It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๓

บทที่ ๓

ช่วงบ่ายๆ เป็นกิจกรรมการแข่งขันแบดมินตัน สีของฉันไม่ได้เข้าแข่งชิงชนะเลิศกับใครเขา ฉันก็เลยว่างพอที่จะนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่สวนหย่อมหลังตึก ตรงบริเวณสนามเด็กเล่น เพื่อนๆ อีกหลายคนก็นั่งเล่นที่เดียวกัน เพราะเป็นบริเวณที่มีต้นไม้แผ่กิ่งก้านมาปกคลุมให้ร่มเงาพวกเราได้มากกว่าที่อื่นๆ

ตึกเรียนปิดไว้ไม่ให้นักเรียนได้ขึ้นไปเพราะกลัวว่าจะมีใครโดนขังไว้ข้างบนห้องเรียน เคยมีอยู่ปีหนึ่งฉันก็จำไม่ได้ว่าปีไหน

มีข่าวว่าเด็กชั้นปอสองซึ่งเป็นรุ่นพี่ของฉันโดนขังไว้ เพราะคนปิดห้องไม่รู้ว่ามีเด็กแอบไปนอนในห้อง กว่าจะรู้ก็ดึกดื่น เพราะผู้ปกครองหาลูกของตัวเองไม่พบ

จนสุดท้ายเปิดห้องมาก็พบเด็กนอนหลับอยู่ในนั้นสองคน โดนยุงกัดทั่วตัว โรงเรียนให้เด็กสองคนนั้นเรียนฟรีจนจบปอหก โชคยังดีที่เด็กไม่เป็นอะไรมากนัก แค่นอนหลับแล้วก็หิวเท่านั้นเอง

รมณเดินมานั่งข้างๆ ฉันแล้วยืนถุงขนมมาให้

“กินเปล่าขนมอร่อยนะอา”

“ไม่หละยังอิ่มอยู่เลย” ฉันปฏิเสธรมณไปเพราะฉันยังอิ่มน้ำมื้อกลางวันอยู่

“อิ่มข้าวกระเพรานะเหรอ ไม่เห็นจะอร่อยเลย”

“เปล่าอิ่มน้ำต่างหากมันเผ็ดจี๊ดจนแสบท้อง กินน้ำตามไปเยอะมากก็เลยกินอะไรไม่ลง”

“อ่อ กินนี่สิไม่เผ็ดอร่อยด้วยกินเถอะนะอา”

ฉันหยิบขนมลูกกลมๆ จากในถุงของรมณมาหนึ่งลูกกลัวเธอจะเสียน้ำใจ จะว่าไปขนมก็อร่อยดีเสียแต่มันไปหน่อยเท่านั้นเอง

“อร่อยไม๊”เจ้าของขนมถามฉัน

“อืมก็ดีแต่มันมันไปนิดนึง” ฉันพยักหน้าตอบรับเจ้าของขนม

“นักดนตรีทุกคนไปพร้อมกันที่ห้องดนตรีเดี๋ยวนี้ด้วยค่ะ นักดนตรีทุกคนไปพร้อมกันที่ห้องดนตรีเดี๋ยวนี้ด้วยค่ะ” เสียงประกาศตามสายดังไปทั่วโรงเรียน

“อะไรนี่ยังจะเรียกไปทำอะไรอีก” ฉันบ่นกับตัวเองแต่ก็ต้องลุกขึ้นจากการนั่งสบายๆ ของฉัน และยื่นมือไปให้รมณเพื่อฉุดเธอขึ้นมา

“ไปเถอะมนเค้าเรียกแล้วไม่รู้เรียกไปทำอะไร”

ฉันกับรมณไปถึงห้องดนตรีเรียกได้ว่าเป็นคนสุดท้ายของวงก็ว่าได้ ทุกคนนั่งเงียบกันหมดฉันเห็นภรณีอยู่ใก้ลก็เลยแอบกระซิบถาม

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกันครูยังไม่ได้บอกอะไร” ภรณีกระซิบตอบฉันและก็ทำหน้างงเช่นเดียวกัน

“มากันครบหรือยัง ถ้าครบแล้วจะได้เริ่มเรื่อง” ครูประจำวงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่านักเรียนในวงคงจะมากันจนเกือบครบแล้ว

พวกเราหันไปมองหน้ากันไปมาแล้วก็ตอบว่า

“ครบแล้วค่ะครู”

“งั้นก็ดี วันนี้ครูมีเรื่องอยากจะเตือนพวกเธอ ใครที่รู้ตัวว่าแอบปีนระเบียงออกไปข้างนอกแล้วไปส่งสัญญาณอะไรกับโรงเรียนฝั่งตรงข้าม วันนี้ครูไม่ทำโทษแต่หากรู้ว่าทำอีกครั้งครูจะจับไปตีหน้าเสาธง อะไรกันเป็นเด็กเป็นเล็ก หัดส่งสัญญาณคุยกับผู้ชาย แบบนี้ระวังเอาไว้เถอะ”

“แล้วใครบอกครูเหรอคะว่ามีพวกเราไปส่งสัญญาณให้พวกผู้ชายฝั่งโน้น” ฉันที่อดรนทนไม่ไหวก็ถามครูที่ควบคุมวง

“ที่ครูรู้ไม่ใช่ว่ามีใครในโรงเรียนเรามาบอกหรอกนะ ครูโรงเรียนโน้นต่างหากที่มาบอกว่าเห็นเด็กโรงเรียนเราใส่เสื้อสีเหลืองๆ ออกไปยืนที่ระเบียงห้อง แล้วส่งสัญญาณคุยกับเด็กโรงเรียนเค้า เรื่องนี้มันน่าขายหน้าขนาดไหนพวกเธอรู้บ้างไหม ใครทำยอมรับมาโดยดีจะไม่เอาเรื่อง”

พวกเราหันหน้ามองกันเลิกลักว่าใครคือตัวต้นเหตุของเรื่องแต่ก็ไม่มีใครที่จะออกมายอมรับ เสียงกระซิบกระซาบในตอนแรกเริ่มจะดังมากขึ้นเรื่อยๆ

“ในเมื่อไม่มีใครยอมบอกว่าใครทำครั้งนี้จับไม่ได้ไล่ไม่ทันครูจะปล่อยไปหากมีครั้งต่อไปครูจะไม่เอาไว้ไปได้แล้ว อ่อเอาเครื่องดนตรีไปด้วยไปตั้งแถวที่หน้าเสาธงรอปิดพิธี”

เรื่องฮ็อตในตอนนี้ของพวกเราก็คือเรื่องใครเป็นคนปีนระเบียงออกไปนอกตึกแล้วไปส่งสัญญาณกับเด็กนักเรียนชายฝั่งตรงข้าม

“แกว่าใครวะอา” รวิภาเพื่อนร่วมวงถามฉันตอนเดินลงมาเข้าแถวหน้าเสาธง

“ใครจะไปตรัสรู้ได้ไงหละวิก็เราเอาเครื่องไปเก็บเสร็จแล้วก็ลงมาข้างล่างเลย ไม่ได้อยู่ข้างบนนี่หว่า”

“เออ ก็จริงของแก เราลงไปก่อนใครเพื่อนเลยนี่นาเน๊อะ” รวิภาพยักหน้าเข้าใจเพราะพวกเราก็ลงจากห้องดนตรีเกือบๆ จะพร้อมกัน

เรื่องคาใจก็ต้องหายไปเพราะเราต้องจัดขบวนเพื่อรอปิดพิธี แดดก็ร้อน เรารอจนการแจกเหรียญครบหมด เสียงเฮลั่นของนักเรียนแต่ละสีก็ดังก้องไปหมดเมื่อครูประกาศให้ประธานสีและนักกีฬาไปรับเหรียญ

สีของฉันได้ชนะเลิศประเภทกองเชียร์ พี่แสงอุษาพาเหล่าบรรดาลีดเดอร์ไปรับถ้วยมาถือไว้ในมือและโชว์ถ้วยนั้นขึ้นจนสุดแขน ปานประหนึ่งว่านั่นคือถ้วยบอลโลกแบบนั้น ฉันมองภาพนั้นแล้วก็นึกขำกับท่าทางลีลานางพญาหงส์ของพี่แสงอุษาคนสวย

จากนั้นประธานในพิธีก็กล่าวปิดงาน พวกฉันเล่นเพลงสรรเสริญพระบารีมจบก็เดินแถวแยกย้ายกันไปเก็บเครื่องดนตรีอีกครั้ง

งานกีฬาสีปีนี้จบลงด้วยความชื่มมื่นอีกเช่นเคย

............................................

งานใหม่ของพวกเราก็คือต้องซ้อมดนตรีก่อนงานฤดูหนาว พวกเราต้องใช้เวลาที่ว่างเกือบทั้งหมดเพื่อซ้อมเพลงอีกหลายๆ เพลง การซ้อมก็คือ เอาโน้ตของใครของมันมาแบ่งแยกไปซ้อมกับเครื่องแต่ละชนิด เราแบ่งเป็นสามอย่างคือ เครื่องเป่าแบบลิ้นลมไม้ เครื่องเป่าทองเหลือง และเครื่องตี

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไหนเค้าก็เป่าเป็นทำนองกันทั้งนั้น ยกเว้นเครื่องดนตรีของฉันที่ต้องเป่าเป็นท่อนๆ กระตุก ปุ๊บ ปุ๊บ เพราะเครื่องที่ฉันเป่า หากเปรียบกับวงดนตรีสตริงก็คือกีต้าร์เบสนั่นแหละคะ ฉันไม่ค่อยจะสนุกเท่าไหร่นักกับการซ้อม เพราะเห็นเพื่อนๆ เป่ากันเป็นจังหวะเป็นท่อนๆ ก็นึกอยากจะไปเป่ากับเขาบ้าง

ฉันแอบไปเล่นเครื่องดนตรีของเพื่อนทั้งทรัมเปต ทั้งคาลิเนท ทั้งแซ็กโซโฟน ก็สนุกไปอีกแบบ แต่ก็เบื่อๆ ที่ต้องมานั่งเป่า ปุ๊บ ปุ๊บ อยู่ทุกวี่ทุกวัน มีบ้างเหมือนกันที่ฉันเป่าไม่ลงจังหวะ เพราะมัวแต่เพลินกับการฟังเพื่อนๆ ในวงเล่น ฉันโดนซ้อมเดี่ยว เป่าอยู่คนเดียวจนกว่าจะคล่องจังหวะ เล่นเอาเซ็งไปเป็นวันๆ

“โถ่เว่ย เล่นแบบนี้ไม่เห็นสนุกเลยลาออกดีกว่า” ฉันบ่นกับภรณีที่กำลังซ้อมเครื่องดนตรีของเธอ

“เอาน่าอาไงซะเราก็ต้องเล่นต่อไป ออกไปตอนนี้ครูจะเอาใครมาแทนแกหละให้มาซ้อมใหม่ก็คงไม่ทันแล้ว มันกลางเทอมแบบนี้ อีกอย่างใครจะมาแบกเบสของแกไม่มีหรอก ใครๆ เค้าก็อยากเล่นเครื่องเบาๆ กันทั้งนั้นแหละ”

“อืมก็จริงนะเล่นต่อก็เล่นวะ” ฉันบนพึมพำไปตามเรื่องตามราว

ครูที่ควบคุมวงได้ยินที่ฉันพูดกับภรณี ก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันแล้วพูดกับฉันเหมือนกับจะสั่งสอนอะไรบางอย่าง

“ครูรู้ว่าที่พวกเธอซ้อมกันมันน่าเบื่อ แต่พวกเธอจะรู้หรือเปล่าว่าเบสก็เป็นสิ่งสำคัญในการเล่นดนตรี เธอลองฟังดูสิ หากว่ามีแต่เสียงดนตรีอย่างเดียวไม่มีเสียงกลองไม่มีเสียงเบส ไม่มีเสียงประสาน เพลงจะสนุก เพลงจะเพราะหรือเปล่า เอ๊าทุกคนฟังครู” ครูเดินไปที่หน้าวงแล้วเคาะสแตนวางโน้ตของพวกเรา

“ไหนคาลิเนทเล่นสิเอาเริ่ม สาม สอง หนึ่ง”

พวกคาลิเนทก็เป่าไปตามที่ครูสั่ง

“หยุด คราวนี้แซ็กเล่นไปด้วยท่อนเดิม”

ทั้งคาลิเนทและเซ็กก็เล่นพร้อมกัน

“เสียงต่างจากเดิมหรือเปล่าหละ” ครูหันมาถามฉัน

“ต่างค่ะ” ฉันตอบเพราะรู้สึกว่ามีเสียงทั้งแหลมและทุ้ม

“ทรัมแป๊ดเล่นด้วย”

เครื่องดนตรีทั้งสามชนิดก็บรรเลงไปเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงเคาะให้หยุด

“ต่างอีกหรือเปล่า” ครูถามฉันอีก

“ต่างค่ะ”

“เอาเบสของเธอมาให้ครู บาริโทน ยูโฟเนียน ทรอมโบน เล่นไปพร้อมกันด้วย” ครูเดินมาที่ฉันและนั่งลงแทนที่เพื่อเป่าเบสของฉัน

“เริ่มได้”

เสียงดนตรีที่ดังออกมาแม้ไม่มีเสียงกลองแต่การผสมผสานระหว่างเครื่องเป่าแต่ละชนิดในครั้งนี้มีความสนุกสนานต่างจากการเล่นเครื่องดนตรีเดี่ยวๆ ฉันยืนฟังจนเพลิน จนครูส่งเสียงสัญญาณให้หยุดเล่น

“คราวนี้เสียงเป็นไงบ้างหละอาคิรา” ครูหันมาถามฉัน

“เพราะค่ะครู”

“เธอคงรู้แล้วสินะว่าวงดนตรีไม่ว่าจะเครื่องดนตรีอะไรก็มีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น เธออย่าคิดว่าสิ่งที่เธอเป่าอยู่มันน่าเบื่อ นี่ไม่ใช่การโชว์เดี่ยว แต่เราเล่นกันเป็นวง เราเล่นกันเป็นหนึ่งเดียว พวกเธอต้องเข้าใจว่าการเป็นวงดนตรีกว่าจะฝึกซ้อมกว่าจะเล่นได้แต่ละเพลงมันยากมาก ใครที่คิดจะออกหรือคิดจะไปจากวงให้คิดใหม่ซะ

ถ้าเธอต้องการให้เพื่อนๆ ต้องลำบากใจก็เชิญเลยครูไม่ห้าม แต่ขอให้คิดสักนิดว่ากว่าจะมีวันนี้พวกเธอทุ่มเทแรงกายแรงใจ และเสียเวลาไปมากเท่าไหร่แล้ว ที่นี้พอเข้าใจที่ครูพูดหรือยังหละอาคิรา” ครูหันมามองหน้าฉันเพื่อต้องการคำตอบ

“เข้าใจแล้วคะครู” ฉันพยักหน้าเข้าใจและเข้าใจดีจากส่วนลึกของหัวใจเลยทีเดียวว่า สิ่งที่ครูพูดหมายถึงอะไร

จากวันนั้นเป็นต้นมาฉันไม่เคยคิดที่จะลาออกจากวงดนตรีอีกเลย

............................

ฉันยังคงได้รับจดหมายน้อยวางที่โต๊ะอยู่เหมือนเช่นเคย วันไหนไม่มีจดหมายเหมือนฉันขาดอะไรไปสักอย่าง ข้อความในจดหมายก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เพราะจะบอกว่าห่วงนะ คิดถึงจัง ซ้อมเหนื่อยหรือเปล่า เป็นกำลังใจให้นะ

แม้ข้อความจะไม่มีอะไรมากมายแต่ฉันก็ยิ้มทุกครั้งที่ได้อ่านข้อความเหล่านั้น ฉันไม่ต้องการที่จะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของจดหมายนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าในตอนนี้ฉันแค่รู้สึกดีๆ กับข้อความก็ทำให้หัวใจของฉันชุ่มชื้นขึ้นมาอีกมากโข

ฉันกับพี่ภาเดินซื้อขนมกันก่อนกลับบ้านอยู่ที่ร้านขนมหน้าไปรษณีย์ ขนมที่ฉันต้องการจะกินไม่มีขายเพราะหมดไปแล้ว

“ว๊าแบบนี้ก็อดเลยสิพี่ภา นี่อาอยากกินมาตั้งหลายวันแล้วนะนี่” ฉันบ่นกับพี่ภาไปตามเรื่องเพราะขัดใจที่ขนมของโปรดไม่ได้กินตามที่ต้องการ

“ก็มาซะเย็นขนาดนี้ขนมเปียกปูนที่ไหนจะรอเธอให้ซื้อละแม่อา”

“ก็เค้าต้องซ้อมดนตรีนี่พี่ภาก็ ไม่ได้ไปนั่งเล่นที่ไหนซะหน่อย” ฉันเถียงบ้างเพราะรู้ว่าพี่ภามักจะนั่งรอฉันอยู่ที่ห้องสมุดทุกวันหลังเลิกเรียน และพี่ภาก็จะทำการบ้านเสร็จแล้วก่อนกลับบ้านทุกวัน

“ไปร้านการ์ตูนยืมหน้ากากแก้วกับคำสาปฟาโรห์ด้วยสิ สงสัยตอนใหม่จะมาแล้ว” พี่ภาบอกฉันให้ไปร้านเช่าหนังสือตรงแถวๆ สะพานข้ามแม่น้ำไม่ไกลจากร้านขนมนี้มากนัก

เราสองคนเลือกยืมหนังสือการ์ตูนมาหลายเล่มไม่ใช่สิเรียกว่าเป็นตั้ง ราคาค่ายืมก็เล่มละห้าสิบสตางค์ ก็ยังดีกว่าไปซื้อเค้ามันแพงใช่เล่นอยู่หรอกค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์พวกเราไม่ต้องไปไหน มีเวลาอ่านหนังสือได้ทั้งวัน

เอาหนังสือใส่ตะกร้าหน้ารถได้ก็บึ่งกลับบ้านไปนอนอ่านนั่งอ่านกันคนละเล่มสองเล่ม วันหยุดสำหรับฉันเป็นวันที่แสนสุขใจมากที่สุดเพราะไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน อ่านไปหลับไปคาที่นอนกว่าจะลุกจากที่นอนได้ก็เวลาบ่ายไปแล้ว

ฉันลุกขึ้นมาหาอะไรกินรองท้องเพราะว่าแต่เช้ายังไม่มีอาหารใดตกถึงท้องฉันสักอย่างความหิวทำเอาฉันตาลายไปเหมือนกัน หยิบขนมปังได้ก็คว้าเข้าปาก แล้วก็มีเสียงพี่ภาร้องดังๆ ว่า

“อย่ากิน”

ฉันหันไปมองหน้าพี่ภา

“กินแค่นี้หวงไปได้พี่ภา เค้าหิวนี้ แล้วมาหวงของกินอะไรกับน้องนุ่ง”

“เปล่าไม่ได้หวง ขนมปังที่เธอกินนะมันขึ้นราแล้ว”

พอพี่ภาพูดจบฉันมองขนมปังในมือเห็นราเขียวๆ สร้างใยยาวๆ อยู่บนขนมปัง ฉันรีบไปล้วงคอเอาขนมปังทั้งหมดออกและบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากเป็นการใหญ่ ส่วนพี่ภายืนหัวเราะฉันอยู่หน้าห้องน้ำ ท้องคัดท้องแข็ง

“เห็นน้องทรมารแล้วสบายใจนะพี่ภา” ฉันกระเง้ากระงอดพี่ภาที่ยังมีหน้ามายืนขำฉันอยู่ได้

“ก็จะกินจะทำอะไรทำไมไม่ดูก่อน เห็นอยู่ว่ามันขึ้นราเขียวขนาดนั้นยังจะดันทุนรังกินเข้าไปได้” พี่ภาพูดไปก็เดินมาหยิบถุงขนมปังไปทิ้งในถุงขยะ ฉันยังคิดในใจว่าทำไมพี่ภาไม่เอาไปทิ้งก่อนหน้าที่ฉํนจะมาหยิบไปกิน รู้ทั้งรู้ว่าฉันหิวข้าวแล้วตาลาย

“ก็ไม่ได้ดูนี่คนมันหิวแล้วก็หิวมากด้วย”

“หิวมากเลยเหรอ งั้นเดี๋ยวทอดไข่ดาวให้แล้วกัน”

ฉันพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าหิวมาก พี่ภาทอดไข่ดาวมาให้ฉันสองฟอง ฉันเปิดกระปุกน้ำพริกตาแดง คราวนี้ไม่พลาดแน่ๆ ฉันมองดูน้ำพริกในกระปุกว่ามันขึ้นราหรือเปล่า ใจหนึ่งก็กล้าๆ ใจหนึ่งก็กลัวๆ ว่าหากกินเข้าไปแล้วมันจะไปผสมกับราขนมปังทำให้ฉันท้องเสียหรือเปล่า

“กินได้พึ่งซื้อมาเมื่อวานไม่ขึ้นราแน่ๆ” พี่ภาที่เห็นฉันละล้าละลังสองจิตสองใจที่จะกินน้ำพริกก็พูดขึ้น

“อ่อดีๆ กินได้”

ฉันตักน้ำพริกมาครึ่งช้อนใส่ถ้วยใบน้อย เอาน้ำปลามาเหยาะจนท่วมแล้วก็เดินไปหยิบมะนาวมาฝานบีบลงไปในน้ำพริกถ้วยนั้น แค่นี้ก็อร่อยไปได้อีกหนึ่งมื้อ เพราะน้ำพริกทั้งถ้วยแทบจะกลายเป็นน้ำปลามะนาวไปแล้ว

เมื่อกินข้าวเสร็จคำถามที่ฉันไม่อยากได้ยินเลยก็ถูกถามขึ้น

“ทำการบ้านเสร็จหรือยัง”

ฉันหันไปมองหน้าพี่ภาแล้วก็อ้อมแอ้มตอบไปว่า

“แหะๆ ยังเลยไม่ได้ทำสักวิชา”

“งั้นบ่ายนี้ทำการบ้านซะ มานั่งทำหน้าพี่นี่แหละ จะได้เสร็จเร็วๆ” พี่ภาสั่งฉันเพราะรู้ดีว่าคนอย่างฉันถ้าไม่โดนบังคับไม่มีทางทำการบ้านอย่างแน่นอน

“พี่ภาอะ หนังท้องตึงหนังตาหย่อนแล้วนี่ขอนอนก่อนนะจะได้มีสมองสดใสมาทำการบ้านไง” ฉันก็มักมีข้อเสนอเลี่ยงไปเลี่ยงมาแบบนี้ตลอด

“ไม่ได้ทำการบ้านซะ รู้จักรับผิดชอบตัวเองบ้างโตแล้วนะนี่เราไม่ใช่เด็กๆ ที่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชทุกวัน ที่อ่านการ์ตูนหละอ่านได้เป็นวันๆ พอให้ทำการบ้านจะเป็นจะตายให้ได้ คนอะไร ไปไป๊ ไปเอาการบ้านมานั่นทำ แล้วเอาสมุดจดการบ้านมาให้พี่ดูด้วยว่ามีการบ้านอะไรบ้าง” พี่ภาสั่งอีกแล้ว ถึงแม้ว่าแม่จะไม่อยู่แต่พี่ภาก็เป็นแม่ฉันได้เหมือนกัน แถมดุกว่าแม่เสียอีกสิ

ฉันนั่งทำการบ้านไปเรื่อยๆ โดยมีพี่ภานั่งอ่านหนังสือเรียนและจดอะไรยิกๆ อยู่เรื่อยๆ ในหนังสือนั้น ฉันว่าเป็นการดีเพราะฉันใช้หนังสือต่อจากพี่ภามาตั้งแต่เล็กจนโต หนังสือจะบอกว่าคำตอบที่มีเป็นอะไรบ้าง เพราะฉันชอบที่มีคำตอบต่างๆ จดไว้ให้แล้ว แต่ข้อเสียของมันก็คือฉันจะเป็นพวกท่องจำมากกว่าที่จะคิดเองเพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว

แต่อย่ามาถามนะว่าคิดมาได้ไง คำตอบของฉันก็คือ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

ช่างเป็นคำตอบที่คลาสสิคมากสำหรับฉัน ใช่ว่าฉันจะโกหก แต่มันคือ เรื่องจริง จนเพื่อนๆ มักชอบหาว่าฉันอมภูมิ จะเอาที่ไหนมาให้อมกันเล่า ก็คำตอบมันมีอยู่แล้วจะให้เอาวิธีทำมาจากไหนเล่า

“ปั๊ดโธ่เอ๊ย!!!”

“ทำตรงไหนไม่ได้บอกพี่จะสอนให้” พี่ภาที่เห็นฉันทำการบ้านเงียบๆ อยู่แหนงหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่อ่านแล้วมองหน้าฉัน

“เอาตั้งแต่ข้อแรกเลยพี่ภา ละเอียดเลยนะเพราะทำไม่ได้สักข้อ”

จากนั้นพี่ภาก็สอนฉันตั้งแต่ข้อแรกจนข้อสุดท้าย ให้ฉันคิดเองบ้าง ทำตามที่พี่ภาบอกบ้าง และก็มีบางครั้งเหมือนกันที่พี่ภาเหลืออดฟาดฝ่ามือที่ฉันไปก็หลายตุ๊บ

“นี่แน่ะสอนไปเมื่อกี้ไม่รู้จักจำ เอาสี่ทดไว้ในใจแล้วก็คูณต่อไปสิ”

“ก็คนมันลืมนี่พี่ภาก็ ใครจะเก่งมาแต่เกิดแบบพี่ภาหละ” ฉันทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยฉันรู้สึกง่วงต่างหาก

“ไม่ต้องมาร้องไห้เลยทำการบ้านไปไม่เสร็จไม่ได้อ่านการ์ตูนต่อ และไม่ได้กินข้าวเย็นด้วย”

“ใจร้าย!!!” ฉันร้องออกมาจนเสียงดัง

แม่เดินมาดูฉันสองคนที่นั่งทำการบ้านกันอยู่แล้วก็เดินหายไปในครัว แม่มักไม่ค่อยจะมายุ่งอะไรพี่ภากับฉันเท่าไหร่เพราะแม่รู้ดีว่าพี่ภาปราบฉันอยู่ แม้ว่าเราจะอายุใกล้เคียงกันก็ตามที

กลิ่นกับข้าวฝีมือแม่หอมตลบอบอวลไปทั้งบ้าน ท้องฉันเริ่มหิว สมาธิแตกซ่าน ฉันสูดดมกลิ่นกับข้าวจนเต็มปอด และเริ่มเลื้อยไปตามกลิ่น

“ไม่ต้องเลยทำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว” เสียงพี่ภาที่สั่งฉันนั้นเฉียบขาดอย่าบอกใคร ก็แหงหละใครๆ ก็รู้ว่าพี่ภาเวลาอยู่กับฉันนั้นโหดแค่ไหน

ทำให้ฉันนึกถึงพี่แสงอุษาที่ท่าทางน่ารักสวยและใจดีขึ้นมาในทันที ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่แสงอุษาจะทำอะไรอยู่นะ

แต่จิตใจที่ฟุ้งซ่านก็ต้องหยุดลงเมื่อฝ่ามือของพี่ภาตีที่หลังฉันเบาๆ อีกครั้ง เพื่อเตือนให้ทำการบ้านต่อไป กว่าจะทำการบ้านเสร็จฉันก็น่วมเหมือนกระท้อนไปแล้ว แต่ที่สำคัญของขวัญสำหรับคนที่ทำการบ้านเสร็จแล้วในวันนี้ก็คือ กับข้าวอร่อยๆ ฝีมือแม่ของฉันนั่นเอง

.................................

ฉันออกมาปีนต้นมะม่วงหลังบ้านเพื่อจะเอามะม่วงไปจิ้มเกลือเม็ด มันอร่อยอย่าบอกใครเลยค่ะ มะม่วงใหม่สดที่เก็บมาด้วยฝีมือของฉันเอง แม้การปีนจะต้องฝ่าดงมดแดงตัวโตๆ แต่ก็สนุกไปอีกแบบ

ฉันชอบที่จะขึ้นมาอยู่บนที่สูงๆ แบบนี้เพราะมันมองเห็นวิวได้ไกลออกไปจากเดิมมาก แม้บางครั้งในตอนเด็กๆ แม่จะถือไม้เรียวมาตามฉันให้ลงมาจากต้นมะม่วงต้นโปรดของฉันต้นนี้ แม่บอกว่าถ้าไม่ลงมาแม่จะตัดต้นมะม่วงทิ้งซะจะได้ไม่มีที่ให้ฉันปีนป่ายเป็นลิง

ฉันจำได้ว่าฉันต้องยอมจำนนเพราะแม่ถือมีดมาราวกับว่าจะตัดต้นมะม่วงทิ้งจริงๆ ฉันลงมาข้างล่างอย่างว่าง่าย และหันไปพูดกับต้นมะม่วงว่า

“ฉันรักแกนะเพื่อนยากจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายแกแน่นอน ฉันจะปกป้องแกเองต้นมะม่วงแสนรัก”

ฉันคงจะอ่านเรื่องต้นส้มแสนรักมากไปหน่อยก็เลยอินไปแล้วกระมังนี่

ฉันไม่ชอบเล่นตุ๊กตากระดาษที่พี่ภาวาดรูเอาไว้เยอะๆ แล้วก็วาดรูปชุดไว้ด้วย ใส่สีด้วยสีเมจิกบ้าง สีเทียนบ้าง สีไม้บ้าง ตามแต่พี่ภาจะจินตนาการ และชุดทั้งหมดก็จะถูกเก็บไว้ในหนังสือเล่มหนาๆ ของพี่ภา

ตุ๊กตากระดาษของพี่ภามีหลากหลายทั้งแคนดี้ ทั้ง มายะ เต็มไปหมด ครั้งไหนที่พี่ภาจะเล่นก็ต้องมาตามฉันให้ไปเล่นด้วยเธอบอกว่าเล่นคนเดียวไม่สนุก สองคนพี่น้องก็ต้องมานั่งเล่นตุ๊กตากระดาษกัน

ฉันจำได้ว่าเคยทะเลาะกับพี่ภาแล้วฉีกตุ๊กกระตากระดาษของพี่ภาทิ้ง พี่ภาร้องไห้จนตาบวม และแม่ก็ตีฉันด้วยไม้ไผ่ยาวๆ ที่เหลาไว้แล้วสำหรับลงโทษฉันโดยเฉพาะ ฉันรู้สึกสำนึกผิดตกลางคืนเอาตุ๊กตาเหล่านั้นมาทาข้าวสุกด้านหลังเพราะหากาวมาทาไม่ได้แล้วก็หากระดาษมาแปะติดไว้

ตัดเป็นรูปเป็นทรงเดิมเอาไปเก็บไว้ในหนังสือเล่มโตสีเหลืองๆ ของพี่ภา เหมือนเดิม พี่ภาไม่คุยกับฉันไปหลายวัน บรรยากาศมาคุในบ้านก็จางลงเมื่อพี่ภาเปิดหนังสือเล่มนั้นเพื่อจะดูผลงานการทำลายล้างของฉัน

ฉันยิ้มแฉ่งเพราะเห็นพี่ภายิ้ม เราสองคนพี่น้องกอดกันกลม สายใยของพี่น้องไม่มีทางตัดขาดไปได้ตราบใดที่ไม่มีมือที่สามมาเกี่ยวข้อง

ฉันนั่งยิ้มอยู่บนต้นมะม่วงเมื่อนึกถึงเรื่องราวสมัยยังเด็กๆ ของฉันเอง ในตอนนี้มะม่วงทั้งพวงอยู่ในมือฉันเรียบร้อยแล้ว

มะม่วงสามฤดูออกลูกได้ทั้งปี รสเปรี้ยวสะใจฉันมากมาก แม่เคยให้ฉันมาเก็บอยู่บ่อยๆ ในหน้าแล้งที่มะนาวไม่มีขายเอาไปทำน้ำพริกกะปิ หรือบางทีก็ให้ไปเก็บมะอึกหลังบ้าน มาทำน้ำพริกแทน

บ่อยครั้งที่ฉันสงสัยว่ามันทดแทนกันได้หรือ แต่ก็หายสงสัยเพราะกับข้าวมื้อนั้นก็ยังคงอร่อยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไป

พ่อให้ฉันกับพี่ภามายกร่องทำแปลผักที่หลังบ้าน ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องให้ทำ เพราะในความคิดของฉันไปซื้อเอาที่ตลาดจะง่ายกว่ามาทำเองแบบนี้ และที่สำคัญฉันกับพี่ภาต้องรดน้ำแปลผักทุกวัน เล่นเอาฉันเหนื่อยหมดแรง

แต่เมื่อได้กินผักที่ปลูกเองฉันก็อดภูมิใจไม่ได้ว่าผักที่ปลูกเองมันหวานกรอบอร่อย ผิดกับผักที่ซื้อมาจากตลาดเป็นไหนๆ

ผักแขนงกับน้ำมันหอยก็หวานฉ่ำอยู่ในปากของฉัน ข้าวจานที่สองก็ถูกคดมาจากหม้อข้าว พร้อมการนั่งกินครบทั้งครอบครัว ความสุขเล็กๆ เกิดขึ้นในบ้านหลังน้อยๆ เสมอประจำทุกวัน

.....................

เช้าวันจันทร์ที่ฉันแทบไม่อยากลุกจากเตียงนอนไปโรงเรียน พี่ภามาปลุกฉันดึงผ้าห่มออกไปจากตัวแถมปิดพัดลมเพดานทำเอาฉันร้อนจนไม่อยากจะนอนต่อ

“ตื่นได้แล้ว หกโมงแล้วสายโด่ง แด๊ดออก แด๊ดออก แดดออกแล้วฟ้าก็งามดังเปลวทอง” พี่ภาปลุกฉันแบบนี้ทุกวันที่ต้องไปโรงเรียน

ฉันงัวเงียงลุกไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเช่นทุกวันที่เคยทำมา จากนั้นก็แต่งตัว มากินข้าวก่อนที่จะหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซด์และหยิบกระเป๋าไปวางไว้ที่เหล็กท้ายรถสำหรับวางกระเป๋านักเรียนโดยเฉพาะ ใช้สายยืดๆ รัดกระเป๋าเรียบร้อยก็เดินมาสวัสดีพ่อกับแม่ และออกรถไปโรงเรียนเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา

เมื่อขึ้นมาถึงห้องเรียนฉันก็เห็นขนมที่ฉันอยากกินเมื่อวันศุกร์แต่ไม่ได้กินมาวางอยู่ที่โต๊ะ และมีกระดาษแผ่นน้อยเขียนไว้ว่า

“ไม่เจอะกันสองวันคิดถึงจังเลย เห็นว่าอยากกินขนม แล้วไม่ได้กิน เลยซื้อมาให้เจ้านี้ไม่อร่อยเท่าเจ้าประจำของอาหรอกนะแต่ก็พอกินได้ ไม่เชื่อลองกินดูสิ”

ฉันเริ่มอยากจะรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของจดหมายน้อยกับขนมชิ้นนี้ แต่จะไปถามใครได้ก็ในเมื่อไม่เคยมีใคร รู้เลยว่าทั้งจดหมายทั้งขนมมือดีที่ไหนเอามาวางไว้

ความคิดของฉันเริ่มที่จะต้องการสืบหาความเป็นจริง พรุ่งนี้ฉันจะเป็นเชอล๊อคโฮม ตาล่าหาความจริงให้ได้คอยดูเถอะ

รุ่งขึ้นฉันรีบตื่นแต่เช้า จนพี่ภาสงสัย

“ทำไมวันนี้ตื่นเร็วไม่ต้องปลุก”

“มีเรื่องต้องรีบไปโรงเรียนพี่ภาเร็วเข้าเถอะ” ฉันเร่งพี่ภาให้รีบมากว่าเดิม เพราะกลัวว่าการเป็นสายสืบของฉันจะไม่ทันการ

พี่ภาก็รีบๆ แต่งตัวกินข้าว และเราก็ออกจากบ้านเร็วกว่าปกติไปเกือบครึ่งชั่วโมง

ฉันมาถึงโรงเรียนเร็วกว่าทุกวันที่เคยผ่านมา เพราะปกติกว่าจะถึงก็ใกล้เวลาโรงเรียนเข้าแล้ว และฉันก็ต้องรีบไปเอาเครื่องดนตรีลงมาข้างล่าง

แต่ในวันนี้ฉันวานให้ภรณีเอาลงมาให้ฉันเพราะฉันบอกภรณีไปว่าฉันจะไปทำธุระก่อนแล้วจะตามไปสมทบทีหลัง และติดสินบนด้วยขนมในมื้อกลางวัน

ฉันย่องไปที่ห้องเรียนของตัวเองแต่ไม่ได้เอากระเป๋าไปวางไว้ที่โต๊ะเรียนของฉันแต่แอบเอาไปซ่อนไว้ที่โต๊ะเพื่อนก่อน จากนั้นก็รอเวลาว่าเจ้าของจดหมายน้อยจะเข้ามาเมื่อไหร่

เกือบเจ็ดโมงเช้าก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้องของฉัน และวางจดหมายน้อยพร้อมกับดอกกุหลาบไว้บนโต๊ะเรียนของฉัน

สิ่งที่ฉันเห็นทำให้ฉันตะลึงไปอยู่นาน เจ้าของจดหมายคือเธอคนนี้หรือ

ไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง เลย ให้ตายเถอะพระเจ้า

... จบบทที่ ๓ …



Create Date : 12 พฤษภาคม 2551
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 17:50:24 น. 0 comments
Counter : 313 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.