It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๑



บทที่ ๑

ตึกเรียนชั้นมัธยมต้นที่ถูกขัดพื้นจนมันวับด้วยฝีมือของนักเรียนที่เรียนกันมาในแต่ละรุ่นถ่ายทอดการขัดมาด้วยกันหลายยุคหลายสมัย โรงเรียนหญิงล้วนที่ใครๆ ก็อยากให้ลูกได้มาอบรมขัดเกลาในโรงเรียนสตรีชื่อดังแห่งนี้เสมอมา

เด็กนักเรียนที่อยู่ห่างไกลก็ต้องเข้ามาอยู่กินนอนใรงเรียน ใครๆ ก็เรียกเด็กเหล่านี้ว่าเด็กหอ พวกชาวหอจะเป็นเหมือนเด็กเก็บกด แต่ก็เรียนเก่งเพราะในทุกวันจะมีการกวดวิชา มีชั่วโมงทำการบ้าน มีอาหารสามมื้อให้ได้ใส่ปากท้อง แม้อาหารเหล่านั้นจะไม่ได้ถูกปาก แต่ก็เต็มไปด้วยโภชนาการที่ดี อาหารครบห้าหมู่

ฉันเองก็มีเพื่อนหลายคนที่ต้องอยู่หอพักกับเขาเหมือนกันและเคยแอบย่องไปลองชิมอาหารของชาวหออยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยถูกปากฉันสักเท่าไหร่ สู้มาซื้อข้าวที่ร้านข้างนอกไม่ได้ อร่อยกว่ากันเยอะ

วันแรกของการเปิดเรียนทุกคนหอบกระเป๋าพรุงพรังเข้ามาในโรงเรียน หนังสือกี่เล่มหอบมาจนหมด เพราะไม่รู้ว่าตารางสอนในวันแรกนี้จะเป็นอย่างไร ฝนที่ตกต้อนรับเปิดเทอมก็ทำให้การจราจรติดขัดอยู่บ้างหน้าบริเวณโรงเรียน เด็กๆ รู้แต่เพียงว่าตนเองเรียนห้องไหน แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะเริ่มเรียนอะไร

เมื่อไปยืนอยู่หน้าระเบียงห้องเอากระเป๋าไปจับจองโต๊ะที่คิดว่าจะต้องเรียนเรียบร้อยแล้ว ต่างก็มานั่งจับเจ่าคุยกันที่พื้นหน้าห้อง เพื่อรอเวลากริ่งดังให้เข้าแถวเคารพธงชาติ ฉันเองก็เช่นกันที่ต้องรอเข้าแถวกับเพื่อนๆ ด้วย ต่างคนต่างดีใจที่ได้กลับมาเรียนในเทอมใหม่ เพราะตอนปิดเทอมครั้งที่ผ่านมามีเพื่อนหลายๆ คนไปสอบเข้าโรงเรียนแห่งใหม่ จากที่เคยมีเพื่อนหลายๆ คนก็กลับกลายเป็นไม่มีเพื่อนไปโดยปริยาย

ฉันสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งนั่งเรียนมาด้วยกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนิทกันจนแยกไม่ออก เธอกับฉันหัดเขียนจดหมายถึงกันตั้งแต่เราพึ่งเรียนเรื่องการเขียนจดหมาย ฉันจะเป็นจานน้อยของเธอ ส่วนเธอเป็นตุ๊กตาน้อยของฉัน

เราส่งจดหมายถึงกันทุกวันที่มีโอกาสที่จะได้เขียน จนเมื่อเธอบอกว่าพ่อกับแม่ให้ไปเรียนโรงเรียนสตรีของรัฐบาล เพราะค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าโรงเรียนสตรีเอกชนที่ฉันนั้นเรียนอยู่

ในตอนแรกเธอสอบเข้าไม่ได้ แต่ก็สามารถที่จะเข้าไปเรียนในโรงเรียนแห่งนั้นได้เพราะเธอเป็นนักกีฬาของโรงเรียนของฉัน และเธอก็เข้าไปได้ด้วยโควต้าของนักกีฬา ฉันก็แสดงความยินดีกับเธอด้วยที่เธอได้เข้าเรียนอย่างที่เธอได้หวังเอาไว้

ในเวลานั้นสมองของฉันไม่ได้บอกอะไรว่าฉันจะต้องเรียนที่ไหน อาจเป็นเพราะฉันมีพี่ที่เรียนอยู่โรงเรียนแห่งนี้ฉันเป็นน้องที่ดีก็เดินตามพี่ไปก็แล้วกัน

เปิดเทอมใหม่จึงเป็นสิ่งที่ฉันต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก เพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวต้องจากไปเรียนที่อื่น เด็กๆ เข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จแล้วต่างคนก็เรียงแถวเข้าห้องไปนั่งในที่ที่ตัวเองจับจองไว้แต่แรก

ครูคนสวยเดินเข้ามาในห้องและเริ่มเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาน นั่นคือชื่อของครูคนสวยคนนั้น “ศยามน นิชากร” ครูศยามนเป็นครูที่สวยในสายตาของฉัน เธอมีความเป็นครูอยู่ในสายเลือดก็ว่าได้ เพราะฉันรู้มาว่าครอบครัวของครูเป็นครูกันเกือบทั้งบ้าน ครูคนสวยของฉันจะเป็นอะไรได้นอกจากนางฟ้า


“นักเรียนทุกคน วันนี้ครูขอแนะนำตัวเองก่อน ครูชื่อศยามน นิชากร จะมาเป็นครูประจำชั้นของพวกเธอ ตอนนี้เราต้องมาเลือกหัวหน้าชั้นกับรองหัวหน้า เหรัญยิก พวกเธอจะเลือกใคร ไหนใครเสนอชื่อออกมาสักคนสิ หรือใครจะเสนอตัวให้เป็นหัวหน้าก็ว่ามา”

นักเรียนทุกคนเงียบกริบไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากนักเรียนทั้งห้อง จนครูต้องถามขึ้นมาใหม่ว่า

“ใครเคยเป็นหัวหน้าห้องเมื่อตอน ป.๖ บ้างไหม”

เกวลีเด็กผู้หญิงที่นั่งหลังห้องข้างๆ ฉันยกมือขึ้นเป็นการตอบรับการถามของครูในครั้งนี้

“ไหนยืนขึ้นสิเธอชื่ออะไร”

“หนูชื่อเกวลี ชัชพรค่ะ” เกวลีตอบเสียงดังฟังชัด

“งั้นเกวลีเธอออกมาหน้าห้อง มีใครเคยเป็นรองหัวหน้าห้องอีกบ้าง”

ขวัญหทัยเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผิวขาวยกมือขึ้นอีกครั้ง

“ออกมาเลยเธอชื่ออะไร”

“ขวัญหทัย เขมทัตค่ะครู”

“เพื่อนๆ ของเธอต้องการที่จะให้เกวลีกับขวัญหทัยมาเป็นหัวหน้าห้องกับรองหัวหน้าหรือเปล่า ไหนใครต้องการให้เกวลีเป็นหัวหน้าและให้ขวัญหทัยเป็นรองหัวหน้ายกมือขึ้น”

ทุกคนพร้อมเพรียงกันยกมือรวมทั้งฉันด้วย ก็ใครหล่ะจะอยากเป็นหัวหน้าห้อง งานหนักจะตายไป ต้องยกสมุดเอาไปไว้ห้องพักครู ครูแต่ละท่านก็นั่งคนละมุมตึก ทุกชั่วโมงในตอนเช้าก็ต้องเดินไปรับสมุดการบ้านเอากลับมาให้เพื่อนๆ ในห้อง ใครจะอยากรับหน้าที่อันหนักอึ้งแบกสมุดนี้หล่ะฝันไปเถอะ

แต่หัวหน้าห้องก็มีสิทธิพิเศษที่ต้องดูแลนั่นคือจดรายชื่อคนที่คุยกันในห้องเรียนส่งครูเมื่อยามที่ครูต้องไปประชุมหรือไปทำอย่างอื่น แถมได้เป็นคนบอกให้เพื่อนๆ จดงานบางอย่างที่ครูให้ไว้

การทำแบบนั้นทำให้ฉันไม่ได้กระดิกตัวเองไปไหนมาไหน เพราะฉันชอบแอบหลับหลังห้อง แอบกินท็อฟฟี่หลังห้อง คงไม่อยากไปนั่งเป็นหุ่นเชิดหน้า คอยระวังว่าใครจะพูดกันคุยกันหรือต้องไปขึ้นกระดานเขียนอะไรเยอะไปหมดแบบนั้นหรอก

เมื่อพวกเราได้หัวหน้าห้องเรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของหัวหน้าห้องก็คือ ขึ้นกระดานบอกตารางสอนให้กับทุกคน นั่นไงเริ่มรับเป็นหัวหน้าก็งานเข้าแล้วแบบนี้ขอบายดีกว่าฉัน

พวกเราจดตารางสอนกันเรียบร้อยก็นั่งรอให้ครูสั่งงาน

“ชั่วโมงแรกกับชั่วโมงที่สอง พวกเธอต้องทำความสะอาดห้องให้สะอาดที่สุด พอพักสิบโมงแล้วพวกเธอก็จะเริ่มเรียนวิชาในวันนี้เลย”

เสียงฮือออกมาจากปากของนักเรียนทุกคน จนครูต้องเอาไม้เรียวที่ถือมาด้วยฟาดไปกับโต๊ะครู

“เริ่มลงมือทำความสะอาดได้ หัวหน้าตามครูมาที่ห้องพักไปเอาขี้ผึ้งมาลงพื้น ส่วนผ้าเช็ดพื้นกับไม้กวาด รองหัวหน้าไปเบิกที่ห้องพัสดุ บอกครูที่ห้องพัสดุว่ามาเบิกอุปกรณ์ทำความสะอาดพื้น แล้วก็เบิกช็อล์คกับแปรงลบกระดานมาด้วย เอาเพื่อนไปด้วยอีกสักคน” ครูพูดจบก็เดินนำหัวหน้าออกไปให้ต้องแทบวิ่งตาม

ส่วนขวัญหทัยยืนงงอยู่หน้าห้องว่าจะให้ใครไปด้วยกันดี เพราะลำพังตัวของขวัญหทัยเองเดินก็แทบจะปลิวอยู่แล้ว เมื่อฉันเห็นไม่มีใครไปเป็นเพื่อนฉันก็เดินไปที่หน้าห้อง

“ไปขวัญไปห้องพัสดุกัน” ฉันคว้ามือขวัญหทัยให้เดินตามฉันไปที่ห้องพัสดุ

เมื่อไปถึงที่หน้าห้องก็ต้องพบกับคิวที่ยาวเหยียดของบรรดาหัวหน้ารองหัวหน้าทั้งหลายที่มาออกันอยู่หน้าห้องพัสดุ เสียงครูเรียกนักเรียนเข้าไปรับทีละห้องดังออกมาไม่ขาด และทุกห้องก็ได้อุปกรณ์แบบเดียวกันติดมือกลับออกมา

“ห้องไหนนี่”

“ห้องมอ ๑/๑ ค่ะครู” ฉันส่งเสียงตอบกลับไปเพราะขวัญหทัยยังคงยืนนิ่งอยู่ไม่ยอมปริปากอะไร

“อะนี่ ของห้องเธอไปได้” ฉันรับอุปกรณ์ต่างๆ มาไว้ในมือ และให้ขวัญหทัยช่วยถือไม้กวาดไปสองอันส่นฉันถือตระกร้าขยะ ไม้กวาดอีก สามอัน แปรงลบกระดานอันใหม่ ช็อล์ค ผ้าเช็ดเท้า ทั้งหมดอยู่ในตระกร้าขยะ ฉันจับตะกร้ากระเดียดเอวเดินนำขวัญหทัยกลับไปที่ห้อง เพราะเพื่อนๆ ต่างรออุปกรณ์อย่างใจจดใจจ่อ เพราะหากว่าทำไม่เสร็จก็อย่าหวังเลยว่าพักสิบโมงจะได้ลงไปกินขนม

“เป็นอะไรไปขวัญทำไมทำหน้าแบบนั้นหล่ะ” ฉันถามเมื่อเห็นขวัญหทัยทำหน้าหงิกงออยู่ตลอดเวลา

“เราไม่อยากเป็นรองหัวหน้านี่นาอาเรานะไม่ชอบเอาเลยนะขอบอกไว้ด้วย” ขวัญหทัยบอกกับฉันเมื่อเราเดินไปด้วยกันจนจะถึงหน้าห้อง

“ไม่เป็นไรขวัญเราจะช่วยเธอเอง ไปไหนไปกันเราเพื่อนกันนี่จริงไหม” ฉันส่งสายตาแห่งความเป็นมิตรให้กับขวัญเพื่อนร่วมห้อง ไม่ใช่สิรองหัวหน้าห้องของฉัน

ขวัญหทัยพยักหน้ารับรู้ถึงไมตรีที่ฉันมอบให้กับเธอและเราสองคนก็เข้าไปแจกจ่ายอุปกรณ์ทำความสะอาดห้องให้กับเพื่อนๆ

“พวกเราห้องเรามีกันสามสิบคน เวรทำความสะอาดประจำวันเราจะแบ่งกันแบบไหนดี” เกวลีถามขึ้นระหว่างการทำความสะอาด

“แบ่งตามเลขที่เลยแล้วกันง่ายดี” เกตนิภาตะโกนบอกมรจากใต้โต๊ะเรียนของเธอ

“เออดี งั้นเอาแบบนี้เลยแล้วกัน แบ่งตามเลขที่ สามสิบหารห้า วันละหกคนโอเคไหม แล้วพวกเธอก็ไปจัดกันเองแล้วกันว่าใครจะเป็นหัวหน้าเวร” เกวลีรีบสรุปความ เพราะทุกคนก็ไม่ค่อยมีใครจะฟังเธอสักเท่าไหร่นัก

พวกเราทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อยก็ลงไปล้างมือที่ก๊อกน้ำข้างล่างตึก เดินกันให้ขวักไขว่ แต่ก็ไม่มีครูคนไหนมาทำโทษเพราะวันนี้เป็นวันแรกที่พวกเราต้องทำความสะอาด ใครๆ ก็รู้ว่าจะต้องกำจัดความสกปรกออกไปจากห้องและตัวของนักเรียนเอง

ฉันเดินสวนกับรุ่นพี่คนหนึ่งเธอยิ้มให้ฉันที่ตอนนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อหลุดออกมาจากกระโปรง เนทไทด์บิดเบี้ยว แถมยังไม่สวมรองเท้าอีกต่างหาก เพราะฉันรีบลงมาเทขยะและจะกลับขึ้นไปบนตึก แต่ตอนนี้ฉันขอแวะล้างมือล้างหน้าก่อน แต่เมื่อล้วงไปในกระเป๋ากระโปรงก็พบกับความว่างเปล่า

“เอ๊าลืมเอาผ้าเช็ดหน้ามาได้ไงนี่” ฉันบ่นกับตัวเอง

เหมือฟ้าจะเป็นใจรุ่นพี่คนนั้นยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ฉันและบอกว่า

“เอาไปใช้ก่อนสิพี่ให้ยืม”

“เออคือว่าอาไม่ใช้ค่ะพี่ขอบคุณมาก” ฉันตอบปฏิเสธไปพร้อมกับยกแขนเสื้อของตัวเองปาดน้ำที่เปียกอยู่ที่ใบหน้าให้หายไปบ้าง เพราะฉันชอบให้มีน้ำติดหน้าอยู่บ้างเมื่อเวลามีลมพัดมาปะทะจะทำให้หน้าฉันเย็น

แต่ก็คงทำให้รุ่นพี่คนนั้นขัดใจอยู่ไม่น้อยเธอใช้ผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดที่ใบหน้าของฉัน ฉันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น จนฉันเองแอบเคลิ้มไป กับกลิ่นหอมนั้น ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มอะไรนะทำไมถึงได้หอมแบบนี้ ฉันได้แต่คิดและก็ต้องสะดุ้งเมื่อรุ่นพี่บอกว่า

“เสร็จแล้ว คราวหลังอย่าใช้แขนเสื้อเช็ดอีกรู้ไหมเพราะว่าเสื้อมันจะสกปรกดูไม่ดี ไปหล่ะนะ” แล้วรุ่นพี่คนนั้นก็ดินจากไป ปล่อยให้ฉันยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่หน้าก๊อกน้ำล้างมือว่าเธอคือใคร เธอเป็นใคร ทำไมถึงได้มายุ่งอะไรกับฉัน

แต่ที่สำคัญเธอหอมไม่เหมือนใคร

ชื่ออะไรนะ!!! ลืมถามด้วยสิ

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบกลับไปที่ห้องฉันก็สลัดความคิดทั้งหมดออกไปจากหัวสมองรีบวิ่งขึ้นบันไดตึงๆ ไปที่ห้อง ที่ตอนนี้เพื่อนๆ ทุกคนทยอยลงไปที่โรงอาหารเพื่อหาซื้อของกินกันจนเกือบหมดห้อง เมื่อฉันเอาตระกร้าขยะไปเก็บเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยขวัญหัทยก็เดินเข้ามาชวนฉันให้ลงไปโรงอาหารด้วยกัน

ฉันเดินจูงมือขวัญหทัยลงบันไดไปด้วยกันโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามฉันและขวัญหทัยไปด้วย

..........................

เมื่อขึ้นมาถึงห้องเรียนฉันก็พบกับกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ กระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า

“น่ารักจังขอเป็นน้องจะได้หรือเปล่า”

ฉันงงกับข้อความบนกระดาษแผ่นนั้นเป็นอย่างมาก ใครกันนะที่เขียนแล้วเอามาวางไว้ แต่จะถามใครก็คงไม่มีใครตอบฉันได้เพราะในตอนนี้เพื่อนๆ ยังมากันไม่ครบเลยด้วยซ้ำไป

โต๊ะเรียนของฉันนั่งติดกับประตูหลังห้อง และติดกับที่ทิ้งขยะ ใครจะมาใครจะไปก็ต้องผ่านโต๊ะเรียนของฉันอยู่ดี หรือใครอาจจะเอากระดาษแผ่นนี้มาทิ้งไว้ก็ได้ แล้วคนก็เลยคิดว่าเป็นของฉันก็เลยเก็บมาวางไว้บนโต๊ะก็อาจเป็นได้

ฉันไม่ได้สนใจกระดาษแผ่นนั้นอีกต่อไป เปิดโต๊ะแล้วก็เก็บไว้ที่พื้นโต๊ะโดยที่วางให้ข้อความนั้นคว่ำลงไปเพื่อไม่ให้ใครที่มาเปิดโต๊ะฉันได้เห็นข้อความปริศนานั้น ในใจฉันคิดเพียงแต่ว่าก็ยังดีมีที่สำหรับวางรองเท้าไม่ต้องฉีกกระดาษให้เปลืองสมุด

การเรียนวันแรกผ่านไปด้วยดี หลังเลิกเรียนฉันกลับไปเอารถมอเตอร์ไซด์ที่อยู่ในโรงรถออกมา แต่ก็ต้องประหลาดใจว่าทำไมมีอะไรเป็นกระดาษสีขาวๆ มาเสียบติดอยู่ที่เบาะรถของฉัน หรือว่าครูจะไม่ให้ฉันเอารถมอเตอร์ไซด์มาโรงเรียน เพราะฉันเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ขี่มอเตอร์ไซด์มาโรงเรียน จะให้ฉันขี่จักรยานอย่างคนอื่นเขาก็คงไม่ใช่ที่เพราะว่าบ้านฉันไกลมาก ขี่มาก็คงจะเหนื่อยตายไปเสียก่อนที่จะถึงโรงเรียน

แต่สิ่งที่ทำให้ต้องงงไปอีกครั้งในวันนี้ก็คือข้อความในกระดาษแผ่นนั้น

“คิดถึงจังสาวน้อย ขี่รถกลับบ้านดีๆ หละเป็นห่วงรู้ไหม”

“ใครวะ” ฉันได้แต่บ่นกับตัวเองและพับกระดาษแผ่นนั้นลงในกระเป๋าเสื้อนักเรียน

พี่สาวของฉันเธอมายืนรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนแล้วเมื่อรับเธอขึ้นรถได้ เราก็กลับบ้านกันไปตลอดทางก็พูดกันถึงแต่เรื่องกับข้าวมื้อเย็น เพราะในวันนี้แม่ของฉันไม่อยู่บ้านไปต่างจังหวัดพวกเราจึงต้องแวะตลาดเพื่อซื้อกับข้าวถุงกลับไปด้วย

ลำพังเราสองคนกินข้าวมื้อเย็นก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนัก ฉันกับพี่สาวเดินตลาดกันอยู่พักใหญ่ หาหมูปิ้ง ขนมและผลไม้กลับไปบ้านด้วย ระหว่างที่ฉันเดินมารอพี่สาวที่เดินเข้าไปซื้อไข่ในตลาดอีกครั้ง

ฉันเอากับข้าวที่ซื้อทั้งหมดวางไว้ที่ตะกร้าหน้ารถฝนที่ทำท่าจะตกท้องฟ้ามืดไปหมดฉันยืนรอพี่สาวอย่างกระสับกระส่ายเพราะกลัวว่าฝนที่จะตกลงมานั้นจะทำฉันเปียก

ฉันมองหาพี่สาวไปทั่วบริเวณหน้าตลาดเพราะเห็นว่าพี่สาวของฉันไปซื้อไข่แค่ไม่กี่ใบทำไมนานนัก และก็เห็นพี่สาวของฉันยืนทักทายกับรุ่นพี่ที่มาคุยกับฉันเมื่อตอนกลางวันอย่างสนิทสนมอยู่หน้าร้านขายยาบริเวณหน้าตลาดนั้น

“อ่อเป็นเพื่อนเจ้นี่เอง มิน่าหละ ถึงได้รู้จักเรา” ฉันพูดกับตัวเองเพราะเหมือนกับว่าปริศนาที่ค้างคาใจของฉันในข้อแรกได้ถูกไขให้กระจ่างใสแล้วในตอนนี้

............................

ฉันอาคิรา เอื้ออังกูร เป็นลูกสาวคนที่สองของบ้านนี้ ฉันมีพี่สาวที่แสนดีและน่ารัก ชื่ออวภาส์ เอื้ออังกูร เราสองคนมักจะถูกถามเสมอๆ ว่าชื่อของเราแปลว่าอะไร และเราสองคนก็ต้องตอบเสมอๆ ว่า อวภาส์ อะ-วะ-พา แปวว่า รัศมีแจ่มจรัส และ อาคิรา อา-คิ-รา แปลว่าพระอาทิตย์ เราสองคนเป็นตระกูลอออ่างที่ถูกถามเรื่องชื่อของเรามากที่สุด

กลับถึงบ้านเราก็ต้องอาบน้ำซักผ้า ฉันโดนบ่นเสมอเรื่องถุงเท้าที่สกปรกทุกวัน และต้องเอาสบู่ลายมานั่งซักต่างหากเองในทุกครั้ง

“พี่ภาพี่ว่าเราใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มบ้างดีหรือเปล่า” ฉันถามพี่สาวเมื่อนึกถึงกลิ่นหอมๆ ของรุ่นพี่คนนั้นขึ้นมาได้

“ทำไมหล่ะเสื้อผ้าเหม็นอับเหรอ” อวภาส์พี่สาวแสนดีของฉันถามขึ้นเพราะร้อยวันพันปีฉันไม่เคยจะพูดถึงเรื่องเสื้อผ้าหรืออะไรเลย

“เปล่าหรอกวันนี้ได้กลิ่นหอมของผ้าเช็ดหน้ารุ่นพี่คนนึงก็เลยมาถามดูเฉยๆ” ฉันตอบไปตามความเป็นจริงเพราะฉันไม่เคยที่จะคิดปกปิดเรื่องอะไรกับพี่สาวแสนดีของฉันเลยสักครั้งเดียว

“ผ้าเช็ดหน้าใครเหรอ”

“ก็พี่คนที่เค้ายืนคุยกับพี่ภาที่ตลาดไงหละพี่คนนั้นแหละที่เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้อาเมื่อตอนกลางวัน”

“อ่อเหรอ”

“แล้วพี่ภาจะใช้หรือเปล่าหละน้ำยาปรับผ้านุ่มนะ” ฉันถามอีกครั้งเพราะยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

“ก็แล้วแต่อาว่าจะใช้หรือเปล่าเพราะพี่เฉยๆ ไม่ได้อยากหอมกับใครเค้านี่” พี่ภาตอบหน้าตาเฉย ฉันก็รู้คำตอบแล้วว่าคงไม่ได้ใช้แน่ๆ น้ำยาปรับผ้านุ่มหอมๆ แบบรุ่นพี่คนนั้น

..................

ฉันเห็นป้ายประกาศรับสมัครวงโยธวาทิตของโรงเรียนเพราะปีนี้โรงเรียนจะเพิ่มวงโยธวาทิตจากเดิมที่มีเพียงแค่วงดุริยางค์เพียงอย่างเดียวมันล้าสมัยไปเสียแล้ว โรงเรียนอื่นๆ เขาก็มีกันเยอะไปหมด โรงเรียนระบุเลยว่าต้องเป็นนักเรียนที่ศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง เพราะอย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่เล่นให้ได้ถึงสามปี จึงจะออกไปอยู่โรงเรียนอื่นๆ

พวกฉันแทบจะยกห้องที่เข้าไปสมัคร เพราะอย่างน้อยก็ได้เล่นดนตรี ทุกคนต้องมาหัดเป่าเครื่องดนตรี หากใครเป่าอะไรออกมาเป็นเสียงก็จะได้เครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ ไปหัดเป่า เราทุกคนพยายามเป่าเครื่องดนตรีทุกชนิดให้ออกเป็นเสียงดัง

ฉันเป่าออกหมดทุกเครื่องแต่เจ้ากรรมเพราะฉันตัวค่อนข้างโตครูที่คุมวงก็เลยให้ฉันไปเป่าเครื่องดนตรีที่ใครๆ ก็เรียนว่ากระโถนหรือคอห่าน ก็รูปร่างมันช่างเหมือนกระโถนในสมัยโบราณจริงๆ นี่นา ซูซ่าโฟน หรือใครในวงเรียกว่าเบส ตัวค่อนข้างจะใหญ่กว่าใครทั้งหมด มีที่เทียบเคียงได้ก็เห็นจะเป็นกลองใหญ่ที่รูปร่างไม่ได้ต่างอะไรกับเครื่องดนตรีของฉันสักเท่าไหร่

ฉันและเพื่อนๆ ทุ่มเทเวลาว่างทั้งหมดในการฝึกเป่าฝึกตีและฝึกเดิน ในทุกวันหลังเลิกเรียนพวกฉันจะไปหมกตัวอยู่ที่ห้องดนตรี เพียงแค่เป่าให้มีเสียงออกมานั้นไม่ยากแต่จะเป่าให้ได้ดี ให้เป็นเสียงไพเราะนั้นค่อนข้างยาก ต้องปีบปากต้องหัดเม้มปากให้ได้รูป

กว่าพวกเราจะประสบความสำเร็จก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ เพลงแรกที่พวกเราหัดเล่นและต้องเล่นให้ได้ก็คือเพลง Twingle little star ใครว่าง่ายค่ะ มันยากเย็นแสนเข็น

“เอาใหม่สิ โด โด ซอล ซอล ลา ลา ซอล ฟา ฟา มี มี เร เร โด” ครูที่ฝึกสอนพยายามให้พวกฉันเป่าเพลงนี้ให้ได้

ฉันกับเพื่อนๆ พยายามเป่ากันจนเป็นเสียงและจบเพลง เมื่อได้เพลงหนึ่งก็ต้องต่ออีกเพลงไปเรื่อยๆ และเพลงที่สำคัญที่สุดก็คือเพลงชาติ กับเพลงสรรเสริญพระบารมี เพราะพวกเราต้องไปเป่าหน้าเสาธงในทุกๆ เช้า หน้าที่ของพวกฉันก็คือ แบกเครื่องดนตรีขึ้นลงทุกวัน จากชั้นสามของตึกหลังโรงเรียนมาอยู่ที่หน้าเสาธง

เพลงที่จะต้องหัดอีกก็คือกราวกีฬา เพราะงานกีฬาสีของโรงเรียนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกแล้วในไม่ช้านี้ บรรดาเพื่อนที่ไม่ได้เป็นนักดนตรีก็ง่วนกับการไปซ้อมกีฬา พวกฉันก็สบายไป ไม่ต้องไปออกแรงอะไรมาก แต่ที่แย่กว่าใครก็คือต้องไปซ้อมเดินแถว ที่ใครๆ ในสมัยนี้เรียกกันว่ามาร์ชชิ่งพาเหรด เพราะต้องซ้อมเดินและเดินตามจังหวะเพลงไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็ยังพอไหว แต่หลังๆ ฉันชักจะหมดแรง ทั้งเป่าทั้งเดินแถมยังต้องวิ่งไปแบกเครื่องดนตรีไปด้วยจนฉันเป็นลม ล้มลงไปพร้อมกับเครื่องดนตรีชิ้นโต

เมื่อลืมตามาอีกครั้งก็เห็นตัวเองนอนอยู่ในห้องพยาบาลมีพี่ภามานั่งอยู่ข้างๆ

“เป็นไงตัวแสบสลบเลยนะ” พี่ภาทักฉันทำเอาฉันแทบหมดแรงอายนะนี่เกิดมาไม่เคยเป็นลมกับเขาสักครั้งเลย

“ก็เหนื่อยนี่พี่มันเหนื่อยบอกไม่ถูกเลยนะ แถมปวดไปหมดทั้งไหล่ทั้งหลัง เดินงี้แทบจะเอาผิวหนังช่วยหายใจ” ฉันบ่นไปตามประสาของน้องที่ชอบอ้อนพี่ตัวเอง

“ก็เรานะไม่ชอบออกกำลังกาย กินแล้วก็นอนไม่ก็อ่านการ์ตูน นอนก็ดึกดื่นให้นอนก็ไม่นอนพอเรียกให้ตื่นก็ไม่อยากตื่น ก็แบบนี้แหละคราวหลังก็ไปวิ่งบ้างสิจะได้มีเรี่ยวแรงกับใครเค้าบ้าง” พี่ภาก็คือพี่ภาบ่นฉันอีกเช่นเคย

ฉันเคยคิดเสมอว่าพี่ภาจะรักฉันอย่างที่พี่น้องคู่อื่นรักกันบ้างหรือเปล่า พี่ภาจะจู้จี้ขี้บ่นฉันเสมอ แต่พี่ภาก็ยังทำหน้าที่ของพี่สาวที่ดีของฉันมาโดยตลอดตั้งแต่ฉันจำความได้

พี่ภาให้ฉันดื่มน้ำหวานแก้วโตแล้วก็ให้ฉันนอนพักต่อ ฉันก็รู้ตัวเองว่าไม่ไหวจริงๆ สมองมึนตึบจะว่าไปแล้วสมองฉันเหมือนจะไม่รับรู้อะไรเลยในตอนนี้ ฉันดื่มเสร็จก็นอนพักต่อ เวลาบ่ายๆ แบบนี้ อากาศน่านอนแบบนี้ฉันก็หลับไปอย่างง่ายดายในห้องพยาบาลของโรงเรียน

ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ ฉันรู้สึกตัวตื่นแต่ยังไม่ได้ลืมตาเพราะมีมือหนึ่งมาจับมือของฉันไว้ ฉันรู้สึกได้ถึงมือนุ่มๆ ที่เปียกชื้นและเย็นๆ ในใจฉันครึ่งหลับครึ่งตื่นว่าฝันไปหรือว่าฉันตื่นกันแน่ แต่กลิ่นที่ฉันได้กลิ่นนั้นรู้ว่าฉันไม่ได้ฝันไปรุ่นพี่คนนั้นแน่ๆ ที่มานั่งข้างๆ เตียงที่ฉันนอนอยู่ กลิ่นเฉพาะตัวที่ฉันไม่มีวันลืม

กลิ่นนี้เองพี่คนนั้น ฉันยังคงหลับตาอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเพราะคิดว่าหากรุ่นพี่คนนั้นรู้ว่าฉันตื่นแล้วเธอจะต้องอายและจากฉันไป ฉันยังอยากได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของพี่คนนี้อยู่ เพราะกลิ่นแอมโมเนียที่ฉันได้ดมไปเมื่อก่อนหน้านี้มันก็ทำเอาฉันเวียนหัวไปหลายตลบ

ใครๆ ก็บอกว่าแอมโมเนียเป็นกลิ่นฉี่อูฐ ฉันว่ามันก็คงจะใช่อย่างที่เขาว่ากัน แม้ฉันจะไม่เคยได้กลิ่นฉี่อูฐของแท้แต่ก็พอจะเดาได้ว่ากลิ่นมันคงไม่พึงประสงค์สักเท่าใดนัก กลิ่นที่รุนแรงทำเอาคนที่เป็นลมอย่างฉันแทบสลบไปอีกรอบ

แต่กลิ่นที่ฉันได้ในตอนนี้เป็นกลิ่นของยาดมอะไรสักอย่าง มารู้เอาทีหลังว่าเป็กลิ่นของยาดมวาเป๊กซ์ หอมอ่อนๆ ไม่ฉุนกึ๊ก แบบยาดมหลอดสีแดง ที่มีขายอยู่ทั่วไปในร้านขายยา

รุ่นพี่คนนั้นออกไปจากห้องพยาบาลแล้วในตอนนี้ฉันรู้ได้เพราะว่ากลิ่นของเธอได้จางไปแล้ว ฉันลืมตาขึ้นและลุกออกจากเตียง พับผ้าห่มที่ห่มตัวฉันเมื่อสักครู่และเดินกลับไปที่ห้องเรียน ฉันว่ารุ่นพี่คนนั้นก็ต้องรู้ว่าฉันเดินกลับหลังจากที่เธอเดินจากฉันมา เพราะว่าห้องเรียนของชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองไม่ได้ไกลจากห้องเรียนของฉันเลย

ฉันเดินสโหลสเหลเป๋ไปเป๋มากลับไปยังห้องเรียน ขวัญหทัยลุกขึ้นมารับฉันไปนั่งที่นั่ง ฉันก็ยิ้มรับน้ำใจของเพื่อนที่มีน้ำใจเดินมารับฉันไปนั่งที่ทั้งๆ ที่โต๊ะเรียนของฉันไม่ได้ไกลจากประตูห้องเลยเดินเข้าไปก็นั่งแปะลงที่เก้าอี้ได้อย่างสบายๆ

........................

หลังจากวันนั้นฉันก็ออกกำลังกายเรื่อยเปื่อย ไปว่ายน้ำบ้างออกวิ่งบ้างในบางวันที่มีเวลา ร่างกายก็แข็งแรงมากขึ้น ฉันไม่มีเวลาไปสนใจอะไรนอกจากจะไปซ้อมดนตรีทุกวันเพราะเวลาที่ต้องออกงานก็ใกล้เข้ามาทุกที การบ้านก็เยอะมากขึ้น

งานแต่ละงานไม่ได้ทำให้ฉันมีเวลาไปสนใจเรื่องอย่างอื่น ฉันยังคงทำหน้าที่น้องที่ดี นักเรียนที่ดีไปเรื่อยๆ ลงแข่งวอลเลย์บอลกับเค้าบ้างในบางโปรแกรมที่ไม่มีตัวนักกีฬาลง แต่ฉันก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนักเสิร์ฟลูกยังไม่ข้ามเนทเลยด้วยซ้ำไป ฉันกับกีฬาเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเสมอๆ

ฉันต้องเรียนยิมนาสติกอย่างที่นักเรียนชั้น ม.๑ ทุกคนต้องเรียน ฉันไม่ชอบเอาเสียเลยกับท่าหกกบ ล้อเกวียน ม้วนหน้า ม้วนหลัง สะพานโค้งอะไรพวกนี้ ฉันตัวไม่อ่อนเหมือนเพื่อนๆ เขาหรอก เพราะฉันกระดูกแข็งเป็นหิน

เพื่อนดูจะชอบชั่วโมงพละ แต่ฉันกลับชอบชั่วโมงดนตรีกับชั่วโมงศิลปะมากกว่า เพราะมันทำให้ฉันไม่ต้องเจ็บตัวเวลาไปเรียน แถมไม่ต้องเหนื่อยเพราะชั่วโมงดนตรีก็มีเพียงแค่ให้เปล่าขลุยเป่าฟลุ๊ตไปตามแต่แล้วแต่ว่าชั่วโมงไหนต้องทำอะไร มันสบายดีออกในความคิดของฉัน

“เฮ้ยพวกแกครูให้ไปลองชุดนักดนตรีที่ห้องพักครู” ภรณีหรือณีเพื่อนในวงวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกพวกฉันที่ห้องเรียน

“ได้แล้วเหรอ สวยเปล่าวะ” รมณเพื่อนร่วงวงอีกคนก็ถามขึ้น

“ไม่รู้ดิฉันว่ามันเหลืองๆ แปลกๆ ชอบกล” ภรณีตอบไปอย่างที่เธอคิดไว้

“รีบลงไปลองเถอะพวกแก เดี๋ยวถ้าไม่เข้าที่ก็จะได้แก้ได้ทัน” ฉันรีบตัดบทเพราะรู้ว่าเรื่องสวยๆ งามๆ พวกนี้ให้พูดกันก็เรื่องยาว

“เอ๊ยอาแกไปโดนอะไรมาเลือดออก” ภรณีที่ตอนนี้เห็นฉันที่กำลังลองชุดอยู่ถามขึ้น เพราะเห็นเลือดสีแดงๆ ติดกระโปรงของฉัน

ฉันตกใจมากเมื่อเห็นเลือดที่ติดอยู่ที่กระโปรง

“ไม่รู้สิแกพาฉันไปหาครูเถอะ ฉันจะตายไหมนี้แก” ฉันเริ่มใจเสียที่อยู่ๆ ก็เกิดมีอะไรแปลกปลอมออกมาจากตัวฉัน

ฉันภาวนาไปตลอดทางที่เดินไปห้องพยาบาลว่าฉันอย่าเป็นอะไรเลยฉันจะทำความดีให้มากกว่าที่เคยทำ แต่เลือดเจ้ากรรมก็ไหลไม่หยุด จนฉันหน้าซีดเพราะว่ากลัวตาย เกิดมาจากท้องแม่ก็ครั้งนี้แหละที่มีเลือดออกมากขนาดนี้ แค่มีดบาดฉันยังหวาดๆ ไม่หาย

พอมาถึงห้องพยาบาลครูในห้องก็ขำกับท่าทางของฉัน

“เธอมีประจำเดือนนะอาคิราไม่ได้เป็นอะไรหรอกไปเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วออกมานุ่งผ้านี่ ภรณีไปซื้อชั้นในให้เพื่อนใหม่ไปที่สหกรณ์ แล้วก็กลับเอามาให้เพื่อนที่นี่” ครูประจำห้องพยาบาลบอกกับภรณีให้ทำตามคำสั่งของเธอ

ภรณีก็ว่าง่ายรีบวิ่งไปสหกรณ์ซื้อของที่ครูบอกและวิ่งเอามาให้ฉันที่ห้องพยาบาล ที่ตอนนี้ยืนพิงผนังห้องอยู่ ด้วยหมดเรี่ยวแรง

ฉันทำตามที่ครูสอนทุกอย่างเมื่อมันเป็นครั้งแรกของการที่จะใช้ผ้าอนามัยในชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนในชีวิตเลยว่าผู้หญิงต้องมีเลือดออกทุกเดือน ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเลือดออกมาจากไหน แต่ที่รู้แน่ๆ ในตอนนี้ฉันอายมาก อายที่จะบอกใครๆ หรือให้ใครๆ รู้ว่าฉันเป็นประจำเดือน

ฉันซักกระโปรงและเอาชั้นในตัวเก่าห่อกระดาษไปทิ้ง ตอนนี้ฉันใส่ผ้าถุงของห้องพยาบาล ฉันกับผ้าถุงเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากันเอาเสียเลย จากการที่จะไปลองชุดนักดนตรีฉันกลับต้องมาเรียนรู้เรื่องประจำเดือน เรียนรู้ว่าผู้หญิงจะต้องมีเพราะว่าเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ ผู้หญิงทุกคนจะต้องมีกันทุกคน การไม่มีเป็นสิ่งแปลกและอาจเป็นโรคได้

ฉันเริ่มคิดว่าการเป็นผู้ชายก็ดีไปอีกแบบที่ไม่ต้องมารับภาระที่ไม่อยากมีในทุกๆ เดือน ฉันเดินกลับมาที่ห้องเรียน พร้อมกับจับผ้าถุงไปด้วยเพราะมันจะหลุดเสมอเมื่อต้องเดินไปเดินมา เพื่อนๆ มองฉันเป็นตาเดียว ว่าทำไมแต่งตัวแปลกๆ ฉันไม่ได้ตอบอะไร ภรณีเป็นคนตอบแทนฉันจนหมดทุกเรื่อง

“อาเค้าเป็นประจำเดือน”

“มันคืออะไรนะณีเราไม่เข้าใจ”

“ครูบอกว่าผู้หญิงทุกคนต้องเป็นเราก็ไม่รู้เราไม่เคยเป็นนี่” ภรณีตอบเพื่อนที่ช่างซักช่างถามของพวกเราไป จากนั้นเรื่องที่ทุกคนสงสัยก็ต้องมากระจ่างเมื่อครูศยามนเดินผ่านมาและได้ยินที่พวกเพื่อนๆ ฉันคุยกัน

“มันก็คือการที่ผนังมดลูกของคนเราต้องสลายตัวออกมาเพราะไม่ได้รองรับไข่ที่ปฏิสนธิผู้หญิงเราจะมีมดลูกและจะก่อตัวขึ้นเพื่อรองรับไข่ในทุกเดือน หากว่าเดือนไหนมีไข่มาฝังตัวก็จะเรียกว่าการตั้งครรถ์ผนังมดลูกก็จะไม่สลายตัวออกมา ในสมัยก่อนเค้าจะบอกกันว่าใครที่มีประจำเดือนนั่นแสดงว่าเป็นสาวเต็มตัว แต่งงานได้และมีลูกได้แล้ว” ครูศยามนพยายามอธิบายให้พวกฉันเข้าใจ

“ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีหละค่ะครู แล้วทำไมพี่ภาเค้าเกิดก่อนหนูเค้าถึงยังไม่มีหล่ะคะครู” ฉันยกมือบอกครูศยามณ

“ไว้เธอจะได้เรียนอีกครั้งในวิชาสุขศึกษา เดี๋ยวครูจะให้ครูวิชาสุขศึกษาสอนพวกเธอเรื่องนี้ก็เลยก็แล้วกัน จะได้เข้าใจอะไรกันมากขึ้น”

จากนั้นเรื่องฮ็อตของพวกเราก็ไม่พ้นเรื่องประจำเดือน และคนที่ถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างในตอนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล

ตัวฉันนั่นเอง

ฉันอายก็อายแต่ก็ต้องเป็นตัวอย่างให้ครูได้ยกมาประกอบและสอบถามฉันว่าอาการเป็นอย่างไร ฉันก็ตอบไปตามความจริงว่า มันกลั้นไม่ได้เหมือนปัสสาวะ และก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าจะมี ไม่มีอาการอะไรบ่งบอกว่าจะเป็น เพื่อนๆ ทุกคนนั่งอ้าปากหวอฟังที่ฉันและครูคุยกัน

นี่ฉันจะภูมิใจหรือว่าเสียใจดีหล่ะนี่ ที่เป็นคนแรกของห้องที่เป็นสาวเต็มตัว

“โอ้วแม่เจ้าฉันเป็นสาวแล้วหรือนี่”

........จบบทที่ ๑.........



Create Date : 06 พฤษภาคม 2551
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 16:53:39 น. 0 comments
Counter : 455 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.