It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒

บทที่ ๒

ฉันโดนแม่จับให้นั่งกลั้นหายใจที่บันไดบ้านขั้นที่สามอยู่นาน ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมแม่ถึงให้กลั้นหายใจอยู่อย่างนั้น แต่ที่รู้แน่ๆ ในตอนนี้ก็คือฉันเริ่มปวดท้อง เหมือนมีอะไรมาจับท้องฉันบิดไปมาอยู่ข้างใน ฉันเคยได้ยินว่า เวลาใครเค้าจะทำคุณไสยมนต์ดำใส่กันจะมีควายธนูอยู่ด้วย

ท้องของฉันเหมือนมีควายธนูมาวิ่งขวิดอยู่จนฉันแทบนั่งไม่ติด เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด ทั้งๆ ที่อากาศในวันนี้ก็เย็นๆ ไม่ร้อนมากนัก แม่เดินกลับมาหาฉันและเห็นฉันเหงื่อโทรมกาย แม่ก็บอกให้ฉันลุกขึ้นไปนอน หายาแก้ปวดให้ฉัน เอากระเป๋าน้ำร้อนมาให้

“เอากระเป๋าน้ำร้อนทับท้องไว้จะได้ไม่ปวดมากถ้ามันร้อนไปก็เอาผ้าพันกระเป๋าไว้ก่อนแล้วพยายามนอนซะลูกพรุ่งนี้จะได้ไม่เป็นไข้” แม่สั่งฉันได้แค่นั้นก็ลุกไปทำกับข้าวให้พี่ภา

ฉันหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกครั้งก็มีผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ ฉันเดาว่าฉันคงตัวร้อนและเป็นไข้ แม่บอกว่าฉันเป็นไข้ทับฤดู ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าฤดูฝนนี้เป็นไข้ทับแบบไหน ทำไมถึงไม่เป็นหวัดแต่ต้องมาตัวร้อนนอนปวดท้องอยู่แบบนี้

แม่สอนฉันให้ทำความสะอาดและเปลี่ยนบ่อยๆ อย่างน้อยก็จะไม่ติดเชื้อ

“แม่จ๋า การเป็นสาวนี่ลำบากจังเลยเน๊อะ แบบนี้อาเป็นผู้ชายดีกว่า อาไม่ชอบเลยหละแม่เป็นสาวแล้วก็ปวดท้อง เป็นไข้ด้วย” ฉันบ่นกับแม่เพราะในใจฉันตอนนี้อยากเป็นผู้ชายจริงๆ

“มันเปลี่ยนกันไม่ได้หรอกลูก อาเกิดเป็นผู้หญิงอาก็ต้องเป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าอาจะอยากเป็นผู้ชายมากแค่ไหนอาก็ต้องเป็นผู้หญิงอยู่ดี”

“แล้วทำไมพี่ภาถึงยังไม่เป็นสาวหละแม่ ทำไมอาถึงเป็นสาวก่อนพี่ภา” ความข้องใจของฉันยังไม่มีที่สิ้นสุด

“ก็เพราะอาแข็งแรงกว่าพี่ภานะสิลูกพี่ภาเค้าตัวเล็กกว่าอาก็เลยยังไม่เป็นสาว อาเข้าใจที่แม่พูดไหมลูก” แม่พยายามอธิบายให้ฉันเข้าใจแต่เด็กอายุสิบสองอย่างฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“ไม่เข้าใจค่ะแม่ พี่ภาเกิดก่อนก็ต้องเป็นสาวก่อนอาสิ แบบนี้สวรรค์ไม่ยุติธรรมเลย” ฉันไม่รู้จะบ่นใครก็หันไปบ่นสิ่งที่มองไม่เห็นซะอย่างนั้น

“คนเราเกิดมานิ้วยังไม่เท่ากันเลยนะอา อายกมือของอามาดูสิ เห็นไหมนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยสั้นเหมือนกัน แต่ทำไมนิ้วโป้งใหญ่กว่านิ้วก้อย” แม่จับมือของฉันขึ้นมาและให้ฉันมองดูนิ้วมือของตัวเอง

“อาว่าก็เพราะว่านิ้วโป้งเป็นนิ้วที่ใช้จับอะไรเยอะแยะ ถ้าไม่มีนิ้วโป้งก็หยิบอะไรไม่สะดวกสิคะแม่ นิ้วโป้งก็เลยใหญ่กว่านิ้วก้อยเพราะนิ้วก้อยไม่ค่อยได้ใช้งาน”

“อาคิดแบบนั้นก็ได้ แล้วทำไมนิ้วกลางถึงได้ยาวที่สุดหล่ะอา” แม่ถามฉันอีกครั้ง

“อาไม่รู้แล้วแม่นิ้วมันก็คือนิ้วนะแม่อาตอบไม่ได้หรอก”

“นั้นแหละอาแม่จะบอกว่าขนาดนิ้วของอาสั้นหรือยาวต่างกันอายังตอบไม่ได้เลย มนุษย์เราเกิดมาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ นิ้วของอาก็เป็นส่วนหนึ่งของอา แล้วการที่อาจะเป็นสาวก่อนหรือว่าพี่ภาเป็นสาวที่หลังอา สวรรค์ไม่ได้กำหนด ฝาแฝดเกิดพร้อมกันยังเป็นสาวไม่พร้อมกันเลยอามันเป็นไปตามธรรมาชาติ คราวนี้อาเข้าใจหรือยังลูก”

“อาเข้าใจแล้วค่ะแม่ อาจะไม่โทษอะไรอีกแล้วค่ะแม่” ฉันกอดเอวแม่นอนหลับไปอีกครั้ง ฉันหลับได้ยาวตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า และตื่นขึ้นมารับวันใหม่อย่างสดใสเช่นเคย เพียงแต่ยังไม่ชินกับสิ่งแปลกปลอมที่ฉันต้องใช้ก็เท่านั้นเอง

....................

“เฮ้ยอาทำไมเดินแบบนั้นหล่ะ”

ภรณีถามฉันเมื่อเธอต้องเดินตามฉันขึ้นตึกฉันเดินขากางๆ จนเพื่อนๆ สังเกตเห็น

“มันขัดๆ ไงไม่รู้นะณีมันขัดๆ แบบว่าเดินไม่สะดวกไง” ฉันบอกภรณีแบบกึ่งกล้ากึ่งกลัว

“อะไรขัดๆ นะอาฉันไม่เข้าใจ” ภรณีทำหน้างงๆ และฉันก็ต้องอธิบายความยืดยาวให้ภรณีฟังไปตลอดทาง กว่าภรณีจะถึงบางอ้อก็เล่นเอาฉันน้ำลายแห้งไปเลย

ในชั่วโมงพละฉันขอครูไม่ลงเล่นยืดหยุ่นเพราะปัญหาทางด้านร่างกาย ซึ่งครูก็เข้าใจฉันว่าไม่ต้องลงเล่นก็ได้ วันนั้นทั้งวันฉันกลายเป็นคุณหนู จะลุกจะนั่งจะเดินก็ระมัดระวังมากกว่าปกติที่เคยเป็น เหมือนฉันจะเป็นโรคจิตอย่างหนึ่งที่เมื่อลุกขึ้นครั้งใดก็ต้องหันกลับไปมองกระโปงของฉันว่ามีอะไรติดอยู่บ้างหรือเปล่า

ทุกชั่วโมงเรียนฉันจะลาครูไปทำภาระกิจที่ไม่สามารถบอกใครให้รู้ได้ จนเพื่อนๆ คิดว่าฉันท้องเสีย ซึ่งฉันก็ปล่อยให้เพื่อนๆ คิดไปอย่างนั้น ก็ใครจะไปบอกเพื่อนได้หละว่าภาระกิจทุกชั่วโมงของฉันคืออะไร

“ว่าไงสาวน้อยได้ข่าวว่าข้าศึกบุกเหรอ” รุ่นพี่คนนั้นนั่นเองมายืนทำอะไรแถวหน้าห้องน้ำนี่หล่ะ

“อ่อค่ะพี่ข้าศึกประชิดเมืองนิดหน่อย” ฉันอ้อมแอ้มตอบ

“แบบนี้ไม่นิดหน่อยแล้วมั๊งน้องขาพี่ว่าแบบนี้มันคงจะบุกมาจนถึงขอบเขตพระราชฐานแล้ว เล่นเดินจนขาขวิดแบบนี้ ไม่ไปห้องพยาบาลขอผงเกลือแร่มาดื่มหน่อยหละ ปล่อยไว้แบบนี้ท่าทางจะแย่นะนี่ หรือว่าเป็นวิธีลดความอ้วนแบบใหม่กันจ๊ะสาวน้อย”

“พี่รู้ได้ไงว่าอาเดินมาห้องน้ำบ่อย”

“ไม่รู้ได้ไงหละก็พี่เห็นผ่านช่องหน้าต่างโน่นไง” รุ่นพี่ตัวหอมของฉันชี้ไปที่หน้าต่างห้องเรียนที่มองลงมาก็เห็นห้องน้ำของชั้นมัธยมได้อย่างชัดเจน

“อ่อแบบนี้นี่เองพี่ถึงได้เห็นอาเดินเข้าห้องน้ำบ่อยๆ” ฉันมองตามมือนั้นไปก็พอเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง

“จะไปห้องพยาบาลหรือเปล่าหล่ะพี่จะได้ไปเป็นเพื่อน”

รุ่นพี่ตัวหอมเสนอตัวบอกกับฉัน เธอคงคิดว่าฉันท้องเสียจริงๆ หละสิ แล้วฉันจะบอกเธอว่าอย่างไรดีหละนี่ว่าฉันไม่ได้ท้องเสียแต่เป็นประจำเดือนคิดไปคิดมาฉันก็ตัดสินใจก้มลงไปใกล้ๆ หูของเธอและกระซิบบอกไปว่า

“อาเป็นวันนั้นของเดือนพี่ไม่ได้ท้องเสีย” ฉันบอกไปก็หน้าแดงไปด้วย

“อ้าวเหรอครั้งแรกหละสิถึงได้ตื่นเต้นแบบนี้”

ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ ซึ่งก็ทำให้รุ่นพี่ตัวหอมคนนี้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน

“ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่ ขอบคุณที่หวังดี แต่ตอนนี้ข้าศึกคงจะบุกจริงๆ แล้ว ไปก่อนนะคะ” ฉันรีบผละจากมาเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วทำให้การสนทนาในครั้งนี้ต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน

ฉันนึกขึ้นได้ฉันลืมถามไปสนิทว่ารุ่นพี่ตัวหอมคนนี้ชื่ออะไร แต่ไม่เป็นไรหรอกอยู่โรงเรียนเดียวกันประเดี๋ยวก็คงได้เจอกันเองนั่นแหละ โรงเรียนนี้แคบจะตายไปแทบจะเดินชนกันตายอยู่แล้ว

..................

วันไหว้ครูทุกคนรวมใจกันหาดอกไม้มาทำพานดอกไม้และพานธูปเทียน คนที่จะถือพานสองพานนี้จะต้องเป็นหัวหน้าห้องและรองหัวหน้าห้องของแต่ละห้อง

ทุกห้องร่วมมือร่วมใจกันทำพานดอกไม้มาประกวดประชันกันห้องของฉันเองก็เช่นกัน พวกเราเถียงกันเรื่องวัสดุที่เอามาทำการขึ้นรูป เพราะหากว่าใช้แต่ดินขาวอย่างเดียวแบบที่เคยเป็น คนถือพานจะแบกไม่ไหว เราเลยลงความเห็นกันว่าเอาโฟมมาสอดใส้ข้างในแล้วโป๊ะด้วยดินขาวด้านนอกแทนจะดีกว่า เพราะดินขาวจะช่วยให้ดอกไม้ยังสดอยู่มากกว่าใช้โฟมเพียงอย่างเดียว

พวกฉันอยู่ทำพานกันจนดึกและฉันก็เป็นฝ่ายเสบียงคอยส่งข้าวส่งน้ำเพราะฉันเป็นคนเดียวที่มีมอเตอร์ไซด์ไปไหนมาไหนสะดวกกว่าใครในห้อง และฉันเองก็ต้องเป็นสารถีให้กับห้องของพี่ภาด้วย ตลอดช่วงเย็นจนถึงค่ำ

“อาเธอถือพานแทนฉันหน่อยสิ” เกวลีบอกกับฉันเมื่อเราทำพานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเอาไปวางไว้ที่โต๊ะของครูหน้าห้อง

“ทำไมหละลีเธอไม่ถือเองหละ” ฉันถามเกวลีด้วยความแปลกใจเพราะตามกฏแล้วหัวหน้าห้องกับรองหัวหน้าเท่านั้นที่จะเป็นคนถือพาน

“ไม่มีอะไรหรอกเราขี้เกียจไปยืนหน้าห้องประชุมนานๆ เบื่อนะถือมาหลายปีแล้ว ช่วยเราหน่อยแล้วกันนะอาถือว่าเราขอร้อง”

“ครูจะไม่ว่าอะไรเหรอที่เธอมาให้เราไปถือแทน” ฉันยังแย้งความคิดของเกวลีอยู่นั่นเอง

“ไม่หรอกเราจะบอกครูว่าเรามือซ้นแล้วกัน ครูจะได้ไม่ว่าอะไรเธอ ตกลงไหม”

ฉันต้องยอมจำนนกับความคิดของเกวลีเพราะนานๆ ครั้งที่เกวลีจะมาขอร้องให้ทำอะไรสักอย่าง ฉันเองก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธเพื่อนด้วยสิ

“ก็ได้ ตกลงเราถือให้แต่ครั้งเดียวนะเพื่อน” ฉันตอบตกลงไปแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ขอบใจเพื่อนขอบใจกลับบ้านกันเถอะเดี๋ยวจะดึกไปกันใหญ่” เกวลีตบบ่าฉันและเดินกลับไปหยิบกระเป๋านักเรียนเพื่อที่จะกลับบ้าน

ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ปิดประตูห้องและไม่ลืมที่จะพรมน้ำลงบนพานอีกครั้งเพราะกลัวว่าพานจะไม่สวยและดอกไม้จะเหี่ยวก่อนที่จะเข้าประกวดในวันพรุ่งนี้

......................

แล้วเรื่องที่ฉันกลัวก็เป็นไปตามคาดหมายดอกมะเขือที่ประดับทั้งหมดเหี่ยวลงไปจนแทบมองไม่ออกว่าเป็นดอกอะไร เกวลีวิ่งวุ่นหาดอกมะเขือฉันเองก็เช่นกัน แต่ในวันนี้ไม่มีใครเอาดอกไม้มาเลยนอกจากกรวยใบตองของใครของมันที่จะเอามาไหว้ครู

“พี่ภาที่ห้องพี่เหลือดอกมะเขือบ้างหรือเปล่า” ฉันกระหืดกระหอบไปถามพี่สาวที่ห้องเรียนของเธออยู่ถัดห้องของฉันไปอีกสองห้องบนตึกเดียวกัน

“ไม่มีแล้วอาจะเอาไปทำอะไร”

“ดอกในพานมันเหี่ยวหมดเลยนะพี่ภา ตอนนี้ที่ห้องหากันให้วุ่นไปหมด”

“ลองไปหาที่ห้องสองสิเมื่อเช้าเห็นแสงอุษาเค้าถือมาถุงใหญ่เลย”

ข้อความที่พี่ภาบอกฉันเป็นเหมือนกับเป็นแสงสว่างที่ส่องมาให้ฉันได้เห็นทางออกของปัญหาในครั้งนี้

ใครกันนะแสงอุษาชื่อเพราะจังเลย ฉันรีบวิ่งไปที่ห้อง ม.๒/๒ ทันทีที่ได้รู้ว่ายังพอมีดอกมะเขือให้ได้ใช้บ้าง ในใจคิดว่าขอให้พี่แสงอุษาแบ่งปันมาให้ห้องฉันแม้เพียงนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดีกว่ามีดอกไม้ไม่ครบชนิด

“พี่ค่ะพี่คนไหนชื่อพี่แสงอุษาคะ” ฉันถามรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างประตูห้อง เพราะเป็นทางเดียวที่ฉันจะสามารถสื่อสารกับรุ่นพี่ในห้องนั้นได้

“น้องมีอะไรหรือเปล่า ษาไม่อยู่ลงไปข้างล่าง มีอะไรฝากบอกพี่ได้นะ”

“อ่องั้นไม่เป็นไรค่ะ” ฉันแทบหมดความหวังเพราะสิ่งที่ฉันต้องการคงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“จะให้บอกษาเค้าว่าน้องอะไรมาหาหละ” รุ่นพี่โต๊ะข้างประตูถามอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ขอบคุณค่ะ” ฉันเดินคอตกกลับไปที่ห้อง

แต่เมื่อนั่งลงที่โต๊ะก็ต้องตกใจกับถุงดอกมะเขือใหม่สด ที่ฉันคิดว่าพึ่งจะเก็บมาเมื่อเช้านี้แน่ๆ บนถุงเขียนติดไว้ว่า

“รู้ว่าต้องการใช่แน่ๆ เลยเอามาฝาก คราวหลังก็อย่าไว้ใจดอกมะเขือนะสาวน้อย”

ลายมือนี้คุ้นๆ จังเลย ฉันหยิบกระดาษที่ใช้วางรองเท้าในลิ้นชักโต๊ะออกมาดู ลายมือเดียวกันไม่ได้แตกต่างเลย ใครกันนะที่เอามาวางไว้แล้วแถมยังทำตัวลึกลับเป็นปริศนาคาใจฉันให้ขบคิดจนแทบจะปวดหัว

แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องเอาดอกมะเขือไปประดับพานก่อนดีกว่า เพราะเรื่องนี้ด่วนที่สุดสำหรับคนหมู่มาก เรื่องส่วนตัวของฉันไว้ค่อยคิดอีกครั้ง

เกวลีพันผ้ามาที่มือของเธอละบอกครูว่าเธอข้อมือซ้นเมื่อวานตอนที่ซ้อมวอลเล่ย์บอล ครูก็เลยให้ฉันไปถือพานแทนเกวลีอย่างง่ายดาย ฉันเดินคู่กับขวัญหทัยสองคนไปยังหน้าห้องประชุม

เสียงที่นักเรียนเปล่งออกมาสำหรับไหว้ครูทำเอาฉันขนลุกไปทั่วเมื่อต้องเดินถือพานไปตามทางที่เว้นว่างไว้ตรงกลางระหว่างที่นักเรียนนั่ง ก็จะให้ไม่ฉันตื่นเต้นได้อย่างไร ฉันเคยซะที่ไหนกันกับการที่ต้องมีใครมาจ้องมอง ขาที่เดินก้าวไปแต่ละก้าวแทบขวิดกัน

ขวัญหทัยจับมือฉันเธอคงรู้ว่าฉันตื่นเต้นเพราะมือของฉันเย็นชื้นไปหมด

“ใจเย็นๆ ไม่ต้องตื่นเต้นเลยอาเราอยู่ข้างๆ ไม่ต้องห่วง” ขวัญหทัยยังคงให้กำลังใจฉันเช่นที่เคยผ่านมา

“ขอบใจขวัญ”

“ไม่เป็นไรเราเพื่อนกัน” ขวัญหทัยส่งยิ้มน่ารักให้กับฉัน เธอเป็นสาวมีเขี้ยวที่สวยอยู่ไม่น้อยทีเดียว ในตอนนี้ใครๆ ก็จะเรียกขวัญหทัยว่าอรพรรณ เพราะเธอมีฟันกระต่ายและเขี้ยวเหมือนกับดาราคนโปรดของพวกฉัน

ฉันเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องประชุม เพราะว่าห้องฉันเป็นห้องแรกที่จะต้องถือพานนำขบวนชั้นมัธยมไปไหว้ครูที่นั่งอยู่บนเวทียกระดับสูงหน้าห้องประชุมนั้น

เมื่อทุกคนมากันจนครบก็ต้องเดินเข่าเข้าไปหาครูประจำชั้นของตัวเอง ด้วยพานที่ฉันถือค่อนข้างจะหนัก เพราะประดับไว้ด้วยดอกไม้มากมาย ทำให้ฉันเดินเข่าไม่สะดวก เกือบจะทำพานคว่ำก็หลายครั้ง เมื่อทุกคนมานั่งประจำที่จนครบแล้ว เสียงปาเจราก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนก้มลงกราบที่พื้น

พิธีเสร็จเรียบร้อยฉันนำพานมาวางไว้ที่โต๊ะด้านล่างเวที และครูที่เป็นกรรมการก็ลงมาให้คะแนนพานดอกไม้ที่ทุกห้องส่งเข้าประกวด

ผลประกาศออกมาว่าพานของห้องฉันได้ที่สอง ฉันนึกขอบคุณคนที่เอาดอกมะเขือมาให้ฉันได้ทันเวลา อยากรู้เหลือเกินว่าผู้มีประคุณคนนั้นคือใคร ใครคือบุคคลปริศนาคาใจฉันคนนั้น

.....................................

ฉันกลับมาที่ห้องก็พบกระดาษสีสวยรูปคิตตี้วางอยู่บนโต๊ะอีกครั้งแล้วที่ทำให้ฉันต้องงงไปกับข้อความ

“ยินดีด้วยกับรางวัลที่ได้ แบบนี้ต้องเลี้ยงฉลองให้เราด้วยนะนี่ในฐานะเจ้าของดอกมะเขือ”

คราวนี้ฉันเก็บความลับไม่อยู่แล้ว ฉันถามศสิมาเพื่อนโต๊ะข้างหน้า

“เติ้ลเธอพอจะรู้หรือเปล่าว่าใครเอากระดาษมาวางไว้ที่โต๊ะเรา”

“ไม่รู้สิเข้ามาก็เห็นมันวางอยู่แล้วนี่ อาไม่รู้เหรอว่าของใคร” ศสิมาหันมาตอบฉันแล้วก็เริ่มจะสงสัยขึ้นมาเหมือนที่ฉันสงสัย

“นึกว่าอารู้ว่าใครเอามาวางไว้ซะอีก เห็นมีมาเรื่อยๆ” ศสิมาบอกเท่าที่เธอได้เห็น

“มาเรื่อยๆ เหรอ ทำไมเราได้แค่สามเอง”

“ไม่นะมาทุกวันเลยนะอา เราเห็นวางไว้ทุกวัน” ศสิมาเริ่มเถียงฉันอีกรอบ

“จริงเหรอแล้วทำไมเราไม่เห็นมีเลยหล่ะ” ฉันยังถามย้ำ

“ลองไปถามขวัญสิ เห็นขวัญมายืนอ่านบ่อยๆ”

“แล้วขวัญมาเกี่ยวอะไรด้วยหละนี่” ฉันยิ่งได้รู้อะไรก็ยิ่งงงมากขึ้น

“ก็เราเห็นจดหมายน้อยอยู่บนโต๊ะอาทุกวัน แล้วขวัญก็มายืนอ่านทุกวันเหมือนกัน ที่เรารู้ก็มีแค่นี้หละอาอย่างอื่นอย่ามาถามเราเพราะเราไม่รู้” พูดจบศสิมาก็หันหลังกลับไปนั่งทำการบ้านของเธอต่อ

ฉันจ้องมองด้านหลังของขวัญหทัยด้วยจิตใจที่บอกไม่ถูกว่าทำไมเกิดอะไรขึ้นกับจดหมายน้อยที่หายไปของฉัน แล้วขวัญมาเกี่ยวกับเรื่องจดหมายน้อยของฉันด้วยหรือเปล่า ฉันไม่ปล่อยให้ปัญหาค้างคาใจอยู่นานหรอกนะ เมื่อได้โอกาสฉันก็ถามขวัญหทัยขึ้นมาอย่างไม่เป็นปี่เป็นขลุ่ย

“ขวัญเธอเก็บจดหมายบนโต๊ะเราไปเหรอ”

“จดหมายอะไรไม่เข้าใจ” ขวัญหทัยตอบปฏิเสธกับฉันและฉันก็ได้เห็นอะไรบางอย่างในท่าทางของขวัญหทัย

“ขวัญเราเป็นเพื่อนกันเธอมีอะไรก็บอกกับเราได้ทุกเรื่องนะ”

“เราบอกได้ด้วยเหรออา เรื่องที่เราจะบอกนี่อารับได้ด้วยเหรอ”

“แล้วมันเรื่องอะไรหละที่ขวัญจะบอกเรา”

“เราชอบอา เราชอบมาตั้งอยู่ ป.๕ เราพึ่งรู้ว่าเราชอบอาเกินเพื่อน” ขวัญหทัยสบตาฉันเข้าอย่างจัง ทำเอาฉันร้อนวูบไปทั้งหน้า

“บ้าแล้วขวัญ เราจะไปชอบเธอได้ไง เราผู้หญิงเหมือนกัน ขวัญกินยาลืมเขย่าขวดหรือเปล่า” ฉันยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากของขวัญหทัย

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นาทำไมเพ้อเจ้อได้” ฉันแกล้งแซวขวัญหทัยทั้งที่ใจจริงในตอนนี้ฉันสับสนไปหมด

“เราเข้าใจนะอาแต่เราชอบไปแล้วทำไงได้ เราจะรอแล้วกันถ้าหากอายังไม่มีใครหรืออารู้ตัวว่าชอบผู้หญิงแบบเราได้ เราค่อยมาคบกันอีกที”

“บ้าน่าขวัญ เรายังเรียนไม่จบมอหนึ่งเลยจะไปรักกับใครได้ไง”

“แต่อาก็เป็นสาวแล้วนี่ โบราณบอกไว้ว่าคนเป็นสาวเค้าก็แต่งงานมีลูกได้แล้ว” ขวัญหทัยเถียงตามที่เธอเคยรู้มาจากตำราเรียน

“แต่นี่มันไม่ใช่โบราณนะขวัญนี่มัน พศ.ไหนแล้ว กว่าเราจะแต่งงานมีลูกก็คงอีกสักยี่สิบปี นี่เราแค่สิบสองเองจะมามีแฟนได้ไงกัน อีกอย่างแม่เราคงไม่ชอบแน่ๆ ถ้าเรามีแฟนตอนนี้ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย” ฉันพยายามจะอธิบายให้ขวัญหทัยได้เข้าใจความรู้สึกของฉันบ้างก็เท่านั้น

ขวัญหทัยร้องไห้ออกมาในทันทีที่ฉันพูดจบ เพื่อนๆ เดินมาดูฉันและขวัญหทัยที่ยืนพูดกันเสียงดังอยู่หลังห้องตรงหน้าถังขยะ หลายๆ คนคิดว่าฉันแกล้งขวัญหทัย และก็ต่อว่าฉันหาว่าฉันแกล้งเพื่อน แต่จะมีใครสักคนรู้หรือไม่ว่าในใจของฉันตอนนี้ทั้งว้าวุ่นและสับสนปนเปไปหมด

เรื่องจดหมายน้อยยังไม่ทันได้สะสางก็ยังจะมามีเรื่องของขวัญหทัยให้ฉันได้ปวดหัวเล่นอีกเรื่องแล้วหรือนี่ ทำไมนะเมื่อเราโตขึ้นเรื่องราวต่างๆ ถึงได้วุ่นวายสับสนไปหมด แล้วเด็กอายุสิบสองอย่างฉันจะเข้าใจโลกได้มากกว่าคนอื่นเค้ารึเปล่าหละนี่

....................................

หลังจากที่เกิดเรื่องวันนั้นฉันกับขวัญหทัยก็ห่างกันไปจากที่เคยเดินไปไหนมาไหนด้วยกัน ขวัญหทัยก็เปลี่ยนไปเดินกับภรณีแทน ซึ่งฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะฉันไม่ได้ยึดติดอะไรกับใครๆ เขาอยู่แล้ว จะมีเพื่อนหรือไม่มีเพื่อนเดินไปไหนฉันก็ไปได้สบายๆ

ฉันเป็นพวกชอบอ่านการ์ตูนมากกว่าที่จะไปวิ่งแล่นกับคนอื่นๆ เพราะฉันไม่ชอบมีเหงื่อออกมันจะร้อนและคันไปหมด จนต้องอาบน้ำทุกครั้งที่ไปซ้อมพาเหรด หรือเมื่อเรียนพละเสร็จเรียบร้อยจนใครๆ ตั้งฉายาฉันว่าแม่อาเซปโซ่ หรือสบู่ยาฆ่าเชื้อเมื่อเวลาเป็นโรคผิวหนัง

ฉันก็น้อมรับฉายานี้โดยที่ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับใคร เพราะฉันรู้ดีว่าฉันเป็นอย่างไร จะมัวมาฟังคำพูดของคนอื่นๆ ก็ดูจะลำบากใจไปมากสักหน่อย

ฉันเริ่มมีโลกส่วนตัวมากขึ้น เมื่อไม่ต้องไปเดินตามหลังใครๆ ในตอนนี้ฉันลืมเรื่องจดหมาย ลืมเรื่องรุ่นพี่ตัวหอมและเรื่องอื่นๆ ไปหมด จะมีก็แต่เรื่องซ้อมดนตรีกับซ้อมกีฬาที่วันเวลาในการจะลงสนามก็เริ่มงวดเข้ามาทุกที

เวลาที่มีทั้งหมดของฉันจึงไม่มากพอที่จะมาให้นั่งคิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ จนปวดหัวหรอก

วันกีฬาสีปีแรกที่พวกฉันต้องไปเป็นนักดนตรีชุดที่เราใส่ก็ดูจะเป็นที่สะดุดตา สีเหลืองแสบตาไปหมด พวกเราไปตั้งขบวนกันที่บริเวณหน้าสถานีรถไฟ กว่าจะเดินมาถึงโรงเรียนได้ก็แทบตาย ทั้งเป่าทั้งเดินทั้งเต้นประกอบ แม้ว่าระยะทางจะไม่ไกลมากนักแต่พวกเราก็เหนื่อยไปตามๆ กัน

จนเมื่อเสร็จพิธีเปิด พวกเราก็แยกย้ายกันไปตามสีต่างๆ งานในวันนั้นฉันลงแข่งเดินตะขาบ แข่งกินวิบาก ไม่ชนะหรอกค่ะ เพราะเรี่ยวแรงของพวกฉันหมดไปกับขบวนพาเรทหมดแล้ว

สีที่ชนะก็ไม่ใช่สีของฉัน สนามวอลเลย์ สนามบาส เต็มไปด้วยนักเรียนออกันอยู่บริเวณขอบสนาม ความสนุกตื่นเต้นไม่ได้หมดแค่กีฬาหรอกค่ะ เพราะยังมีการแข่งอย่างอื่นด้วย

พี่ๆ ประธานเชียร์ทั้งหลายแหล่ ก็พยายามให้กองเชียร์ของตัวเองชนะ ฉันไปยืนตีกลองทอมประกอบการเชียร์อยู่ข้างๆ กองเชียร์ แล้วสายตาก็ไปเจอะกับภาพสาวสวยคนหนึ่งที่ออกมาเป็นลีดเดอร์ พี่คนสวยคนนั้นเองหละค่ะ เธอเป็นลีดเดอร์สีของฉัน

นี่ฉันไปมุดอยู่ที่ไหนมาหละนี่ ไม่ได้รู้เรื่องราวของโลกภายนอกภายในโรงเรียนกับใครเขาเลยเหรอ ไม่ได้มองเห็นใครๆ กับเค้าเลยเหรอ

ปุ๊ดโธ่เอ๊ย!!!!

แม่อาเซฟโซ่ นี่เธอใกล้เลือกินด่างแบบนี้เองเหรอ

ฉันถามเพื่อนที่อยู่ในสีเดียวกันก็ได้ความว่า พี่เค้าชื่อ “แสงอุษา”

แสงอุษา ทำไมชื่อนี้ช่างคุ้นหูฉันจังเลยนะ เคยได้ยินมาจากไหนกันหละนี่ แต่ด้วยสมองอันน้อยนิดของฉันคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ทั้งวันนั้นฉันจึงเพลิดเพลินกับการมองพี่แสงอุษาคนสวย โดยที่ไม่ต้องเกรงกลัวต่อสายตาของใคร เพราะพี่แสงอุสาเป็นจุดสนใจของทุกคนในกองเชียร์อยู่แล้ว

“ป่าม ป๊าม ป่าม ปาม ปาม ป่าม ป๊าม ป่าม ป๊าม ป่าม ปาม ปาม ป่าม ปาม
มา มาเถิดเรามา มาเถิดเรามา มาร้องเพลงกัน
ลืมความทุกข์เร็วพลัน สนุกสุขสันต์กันให้เต็มทรวง
เชียร์กีฬาแสนดี ไม่เคยจะมีความทุกข์ความลวง
เชียร์กีฬาชื่นทรวง ไม่หลอกไม่ลวงให้ใครซ้ำใจ
ป่าม ป๊าม ป่าม ปาม ปาม ป่าม ป๊าม ป่าม ป๊าม ป่าม ปาม ปาม ป่าม ปาม”

เสียงร้องเพลงเชียร์ก็ยังคงมีต่อไป เรื่อยๆ และท่าเต้นโยกไปย้ายมาของพี่แสงอุษาก็สะกดใจฉันอยู่เสมอ

ฉันคิดไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าบางครั้งพี่แสงอุษาก็มองมาทางฉัน เหมือนจะชม้ายชายตามามองที่ฉันอยู่เหมือนกัน และหัวใจของฉันก็เต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่สายตาคู่นั้นจ้องมองมาที่ฉัน และฉันยังเห็นอีกว่าพี่แสงอุษายิ้มกลับมาให้ฉันทุกครั้งเช่นกัน เป็นรอยยิ้มที่บาดเข้าไปในหัวใจฉัน

เวลาพักกลางวันในวันนั้นฉันตัดสินใจปลีกวิเวกถือถุงข้าวที่ทางสีแจกให้กับพวกเราทุกคนไปนั่งกินอยู่ใต้ต้นฉำฉาหน้าโรงเรียน เพราะในตอนนี้ทุกคนในโรงเรียนดูเหมือนว่าจะไปออกกันอยู่ที่หลังโรงเรียนและบริเวณโรงอาหารมากกว่า ฉันไม่ชอบคนเยอะๆ หรอกค่ะ เหมือนจะแย่งกันกินแย่งกันอยู่

ผัดกระเพราไข่ดาวในมือฉันถูกแกะออกมาจากถุงพลาสติกและช้อนประจำกายก็ถูกใช้ให้เป็นอุปกรณ์ในการจัดการกับกระเพราไข่ดาวนั้นด้วย แต่มันเผ็ดมากไปสักนิด เพราะฉันเป็นคนไม่ชอบกินเผ็ดเท่าไหร่นัก เรียกว่าทรมานปากลำบากใจในการกินก็ว่าได้

ฉันเผ็ดจนน้ำตาไหลพรากแต่ด้วยความเลินเล่อของฉันก็เลยไม่ได้หยิบขวดน้ำมาด้วย แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมีขวดน้ำยื่นผ่านไหล่ของฉันมา

ฉันสะดุ้งโหยงว่าใครกันนะที่เอาน้ำมาให้ในเวลาที่ต้องการแบบนี้ ในใจก็คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่เห็นฉันเดินมาหน้าโรงเรียนแล้วก็เดินๆ ตามกันมามากว่าที่จะคิดว่าเป็นคนอื่น

แต่พอฉันหันหน้าไปดูเจ้าของขวดน้ำนั้นก็ต้องตกใจอีกครั้ง

“อ้าวพี่” ฉันพูดได้เท่านั้นเจ้าของขวดน้ำก็มานั่งลงตรงขอบปูนกั้นต้นฉำฉาข้างๆ ที่ฉันนั่งอยู่

“ว่าไงสาวน้อยมานั่งทำอะไรคนเดียวแถวนี้หละ หรือนัดสาวที่ไหนไว้” พี่แสงอุษาทักทายฉันกลับบ้างด้วยคำถามที่ทำฉันอึ้ง

“เปล่านี่คะจะนัดใครหละพี่ ก็อานะไม่ชอบไปอยู่ในที่คนเยอะๆ มันน่าเบื่อออกพี่ เวลาใครๆ เดินไปเดินมาอยู่หน้าเรา” ฉันแกะขวดน้ำที่พี่แสงอุษายื่นให้แล้วยกดื่มเพราะความเผ็ดที่อดทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

“อ่อพี่ก็นึกว่านัดสาวน้อยรองหัวหน้ามากินข้าวด้วยกัน”

“ทำไมต้องนัดรองหัวหน้าด้วยหละพี่ นัดคนอื่นไม่ได้เหรอ” ฉันแทบสำลักน้ำที่ดื่มลงไป

“ก็เห็นว่าเราสองคนสนิทกันเดินจูงมือไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ก็นึกว่านัดเค้ามานะสิ เพราะพี่ไม่เคยเห็นเราสนิทกับใครนี่นา”

“พี่พูดเหมือนกับว่าคอยดูอาอยู่ทุกฝีก้าวอย่างนั้นแหละ” คราวนี้ฉันจ้องไปที่พี่แสงอุษาจริงๆ จังๆ เพื่อขอคำตอบ

“ใช่ พี่ดูเราอยู่ตลอด แล้วก็ดูเรามานานแล้วด้วย”

เมื่อได้ยินคำตอบที่แทบไม่ปิดบังของพี่แสงอุษาทำเอาฉันตะลึงไปพักใหญ่

“พี่ว่าอะไรนะตอบอีกทีสิ”

คราวนี้พี่แสงอุษาขยับเข้ามาใกล้ฉันจนฉันแทบจะตกขอบปูนและหันหน้ามาพูดกับฉันเกือบๆ จะชนแก้ม

“พี่บอกว่าพี่ดูเราอยู่ตลอด แล้วก็ดูเรามานานแล้วด้วย ได้ยินชัดไม๊สาวน้อย”

ฉันเงียบก้มหน้าก้มตาปิดและเปิดปากขวดน้ำในในมือเสียงดังป๊อกแป๊ก ด้วยความเขิน เพราะถึงแม้ว่าจะเคยมีขวัญหทัยที่มาบอกว่าชอบฉันแต่ฉันไม่เคยหวั่นไหวกับขัวญหทัยเลยสักครั้ง แต่กับพี่แสงอุษาสาวสวยคนนี้ทำเอาฉันใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“เขินเหรอสาวน้อย”

หุหุคำถามแบบนี้ใครจะไปตอบได้กันหละนี่ ฉันได้แต่นั่งก้มหน้าไปเรื่อยๆ

“พี่ถามว่าเขินเหรอทำไมไม่ตอบหละจ๊ะสาวน้อย”

“ค่ะ” คำตอบสั้นๆ ของฉันทำให้พี่แสงอุษาหัวเราะออกมาเบาๆ

“ท่าทางจะไม่เคยหละสิ”

ตายหละหว่าจะมาคาดคั้นเอาอะไรกับฉันนี่ ฉันได้แต่อ้อมแอ้มตอบไปว่า

“ไม่เคยแบบไหนหละพี่ ถ้าไม่เคยมีคนมานั่งพูดเรื่องแบบนี้ก็ไม่เคยหรอกค่ะ” ฉันตอบไปตามตรง

“งั้นก็เคยซะนะสาวน้อย แล้วก็มีอีกเรื่องนึงที่จะบอก” พี่แสงอุษาหยุดพูดไปซะเฉยๆ ทำเอาคนอยากรู้อยากเห็นอย่างฉันต้องถามกลับไปกับเรื่องที่พี่แสงอุสาจะพูด

“เรื่องอะไรคะ”

“พี่จะขอเราเป็นน้องสาวจะได้ไหม”

“น้องสาว หมายถึงที่เค้าขอกับเป็นพี่เป็นน้องแบบที่คนอื่นๆ เค้าเป็นพี่สาวน้องสาวกันนะเหรอพี่”

“ถูกต้องแล้วสาวน้อย แบบนั้นแหละ”

“แล้วพี่ไม่มีน้องสาวเหรอ” ฉันถามไปเพราะฉันเองก็ไม่คิดว่าจะต้องมีพี่สาวอีก เพราะพี่ภาก็เป็นพี่ที่ดีของฉันคนหนึ่งอยู่แล้ว

“ไม่มีนะสิเห็นเราน่ารักก็เลยจะขอเป็นน้องซะเลย อีกอย่างพี่เป็นลูกสาวคนเดียวของที่บ้าน ไม่มีพี่น้องก็เลยรู้สึกว่าอยากมีน้องสาวน่ารักๆ แบบอาบ้างถ้าอาไม่รังเกียจคนแบบพี่จะรับพี่เป็นพี่สาวของอาสักคนได้ไหม”

“อาขอไปปรึกษาพี่ภาก่อนได้หรือเปล่าพี่ เพราะเรื่องพี่สาวนี่อามีพี่ที่ดีอยู่แล้วคนนึงพี่ภาไม่ได้เป็นพี่ที่ไม่ดีสักหน่อยจะได้มามีใครแทนที่พี่ภาได้” ฉันตอบไปแบบนี้เพราะคิดว่าการจะมีพี่สาวเพิ่มอีกสักคนก็ต้องปรึกษาพี่ภาก่อน

“โห่จริงจังแบบนี้ดีๆ พี่จะรอ พี่รอได้ พี่จะรอตำตอบของเราก็แล้วกันแต่ก่อนไปขอมัดจำไว้ก่อนนะ” จากนั้นพี่แสงอุษาก็ก้มลงหอมแก้มฉันไปหนึ่งฟอด

“ว๊าย” ฉันร้องอุทานได้แค่นั้นเองเพราะในตอนนี้ พี่แสงนั่งหัวเราะกับท่าทางตกใจของฉันอยู่ฝ่ายเดียว แต่ฉันสิหน้าแดงไปหมดแล้วแบบนี้จะต้องไปเสียผีที่ไหนหรือเปล่านี่ แม่อาเซฟโซ่

.....จบบทที่ ๒......



Create Date : 07 พฤษภาคม 2551
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 17:23:16 น. 1 comments
Counter : 354 Pageviews.

 
จะรักเธอตราบจนวันสิ้นลมหายใจ


โดย: ฮิฮิอิ IP: 124.157.157.232 วันที่: 21 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:42:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.