร้อมๆ กับที่ตัวของฉันก็ล้มลงตามไปด้วย

“โอ๊ย” ฉันร้องลั่น ทำให้พี่ภาที่กำลังหัวเราะฉันหยุดกึ๊กทันที ลุกขึ้นมาดูฉันที่นอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น

“จะสมน้ำหน้าดีไหมนี่ มัวแต่ปลื้มษาและมาแกล้งพี่ เอ๊าลุกขึ้นมา” พี่ภายื่นมือมาฉุดให้ฉันลุกขึ้น

ฉันปัดมือพี่ภาแล้วก็ทำท่างอนใส่พี่ภา

“ไม่ต้องเลยพี่ภามาว่าอาอาจะไปฟ้องแม่ว่าพี่ภาแกล้งอา”

“นี่อาพี่ไม่ได้แกล้งอานะ อาทำตัวเอง แล้วก็เล่นเองเจ็บเองมาโทษพี่ได้ไง”

“ก็ถ้าพี่ภาให้ความร่วมมืออาก็ไม่เจ็บแบบนี้หรอก” ฉันเถียงข้างๆ คูๆ กับศึกสายเลือดที่ฉันเป็นคนก่อขึ้นเอง

แต่แล้วก็ต้องสงบศึกไปง่ายๆ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าฉันจะเจ็บที่หัวไหล่มากที่สุด พี่ภาก็ต้องเอายามาทาให้ฉันอยู่ดี ถ้าไม่ให้พี่ภาทำแล้วใครหละจะทำให้ฉัน

จริงไหมจ๊ะ

.......................

วันซ้อมใหญ่ที่โรงหนังฉันกับเพื่อนนั่งรถของโรงเรียนไปที่โรงหนังพร้อมๆ กัน พี่แสงอุษาต้องแต่งหน้าอยู่ที่บริเวณหลังเวที ครูบอกว่าวันซ้อมใหญ่ก็เหมือนเป็นการจัดให้พวกเราได้ขึ้นไปซ้อมให้คุ้นกับเวทีและจะได้จัดแสงจัดไฟให้เข้าที่ เพราะสถานที่เราฝึกซ้อมกับเวทีของโรงหนังมันช่างต่างกันลิบลับ

เวทีที่ห้องประชุมค่อนข้างแคบและไม่ใหญ่มากแต่เวทีที่โรงหนังกว้างมากพอๆ กับจอหนัง จะแสดงเต็มเวทีก็ดูไม่สวย ครั้นจะแสดงเพียงครึ่งเดียวก็ดูไม่งาม อีกอย่างครูบอกว่าเพื่อที่จะได้ดูด้วยว่าชุดที่พวกเราใส่กันนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หากว่าต้องมาเจอะกับแสงไฟที่ต้องส่องมาตลอดเวลา

คงเหมือนๆ กับพวกนักร้องดาราที่ก่อนจะไปเล่นคอนเสิร์ตก็ต้องซ้อมก่อนเพื่อให้คุ้นๆ กับเวทีเพื่อให้ไมเกิดความผิดพลาดเมื่อต้องมีการแสดงในวันจริง ฉันหยิบเอากล้องปัญญาอ่อนที่ฉันรวมเงินกับพี่ภาซื้อมาได้หนึ่งตัว จริงๆ แล้วเป็นเงินของพี่ภาซะมากกว่าส่วนของฉันนั้นมีน้อยนิด เรียกได้ว่าแค่เศษเงินเท่านั้นเอง

ฉันถ่ายรูปพี่ษาไปหลายใบมากทั้งหลังเวทีหน้าเวที เพราะคิดว่าวันแสดงจริงๆ ฉันคงไม่ได้ออกมายืนดูพี่แสงอุษาแสดงรีวิวประกอบเพลงแน่นนอน

“ถ่ายอะไรเยอะเยะอาพี่เขินเป็นเหมือนกันนะ” พี่แสงบอกฉันตอนที่เรานั่งรถโรงเรียนกลับ

“ก็ถ่ายไว้เป็นที่ระลึกว่าเคยมาดูพี่แสดง เผื่อวันข้างหน้าเราไม่ได้อยู่หรือเรียนด้วยกันอาจะได้มีรูปของพี่ไว้ดูเป็นที่ระลึกไง”

“ไว้พี่ถ่ายรูปสวยๆ ให้อาดีกว่า เพราะพี่ว่ารูปพวกนี้มันคงไม่สวยหรอก เต้นกางแข้งกางขา”

“ไม่หละพี่ ที่พี่ยังเอารูปนักเรียนของอาไปได้เลย อาก็ขอถ่ายรูปของพี่ไว้ด้วยก็แล้วกัน ของแค่นี้เล็กๆ น้อยๆ อีกอย่างอาก็ภูมิใจที่ได้ถ่ายรูปของพี่ไว้ด้วยนี่คะ”

“ก็ได้ๆ ถ้าล้างรูปแล้วเอามาให้พี่บ้างนะ จะเอาไปใส่กรอบตั้งไว้ที่โต๊ะหนังสือที่บ้าน”

“ได้เลยพี่ รูปไหนสวยอาจะขยายใหญ่ๆ ให้พี่เลยดีไม๊” ฉันพูดคุยกับพี่ษาไปตลอดทางที่เรานั่งรถโรงเรียนกลับ

งานซ้อมใหญ่เป็นไปด้วยดีพรุ่งนี้ก็คืองานแสดงจริงๆ ของพวกเรา นี่ฉันจะได้ขึ้นเวทีแสดงรีวิวกับเขาแล้วหรือนี่

ตื่นเต้นจริงๆ อาคิราเอ๊ย

.....................

ฉันรีบเอารูปไปล้างอัดในวันนั้นและขอรับตอนดึก ถึงจะดึกแค่ไหนอาคิราก็ไม่หวั่น กลับมาที่บ้านแคะกระปุกออมสินเอาเงินที่เก็บสะสมไว้ออกมานับ

พี่ภาที่เห็นฉันพยายามเอาไม้บรรทัด ใส่เข้าไปในรูกระป๋องออมสินใบโตเพื่อเอาเงินในนั้นออกมาอย่างลำบากลำบนก็ถามฉัน

“นี่อาจะเอาเงินไปทำอะไร”

“เอาไปล้างรูป”

“ล้างรูปอะไร ทำไมต้องแคะกระปุกขนาดนั้น”

“ก็เงินไม่พอนี่นาต้องเอาไปจ่ายเค้าวันนี้ ตอนสี่ทุ่ม”

“หาอะไรนะ สี่ทุ่มนี่อาอย่าบอกนะว่าอาจะไปเอารูปตอนสี่ทุ่ม”

ฉันพยักหน้ารับแทนคำตอบ

“แล้วขาดไปอีกกี่บาทเอาของพี่ไปก่อนก็ได้ แล้วค่อยเอามาใช้คืน”

“เย้ๆๆๆ พี่ภาใจดีจัง” ฉันกระโดนไปกอดและหอมแก้มพี่ภาก่อนที่จะบอกจำนวนเงินให้พี่ภาได้รับรู้

พี่ภาเปิดลิ้นชักและหยิบเงินออกมาให้ฉัน

“คราวหลังก็หัดประหยัดไว้บ้างเงินนะเก็บไว้มันไม่ขึ้นราเข้าใจ๋”

“จ้าพี่อารู้แล้วไม่ขึ้นรา แล้วอาจะใช้คืนให้พี่นะถ้าอาได้ค่าขนมแล้ว ว่าแต่วันนี้พี่ภาไปเป็นเพื่อนอาไปเอารูปหน่อยสิ ใกล้เวลาแล้ว”

“ทุกทีไม่พ้นอวภาส์ทุกทีสิ ไปจะไปก็ไปเปลี่ยนกางเกงก่อนใส่สั้นแบบนี้ออกนอกบ้านน่าเกลียด”

“จ้าๆ ไปแล้ว” ฉันรีบวิ่งไปใส่กางเกงวอล์มสวมทับกางเกงขาสั้นตัวจิ๋วของฉันอีกทีและออกไปเอารูปกับพี่ภาในทันทีที่ใส่กางเกงเสร็จ

.........................

ฉันไปถึงที่ร้านเกือบไม่ทันเพราะเจ้าของร้านกำลังจะปิดประตูพอดี

“พี่ๆ อย่าพึ่งปิด” ฉันตะโกนบอกเจ้าของร้านทันที่ที่จอดรถเสร็จ

“ก็นึกว่าไม่มาเอาแล้ว รูปงานโรงเรียนเหรอ ถ่ายสวยดีนี่พรุ่งนี้พี่ก็จะไปงานนี้ด้วยไว้มาซื้อรูปสวยๆ ที่ร้านพี่สิพี่จะถ่ายไว้ให้เอาหรือเปล่า” เจ้าของร้านรีบเสนอตัวขายของให้ฉันทันทีที่เขายื่นอัลบั้มรูปให้ฉัน

ฉันจ่ายเงินค่าล้างอัดรูปที่เหลือเสร็จก็ออกมาจากร้าน เพราะพี่ภายืนรอฉันอยู่ที่หน้าร้าน แต่เมื่อออกมาก็ไม่เห็นพี่ภา ฉันมองหาไปเรื่อยๆ เห็นพี่ภายืนซื้อผัดไทยอยู่ที่ร้านรถเข็น

“หิวเหรอพี่”

“เปล่า”

“อ้าวแล้วซื้อทำไม”

“ก็ซื้อไว้เพราะถ้าบอกแม่ว่าออกมาเอารูปดึกๆ แบบนี้มีหวังโดนตีตายแน่ๆ เลยซื้อผัดไทยไปสองห่อ จะได้บอกแม่ว่าหิวเลยอกมาซื้อผัดไทยกินไง” พี่ภาอธิบายถึงต้นสายปลายเหตุที่ต้องซื้อผัดไทยไปสองห่อ

เราสองคนพี่น้องยืนรอผัดไทยอยู่สักพักก็ได้ผัดไทยมาและขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน

“ขอบใจนะพี่ภาที่ช่วยไม่ให้อาโดนแม่ด่า”

“ไม่ต้องขอบใจหรอกอา”

“อ้าวก็พี่ภาช่วยอาไว้อาก็ต้องขอบใจพี่สิ”

“ก็บอกว่าไม่ต้องขอบใจเพราะค่าผัดไทยยี่สิบนี่พี่จะหักจากค่าขนมของอามาใช้แทน”

“หาอะไรนะ แบบนี้อาทิตย์นี้อาก็ไม่เหลือเงินไปโรงเรียนสักบาทเลยสิพี่ภา” ฉันโอดครวญ

“ช่วยไม่ได้ทำตัวเองนี่ยะแม่อาคิรา ฮ่าๆๆๆ”

ฉันแทบจะจอดรถแล้วลงไปเต้นแล้วร้องกรี๊ดๆ อยู่ข้างถนน

“พี่ภานะพี่ภาเราก็นึกว่ารักน้องอยากไม่อยากให้น้องโดนแม่ตีแล้วก็ช่วยน้องที่ไหนได้ ทำกันซะแล้ว ฮือๆๆๆ พี่ภาใจร้าย”

พี่ภาทำหูทวนลมกับคำพูดของฉันและฉันก็รู้ตัวแล้วว่าการทำอะไรโดยที่ไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าทำให้ฉันต้องอดกินขนมไปอีกตั้งเจ็ดวัน ไม่ผอมคราวนี้จะไปผอมคราวไหนกันหละนี่อาคิราสุดสวย

......จบบทที่ ๑๑……





Create Date : 20 พฤษภาคม 2551
Last Update : 20 พฤษภาคม 2551 21:46:22 น. 0 comments
Counter : 291 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.