It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๖

บทที่ ๖

เรื่องของหงส์หยกก็เป็นที่พูดคุยอย่างสนุกสนานของคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดเธอ ฉันได้ยินแล้วก็รู้สึกสงสารหงส์หยกขึ้นมาจับใจ ดีแล้วที่หงส์หยกลาออกไปซะก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่านี้

ฉันจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ปากคนยาวกว่าปากกา นี่ก็คือเรื่องจริง

จากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ บางคนก็พูดว่าหงส์หยกโดนข่มขืนจากใครก็ไม่รู้ เมื่อตอนกลับบ้านดึกๆ วันที่ซ้อมดนตรี

บางคนก็พูดว่าหงส์หยกใจแตกไปแย่งสามีชาวบ้านมาแล้วเค้าก็ไม่เอา

บางคนแสบกว่านั้น บอกว่าหงส์หยกขายตัวแล้วก็พลาด จนตั้งท้องแล้วอยู่สู้หน้าพวกเราไม่ได้ พอครูจับได้ก็เลยต้องลาออกไปจากโรงเรียน

โลกหนอโลก

ฉันนึกถึงคำกลอนที่เคยได้ยินบ่อยครั้งว่า

“นินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคำนินทา”

กวีท่านนี้ช่างเก่งเหลือเกินที่คิดเป็นกลอนให้เราได้ท่องจำกันได้

ฉันคิดอยู่เสมอว่าหงส์หยกจะเลี้ยงลูกอย่างไรด้วยวัยเพียงสิบสามปี และจะไปทำอาชีพอะไรถ้าเธอต้องออกไปเผชิญโลกใบกว้างเพียงลำพัง แล้วเธอจะตอบลูกว่าอย่างไรถ้าลูกถามถึงพ่อที่ไม่รับผิดชอบคนนั้น

ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมโลกไม่ยุติธรรมกับมนุษย์เพศแม่ ที่ต้องอุ้มท้องเก้าเดือนและเลี้ยงดูมนุษย์เพศชายให้มาทำร้ายเพศหญิงแบบนี้

ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

จากวันนั้นฉันไม่เคยมีความคิดในหัวสมองอีกเลยว่าจะต้องแต่งงานกับผู้ชาย ฉันเหมารวมเอาว่าผู้ชายก็เหมือนกันทุกคนในโลก แต่ก็ยกเว้นพ่อของฉันไว้หนึ่งคนก็แล้วกัน

เมื่อใดที่ฉันเห็นเด็กนักเรียนผู้หญิงกับผู้ชายเดินจูงมือกัน ฉันแทบอยากไปลากเด็กนักเรียนหญิงคนนั้นออกมาแล้วบอกว่าอย่าไปไว้ใจนะมันจะทำให้เธอท้องไม่มีพ่อแบบที่เพื่อนฉันเป็น

แต่ฉันก็ทำไม่ได้ เพราะฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอะไรแบบนั้น

ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตามวันและเวลา

..................................

วันลอยกระทงที่โรงเรียนของเราส่งกระทงเล็กเข้าประกวด พวกฉันต้องไปเดินพาเรทนำขบวนให้กับนักเรียน เดินจากหอนาฬิกาไปจวนผู้ว่าที่อยู่ริมแม่น้ำ

เพื่อนๆ ในขบวนเห่ต่างก็แต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง ส่วนพวกฉันใส่เสื้อม่อฮ่อม เตี่ยวสะดอ เพราะจะให้พวกฉันนุ่งผ้าซิ่นแล้วมาเดินเล่นดนตรีคงไม่ค่อยจะน่าดูเท่าไหร่นักเพราะคงหลุดลุ่ยตั้งแต่ยังไม่ได้ตั้งกระบวน

กว่าเราจะไปถึงจวนก็เกือบสามทุ่ม

ทุกคนรีบเก็บเครื่องดนตรีไว้ที่รถ และฉันเองก็เช่นกันแต่รถที่เอาเครื่องดนตรีมาเก็บเป็นรถที่เล็ก ฉันก็เลยให้เพื่อนๆ บางคนที่ไม่ได้เอารถเก็บไว้ที่โรงเรียนกลับบ้านไปเลย ส่วนฉันก็กลับไปที่โรงเรียนกับเพื่อนๆ อีกไม่กี่คนเพื่อเอาเครื่องดนตรีไปเก็บและกลับไปเอารถด้วยเช่นกัน

“จะไปไหนเหรอสาวน้อย” พี่แสงอุษาที่ยืนอยู่ท้ายรถถามฉัน

“จะเอาเครื่องดนตรีไปเก็บที่โรงเรียนนะพี่แล้วก็กลับไปเอารถด้วย ไงพี่ษาช่วยไปส่งพี่ภากลับบ้านด้วยแล้วกันนะ” ฉันบอกพี่แสงอุษาเพราะรถกำลังจะออกแล้ว

“จะรอที่นี่นะ แต่จะไปส่งภากลับบ้านก่อน”

“ค่ะพี่” ฉันตอบไปได้เพียงแค่นั้นก็รถก็เคลื่อนตัวออกจากที่จอดมุ่งหน้าสู่โรงเรียนของเรา

..................................

ฉันกลับมาถึงริมแม่น้ำก็ราว ๆ สี่ทุ่มกว่า เห็นพี่แสงอุษายืนดูคนปล่อย **สะเปา แบบโบราณลงในแม่น้ำ

**สะเปา หมายถึง เรือสำเภาในภาษาพื้นเมืองล้านนา การล่องสะเปาคือการทำทานอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ สิ่งที่ใช้ทำสะเปาได้แก่การใช้กาบกล้วย มะละกอ ไม้ไผ่ หรือกระดาษแก้วใส ตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้ หรือใช้กระดาษสีตัดเป็นลวดลายต่างๆ ติดด้านข้างลำสะเปา นอกจากนี้ยังมีสิ่งของอื่นๆ ที่มักใส่ลงไปในสะเปาด้วย เช่น ข้าวสุก กล้วย อ้อยควั่น ข้าวต้มจิ้ม น้ำตาล เกลือ ยาสูบ หมาก พลู ดอกไม้ ธูป เทียน และรูปสัตว์ต่างๆ เป็นต้น เพราะเชื่อกันว่าผู้ล่วงลับที่ได้อุทิศส่วนกุศลหรือทำทานไปให้ จะนำสิ่งของเหล่านั้นไปใช้ในอีกภพหนึ่ง

**ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ฉันยืนมองสะเปาโบราณอยู่ริมตลิ่ง พระจันทร์ดวงโตส่องแสงสะท้อนอยู่ในแม่น้ำวัง แม่น้ำที่หล่อเลี้ยงคนลำปางมาเป็นเวลาหลายร้อยปี

นางนพมาศของฉันยืนอยู่ตรงริมตลิ่งแห่งนี้ ฉันเดินลงไปหาเธอและมองเธอห่างๆ อยู่นาน จนเธอหันมาเห็นฉันจึงได้ทักขึ้น

“มานานแล้วเหรออา”

“คะพี่” ฉันสะดุ้งโหยงเพราะไม่คิดว่าเธอจะเห็นฉันเร็วขนาดนี้

“แล้วทำไมไม่เรียกพี่หละ”

“เรียกได้เหรอพี่ ก็อาเห็นพี่ยืนดูเค้าปล่อยสะเปาลงน้ำอยู่เพลินๆ เลยไม่อยากเรียก”

“เรียกได้สิ เพราะพี่ก็รออาอยู่นานแล้ว นึกว่าอาจะไม่มากำลังจะกลับบ้านอยู่พอดีเลย”

“อ้าวเหรอ แล้วพี่ลอยกระทงไปหรือยังคะ” ฉันตกใจที่เธอตอบว่ากำลังจะกลับบ้าน

“ยังเลยก็รออาอยู่นี่แหละ รอจนเมื่อยแล้วด้วย” เธอยืนยกขาทีละข้างขึ้นมาปีบนวด

“ขอโทษด้วยนะพี่ที่ทำให้พี่ต้องรออานานเลย แล้วพี่ภาหละคะ ไปไหนแล้ว” ฉันมองหาพี่ภาไปทั่วบริเวณก็มองไม่เห็น

“เอ๊าก็อาให้พี่ไปส่งภากลับบ้านพี่ก็ไปส่งกลับบ้านไปแล้วยังจะมาถามหาภาอีกเหรอ” เธอเดินมาเกาะที่แขนฉันระหว่างที่เราเดินไปซื้อกระทงใบตองที่วางขายอยู่ริมตลิ่ง

“จริงด้วยอาลืมไปสนิทเลยนะนี่” ฉันพึมพำ เพราะลืมไปจริงๆ

คนที่ขี้ลืมแบบนี้เค้าเรียกว่าคนแก่นะอา อะ หรือว่าอาแก่แล้ว ว๊า นึกว่าพี่ชอบเด็กที่ไหนได้มาชอบคนแก่ซะแล้ว แย่จัง” เธอหันมาแซวเรื่องความขี้ลืมของฉัน

“ขอกระทงสองอันค่ะป้า” ฉันบอกแม่ค้า

“อันเดียวก็พอค่ะป้า” เธอแย่งตอบและยื่นเงินค่ากระทงให้กับแม่ค้า

“ทำไมซื้ออันเดียวหละพี่ษา”

“ก็เราลอยด้วยกันไงอา ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อมาหลายๆ อันให้เป็นขยะในแม่น้ำเปล่าๆ”

“อ่อเข้าใจแล้ว พี่กลัวเป็นขยะนี่เอง”

ฉันพยักหน้ารับรู้ แล้วเราสองคนก็เดินไปที่แม่น้ำ ยกกระทงขึ้นอฐิธานพร้อมกันปล่อยกระทงลงแม่น้ำ ที่ตอนนี้มีแสงเทียนของกระทงหลายอันลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ กระทงลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางน้ำจนมีเด็กผู้ชายบางคนมายกกระทงขึ้นดูว่าข้างในกระทงมีเหรียญอะไรอยู่หรือไม่

ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนฉันก็ไม่เคยเห็นกระทงของใครที่ลอยออกไปจนถึงทะเลสักครั้ง เพราะจะโดนมือดีมาหยิบดูว่ามีเศษสตางค์อยู่ในกระทงหรือเปล่า และก็จับกระทงเราคว่ำ เมื่อได้เศษเหรียญนั้นไปเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็หยิบไปใส่ถุงขยะที่คนเหล่านั้นนำติดตัวมาด้วย

ฉันกับพี่แสงอุษามองภาพนั้นและก็รู้สึกขัดใจ แต่จะทำอะไรได้ กระทงของเราโดนคว่ำลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“พี่อธิฐานว่าอะไรเหรอ” ฉันถามเธอระหว่างเราเดินกลับไปที่จอดรถ

“อะไรก็ไม่สำคัญหรอก เพราะกระทงของเราโดนคว่ำไปแล้วไม่รู้ว่าคำอธิฐานจะเป็นผลหรือเปล่า”

ฉันพยักหน้าเข้าใจความหมายของเธออีกครั้งเพราะฉันเองก็เช่นเดียวกัน คำอธิฐานของฉันจะเป็นผลหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้

เราแยกย้ายกันกลับบ้านของใครของมันเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หากฉันยังไม่กลับบ้านก็คงโดนแม่ตีแน่ๆ พระจันทร์ยังคงส่องแสงสว่างไปทั่วแม้ไม่มีไฟส่องทางแต่แสงจันทร์ก็ทำให้ฉันมองเห็นได้ไปทั่วบริเวณราวกับว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้า

หรือเพราะที่ฉันมองเห็นอะไรสว่างไปหมดเพราะเธอคนนั้น แสงอุษาของฉัน

.........................

ฉันกับพี่แสงอุษาเราคบกันแบบเงียบๆ ไม่เคยบอกใครและไม่แสดงออกให้ใครได้รู้ว่าเราคบกัน เพราะฉันไม่อยากให้ใครๆ มาถามไถ่ว่าคบกันลักษณะไหน แบบพี่น้องหรือแบบอื่น

ในโรงเรียนของฉันก็ มีคู่ที่คบกันแบบเปิดเผยและเป็นที่จับตามองของคนหลายๆ คนในโรงเรียนรวมทั้งครูฝ่ายปกครองด้วย ภรณีกับรุ่นพี่มอสามก็คือหนึ่งในนั้น ทุกคนจะเฝ้ามาถามฉันว่าสองคนนั้นคบกันแบบไหน ฉันเองก็ไม่ได้ตอบอะไรใครไปได้แต่บอกว่า ฉันไม่รู้ และฉันก็ไม่ได้รู้อะไรจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าฉันกับภรณีจะสนิทกัน แต่เราสองคนก็ไม่เคยที่จะคุยกันถึงเรื่องแบบนี้สักครั้ง

บ่อยครั้งที่ฉันเห็นใครหลายๆ คนเดินจูงมือกันเป็นคู่ๆ ในโรงเรียน ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง และเพื่อนๆ กัน ฉันเองก็อยากจะทำแบบนั้นกับเขาบ้าง แต่ทุกครั้งก็มีคำถามออกมาจากใจฉันเสมอๆ ว่าทำไมต้องทำโชว์ใครๆ ด้วยหรือ

พี่แสงอุษาเองก็เคยถามฉันว่าทำไมเราไม่คบกันแบบเปิดเผย บอกให้ใครๆ รู้กันให้หมดว่าเราคบกันมากว่าการเป็นพี่น้อง แต่ฉันปฏิเสธและถามกลับไปบ้างว่า

“เราสองคนคบกันมีใครมาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่าคะพี่”

“ไม่มี”

“แล้วเวลาที่เรารักกัน หรือทะเลาะกันใครมาเกี่ยวข้องหรือเปล่าคะพี่”

“ก็ไม่มีอีกนั่นแหละ”

“แล้วเราจำเป็นต้องบอกให้ใครเค้ารู้ด้วยเหรอพี่ว่าเราคบกัน” คำถามของฉันทำเอาพี่แสงอุษาอึ้งไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะตอบฉันว่า

“ไม่จำเป็น”

“ก็เท่านั้นแหละพี่ที่อาอยากรู้ และนั่นก็คือคำตอบที่พี่ถามอา”

ฉันกลับบ้านกับพี่แสงอุษาทุกเย็นเพราะว่าพี่ภากลับบ้านไปก่อนหน้านี้แล้ว โรงเรียนของเราเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่งและ พี่ภาก็รออยู่ที่ห้องสมุดทุกเย็นแต่จนแล้วจนรอดฉันก็ยังซ้อมไม่เสร็จ พี่ภาก็เลยบอกว่าเรียนเสร็จพี่ภาจะกลับบ้านเลย เพราะพี่แสงอุษาก็อาสาที่จะไปส่งฉันกลับบ้านทุกวันอยู่แล้ว

อากาศวันนี้ค่อนข้างเย็นเพราะหน้าหนาวจริงๆ ก็มาเยือนได้นานแล้ว เดือนนี้เป็นเดือนธันวาคมเดือนของความหนาวเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่ว หายใจออกมาแต่ละครั้งก็มีควันพวยพุ่งเป็นไอให้ได้เห็นเสมอๆ

งานกีฬาฤดูหนาวก็ใกล้เข้ามาทุกที พวกฉันต้องไปซ้อมที่โรงเรียนชายที่อยู่ติดๆ กันเพราะจะมีการแสดงที่โรงเรียนของเราทั้งสองต้องไปด้วยกัน

จากนั้นในทุกเย็นพวกเราก็ต้องแบกเครื่องดนตรีเดินไปข้างหลังโรงเรียน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ให้ผู้ชายมาโรงเรียนเรา แต่ต้องให้เราไปโรงเรียนของผู้ชาย หรืออาจเป็นเพราะโรงเรียนของฉันคับแคบกว่าและไม่มีที่ฝึกซ้อมก็เป็นได้ เราเข้าไปซ้อมกันที่โรงยิมทุกวัน

ฉันไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่ที่ต้องไปนั่งระหว่างกลางหมู่ผู้ชาย เพราะฉันคิดว่าผู้ชายกลิ่นตัวแรงไปหน่อย ยิ่งเวลาเย็นๆ แบบนี้ด้วยแล้ว มันช่างตลบอบอวลไปหมด จะแหวะก็ไม่ได้ขายหน้าประชาชีเดี๋ยวจะถูกตราหน้าว่าท้องเหมือนกับหงส์หยกเพื่อนฉัน

ในตอนนี้ฉันก็ก้มหน้ารับกรรมไปก่อน หยิบยาดมมานั่งดมไปเรื่อยๆ และอดทนให้ถึงที่สุด โรงเรียนชายมีชื่อเสียงเรื่องวงดนตรีอยู่แล้วไม่น่าแปลกใจเลยเพราะทุกคนเล่นตั้งแต่ยังเล็กๆ ซึ่งผิดกับโรงเรียนของฉันที่พึ่งจะตั้งวงได้ไม่ถึงปี

เราสองโรงเรียนการเล่นเหมือนผู้ใหญ่กับเด็กมาเล่นด้วยกัน พวกฉันจะอึ้งเสมอเมื่อโรงเรียนชายเล่นเพลงที่พวกฉันรู้สึกว่ายาก โน้ตบางตัว เสียงบางเสียงวงของผู้ชายสามารถบังคับเสียงให้ยาวได้ถึงสี่ห้อง อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เพราะพวกฉันเป่าไปแค่สองห้องก็หืดขึ้นคอแล้ว

แต่พวกเขาเหล่านั้นสามารถและทำได้ดีเสียด้วย แม้จะไม่ชอบผู้ชายเป็นการส่วนตัวแต่ฉันก็ยังชอบที่พวกเขามีความสามารถ และเก่งกว่าฉัน

“พี่เป่าได้ไงอะตั้งสี่ห้อง” ฉันถามพี่ที่เล่นเครื่องดนตรีเดียวกับฉัน

“ก็หัดเอาไง เพราะว่ามันเล่นมานานแล้วไง”

“พี่เล่นมากี่ปีแล้วคะ”

“เจ็ดปีแล้ว” เป็นคำตอบที่ฉันค่อนข้างทึ่ง

“ห๊า เล่นมาตั้งแต่ปอไหนนะพี่”

“ตั้งแต่อยู่ปอห้า”

“โห่เล่นมานานจังเลยแล้วพี่เล่นเครื่องนี้มาตลอดเลยเหรอ” ความสงสัยยังไม่หมดไปจากใจฉัน

“เปล่าเด็กๆ ก็เล่นทรัมเป๊ด ตอนโตหน่อยก็ทรอมโบน ตอนนี้โตมากว่าใครๆ ก็เล่นเบส” พี่ใจดีตอบคำถามฉันเขาคงเห็นฉันเป็นน้องน้อยของเขาคนหนึ่ง

“อ่อแบบนี้พี่ก็เล่นได้หมดทุกเครื่องเยสิคะ”

“ไม่หมดหรอกพวกลิ้นพี่เล่นไม่ได้เลย”

“อ้าวไมอะพี่”

“ก็เพราะว่าไม่ได้หัดเลยไง เล่นแต่เครื่องบลาส”

“บลาสคืออะไรนะพี่”

“บลาสก็คือพวกเครื่องเป่าทองเหลืองไง ที่น้องเป่าอยู่นี่แหละ มันชุบโครเมี่ยมแต่จริงๆ แล้วมันทำมาจากทองเหลือง” พี่กิ้มใจดียังอธิบายฉันต่อไป

“อ่อแบบนี้นี่เองพึ่งรู้นะนี่ นึกว่ามันแบ่งเป็นเครื่องลิ้นกับเครื่องเป่าเฉยๆ ซะอีก”

ฉันพยักหน้ารับรู้ และคิดว่าและคิดว่าความรู้ของฉันมันก็เป็นเพียงหางลูกอ๊อดที่กำลังจะกลายเป็นอึ่งที่คิดว่ามีหางแต่กำลังจะหดหายไปเมื่อมาเจอจระเข้ตัวจริง

..................................

พี่แสงดูเหมือนจะรู้เวลาเสมอมารอฉันที่ใต้ตึกทุกวันเหมือนเช่นเคย ตอนนี้โรงเรียของเราก็ยังคงมีคนซ้อมกรีฑากันอยู่หลายคน แม้ว่าจะมืดแล้วแต่ก็ยังมีนักเรียนซ้อมกันอยู่เต็มไปหมด

เรื่องที่ฉันกลับบ้านกับพี่แสงอุษาเป็นเรื่องที่เราไม่เคยปกปิดใคร และไม่คิดจะปิดฉันขี่รถให้พี่เธอทุกวันจนถึงบ้านของฉันแล้วเธอก็จะขี่กลับไปบ้านเองเป็นอย่างนี้ทุกวัน บางวันเธอก็จะอยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านของฉัน หรืออยู่คุยที่บ้านของฉันจนค่ำมืด ฉันก็ต้องขี่รถตามไปส่งเธอที่บ้าน จนเป็นกิจวัตรไปแล้ว

ฉันเคยถามเธอว่าเธอไม่โดนที่บ้านดุบ้างหรือที่ต้องมาอยู่กับฉันจนดึกดื่นแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดว่าอะไรและไม่เคยตอบคำถามของฉัน และฉันก็ไม่เคยถามเธอว่าทำไมหรือเพราะอะไร

ฉันยังคงเขียนจดหมายติดต่อกับตุ๊กตาน้อยของแนอย่างสม่ำเสมอ มีเรื่องเล่ามากมายให้เธอได้อ่านและเธอเองก็เล่าเรื่องราวของเธอกับไอ้เปี๊ยกหรือเจ้าตัวจิ๋วของเธอให้ฉันได้ขำไปกับพฤติกรรมของทั้งสองคนอยู่ตลอดเวลา

เรานัดกันว่างานวันแข่งกรีฑาในงานฤดูหนาวเราจะไปพบกันที่สนามกีฬา เพราะมันคงเป็นโอกาสเดียวที่เราจะได้พูดคุยกัน

แปลกแต่จริงทั้งๆ ที่บ้านของฉันกับตุ๊กตาน้อยไม่ได้ห่างไกลกันสักเท่าไหร่ แต่เราสองคนทำตัวราวกับว่าอยู่กันคนละจังหวัด ไปมาหาสู่กันได้ยากเย็น ฉันเคยไปหาเธอที่บ้านแต่แม่ของเธอบอกฉันว่าเธอไปซ้อมกีฬาที่โรงเรียนยังไม่กลับ

เธอเองก็เคยมาหาฉันที่บ้านแต่ฉันเองก็ไม่เคยอยู่บ้านเพราะไปซ้อมดนตรียังไม่กลับบ้านเช่นกัน เรามักไม่ได้พบกันแบบนี้เสมอๆ แปลกแต่จริง

ฉันไปเล่นดนตรีอยู่ที่อัฒจรรย์ด้านฝั่งประธานในพิธี เพราะพวกเราต้องเล่นเพลงพระราชนิพนธ์หลายๆเพลง จนเกือบจะจบรายการ ฉันมองไปที่อัฒจรรย์ฝั่งตรงข้ามเห็นโรงเรียนของฉันกำลังแปรอักษรเป็นรูปต่างๆ มากมาย โดยมีพี่แสงอุษาคอยเป็นคนบอกรหัสและให้สัญญาณอยู่ด้านข้าง

พี่แสงอุสาแม้ไม่ได้แต่งตัวก็ยังดูสวยอยู่ด้สำหรับฉัน กว่าจะเสร็จจากการเล่นโชว์ ก็เล่นเอาพวกฉันเหนื่อยไปตามๆ กัน

พี่ใจดีของฉันหรือที่ใครๆ มักเรียกพี่เค้าว่าจั๊กกิ้ม(ภาษาคำเมืองแปลว่าจิ้งจก) เดินตามฉันมาด้วย เพราะว่าวันนี้โรงเรียนของเราสองคนนั่งอยู่ที่อัฒจรรย์ใกล้ๆ กัน พวกฉันเป็นพวกกิตมศักดิ์ที่ไม่ต้องไปนั่งแปรอักษรอยู่บนนั้น

“คนนั้นชื่ออะไรเหรออา” พี่กิ้มถามฉันและชี้ไปที่พี่แสงอุษา

“ชื่อแสงอุษา พี่ถามทำไมเหรอ” ฉันมองหน้าพี่กิ้มเพราะปกติแล้วพี่กิ้มไม่เคยถามฉันว่าเพื่อนของฉันชื่ออะไร

“สวยดีอยากจีบมีแฟนหรือยัง”

“มีแล้ว” ฉันตอบเสียงห้วนๆ ไป เพราะฉันรู้ว่าพี่กิ้มคงจะชอบพี่แสงอุษาจริงๆ

“ถึงมีแล้วก็จะจีบเปิดทางให้หน่อยสิ” พี่กิ้มมากระซิบฉัน แต่เมื่อดูจากมุมของพี่พี่แสงอุษายืนมันดูเหมือนพี่กิ้มก้มลงมาหอมแก้มฉันมากกว่า

“ไม่ได้พี่คนนี้มีแฟนแล้วจริงๆ แล้วแฟนเค้าก็ขี้หึงมากๆ ด้วย” ฉันรีบบอกพี่กิ้มไปเพราะกลัวว่าพี่กิ้มจะจีบพี่แสงอุษาจริงๆ

“เอาน่า ไม่ลองไม่รู้” แล้วพี่กิ้มก็เดินไปนั่งข้างๆ พี่แสงอุษา

การกระทำนั้นของพี่กิ้มทำ เอาฉันหน้าตูมไปทั้งวัน ฉันเดินออกมาจากสนามกีฬาและไปหาตุ๊กตาน้อยที่อัฒจรรย์โรงเรียนของเธอ และกวักมือเรียกเธอให้ลงมานั่งคุยกัน ใจฉันในตอนนี้มันสับสนวุ่นวายไปหมดคงมีเพียงตุ๊กตาน้อยเท่านั้นที่จะบอกฉันได้ว่า ฉันกำลังเป็นอะไร

ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับตุ๊กตาน้อยได้ฟัง ฉันรู้ว่ามันไม่ค่อยจะแฟร์เท่าไหร่เมื่อฉันเป็นฝ่ายที่เอาปัญหามาคุยกับเธอฝ่ายเดียว

“จานน้อยเราว่าจานน้อยนะกำลังหึงพี่เค้าและเป็นเอามากๆ ด้วย”

“ไม่จริงมั๊ง เรานี่นะจะไปหึงพี่เค้าเป็นไปได้เหรอ” ฉันยังถามย้ำกับคำพูดของเธอ

“เป็นไปได้สิ ก็ที่เป็นอยู่ตอนนี้นี่แหละเค้าเรียกว่าหึง ทั้งๆ ที่พี่เค้าไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด แต่จานก็ไปหึงพี่เค้า จานลองคิดดีๆ สิว่าใครเป็นฝ่ายเริ่ม พี่กิ้มคนนั้นไม่ใช่เหรอไม่ใช่พี่ษา จานใจเย็นๆ นะ เรารู้ว่าเวลาหึงมันเลือดขึ้นหน้าแค่ไหน แต่ตอนนี้เราต้องไปเตรียมตัวแข่งแล้ว ไว้คุยกันนะ เราไปคัดตัวรอบแรกก่อน”

ตุ๊กตาน้อยเดินจากฉันไป ทิ้งให้ฉันนั่งคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาและฉันก็รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่กำลังทำให้ฉันปั่นป่วนในอารมณ์ตอนนี้ก็เพราะฉันหึงไปเพียงฝ่ายเดียวจริงๆ

.................................

ฉันเดินกลับไปที่อัฒจรรย์ของโรงเรียนไปนั่งข้างๆ พี่แสงอุษา เธอหันมายิ้มให้ฉันและพูดว่า

“เจ้าเล่ห์นักนะเด็กน้อย”

ฉันหันไปมองเธอเหมือนจะถามว่าฉันเจ้าเล่ห์ตรงไหน

“ไปบอกเค้าเหรอว่าพี่มีแฟนแล้ว แถมยังขี้หึงด้วย” เธอไขปริศนานั้นให้กับฉัน

“ใช่คะ”

“ว๊าแบบนี้พี่ก็ขายไม่ออกกันพอดีสิ มีแฟนขี้หึงขนาดนี้ นี่ขนาดยังไม่แสดงตัวนะว่ามีแฟนแล้วก็โดนกีดกันไม่ให้พูดคุยพบปะผู้คนได้ขนาดนี้ ถ้าแสดงตัวแล้วพี่ไม่ต้องเอาผ้าคลุมหน้าเดินเพราะกลัวว่าใครจะมามองหน้าพี่ให้แฟนขี้หึงของพี่ต้องมาตามหึงเหรอนี่ เฮ้อ...หนักใจจริงๆ คนสวยอย่างษา” เธอแกล้งให้ฉันได้หัวเราะอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันหัวเราะออกมาจากใจของฉันเอง

ตุ๊กตาน้อยกำลังวิ่งแข่งในระดับอายุไม่เกินสิบห้าปีในสนาม ฉันชี้ให้พี่แสงอุษาได้ดูว่าคนไหนคือตุ๊กตาน้อยเพื่อนรักของฉัน

“พี่รู้จักแล้วว่าคนไหนก็ปีที่แล้วเค้าก็เป็นตัวแทนโรงเรียนของเรามาลงแข่ง รุ่นอายุไม่เกิน สิบสองปี พี่ยังเชียร์เค้าอยู่เลย”

“อ้าวเหรอ นึกว่าพี่ไม่รู้จักเค้าซะอีก”

“รู้จักสิ รู้จักดีด้วยเพราะญาติเค้าก็เพื่อนพี่ ที่เรียนห้องเดียวกัน แล้วนี่เราจะเชียร์ใครหละอาจะเชียร์โรงเรียนเราหรือจะเชียร์ตุ๊กตาน้อย”

“ก็ต้องตุ๊กตาน้อยสิพี่ เชียร์คนอื่นได้ไง” ฉันหันไปตอบคำถาม

“ว๊าแบบนี้เราก็เป็นคู่อริกันนะสิเพราะพี่จะเชียร์เพื่อนพี่ที่แข่งรุ่นเดียวกับคุณตุ๊กตาน้อยของอา” น้ำเสียงของเธอเหมือนจะมีความประชดประชันเล็กๆ

จากนั้นเราก็ส่งเสียงเชียร์เพื่อนของเราทั้งคู่ เพราะไม่รู้ว่าจะเชียร์ใครดี แต่ตอนนี้ ฉันส่งเสียงเชียร์ลั่นไปหมดและแน่นอนฉันโดนมองจากนักเรียนโรงเรียนเดียวกันว่าปันใจไปเชียร์โรงเรียนคู่แข่งได้อย่างไร

หากเป็นคุณคุณจะทำแบบฉันหรือเปล่าคะ

ระหว่าง “เพื่อนรักทีเรียนอยู่ในโรงเรียนคู่แข่ง” กับ “นักเรียนโรงเรียนที่เรียนอยู่” คุณจะเลือกเชียร์ใคร?

....................

ฉันส่งใจเชียร์ตุ๊กตาน้อยและส่งเสียงเชียร์อย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้จะโดนมองมาอย่างไรฉันก็ไม่แคร์ในสายตาเหล่านั้น และตุ๊กตาน้อยก็วิ่งตัดผ่านการคัดเลือกแปดคนสุดท้ายให้ได้เข้าไปชิงเหรียญทอง

“ตุ๊กตาสู้ๆ”

“ปูสู้ๆ”

เสียงฉันกับพี่ษาแข่งกันตะเบ็งให้ลั่นไปหมด แม้จะรู้ว่านักกีฬาไม่ได้ยินแต่ก็จะส่งเสียงเชียร์ใครมีปัญหาก็ลงมาตัวๆ กับฉันได้ แต่ฉันจะสู้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องนึง

ตุ๊กตาน้อยค่อนข้างได้เปรียบเพราะอยู่เกือบลู่ในสุดไม่ต้องวิ่งตัดเข้ามาลู่ในเมื่อวิ่งผ่านไปร้อยเมตรแรกแล้ว

ฉันเห็นตุ๊กตาน้อยสับขาวิ่งอย่างเร็ว แม้จะเป็นการวิ่งระยะสี่ร้อยเมตรแต่เธอก็แรงดีไม่มีตก พี่ปูเพื่อนของพี่ษาก็เช่นกัน ดูเหมือนว่ารุ่นนี้สองคนนี้จะสูสีกันมากที่สุด

เมื่อทั้งสองคนวิ่งเข้ามาใกล้อัฒจรรย์ที่ฉันนั่งอยู่ฉันกับพี่ษาก็ลุกขึ้นต่างคนต่างเชียร์เพื่อนของตนเองโดยไม่สนว่าใครจะว่าอย่างไร

“ตุ๊กตาสู้ๆ เร็วๆ วิ่งๆ อย่างนั้นสิเพื่อน”

“ปูสู้ๆ สับขาเลยเพื่อนเร็วๆๆๆ”

เสียงของเราสองคนดูเหมือนจะดังที่สุดในแถบนั้น และตอนนี้สองคนก็วิ่งผลัดกันนำผลัดกันตามแทบจะเรียกได้ว่าต้องเอากล้องมาถ่ายภาพเอาไว้เลยเพราะจะนำจะตามกันไม่ถึงนิ้ว

จนเมื่อเข้าเส้นชัย กรรมการสนามประกาศว่าพี่ปูชนะ และที่สองเป็นตุ๊กตาน้อย ฉันเลยหน้าจ๋อยไปตามระเบียบ

“ไม่ต้องคิดมากน่า ไงตุ๊กตาก็ได้ที่สองจะมาชนะปูได้ไง ขาปูยาวกว่าตุ๊กตาตั้งเยอะ” พี่ษายังไม่วายมาเกทับฉัน

“ก็รอปีหน้าให้ตุ๊กตาโตกว่านี้สิรับรองไม่พลาดแน่ๆ” ฉันยังคงมีความหวังกับเพื่อนรักของฉันอยู่ดี

“ก็รอปีหน้าไว้ให้ตุ๊กตามาแข่งใหม่ปูก็ยังไม่หลุดไปจากรุ่นนี้หรอก”

“ตกลงพี่แค้นนี้ปีหน้าได้ชำระแน่ๆ” ฉันเหมือคนอาฆาตแค้นแบบในนิยายจีน

“ทำเป็นหนังจีนไปได้ แค้นนี้สิบปีก็ไม่สาย”

ดูเหมือนว่าแค้นของฉันไม่ต้องรอไปจนถึงปีหน้า เพราะวิ่งระยะร้อยเมตร ทั้งพี่ปูและตุ๊กตาก็ต้องมาแข่งกันอีกครั้ง

และงานนี้ตุ๊กตาทำได้เธอชนะ ทำให้ฉันที่ส่งแรงเชียร์ไปรู้สึกได้ว่าไม่เสียแรงที่เชียร์เพื่อนรัก และมาเป็นคู่อริกับคนรัก ตอนนี้ฉันได้แต่หันไปมองหน้าพี่ษาแล้วพุดขึ้นมาว่า

“เป็นไงหละแค้นชำระได้เพียงข้ามชั่วโมง” และฉันก็ยิ้มเยาะๆ ไปน้อยๆ แบบสะใจสุดๆ จริงๆ

ขอบใจนะเพื่อน

...... จบบทที่ ๖ ……



Create Date : 14 พฤษภาคม 2551
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 19:47:27 น. 0 comments
Counter : 315 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.