It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๖

บทที่ ๒๖ ๗.๒๕ น.

หลังจากที่อวภาส์และอาคิรากลับมาที่บ้านได้ไม่นาน ผลประกาศการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของอวภาส์ก็ประกาศออกมา และเป็นที่น่ายินดี อวภาส์สอบเข้าคณะพยาบาลได้อย่างที่เธอคิดไว้ แถมยังสอบ AFS รอบสุดท้ายผ่านอีกด้วย ดังนั้นบ้านเอื้ออังกูรจึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่น

อวภาส์เป็นที่พูดถึงของคนทั้งโรงเรียน และมีเพื่อนของเธออีกคนที่สอบเข้ามาหาวิทยาลัยในคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้เช่นเดียวกับเธอ

วันนี้เป็นวันเปิดเรียนของเทอมใหม่ในวันแรก นักเรียนทั้งเก่าและใหม่ต่างพากันมาเข้าแถวอยู่หน้าบริเวณเสาธง อาคิราที่ได้มาเรียนปรับพื้นฐานกับเพื่อนๆ ก่อนที่จะเริ่มเรียนสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มายืนเข้าแถวกับเพื่อนๆ ด้วยเช่นกัน

เป็นความแปลกใหม่สำหรับอาคิราเพราะเธอไม่เคยเรียนร่วมชั้นกับนักเรียนชายมาก่อน แต่ก็ดีตรงที่ นักเรียนชายและนักเรียนหญิงไม่ได้เข้าแถวรวมกัน พวกนักเรียนหญิงจะยืนเข้าแถวคู่กันในตอนหน้า ส่วนนักเรียนชายที่มีอยู่น้อยนิดในห้องเรียนของอาคิรานั้นเข้าแถวอยู่ด้านหลัง

หลังจากที่เคารพธงชาติและสวดมนต์ประจำวันเสร็จเรียบร้อย ผู้อำนวยการโรงเรียนก็กล่าวเปิดเรียนและต้อนรับนักเรียนทุกคนที่จะมาเรียนในเทอมใหม่ ด้วยเวลาที่ค่อนข้างนาน แดดที่อ่อนแสงในตอนแรกเริ่มแรงกล้ามากขึ้น จนนักเรียนบางคนที่ไม่ได้กินข้าวเช้าเริ่มทะยอยกันเป็นลมไปทีละคนสองคน

เมื่อผู้อำนวยการลงไปจากเสาธง ครูฝ่ายปกครองก็ขึ้นมาและนำอวภาส์กับเพื่อนผู้ชายร่วมชั้นเรียนและยังมีรุ่นพี่ชั้นมอหกที่สอบเข้ามาหาวิทยาลัยได้ก่อนที่จะเรียนชั้นมอหกอีกหลายคนขึ้นไปแนะนำตัวกับนักเรียนในโรงเรียนทุกคนได้รู้จัก

“ครูขอให้นักเรียนทุกคนเอาเยี่ยงอย่างรุ่นพี่ หรือเพื่อนหรือรุ่นน้องเหล่านี้ ที่ฝักใฝ่เรียนดี ทั้งๆ ที่ยังเรียนอยู่เพียงแค่ชั้นมอสี่ก็สามารถที่จะสอบเข้ามาหาวิทยาลัยในคณะที่ดีๆ ได้ และที่สำคัญนางสาวอวภาส์ เอื้ออังกูร เธอยังสอบ AFS ที่จะไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศสวีเดนได้อีกด้วย ขอให้ทุกคนพยายามเอาแบบอย่างนักเรียนทั้งหมดที่ยืนอยู่บนนี้ อ่อมีอีกอย่างนึง วันนี้แม้ว่าจะไม่มีการเรียนการสอนแต่นักเรียนทุกคนต้องอยู่ช่วยกันทำความสะอาดห้องเรียนในช่วงเช้า และเราจะปล่อยให้กลับบ้านหลังจ่กพักเที่ยงไปแล้วเข้าเรียนได้”

นักเรียนทุกคนส่งเสียงครางฮือ เพราะนอกจากจะยืนขาแข็งแล้วยังร้อนกันอีกด้วย ก็เล่นให้เข้าแถวตั้งแต่ ๗.๔๐ น. ถึง ๙.๐๐ น. ไม่เป็นลมก็บุญเท่าไรแล้ว

“อาพี่เธอทำพวกเรายืนขาแข็งเลยนะ” เพื่อนใหม่ของฉันที่เรียนร่วมห้องกันกับฉันพูดเหมือนบ่นๆ

“อย่าว่าแต่เธอเลยเราเองก็เมื่อยเหมือนกันแหละ” ฉันสวนกลับทันทีเหมือนกัน

“พี่เธอเรียนได้ไงเก่งขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลย” เพื่อนคนเดิมยังถามคำถามไปเรื่อยๆ ส่วนฉันได้แต่ยิ้มแหยๆ เพราะจะตอบได้อย่างไรในเมื่อพี่ภาเรียนเก่งมาตั้งแต่ฉันจำความได้ เธอคงมีทั้งพรสวรรค์และพรแสวงกระมัง ฉันก็ไม่รู้จริงๆ

ฉันเดินแถวตามเพื่อนๆ มาที่ห้อง ครูประจำชั้น ไม่สิโรงเรียนนี้เรียกครูว่าอาจารย์ ต้องเรียกว่าอาจารย์ประจำชั้นคนใหม่ เข้ามาให้พวกฉันจดตารางการเรียนการสอน และจัดเวรทำความสะอาดห้องเรียน

โรงเรียนแห่งนี้เป็นการเรียนการสอนแบบเดินเรียน มันแปลกๆ สำหรับฉันที่ต้องเดินเรียน และไม่ต้องถอดรองเท้าเข้าห้องเรียน โต๊ะเรียนประจำของเราก็ไม่มี เวลาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ก็ต้องเดินไปเรียนที่ตึกวิทยาศาสตร์ เวลาเรียนวิชาศิลปะก็ต้องเดินไปเรียนที่ตึกศิลปะ และรวมถึงวิชาพละ วิชาดนตรี ก็ต้องเดินไปไกลๆ เพื่อที่จะไปเรียน โชคดีหน่อยที่เมื่อเรียนแต่ละวิชาจบ ก่อนที่จะเรียนคาบเรียนใหม่จะมีเวลาให้สิบห้านาทีสำหรับการเดินไปเรียน

เนื่องจากโรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนค่อนข้างมาก ดังนั้นการเหลื่อมเวลาในการพักกินข้าวเที่ยงก็ต้องมี เพราะโรงอาหารของโรงเรียนไม่สามารถที่จะรองรับนักเรียนจำนวนมากๆ ให้มากินข้าวพร้อมๆ กันได้

แรกๆ ฉันเองก็ยังปรับตัวไม่ได้ บางวันก็กินข้าวสิบเอ็ดโมง บางวันก็กินข้าวเที่ยงกว่าๆ เล่นเอาหิวจนตาลาย แถมเวลากินข้าวก็ไม่มีโต๊ะประจำ เรียกว่าจะต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีเพื่อแย่งชิงโต๊ะกินข้าว

ฉันเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ภาถึงได้ยอมที่จะตื่นแต่เช้าและห่อข้าวมากินที่โรงเรียน ก็คงเพราะพี่ภาไม่อยากไปแย่งชิงกับคนมากมายตอนกินข้าวนี่เอง

พี่ภาต้องไปรายงานตัวเพื่อเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย และขอพักการเรียนเพราะเธอต้องไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนตามโครงการAFS ที่ประเทศสวีเดน ฉันเห็นพ่อกับแม่วิ่งวุ่นหาของฝากไปให้กับ Family ของพี่ภาที่ต่างประเทศ

“ทำไมต้องหาของฝากให้เค้าด้วยอะคะแม่” ฉันถามแม่เพราะฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีของฝากทั้งๆ ที่เรายังไม่เคยรู้จักมักจี่กับครอบครัวทางโน้นเลยสักนิด

“เราจะให้พี่เค้าไปอยู่ที่นั่นโดยที่ไม่มีอะไรไปให้พี่เค้าเลยเหรออา น้ำใจจากเราที่มีให้เค้าก็ต้องมีบ้างสิลูก พี่ภาจะต้องไปอยู่กับเค้าตั้งปีนึงเต็มๆ ไม่มีของให้ก็กระไรอยู่ อีกอย่างของที่แม่เตรียมไปให้ก็ไม่ได้มากมายอะไร นิดๆ หน่อยๆ เองนะลูก ไม่มีราคาอะไรมากมายแต่หากเอาไปให้เค้า อย่างผ้าผืนนี้เป็นผ้าฝ้ายทอมือบ้านเราก็ไม่กี่สตางค์แต่ที่โน่นอาจหายากและคงจะแพงมากๆ ก็ได้จริงไหมลูก”

“ค่ะแม่อาเข้าใจแล้ว” จากนั้นฉันก็ช่วยแม่จัดกระเป๋าให้กับพี่ภา

“แม่ๆ ทำไมไม่เอาเสื้อกันหนาวให้พี่ภาไปด้วยล่ะแม่”

“ให้พี่เค้าไปซื้อที่โน่นจะดีกว่า เพราะที่นี่ไม่มีเสื้อกันหนาวที่ใส่ลุยหิมะได้ ซื้อไปก็ใส่ได้แค่ตอนหน้าร้อนเท่านั้นล่ะลูก”

“เหรอแม่ อาอิจฉาพี่ภาจังเลยได้ไปเห็นหิมะของจริงด้วย พี่ภา เอาหิมะใส่กระป๋องกลับมาให้อาด้วยนะพี่ อาอยากเห็น”

“บ้าแล้วอา กว่าจะเอามาถึงก็ละลายหมดแล้ว ไว้พี่ถ่ายรูปมาให้ดูดีกว่าน้อง ไม่งั้นอากับพ่อกับแม่ก็ไปเยี่ยมพี่ที่โน่นก็ได้”

“ไปได้จริงๆ เหรอพี่ภา”

“ไปได้สิลูก ถ้าเราอยากไปหาพี่ภาเราก็ไปเยี่ยมพี่ภาได้”

“แม่สัญญาแล้วจริงๆ นะ เย้ๆ อาจะไปหาพี่ภาที่สวีเดน เย้ๆ” ฉันกระโดดโลดเต้นไปรอบบ้าน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาพี่ภาให้องของเธอ

“อาพี่มีอะไรจะให้”

“อะไรพี่ภา เงินเก็บพี่ภาเหรอ เอาไม่เอาหรอกอาก็มี”

“บ้าเงินเก็บพี่ไม่ให้อาหรอกงกเก็บไว้เองดีกว่า ที่พี่จะให้อาก็นี่ไงหนังสือเรียนของพี่”

“อ้าวก็พี่ให้อาไปแล้วไง”

“ที่ให้มันแค่หนังสือที่ใช้เรียนในห้อง แต่นี่มันหนังสืออ่านประกอบ” พี่ภายกหนังสือตั้งโตมาให้ฉัน สองสามตั้ง

“โหอย่าบอกนะว่าพี่ภาอ่านหมดนี้เลยอะ” ฉันทำตาโตเมื่อเห็นกองหนังสือที่พี่ภาเอามาวางไว้ให้

“ก็ใช่นะสิ พี่อ่านหมดทุกเล่มแล้วด้วย อะนี่พี่โน้ตที่สำคัญๆ ไว้ให้อาแล้วด้วย ถ้าขี้เกียจอ่านหนังสือก็อ่านในสมุดจดของพี่ได้ แล้วเราอย่าดื้อมากนักล่ะ พี่ไปแล้วก็ทำตัวดีๆ กับพ่อกับแม่หน่อย”

“พี่ภาพูดอย่างกับว่าไปแล้วจะไม่กลับมาอย่างนั้นแหละ”

“กลับมาสิพี่ต้องกลับมาแน่ๆ มาตีหัวไอ้เด็กจอมดื้อของพี่ไง” อวภาส์ประกอบคำพูดตัวเองด้วยการเขกลงไปตรงกลางกระหม่อมของน้องสาวเบาๆ หนึ่งที

“โอ๊ย” ฉันแกล้งร้องดังๆ ทั้งๆ ที่พี่ภาไม่ได้รังแกอะไรฉันเลย

“ทำเป็นร้องไปได้ เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวปั๊ดเขกแรงๆ เลยนี่ไอ้น้องคนนี้”

“ก็มันกลัวเจ็บนี่นาอาก็ร้องไว้ก่อนสิ พี่ภาแล้วพี่ภาจะคิดถึงอาไหม” ฉันเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน จนพี่ภาที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าเดินทางหันมามองหน้าฉัน

“คิดถึงสิอา ตั้งแต่พี่จำความได้ เราสองคนไม่เคยห่างกันเลยนะ พี่ก็ใจหายอยู่เหมือนกันที่ต้องมาจากบ้านเราไป แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่า ไปไม่นานแค่ปีเดียวเอง เดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว”

“พี่ภาอย่าไปรักใครมากกว่าอานะ อาต้องเป็นน้องที่พี่ภารักมากที่สุดในโลกเลยนะ รักอาคนเดียวนะ” ฉันเริ่มอ้อนพี่ภา เพราะฉันรู้สึกถึงการต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียวมันคงจะเหงาน่าดู

เมื่อตอนที่ไม่มีพี่ษาฉันยังคงมีพี่ภา แต่ครั้งนี้ฉันไม่มีพี่ภา ฉันยังจะเหลือใครอยู่ข้างกายของฉันบ้างล่ะ

พ่อก็งานยุ่งทุกวันหากวันไหนแม่ไปต่างจังหวัดเพื่อตรวจงานฉันก็คงเหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว ชีวิตคงไม่มีสีสันอะไรอีกต่อไปแล้ว ภรณีก็เรียนโรงเรียนเดียวกับรมณ เพื่อนสนิทของฉันแทบไม่มีเหลือ ฉันคงต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าอยู่คนเดียวในบ้านสีน้ำเงินแน่นอน

...............

พ่อกับแม่ไปส่งพี่ภาขึ้นเครื่องที่กรุงเทพ ส่วนฉันอยู่โยงเฝ้าบ้าน พ่อให้ภรรยาของลูกน้องที่ทำงานมาอยู่เป็นเพื่อนฉัน ซึ่งก็คงไม่มีอะไรมากมาย พี่คนนั้นก็นอนห้องของพี่ภา ที่กลายเป็นห้องรับแขก ส่วนฉันก็อยู่บ้านน้ำเงินของฉัน นั่งทำการบ้านเมื่อทำไม่ได้ ก็นึกถึงพี่ภาขึ้นมาจับใจ

เมื่อก่อนฉันทำการบ้านไม่ได้ก็มีพี่ภาคอยสอนคอยดุคอยว่า แต่ตอนนี้ไม่มีพี่ภาแล้ว ฉันก็เลยต้องพยายามอ่านและทำความเข้าใจด้วยตัวเอง

ฉันเปิดสมุดจดของพี่ภาออกมาอ่าน และก็เห็นลายมือสวยๆ ของพี่ภาที่เขียนเอาไว้ เหมือนกับพี่ภาจะรู้ว่าฉันจะต้องไม่เข้าใจตรงนี้พอดี เหมือนกับพี่ภาจะรู้ว่าฉันจะต้องทำการบ้านข้อนี้ไม่ได้ พี่ภาเขียนอธิบายอย่างละเอียดไว้ในสมุดเล่มนั้น

หากต่อไปนี้ใครมาถามฉันว่าทำไมพี่สาวฉันถึงได้เรียนเก่ง ฉันมีคำตอบที่จะตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างเมปากเต็มคำว่า “เพราะพี่ของฉันขยันเหนือมนุษย์และเป็นพี่ที่ดีที่สุดของฉัน”

ฉันเดินตามรอยเท้าของพี่ภา ไปสอบเทียบแบบที่พี่ภาทำ ฉันไม่ต้องไปเรียนพิมพ์ดีดให้เสียเวลาอีกเพราะเมื่อปีที่แล้วฉันไปเรียนพร้อมพี่ภาแล้ว ดังนั้นฉันก็เลยสามารถที่จะผ่านวิชาพิเศษไปได้อย่างง่ายดาย ฉันไม่ได้เรียนรด. อย่างเดียวกับพี่ภา เพราะฉันไม่ชอบอะไรที่เป็นทางการมากจนเกินไป

ฉันชอบชีวิตที่อิสระ ดังนั้นในชั่วโมงกิจกรรมฉันจึงเลือกที่จะเข้าชมรมดนตรีสากล แทนการไปเรียน รด. เหมือนอย่างกับที่พี่ภาทำ อีกอย่างฉันก็ไม่อยากเป็นนางพยาบาลแบบที่พี่ภาอยากจะเป็น ฉันค่อนข้างที่จะกลัวเมื่อเห็นคนเจ็บป่วย และฉันก็ไม่อยากเห็นเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากแผล จะว่าฉันขี้ขลาดตาขาวก็อาจจะเป็นไปได้

ฉันยังคงติดต่อกับพี่ษาทางจดหมายมาโดยตลอด พี่ษาสอบเข้ามาหาวิทยาลัยได้ก็จริงแต่ไม่ติดแพทย์ พ่อของพี่ษาก็เลยไม่ให้ไปเรียนให้พี่ษาเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม

ส่วนเรื่องที่พ่อของฉันกับพ่อของพี่ษาไม่ถูกกัน เราสองคนไม่ได้เอามาเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราคิดว่าเรื่องของผู้ใหญ่ เราเด็กๆ ไม่ควรที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว

ฉันเริ่มเรียนพิเศษมากกว่าเดิม เรียนตามที่พี่ภาเคยเรียน และเอาหนังสือของพี่ภามาอ่าน และฉันก็ได้รู้ว่า พี่ภาเป็นคนขยันจริงๆ ไม่ใช่ขยันธรรมดาๆ แต่ขยันมากที่สุด เท่าที่ฉันเคยเห็นมา

พี่ภาไม่หวงวิชาไม่ว่าใครมาถามพี่ภาก็จะบอกหมดเท่าที่เธอรู้ ฉันเห็นเพื่อนๆ ที่เรียนเก่งๆ บางคนมักจะอมภูมิ ถามอะไรก็ไม่เคยจะบอกไม่ยอมจะอธิบาย รู้อยู่คนเดียวในใจ

ฉันเข้าร่วมกิจกรรมของ กศน. แบบเดียวกับที่พี่ภาและพี่ษาเคยเข้า ตอนนี้ฉันปรึกษาพี่ษาเรื่องลงทะเบียนสอบพี่ษาบอกว่าให้ลงไม่ต้องมาก แบ่งเป็นสองเทอมจะได้ไม่ต้องอ่านหนังสืออะไรมากมายนัก มันจะหนักเกินไปหากต้องอ่านหนังสือสอบหลายวิชา ซึ่งฉันก็ว่าเป็นเรื่องจริง

ฉันเริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนใหม่ได้บ้างแล้ว และมีเพื่อนที่นั่งเรียนคู่กัน เหมือนจะสนิทแต่ก็ไม่สนิท เพราะฉันไม่ชอบที่จะไปทำกิจกรรมอะไร ตอนเที่ยวก็กินข้าวที่พกมาเองไม่ลงไปกินข้าวข้างล่างจะมีก็แต่ลงไปซื้อน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ปั่นขึ้นมากินบ้างในบางวัน

ฉันมองไม่เห็นกระดานที่ครูสอน และปวดตาทุกครั้งที่ต้องเพ่งมองอะไรนานๆ ฉันกลับไปบอกกับแม่เรื่องที่ฉันปวดตา

“แม่อาปวดตาจังเลยแม่”

“ดูทีวีมากไปรึเปล่าอา”

“เปล่าเลยแม่มันมองอะไรไม่ค่อยจะเห็นต้องเพ่งๆ ถึงจะมองเห็นนะแม่”

“สงสัยจะสายตาสั้น อาไปแต่งตัวใหม่นะลูกแม่จะพาไปตัดแว่น”

“อาสายตาสั้นเหรอแม่ม่าเป็นไปได้เลย”

“ก็อาจเป็นไปได้อาชอบนอนอ่านหนังสือ แล้วก็ไม่ชอบเปิดไฟสว่างๆ สายตาอาจจะสั้นก็ได้ ไปเถอะลูกจะได้ไปเช็คดูก่อน เกิดเป็นอะไรที่ไม่ใช่สายตาสั้นก็จะได้ว่ากันอีกที”

จากนั้นแม่ก็พาฉันไปร้านหมอที่รักษาเกี่ยวกับโรคทางตา หมอให้ฉันอ่านตัวหนังสือที่ป้ายและให้ตอบว่าฉันเห็นชัดหรือเปล่า ผลสรุปออกมาว่าฉันสายตาสั้นร้อยกว่าๆ เกือบสองร้อย ทำเอาฉันช๊อค ฉันไม่อยากใส่แว่นตาเลย แต่ก็ต้องจำใจใส่ เพราะถ้าไม่ใส่ฉันก็มองไม่เห็น

แม่เลือกกรอบแว่นที่ดูคงทนและไม่หนักมากให้ฉัน แรกๆ ฉันก็ใส่ๆ ถอดๆ เพราะยังไม่ชินอีกอย่างขาแว่นก็เกี่ยวหูฉันจนเป็นรอย ดั้งก็เจ็บที่มีแว่นตามากดทับ ฉันรำคาญที่สุดเมื่อยามที่ต้องมาใส่ๆ ถอดๆ และเวลาเรียนชั่วโมงพละก็ทำให้ฉันเล่นอะไรได้ไม่ดีเท่าที่ควร (แอบโทษแว่นซะงั้นทั้งๆ ที่ตัวเองเล่นกีฬาไม่เอาไหนเลย)

อ้อฉันลืมบอกไปว่าฉันตัดผมสั้นจู๋ เพราะทางโรงเรียนสั่งให้ตัด เป็นการตัดผมครั้งที่สองของฉันหลังจากที่ฉันตัดไปเมื่อครั้งก่อน ฉันก็ไว้ผมยาวจนถักเปียได้เหมือนเดิม แม้จะไม่ยาวเท่าเดิมแต่มันก็ยาวขึ้น

จากเด็กผมเปียฉันก็เลยกลายมาเป็นเด็กผมทรงกะลาครอบ ถูกระเบียบทุกอย่าง แม่บอกว่าดีแล้ว คนเราจะสวยก็สวยมาจากข้างในมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก แต่เมื่อฉันเห็นหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ต้องเอากิ๊บดำมาเหน็บไม่ให้ผมม้าหล่นลงมาปิดหน้าผากมากมายนัก เพราะมันน่ารำคาญเวลาที่ผมม้าตกลงมาปรกหน้าผาก

บางครั้งรำคาญมากๆ ถึงขนาดเอาผมม้ามามัดจุกตรงหน้า ฉันก็เลยกลายเป็นเด็กผมจุกทรงน้ำพุ ใส่แว่นหนา และฉันก็มักจะลืมเสมอๆ เมื่อจะต้องเดินลงไปข้างล่าง

“เฮ้ยอาแกลืมเอาจุกออก” นัยนาเพื่อนสนิทคนใหม่ของฉันทักฉันเมื่อต้องเดินไปเรียนชีวะที่ตึกวิทยาศาสตร์

“อ้าวเหรอลืม” ฉันยกมือขึ้นปลดหนังยางที่มัดจุกของตัวเองออก แต่ผมก็ไม่ได้กลับมาอยู่ในทรงที่ราบเรียบเหมือนเดิม

นัยนาจัดแต่งทรงผมใหม่ให้ฉัน จนเรียบร้อย

“เอออาการบ้านชีวะทำเสร็จหรือยัง”

“ยังเลยสิ เรามัวแต่ทำรายงานเคมี ทำไมเหรอ”

“ก็จานนะสิ สั่งให้ส่งวันนี้เราก็พึ่งรู้เมื่อเช้า”

“อ้าวแล้วทำไมไม่มีใครบอกเรา”

“ก็รายเดิมนั่นแหละไม่ยอมบอกยอมกล่าว มาบอกเอาเมื่อเช้าใครจะไปทำทัน” นัยนาพูดถึงเพื่อนที่เนียนเก่งที่สุดในห้อง ที่ทั้งเห็นแก่ตัวและไม่ยอมคบกับใคร เพราะเพื่อนๆ ในกลุ่มก็มีแต่เด็กที่เรียนเก่งๆ จากชั้นเดิมที่เคยเรียนมาด้วยกันเท่านั้น

“อีกแล้วเหรอ ทำไมนะคนเราเรียนเก่งแล้วถึงยังเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้”

“นั่นสิ ไม่อยากจะคิดเลยนะ ถ้าแม่นั่นไปเป็นหมออย่างที่เค้าอยากจะเป็น ก็คงจะเป็นหมอที่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลกเลยนะ”

“เอาน่าปล่อยเค้าไปเถอะ เค้าทำได้ไม่สักกี่น้ำหรอกคนแบบนี้สักวันก็ไม่มีใครคบ”

“ขอให้จริงเถอะอา ภาวนาให้เค้าโดนแบบนั้นจริงๆ สักวัน แต่คงจะยาก เพราะเค้าเรียนแก่งใครๆ ก็อยากคบ”

“เราคนนึ่งแหละนาที่ไม่อยากคบเค้าเพราะเราเกลียดคนเห็นแก่ตัว” ฉันแบ้ปากเมื่อพูดถึงคนที่ที่เรากำลังนินทา

ฉันกับนัยนาเดินมาถึงตึกวิทยาศสาตร์และนั่งที่กลุ่มของเราเอง มันก็แปลกที่ฉันที่เป็นเด็กใหม่เหมือนๆ จะโดนปลีกวิเวกกับการมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ฉันไม่ได้คิดอะไรมากมายเพราะหากฉันเป็นเด็กเก่า ฉันก็คงจะคบเพื่อนเก่าๆ คนเดิมๆ เช่นกัน

นัยนาเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับฉันและอยู่ห้องเดียวกันเมื่อสมัยฉันยังเรียนอยู่ปอหก จึงไม่ยากอะไรนักที่ฉันกับนัยนาจะมาคบกันในฐานะเพื่อนเหมือนเช่นที่เคยผ่านมา

วิชาชีวะในวันนี้ พวกเราเรียนเรื่องอณาจักรสัตว์ และต้องผ่ากบ เพื่อนๆ ผู้ชายจะเป็นคนทำทั้งหมด เพราะครูให้พวกเราดูว่าหัวใจของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมันต่างกับหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างไร แต่ในกลุ่มของฉันไม่มีผู้ชายสักคน และทุกคนก็ขยะแขยงกบกันทั้งนั้น

คงมีแต่ฉันคนเดียวในกลุ่มที่ไม่เกลียดกบแต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือเอามีดจรดลงไปที่ตัวกบ แต่ถ้าเป็นจิ้งจกก็ไม่แน่เหมือนกัน ห้องอาจจะแตกกระจายเพราะระเบิดลงก็ได้

ฉันสงสารกบที่เอามาเป็นกบทดลอง อย่าว่าอะไรเลยค่ะ ฉันคิดว่าฉันชอบเรียบ Lab แห้งมากกว่าเรียน Lab เปียกแบบนี้เพราะฉันไม่ได้อยากเป็นนักชีวะวิทยาหรือนักวิทยาศาสตร์หรือคุณหมอนางพยาบาล แม้แต่อะไรก็ตามที่เรียนเกี่ยวกับการแพทย์

ฉันอยากจะเป็นสถาปนิคหรือไม่ก็เป็นนักบัญชีแบบที่แม่เป็น แม้ว่าจะต้องก้มๆ เงยๆ อยู่กับตัวเลขมันก็คงจะดีกว่าทำงานทางด้านการแพทย์

เรื่องไม่เป็นเรื่องก็เกิดขึ้น เมื่อเพื่อนผู้ชายให้พวกเราไปดูอะไรบางอย่างที่กล้องจุลทรรศน์

“อะไรอะนา” ฉันถามนัยนาเมื่อมองเห็นอะไรบางอย่างคล้ายๆ กลับลูกน้ำ ปรากฏอยู่ที่กล้องจุลทรรศน์

“เห็นพวกนั้นบอกว่าเป็น Sperm”

“เฮ้ยจริงดิของใคร” ฉันตกใจแล้วก็ถาม

“จะไปรู้เหรอ สงสัยใครไปว่าวมาแล้วเอามาดูเล่นแน่เลย”

“ช่างกล้าเน๊อะ” ฉันบ่นเพราะการทำแบบนี้อาจจะทำให้พวกเราหัวขาดกันทั้งห้อง

“นั่นสิ”

“พวกเธอดูอะไรกัน แล้วที่ครูให้ผ่ากบทำไม่ถึงไหนเลยมามุงอะไรกันแถวนี้” เพื่อนๆ ที่มุงดูอยู่ที่กล้องจุลทรรศน์แตกฮือกันออกมาไม่เป็นแถวต่างคนต่างวิ่งไปนั่งที่เดิมกันหมด

“ครูถามว่าดูอะไรกัน” จากนั้นอาจารย์ก็ก้มลงไปมองที่กล้องจุลทรรศน์

“ของใคร ใครเอามาเล่นแบบนี้” อาจารย์โวยวายขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่พวกเรามุงดูกันอยู่

ไม่มีใครตอบว่าสิ่งที่เห็นในกล้องนั้นเป็นลูกของใคร ที่เวียนว่ายกันหน้าสลอนอวดโฉมให้เพื่อนทั้งห้องได้ดู เมื่อไม่มีใครยอมรับ เพื่อนผู้ชายทั้งห้องก็โดนให้ออกไปยืนหน้าชั้น

“ทำไมนะพวกเธอถึงได้ทำเรื่องแบบนี้” อาจารย์ยังคงตั้งหน้าตั้งตาต่อว่าพวกเราไปเรื่อยๆ

“ไม่มีใครตอบใช่ไหมว่าของใคร อย่างนั้นครูคงจะต้องทำทาพวกเธอในฐานะที่เล่นพิเรนทร์” อาจารย์ตั้งหน้า ตั้งตาที่จะเอาเรื่องเพื่อนของฉันเป็นจริงเป็นจัง จากนั้นก็พาเพื่อนผู้ชายทั้งห้องของฉันไปที่ห้องฝ่ายปกครองของโรงเรียน ฉันก็ไม่รู้ว่าเอาเพื่อนๆ ไปทำอะไร แต่ที่แน่ๆ ทั้งหมดกลับมาที่ห้องแล้วก็ไม่ยอมนั่ง

“ท่าทางจะอ่วม” นัยนากระซิบบอกฉัน

ฉันหันกลับไปมองเพื่อนผู้ชายที่ยังคงยืนอยู่ ไม่ใช่ว่าจะโดนครูทำโทษให้ยืนหรอกค่ะ แต่เพราะทั้งหมดโดนตีก้นมาจนแทบนั่งไม่ลงต่างหาก ด้วยความสงสารฉันเดินเอายาหม่องที่พกติดตัวเป็นประจำยื่นให้กับเพื่อนผู้ชายที่ยืนอยู่หลังห้อง

“เอาไปทาซะ” ฉันยื่นยาหม่องให้กับสุภนัยเพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทที่สุด

“ขอบใจนะอา” สุภนัยรับยาหม่องจากฉันไปแล้วก็จัดการทาก้นของตัวเอง และแจกจ่ายยาหม่องของฉันให้กับเพื่อนๆ อีกหลายๆ คนได้ทากันจนครบ และเอายาหม่องมาคืนฉัน

“ไม่ต้องหรอกเอาไปเถอะ” ฉันปฏิเสธที่จะรับยาหม่องตลับนั้นคืน

“เราใช้แล้วเอาคืนไปเถอะ” สุภนัยยังคงจะคืนยาหม่องตลับนั้นให้ฉันให้ได้

ฉันจะบอกได้อย่างไรว่าฉันไม่เอาเพราะมันได้ผ่านมือผู้ชายมาหลายมือ แถมไม่พอคนเหล่านั้นล้วงไปทาที่ก้นของตัวเองทั้งสิ้น ต่อให้แค่ยืมไปดมหรือทาที่อื่นฉันก็ยังไม่อยากที่จะเอาคืน แต่นี่เอาไปทาก้น บรื้อๆๆ ไม่อยากจะคิด ใครเอาคืนก็บ้าแล้ว

..................

หลังจากวันนั้น ท่าทีของสุภนัยที่แสดงต่อฉันก็ดูเปลี่ยนไป

“อาเราช่วยถือกระเป๋าให้” สุภนัยวิ่งมารับฉันที่หน้าป้อมยามของโรงเรียนแล้วก็แย่งฉันถือกระเป๋านักเรียนที่แสนจะหนักอึ้งของฉันไปถือไว้ในมือของเขา

“ไม่ต้องหรอกสุภนัยเราถือเองได้” ฉันพยายามแย่งกระเป๋ากลับมาถือเองแต่ก็ไม่เป็นผล

“ไม่ต้องหรอกเราถือให้นะอา” สุภนัยยังยืนยันความตั้งใจเดิม ฉันก็เห็นว่าหายื้อแย่งกระเป๋ากันอยู่ฉันก็คงเป็นที่สนใจของนักเรียนที่เดินไปมาอยู่ที่บริเวณหน้าป้อมยามของโรงเรียน

สุภนัยเอากระเป๋าฉันไปเก็บที่ห้องสมุด เพราะพวกฉันมักจะเก็บกระเป๋าไว้ที่ห้องสมุดมากกว่าที่จะตะกายขึ้นไปยังห้องเรียนที่ตึก เพราะเมื่อเราเข้าแถวกันเรียบร้อยแล้วก็ต้องเดินผ่านห้องสมุดเพื่อกลับไปที่ตึกเรียนกันอยู่ดี

นัยนาที่นั่งทำการบ้านอยู่ในห้องสมุดเห็นสุภนัยหิ้วกระเป๋ามาให้ฉันก็ตั้งท่าจะถามเมื่อฉันเดินมาถึงที่เธอนั่งอยู่แต่ก็ต้องปิดปากเงียบเมื่อสุภนัยมานั่งลงข้างๆ ฉันกับนัยนา ฉันบุ้ยปากไปที่สุภนัย และทำหน้าเบื่อหน่ายให้กับนัยนาได้เห็นเพียงคนเดียว

จากนั้นเสียงเรียกเข้าแถวก็ดังขึ้น ฉันกับนัยนาเอาสมุดการบ้านไปเก็บไว้ในกระเป๋าและเดินไปที่สนามฟุตบอลหน้าเสาธง เมื่อได้เดินคุยกันสองคนระหว่างฉันกับนัยนา เธอก็เลยถามฉันกับเรื่องที่เธอเห็นเมื่อตอนเช้าก่อนเข้าแถว

“นายสุภนัยมาได้ไงอา”

“จะไปรู้เหรออยู่ๆ ก็โผ่ลมาจากป้อมยามมาแย่งกระเป๋าเราไปถือแล้วก็เดินนำเราจ้ำพรวดๆๆ มาที่ห้องสมุด เรายังงงอยู่นี่แหละว่ามาได้ไง”

“อ้าว นึกว่านัดกัน”

“เปล๊า” ฉันร้องเสียงหลง กับการเข้าใจผิดของนัยนา

“เออดีนะอยู่ๆ ก็มีคนช่วยถือกระเป๋า เดี๋ยวเราจะคอยดูว่าตอนขึ้นเรียนอาจะมีคนช่วยถืออกระเป๋าอีกหรือเปล่า”

“ทำไมล่ะ คิดเหรอว่านายนั่นจะบ้ามาถือให้เราอีก”

“เอาน่าไม่เชื่อเราหรอ รับรองได้ว่านายนั่นต้องมาถือให้อาอีกไม่เชื่อคอยดูสิ”

แล้วสิ่งที่นัยนาพูดก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สุภนัยรีบเดินมาที่ห้องสมุดและหยิบกระเป๋าพร้อมกับปิ่นโตของฉันขึ้นไปที่ห้องเรียน ฉันยืนงงที่สุภนัยทำแบบนั้น แล้วก็ช่วยนัยนาถือกระเป๋าสะพายอีกใบเดินตามหลังสุภนัยที่จ้ำอ้าวขึ้นไปยังตึกเรียนแถมยังเอากระเป๋าของฉันไปวางไว้ที่นั่งข้างๆ ประตูที่ประจำสำหรับห้องเรียนห้องนี้อีกด้วย

“นายสถภนัยท่าจะเป็นเอามาก” นัยนาบอกฉัน

“หมายความว่าไงนา”

“ก็ถ้าทำแบบนี้แสดงว่านายนั่นกำลังจะจีบอานะสิ”

“หาอะไรนะ สุภนัยจะจีบฉันเหรอ” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ จนนัยนาต้องรีบเอามือของเธอปิดปากของฉัน

“เบาๆ หน่อยสิอาเดี๋ยวก็ได้ยินกันทั้งห้องหรอก”

“นาพูดเป็นเล่นไปได้” ฉันแย้งนัยนาเพราะไม่มีทางว่าสุภนัยจะมาจีบฉันจริงๆ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

สุภนัยจัดว่าเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ถึงไม่หล่อเฟี้ยวแต่ก็เป็นที่หมายปองของเพื่อนๆ บางคนในห้อง สุภนัยดูจะแมนที่สุดในห้องเรียนของฉัน เพราะสุภนัยเป็นนักกีฬาที่เก่งคนหนึ่ง ฉันรู้ข้อมูลนี้มาจากเรื่องที่นัยนาเล่าให้ฉันฟัง ฉันก็รับฟังแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะฉันไม่ได้สนใจผู้ชายคนไหนในโลกอยู่แล้ว เมื่อรับฟังก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย กรี๊ดกร๊าดอะไร

อีกอย่างฉันเองก็มีคนรักของฉันอยู่แล้วจึงไม่ต้องชายตาไปมองใครอีก ฉันไม่อยากจะได้ชื่อว่าเป็นคนทรยศต่อความรักที่พี่ษาได้มอบให้กับฉัน

ยิ่งนานวันสุภนัยก็ยิ่งตามรังควานฉันไม่เลิก ตามแม้กระทั่งเวลาฉันจะกลับบ้าน ขี่รถตามไปจนฉันถึงที่เรียนพิเศษในตอนเย็นหลังเลิกเรียน ฉันจะบอกสุภนัยได้อย่างไรว่าฉันอึดอัดมากแค่ไหนกับการกระทำของเขา

สิ่งที่ฉันต้องสนใจตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่สุภนัยตามฉันเป็นเงาตามตัว แต่เป็นเรื่องที่ฉันต้องสอบกลางภาคและเรื่องสอบเทียบของฉันต่างหาก เพราะความตั้งใจของฉันมันไม่ใช่แค่การเรียนให้จบมัธยมปลายในโรงเรียน แต่เป็นการเดินทางลัดแบบที่พี่ษาและพี่ภาทำ

หลังจากเลิกเรียนฉันก็ไปเรียนพิเศษฉันก็มุ่งตรงกลับบ้าน ไม่มีพี่ภาฉันต้องช่วยแม่ทำงานบ้าน ดีอยู่อย่างก็ตรงที่แม่ไม่ยอมให้ฉันทำกับข้าวเองไม่อย่างนั้นฉันคงต้องเป็นแม่บ้านเต็มตัวอย่างแน่นอน

ฉันกินข้าวมื้อเย็นที่บ้านแม่เสร็จเรียบร้อย ฉันก็เดินกลับมาที่บ้านน้ำเงิน นั่งทำการบ้านข้อไหนทำไม่ได้ก็นั่งดูสมุดจดของพี่ภา ฉันกำลังแปลกใจว่าทำไมเวลาที่เรียนบทเรียนช่างง่ายแสนง่าย แต่พอเป็นการบ้าน มันกลับพลิกเพลงยากก็ยาก แถมยังคิดกลับหลายตลบ และหากเป็นข้อสอบยิ่งยากกว่า

ใครจะเคยสังเกตกันหรือเปล่าฉันไม่แน่ใจ แต่เมื่อฉันต้องมานั่งทำข้อสอบมันยากกว่าบทเรียนที่มีในโรงเรียนมากมายนัก เด็กเกือบทุกคนก็เลยต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อไปเรียนพิเศษ และใครที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่ครูที่สอนในวิชาเหล่านั้นหรอกหรือ

ใครที่ไปเรียนพิเศษก็จะได้รู้แนวข้อสอบที่ครูจะออก ใครที่ไปเรียนพิเศษก็จะรู้วิธีลัดในการทำข้อสอบของวิชานั้นๆ แต่หากใครที่ไม่ไปเรียนพิเศษก็จะไม่มีทางได้รับรู้ในตอนเรียนชั่วโมงปกติ ไม่มีทางได้รู้วิธีลัดในการคิด

ก็แล้วทำไมกระทรวงศึกษาไม่บรรจุวิธีการเหล่านั้นไว้ในบทเรียน ไม่บังคับให้นักเรียนในห้องเรียนแบบที่ครูบางคนเอาไปสอนพิเศษ

ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นข้อสอบของโรงเรียน ข้อสอบเข้า หรือข้อสอบแข่งขันอะไรก็ตามมักจะให้เด็กๆ คิดทั้งม้วนหน้าม้วนหลัง ตีลังกาหน้าหลังกาหลังคิด ต่อให้คิดไปจนหัวแตกก็ทำข้อสอบไม่ได้ ถ้าไม่เคยเห็นผ่านตามาก่อน

ฉันไม่ชอบวิธีการเหล่านี้เลย วิธีการหาเงินกับเด็กๆ ที่ใฝ่รู้อยากจะรู้และต้องการที่จะเรียนรู้ ฉันไม่โทษเพื่อนๆ ที่เรียนเก่งบางคน เพราะเพื่อนเหล่านั้นต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ และไม่รู้สึกแปลกใจว่าทำไมเมื่อเพื่อนรู้แล้วไม่แบ่งปันความรู้เหล่านั้นให้พวกฉันได้รู้เช่นเดียวกับพวกเขา

ก็เพราะว่าหากพวกเขาบอกพวกฉันมันก็จะไม่ทำให้พวกเขาเด่นหรือเก่งในสายตาของใครต่อใคร มันกลับทำให้เพื่อนๆ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว สร้างค่านิยมที่ผิดๆ ให้กับเด็กไทยเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งผิดกับพี่ภาที่เรียนและฝึกมาด้วยตัวเอง พี่ภาจึงขยันมากกว่าใครๆ พี่ภาบอกฉันเสมอๆ ว่า

“สอนอาพี่ก็ได้ทบทวนบทเรียนเก่าๆ ไปด้วย”

พี่ภาจะใช้วิธีการทำข้อสอบเก่าๆ บ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ และด้วยวิธีการเหล่านี้พี่ภาก็จะสามารถพลิกแพลงอะไรหลายๆ อย่างได้ด้วยตัวเอง พี่ภาไม่เคยไปเรียนวิชาวิทยาศสาตร์เพิ่มเติม มีแค่วิชาเลขที่ต้องไปเรียนตอนเช้าและวิชาภาษาอังกฤษที่ต้องเรียนวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้นที่พี่ภามักจะไปเรียนบ่อยๆ เรียนเป็นประจำ ฉันเคยถามพี่ภาว่าทำไมต้องเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่พี่ภากลับบอกฉันว่า

“อนาคตภาษามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยนะอา ถ้าเราเรียนให้รู้อย่างเดียว แต่ไม่ฝึกให้คล่องกับเจ้าของภาษามันก็เหมือนนกแก้วนกขุนทอง ที่เอาแต่ท่องจำ แต่โต้ตอบอะไรกับใครๆ ไม่ได้”

และสิ่งที่พี่ภาทำก็เห็นผลได้เพราะพี่ภาสามารถที่จะสอบเป็นนักเรียนทุน AFS ได้ดังที่พี่ภาได้ตั้งใจเอาไว้ ฉันรู้สึกทึ่งในตัวของพี่สาวฉันมากมาย และอยากจะเป็นแบบที่พี่ภาเป็น

มีคนเคยบอกไว้ว่า “เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด” ในตอนนี้ฉันจะเดินตามเส้นทางที่พี่ภาเคยเดิน แม้ไม่เก่งเหมือนที่พี่ภาเป็น แต่หากฉันมีแม่แบบดีๆ อย่างพี่ภาอยู่ก่อนแล้ว ฉันก็แค่เดินตามรอยเท้าของพี่ภาไปหรือวัดรอยเท้าของฉันกับรอยเท้าของพี่ภาทีเดินนำหน้าฉันไปไม่ห่าง มันได้ไม่ยากเย็นอะไรเลยจริงไหมคะ

... จบบทที่ ๒๖ ...



Create Date : 12 กรกฎาคม 2551
Last Update : 12 กรกฎาคม 2551 11:15:52 น. 0 comments
Counter : 431 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.